1818. ประเมินตัวเองสูงไป?
“นี่…ข้าเคยไปแต่เพียงแคว้นคลื่นเมฆา แคว้นคางหยาง แคว้นวิญญาณสงบ ซึ่งนี่เพียงครึ่งของแผ่นดินตะวันออกเท่านั้น ภายในสามแคว้นนี้ไม่มีสายอัสนีเลย”
“ข้าไม่รู้จะตอบเจ้าเช่นไรจริงๆ…แต่ข้าช่วยสอบถามได้ บางทีคงมีสักคนใน สำนักมหาวิญญาณที่รู้ อีกทั้งสำนักมหาวิญญาณก็เป็นหนึ่งในเก้าสำนักสิบสาม กองกำลัง ศิษย์แต่ละคนออกไปทดสอบตัวเองและมักจะบอกเล่าเรื่องที่ตนเองพบเจอ นี่เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝน” ตู้ฉิงส่ายศีรษะ แผ่นดินเซียนดารานั้นไร้ขอบเขต มีน้อยมากที่จะได้ข้ามผ่านไปทั้งแผ่นดินตะวันออก ตู้ฉิงเคยไปเพียงแค่สี่แคว้นในชีวิต นั่นก็พิเศษพอแล้ว
หวังหลินพยักหน้าและครุ่นคิด ครู่ต่อมาจึงมองตู้ฉิงและพูดขึ้นท่าทีสบาย
“สำนักตงหลินอยู่ที่ไหน?”
“สำนักตงหลิน?” ตู้ฉิงสีหน้าแข็งค้างทันที ขบคิดเล็กน้อยและเริ่มพูด
“สำนักตงหลินเป็นหนึ่งในเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง อยู่ทางทิศเหนือของแผ่นดินตะวันออกในแคว้นมหาบัณฑิต ลือกันว่าเป็นสำนักที่ลึกลับมากและไม่ค่อยมีศิษย์ออกมานัก”
หวังหลินถามอีกสองสามคำถามจากนั้นก็เผยท่าทีเหน็ดเหนื่อย ตู้ฉิงเจ้าเล่ห์เป็นกรดจะไม่รู้เจตนาของหวังหลินได้อย่างไร? เขารีบจากไป ก่อนจะไปยังทิ้งคำพูดสาบานเอาไว้ด้วย
“สหายเซียนสบายใจได้ ข้าจะให้ทั้งสำนักค้นหาสายเพลิงปฐพี หากสามารถแยกออกมาได้ ข้าจะให้ศิษย์นำพวกมันกลับมาให้สหายเซียน”
หลังตู้ฉิงจากไป เขาก็ออกคำสั่งตามที่สัญญากับหวังหลินไว้ทันที สามผู้อาวุโสแบ่งกันนำกลุ่มศิษย์ออกไปยังทิศทางที่แตกต่างกันสามทิศ
ยังมีผู้อาวุโสที่เปลี่ยนกลายเป็นไม้และโดนผนึกลงโทษ ตู้ฉิงปลดปล่อยเขาและ ให้โอกาสแก้ไขความผิดบาป เขาจึงถูกส่งออกไปค้นหาสายเพลิงปฐพีกิ่งก้านเล็ก
หวังหลินนั่งลงอยู่ในถ้ำที่ค่อนข้างหรูหรา แสงจากไข่มุกราตรีส่องประกายบนตัวเขา ดูราวกับเขาถูกห่อหุ้มด้วยสายหมอกและเสมือนจริง
เขายังคงครุ่นคิด คำพูดของตู้ฉิงดังกึกก้องอยู่ในใจ
‘ข้าจำเป็นต้องสร้างร่างแก่นแท้อัสนีไปด้วย…ข้าไม่สามารถทุ่มความหวังทั้งหมดไปกับบ่อน้ำตงหลิน…อีกทั้งความทรงจำของซูต้าวอาจจะเกินจริง…’
‘หากข้าต้องการสร้างร่างแก่นแท้อัสนี ข้าจำเป็นต้องใช้สายฟ้าจำนวนมาก… ในเมื่อแผ่นดินเซียนดารามีแก่นแท้เพลิงปฐพี ก็ต้องมีแก่นแท้อัสนี…’
‘แต่ตอนนี้ความสำคัญอยู่ที่การสร้างร่างแก่นแท้เพลิง…ข้าอาจต้องเดินทางไปสำนักมหาวิญญาณด้วยตัวเอง…’ หวังหลินขมวดคิ้ว สำหรับเขานั้นสำนักมหาวิญญาณถือเป็นช้างยักษ์ที่ยากจะสั่นคลอน
‘ตู้ฉิงบอกว่าระดับบ่มเพาะของบรรพชนแห่งสำนักมหาวิญญาณนั้นเกินหยั่งถึงและเขายังมีร่างแก่นแท้เสียด้วย…’ หวังหลินลูบคางและถอนหายใจ
‘ระดับบ่มเพาะของข้าไม่ได้สูงมากพอ…แต่ดูเหมือนว่าข้าก็ไม่มีวิธีอื่น…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่างและคิดถึงสำนักกุ้ยยี่ มีเพียงชายชราชื่อหม่าที่รู้ว่าเขาติดต่อกับซวนลั่ว
ไม่นานนักหวังหลินก็ล้มเลิกความคิดที่จะค้นหาสำนักกุ้ยยี่เพื่อขอความช่วยเหลือ มีตัวแปลไม่ทราบหลายอย่างและเขาไม่ชอบใช้ชื่อเสียงเพื่อให้คนอื่นทำตามที่ต้องการ
‘ข้าต้องพึ่งพาตัวเอง แม้จะยากหน่อยแต่หากข้าสามารถใช้บิดมิติบนแผ่นดินเซียนดาราได้ มันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้…’ หวังหลินหลับตาและไม่คิดถึงร่างแก่นแท้อีก เขาเริ่มค้นหาวิธีการผสานเข้ากับโลก
วิชานี้สำคัญอย่างยิ่งต่อการกระทำของหวังหลินในอนาคต เมื่อเขาได้มันกลับมาแล้วจะมีโอกาสมากยิ่งขึ้น
ขณะที่กระจายสัมผัสวิญญาณ มันค่อยๆ กระจายออกมาจากถ้ำและห่อหุ้มโลกเอาไว้ แต่ไม่ว่าหวังหลินพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถผสานกับโลกได้ อย่างมากเขาผสานได้เพียงเสี้ยวเดียว เศษเสี้ยวนี้ไม่มากพอให้เขาทะยานไปได้ไกลนัก มันทำได้แค่ เคลื่อนร่างในระยะทางอันสั้นซึ่งไม่ใช่สิ่งที่หวังหลินต้องการ
คล้ายกับมีม่านที่มองไม่เห็นป้องกันไม่ให้เขาเข้าไป มันคือกดแห่งแผ่นดินเซียนดาราและเป็นแรงกดดันซึ่งสัมผัสวิญญาณได้ค้นพบว่ามันถูกบีบรัดเข้าไป
ที่นี่ไม่เหมือนโลกถ้ำซึ่งไม่มีม่านที่มองไม่เห็นหรือแรงกดดัน เซียนคนใดที่ได้รู้แจ้งวิชาบิดมิติจึงสามารถผสานเข้ากับโลกเพื่อเดินทางได้ทุกคน
แต่ต้องขอบคุณแรงกดดันนี้ เขาจึงไม่สามารถผสานเข้ากับโลกและใช้บิดมิติได้
หวังหลินพอเข้าใจแรงกดดันนี้อยู่บ้างว่าไม่เพียงแค่ส่งผลกระทบกับเขาแต่ยังเหมือนส่งผลไปทั่วทั้งแผ่นดินเซียนดารา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแม้แต่ตู้ฉิงก็ไม่สามารถใช้วิชาได้
‘บางทีคงต้องหลังจากระดับบ่มเพาะของข้าเพิ่มไปถึงจุดหนึ่งถึงจะฝืนหาทางและเคลื่อนที่ได้แบบนั้น…’ ไม่กี่วันต่อมา หวังหลินได้ลองพยายามหลายครั้งแต่ก็ยัง ไม่สำเร็จ
ทว่าเขาไม่ยอมแพ้ นิสัยของหวังหลินมักจะเป็นเช่นนี้ ยิ่งยากยิ่งมุ่งมั่น สัมผัสวิญญาณของเขาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา
หวังหลินปิดด่านบ่มเพาะตลอดทั้งเดือน สัมผัสวิญญาณของเขาได้ทำให้ ศิษย์สำนักมังกรฟ้าไม่กล้าเข้าไปใกล้หลังภูเขา
ตู้ฉิงยังอยู่ในสำนักมังกรฟ้า ตอนที่หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาเป็นครั้งแรกเขาก็ตระหนักรู้แล้ว แต่ดูไม่ออกว่าหวังหลินต้องการอะไร
หลังจากสังเกตการณ์ไปหลายวัน เขาจึงเข้าใจเจตนาของหวังหลินได้ทันที
‘พยายามผสานสัมผัสวิญญาณเข้ากับโลกและจากนั้นเคลื่อนร่างด้วยการผสาน…นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้…การเคลื่อนย้ายพริบตาทำได้แต่วิธีนี้เห็นได้ชัดว่าเดินทางได้ไกลยิ่งกว่าเคลื่อนที่พริบตา มีแต่เซียนเฒ่าขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุดซึ่งเข้าใจกฎแห่งแผ่นดินเซียนดาราอย่างมากเท่านั้นจึงจะมีความแข็งแกร่งพอจะต่อต้านแรงกดดันได้’ ตู้ฉิงส่ายศีรษะ ค่อยๆ หยุดการสังเกตการกระทำของหวังหลิน
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ศิษย์ของสำนักมังกรฟ้าที่ไม่ได้มีหน้าที่ตามหา สายเพลิงปฐพีจึงอยู่ชายขอบสัมผัสวิญญาณของหวังหลิน แม้แต่สี่ผู้อาวุโสก็ทำไม่ได้
พวกเขายังขยับขยายการค้นหาต่อไป
หวังหลินลืมเรื่องเวลาไปแล้ว เขาพยายามผสานสัมผัสวิญญาณเข้ากับโลกต่อไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย หากเขาล้มเหลวครั้งเดียว เขาก็จะลองครั้งที่สอง หากล้มเหลวครั้งที่สองก็จะลองไปสิบครั้ง!
อีกสามเดือนผ่านไป หวังหลินจำไม่ได้ว่าพยายามไปแล้วกี่ครั้งแต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม
เวลาสี่เดือนที่ผ่านไป ศิษย์บางคนของสำนักมังกรฟ้าได้ค้นพบสายเพลิงที่ไม่ได้เหี่ยวแห้งอยู่บางส่วน แต่ก็ยังมีอีกหลายคนค้นหาต่อไป
หวังหลินยังคงพยายามไปเรื่อยๆ เขาต้องค้นหาวิธีการใช้บิดมิติต่อไป ไม่เช่นนั้นแผนที่เหลือนั้นยากจะสำเร็จ
ตู้ฉิงคุ้นเคยกับสัมผัสวิญญาณของหวังหลินรอบสำนักมังกรฟ้า เขามองดูหวังหลินพยายามไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จิตใจที่ไม่ยอมแพ้ทำให้เขารู้สึกดูถูกในใจ
แต่อย่างไรเขาก็ไม่เคยแสดงออกมาให้เห็น ทว่าความดูถูกในใจเขากลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
‘นี่มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เขามันดื้อดึงเกินไป ทำเสียเวลาเปล่า หากผสานเข้ากับโลกเป็นเรื่องง่าย เช่นนั้นใครก็คงทำได้ไปแล้ว…’
‘แน่ชัดแล้วว่าระดับบ่มเพาะของเขาไม่ได้สูงมากพอ แต่ยังพยายามต่อไป ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นที่สนใจของมหาชั้นฟ้าได้อย่างไร…ช่างโง่เขลา’ ตู้ฉิงส่ายศีรษะ
พริบตาเดียวผ่านไปอีกสามเดือน!
หวังหลินใช้เวลาไปเจ็ดเดือนกับการปิดด่านบ่มเพาะเพื่อศึกษาวิชานี้ เขานั่งอยู่ในนั้นด้วยสายตาแดงฉาน สัมผัสวิญญาณเกิดความขุ่นเคือง
ตู้ฉิงเห็นเช่นนี้จึงเยาะเย้ย
‘ข้าไม่รู้ว่าควรบอกเขาดีหรือไม่ว่าประเมินตัวเองสูงไป แม้จะเป็นที่สนใจของ มหาชั้นฟ้า มีสมบัติมากมายและมีอสูรที่เก่งกาจ การกระทำของเขาตอนนี้มันประเมินตัวเองสูงเกินไป!’
‘อยากรู้จริงว่าเขาวางแผนลองแบบนี้ไปนานแค่ไหน เมื่อเขายังล้มเหลวจนถึงจุดสิ้นสุด เขาจะทำสีหน้าท่าทางแบบไหนกันนะ…’ ตู้ฉิงแฝงแววตาดูถูกแต่ก็อิจฉา ไปด้วย
‘ทำไมข้าตู้ฉิงถึงไม่ถูกมหาชั้นฟ้ายอมรับบ้างนะ…เหล่ามหาชั้นฟ้าชอบคนโง่ๆ เช่นนี้กันหรือ?’ ตู้ฉิงไม่มั่นใจ
เจ็ดเดือนที่ผ่านมาการกระทำที่ดูเหมือนโง่ๆ ของหวังหลินได้เปลี่ยนแปลงความคิดของตู้ฉิง เขารู้สึกเหมือนหวังหลินมีแผนบางอย่าง
ภายในถ้ำนั้นเส้นโลหิตในตาหวังหลินยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้น ผ่านไปเจ็ดเดือนหลังจากการกระจายสัมผัสวิญญาณ แม้แต่เขาก็ค้นว่ามันแทบจะทนไม่ไหวแต่ก็ยัง ไม่ยอมแพ้ ถึงจะยังพยายามผสานเข้ากับโลก เขาก็ยังบังคับตัวเองมาจนถึงตอนนี้!
กล่าวให้ถูกคือ เขากำลังใช้วิธีนี้เพื่อทำการก่อกวนร่างอวตารที่กำลังเติบโตอยู่ในกระดองหินในมิติว่าง!
หลังจากพยายามอยู่หลายวัน หวังหลินจึงเข้าใจว่าด้วยระดับบ่มเพาะของเขาตอนนี้ ไม่ว่าพยายามหนักแค่ไหนก็ไม่สามารถสั่นคลอนแรงกดดันนี้ได้
แต่เขายังมีหนทางสุดท้ายคือ ร่างอวตารที่กำลังเติบโตในมิติว่าง! ร่างอวตารนี้ถือกำเนิดภายในกฏแห่งแผ่นดินเซียนดาราและกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฎ ดังนั้นสัมผัสวิญญาณเขาจะผสานเข้ากับโลกได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับร่างอวตาร อย่างไรก็ตาม หวังหลินสัมผัสได้ว่าร่างอวตารกำลังหลับใหลและไม่สามารถตื่นได้หากไม่มีวิธีพิเศษ นั่นเป็นเหตุผลว่าช่วงเจ็ดเดือนนี้หวังหลินทำการแผ่กระจาย สัมผัสวิญญาณออกไปจนกระทั่งเขาเหน็ดเหนื่อยและทำให้วิญญาณดั้งเดิมเกิดสัญญาณการอิดโรย
วันสุดท้ายของเดือนที่เจ็ด วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินเผยสัญญาณอิดโรยจน ไม่มีโอกาสที่จะฟื้นฟูได้ ช่วงวินาทีนั้นดวงตาเขาปลดปล่อยแสงส่องสว่าง
ณ มิติว่างที่คั่นกลางระหว่างโลกถ้ำและแผ่นดินเซียนดาราซึ่งมีกระดองหินยักษ์ลอยอยู่ตรงนั้น ข้างในมีร่างอวตารของหวังหลินที่กำลังหลับใหล วินาทีนั้นร่างอวตารพลันลืมตาขึ้นมา
เมื่อร่างอวตารลืมตา ตู้ฉิงที่กำลังรอด้วยความดูถูกพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาเผยความหวาดกลัวอย่างที่แสดงให้เห็นเมื่อเจ็ดเดือนก่อน!
ทันใดนั้นยืนขึ้นและเกิดความตะลึงอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่เห็นทำเอาเขาถึงกับลืมหายใจ
‘นี่…นี่มันเป็นไปไม่ได้!!’