1807. ทันหลางหายไป
หวังหลินลูบคางและรู้สึกปวดหัว
ขณะที่เขากำลังลังเล ข่าวเรื่องคนแซ่หวังที่ไปกระตุ้นเพลิงปฐพี เผาสำนักมังกรฟ้า สังหารศิษย์นับพันและเอาชนะสี่ผู้อาวุโสพร้อมกับทำลายร่างไปสามคน ทำลายแขนไปอีกคน ก็ได้มีข่าวแพร่กระจายออกมา
สำนักมังกรฟ้าโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่งจึงส่งศิษย์ในสำนักทั้งหมดออกค้นหาอย่างบ้าคลั่ง หลายสำนักรู้สึกชอบใจกับเรื่องนี้เพราะไม่ได้ชอบสำนักมังกรฟ้า อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยระดับบ่มเพาะของตู้ฉิงและความสัมพันธ์กับสำนักมหาวิญญาณ พวกเขาจึงมีกำลังหนุน
พอเห็นสำนักมังกรฟ้าเจอกับความเสียหายอย่างมหาศาล ศิษย์นับพันตายและ สี่ผู้อาวุโสบาดเจ็บสาหัส จึงทำให้พวกเขาลอบมีความสุข เรื่องการร่วมมือค้นหา คนลึกลับผู้นั้นเป็นแค่ฉากบังหน้า
อย่างไรก็ตามสำนักบางส่วนก็ร่วมมือค้นหาหวังหลินอย่างเต็มที่
แคว้นกระทิงสวรรค์นั้นกว้างใหญ่เกินไป แม้แต่ข่าวรุนแรงเช่นนี้ก็ไม่ได้แพร่กระจายไปไกลนัก มันกระจายไปแค่ภายในอาณาเขตหนึ่งเท่านั้น
ส่วนสำนักใหญ่เช่นสำนักกุ้ยยี่หรือสำนักมหาวิญญาณ พวกเขาหาได้สนใจเรื่องราวเช่นนี้
หลายวันผ่านไปไม่มีแม้แต่เบาะแส บรรพตู้ฉิงแห่งสำนักมังกรฟ้าโกรธเกรี้ยวหนัก จึงได้ออกไปค้นหาด้วยตนเองและใช้สัมผัสวิญญาณค้นหาไปทั่วแต่เขาก็ไม่พบอะไรเช่นกัน อีกทั้งแคว้นกระทิงสวรรค์ก็กว้างใหญ่เกินไป!
หากคนผู้นั้นต้องการซ่อนตัว การค้นหาคงเหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร
ภูเขาที่หวังหลินอยู่ได้ถูกสัมผัสวิญญาณของศิษย์สำนักมังกรฟ้าเข้าค้นหาเช่นกัน แต่เนื่องเพราะอยู่ไกลมากและเขตอาคมของหวังหลินก็พิเศษยิ่ง พวกเขาจึงไม่เจอเบาะแสอะไร
จะไม่มีใครสามารถเจอเรื่องผิดปกติได้เว้นแต่ตู้ฉิงจะมาด้วยตัวเองและค้นตำแหน่งเฉพาะเจาะจง
ยิ่งเวลาผ่านไปการค้นหาของสำนักมังกรฟ้าไม่ได้ลดลงแต่ยิ่งรุนแรงขึ้น
หวังหลินสังเกตเรื่องนี้ได้ตอนที่เขากำลังคิดถึงวิธีการเปิดมิติเก็บของเพื่อนำสมบัติออกมา
ช่วงเดือนนี้ไม่เพียงแต่หวังหลินจะครุ่นคิดเรื่องมิติเก็บของ เขายังดูดซับพลังปราณสวรรค์ที่นี่เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายไปด้วย หวังหลินยังมองหาความแตกต่างของแก่นแท้ที่นี่เทียบกับแก่นแท้ของตัวเองไปเช่นกัน
เขาค่อยๆ มองเบาะแสสำคัญบางส่วนออก แก่นแท้รูปแบบนามธรรมไม่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะอยู่ในโลกถ้ำหรือแผ่นดินเซียนดาราก็ไม่เปลี่ยนแปลง อีกทั้งแก่นแท้รูปแบบนามธรรมก็สร้างขึ้นจากความเข้าใจของหวังหลินเอง
ทว่าแก่นแท้แบบรูปธรรมได้เปลี่ยนไปเหมือนแก่นแท้เพลิง
แก่นแท้เพลิง สายฟ้าและวารีที่สมบูรณ์ไปเล็กน้อยล้วนเหมือนกัน ส่วนแก่นแท้สังหารและแก่นแท้เขตอาคมมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนแต่ไม่มากนัก
‘ใกล้เวลาแล้ว ข้าไม่ควรลังเลอีก!’ ในวันนี้ขณะที่หวังหลินนั่งอยู่ในถ้ำ เขาลืมตาด้วยความมุ่งมั่น
หวังหลินไม่ใช่คนที่ไม่เด็ดเดี่ยว ถ้าไม่ใช่เพราะมิติเก็บของสำคัญเกินไปเขาคงไม่มาลังเลขนาดนี้ แต่ตอนนี้ต้องตัดสินใจแล้ว!
‘แม้มันจะถูกทำลาย ข้าต้องนำของออกมาบางส่วน ของส่วนใหญ่ไม่สำคัญในเมื่อข้าสามารถสะสมได้อีกมาก ข้าสามารถหาสมบัติชิ้นใหม่บนแผ่นดินเซียนดาราได้อีก!’
‘และหากข้าเร็วพอ มิติเก็บของอาจจะไม่ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์!’
หลังจากตัดสินใจ หวังหลินก็ไม่ลังเลอีก ระดับบ่มเพาะแผ่กระจายและรวมกันในถ้ำโดยไม่รั่วไหล พื้นที่รอบด้านเริ่มบิดเบือน
การบิดเบือนนี้เสมือนระลอกคลื่นที่ค่อยๆ ดังกึกก้องในถ้ำเหมือนทุกอย่างที่นี่กลายเป็นของแข็ง มันไม่ได้แข็งอย่างสมบูรณ์แต่สามารถทำให้ทุกอย่างเคลื่อนไหว ช้าลง
หวังหลินกระจายระดับบ่มเพาะเพื่อทำให้ถ้ำเหมือนหนองน้ำที่สามารถทำให้ การพังทลายของมิติเก็บของชะลอตัวลงได้
และสิ่งที่หวังหลินต้องการคือเวลา!
เมื่อกลิ่นอายแผ่กระจายออกไปและรอบด้านชะลอตัวลง หวังหลินสูดลมหายใจลึก ดวงตาส่องสว่าง ยกแขนซ้ายขึ้นมาสร้างผนึก รวบรวมวิชายับยั้งไว้บนนิ้วชี้
จากนั้นยกแขนขวาขึ้นมายื่นหาอากาศเบื้องหน้าและกัดฟันแน่น! เขาทำแบบนี้มาแล้วหลายครั้งแต่ไม่เคยเคร่งเครียดเช่นนี้ ขณะที่ยื่นมือออกไป รอยแยกหนึ่งปรากฏขึ้นมา
รอยแยกนี้คือ มิติเก็บของของหวังหลิน!
ชั่วจังหวะที่ปรากฏ วิชายับยั้งที่หวังหลินรวมไว้ในมือซ้ายได้ชี้ออกไป! หลังจากใช้วิชายับยั้งไปหลายครั้งด้วยความเข้าใจที่พัฒนามานาน ตอนนี้จึงไม่เพียงแค่หยุดคนอย่างเดียว มันทำได้กระทั่งหยุดเวลา อวกาศ วิชาและสมบัติ!
อย่างไรก็ตามหวังหลินไม่รู้ว่าจะสามารถหยุดยั้งการพังทลายของมิติเก็บของที่เขานำมาจากโลกถ้ำเข้าสู่แผ่นดินเซียนดาราได้หรือไม่!
วินาทีที่รอยแยกผุดขึ้นมา แสงน่ากลัวโผล่ออกมาจากภายในและเผยสัญญาณการพังทลาย แต่ด้วยการแข็งตัวของถ้ำจึงทำให้เวลาชะลอลง วิชายับยั้งทำให้การพังทลายชะงักไปชั่วขณะ
แต่เป็นชั่วขณะก่อนการพังทลายรุนแรง!
หวังหลินเพ่งสมาธิอย่างสูง เพียงมิติเก็บของเปิดขึ้นมาจึงส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปอย่างบ้าคลั่งและกำลังจะนำทุกอย่างออกมา
แต่การชะงักนี้ไม่มีเวลามากพอให้หวังหลินนำออกมาทุกอย่าง เขามองเห็น รอยแยกนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในมิติเก็บของ ทันหลางและสตรีชุดเงินอยู่ใกล้รอยแยกมากที่สุดและหายวับไป สมบัติบางส่วนพังทลายแต่บางส่วนก็ไม่แตกสลาย พวกมันถูกรอยแยกกลืนกินไป
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในพริบตา หวังหลินไม่มีเวลาหยุดมัน ทั้งยังไม่มีเวลามองเห็นว่าเขานำอะไรออกมา สัมผัสวิญญาณของเขาแบ่งตัวออกเป็นหลายชิ้นส่วน ติดตามสมบัติผ่านรอยแยกและประทับใส่สมบัติที่หายไปด้วย
เพียงแค่คิด มิติเก็บของที่ไม่ได้พังทลายก็ถูกเขาปิดลงและหายวับไปเพื่อป้องกันไม่ให้มันพังทลายอีก
เพียงชั่วเวลาสั้นๆ หวังหลินถึงกับต้องปาดเหงื่อ ลมหายใจกระชั้นชิด ดวงตาแดงฉานพลางมองตรงหน้าและขบคิด
เบื้องหน้ามีกระบี่โลหิตและประทับสีทองลอยอยู่!
กระบี่โลหิตเต็มไปด้วยจิตสังหาร ประทับสีทองเปล่งกลิ่นอายขั้นวิบากดับสูญ ทั้งยังมีกลิ่นอายของมหาชั้นฟ้า แสดงให้เห็นว่ามันถูกสร้างขึ้นจากหนึ่งในเก้าตะวัน
‘สมบัติที่ไม่สำคัญมากก็พังทลายไป แต่ที่ไม่สำคัญก็มีเสียหายอยู่ กระนั้นยังมีสมบัติที่ไม่ได้พังทลายและถูกรอยแยกเอาไป ข้าเตรียมการไว้และทิ้งสัมผัสวิญญาณเข้าไป บางทีคงมีสักวันที่ข้าจะหามันเจอ’
‘เหลียนต้าวเฟยและสตรีชุดเงิน…โถ่’ หวังหลินถอนหายใจ เขาทำดีที่สุดแล้ว
‘ข้าควรเปิดมิติเก็บของอีกสองสามครั้ง แต่ละครั้งที่ข้าเปิด การพังทลายจะย่ำแย่ลงจนถูกทำลายไปสมบูรณ์…หุ่นเชิดเย่ซื่อยังอยู่ในนั้นและไม่โดนทำลาย…’ หวังหลินสูดหายใจลึกและกระจายกลิ่นอายรอบตัวเพื่อทำให้ถ้ำกลับคืนสู่ปกติ
หวังหลินมองกระบี่โลหิตเบื้องหน้าและประทับสีทอง ดวงตาส่องสว่าง ยกแขนขวาขึ้นมาใช้การสร้างมิติเก็บของในร่างกายที่เรียนรู้จากคางเหริน รอยแยกจึงปรากฏขึ้นบนข้อมือขวา
ในรอยแยกเป็นสีดำสนิท พลังดึงดูดโผล่ออกมาจากภายใน มันดูดกระบี่โลหิตและประทับสีทองเบื้องหน้าหายเข้าไปในข้อมือ
‘การเปิดมิติเก็บของด้วยสายโลหิต เรื่องแบบนี้มีแต่คนบนแผ่นดินเซียนดาราที่ทำได้อย่างไร้ที่ติ’ หวังหลินขบคิด แสงสีแดงกะพริบวาบจากแขนขวาพร้อมกับมีกระบี่โลหิตออกมาและหายไป แสงสีทองปรากฏขึ้นและมีประทับสีทองปรากฏในแขนขวา
เหตุการณ์นี้ปรากฏขึ้นหลายครั้งจนกระทั่งหวังหลินคุ้นเคยกระบวนการเก็บเข้าออก เขาต้องทำให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาระหว่างการเปิดมิติเก็บของในขณะทำการต่อสู้และไม่ให้เกิดความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้ เพื่อให้มั่นใจได้มากขึ้น
‘ข้าสูญเสียสมบัติไปแล้วอย่างไร? ข้ายังได้สมบัติมากขึ้นอีกบนแผ่นดินเซียนดารา!’ หวังหลินมองดูข้างนอก สายตามองทะลุภูเขาออกไปเห็นท้องฟ้าอันมืดมิด
‘ทันหลางน่าจะอยู่บนแผ่นดินเซียนดารา…ตราบใดที่เขาอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่มีสมบัติเพียงแค่น้อยนิด! ข้าแค่ต้องเจอเขาเพื่อช่วยแก้ปัญหาหลายอย่าง…ทันหลาง ข้าคิดอยู่นะว่าเมื่อใดที่เราจะได้มาเจอกันบนแผ่นดินเซียนดารา…’ หวังหลินเผยรอยยิ้มเบาบาง
‘อย่างไรเสีย ทันหลางก็แปลกประหลาดมาก เขาเป็นหนึ่งในเศษเสี้ยววิญญาณของราชันย์เทพสีรุ้งเหมือนกับฉิงชุ่ย แต่สามารถออกไปจากโลกถ้ำได้…แม้จะมี มหาชั้นฟ้าช่วยเหลือ แต่ข้าก็มีเหมือนกัน…เรื่องนี้ลึกลับมาก’ คำถามนี้ติดอยู่ในใจ หวังหลินมานานและไม่สามารถเดาคำตอบได้
‘ช่างมันเถอะ เมื่อข้าเจอทันหลางในอนาคต ข้าอาจรู้มากขึ้นกว่านี้ ยิ่งคิด ยิ่งไร้จุดหมาย อันดับแรกข้าต้องแก้ปัญหาเรื่องเพลิงปฐพีและแก่นแท้เพลิงของข้าก่อน ตู้ฉิงแห่งสำนักมังกรฟ้าไม่ได้เป็นคนอ่อนแอ หากเขามาเจอข้าจะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด!’
‘ข้าเพิ่งเข้าสู่แผ่นดินเซียนดาราและไม่ต้องการสร้างปัญหามากนัก แต่ตอนนี้ดูเหมือนข้าต้องทำตัวให้สูงส่งเพื่อที่จะมีที่หยั่งเท้าบนแผ่นดินนี้ได้!’ แววตาหวังหลิน เย็นเยียบขึ้นทันที
ณ เมืองหลวงของเหล่าเทพ พระราชวังอันหรูหราโดดเด่น วังแห่งนี้มีความสูงหลายแสนฟุตราวกับวังสวรรค์
แสงสีทองจากวังส่องประกายแพรวพราว มองไกลๆ อาจจะเกิดตาพร่าเลือนได้
ณ ห้องโถงมีเก้าอี้มังกรขนาดยักษ์ ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมจักรพรรดิ เก้ามังกรนั่งอยู่บนนั้น เขาหลับตาราวกับอยู่ในความฝัน แต่วินาทีนั้นพลันลืมตาขึ้นมา รูม่านตาดุจดวงตะวัน กลิ่นอายของสายโลหิตอันสูงศักดิ์แผ่กระจาย แรงกดดันเหนือจินตนาการโผล่ออกมาจากร่าง
‘อาจารย์ทำนายว่าการหายไปของต้าวเฟยจะไม่คุกคามถึงชีวิตและจะเป็น โชควาสนา…ตอนนี้กลิ่นอายเขาปรากฏขึ้นในสุสานเทพเจ้า เช่นนั้นก็พาเขากลับมา…เอ๋ มีสตรีอยู่ข้างเขาด้วย…’ แววตาของชายวัยกลางคนกะพริบวาบ แขนขวายื่นออกไปยังอากาศเบื้องหน้า