1820. สำนักมหาวิญญาณ
สำนักมหาวิญญาณตั้งอยู่ภายในเทือกเขาที่มีภูเขาแทงทะลุถึงก้อนเมฆ มันเปล่งแสงสีแดงดูราวกับภูเขากำลังเผาไหม้
เสียงระลอกคลื่นดังกึกก้องรอบภูเขา คล้ายกับมีพลังวิญญาณแฝงอยู่และมีร่างที่ซ่อนตัวอยู่นับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องคำรามเงียบๆ อยู่ข้างใน
สถานที่แห่งนี้มีหนึ่งในสองสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดบนแคว้นกระทิงสวรรค์อยู่ นั่นคือ สำนักมหาวิญญาณ!
หิมะสีเขียวตกลงบนภูเขาสวรรค์ หิมะตกลงบนร่างหวังหลิน เรือนผมและบนพื้น เขายืนนิ่งงันอยู่ท่ามกลางหิมะ
จากตรงนี้ สำนักมหาวิญญาณดูเหมือนไม่ไกลมากนักแต่หากทะยานออกไปยังต้องใช้เวลาหลายวัน เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะนอกจากภูเขาแล้วยังมีระลอกคลื่นที่โผล่ออกมาจากสำนักวิญญาณเพื่อสร้างเป็นช่องว่างเสมือนอีกทอดหนึ่ง
ผ่านไปสักพักหวังหลินหลับตาและแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณ เขาสัมผัสสายเพลิงปฐพีเส้นหลักใต้สำนักมหาวิญญาณได้อย่างเลือนลาง กิ่งก้านของมันกระจายไปทั่ว แคว้นกระทิงสวรรค์มากมายนับไม่ถ้วน
ภายในสายเพลิงเส้นหลักมีเจตจำนงอันน่าอัศจรรย์ มันไม่ยอมให้ใครได้รุกรานเข้าไปและมีเพียงสำนักมหาวิญญาณเท่านั้นที่ทำให้เจตจำนงนี้อ่อนแอลงได้อย่างมหาศาล
สายเพลิงเส้นหลักโผล่ออกมาจากใต้พื้นดินในสำนักมหาวิญญาณ แทนที่จะบอกว่าเป็นสำนักมหาวิญญาณต้องบอกว่าภูเขาที่เป็นสายเพลิงเส้นหลักนั้นยืดออกมาเหนือพื้นดิน มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แต่มันเกิดจากการวิวัฒนาการ ทางธรรมชาติ กล่าวได้ว่าสำนักมหาวิญญาณได้เลือกตำแหน่งที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
ภายในสำนักมหาวิญญาณมีพลังชีวิตอันทรงพลังพรั่งพรูขึ้น เพียงหวังหลินกวาดสายตายังพบว่ามีเซียนภายในเทือกเขามากมายเหล่านี้ไม่น้อยกว่าแสนคน
แสนคนเป็นตัวเลขเยอะมากแต่ทุกคนกลับซ่อนอยู่ภายในเทือกเขาซึ่งแทบไม่เจอแม้แต่ร่องรอย ยังมีกลิ่นอายแก่นแท้อันทรงพลังยิ่งภายในเทือกเขา เป็นตัวแทนของเซียนขั้นที่สามหลายคน
‘สำนักมหาวิญญาณบนแผ่นดินเซียนดารา…ช่างแข็งแกร่งจริงๆ แค่สำนักเดียว ก็สามารถกวาดล้างโลกถ้ำได้แล้ว’ หวังหลินมองดูพลางขบคิด
ถ้าไม่ใช่เพราะร่างแก่นแท้เพลิง หวังหลินคงไม่ไปล่วงเกินสำนักที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่เพลิงปฐพีสายหลักใต้สำนักมหาวิญญาณก็สำคัญสำหรับหวังหลินมาก แม้จะต้องดึงเขี้ยวออกจากปากเสือ เขาก็ต้องลอง
ช่วงหลายวันที่ผ่านมาเขาดูดซับสายเพลิงปฐพีกิ่งก้านเล็กจำนวนมาก แก่นแท้เพลิงในร่างมาถึงขีดจำกัดและการดูดซับเพิ่มก็ไม่ส่งผลกระทบอีกต่อไปแล้ว
เขาเตรียมใจเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไว้แล้ว อีกทั้งมันก็คล้ายกับการกินเม็ดยา ยิ่งกินเม็ดยาที่มีคุณภาพเท่ากันมากแค่ไหน ยิ่งได้รับผลน้อยลงจนกระทั่งไร้ประโยชน์
เว้นแต่จะกินเม็ดยาที่มีคุณภาพสูงขึ้นเหมือนกับเจตจำนงของเพลิงปฐพีสายหลัก!
หวังหลินหลับตาเล็กน้อย ร่างกายลอยไปข้างหน้าโดยไร้เสียงเข้าหาสำนัก มหาวิญญาณ
ขณะที่ก้าวเดินไป ร่างกายกะพริบวูบวาบ เดินทางราวกับกำลังเคลื่อนที่พริบตา
หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง หวังหลินเดินทะลุเส้นทางที่เซียนต้องใช้เวลาหลายวัน จนมาถึงเทือกเขาที่เป็นตำแหน่งที่ตั้งของสำนักมหาวิญญาณ ที่นี่มีความผันผวนทางวิญญาณรุนแรงและหนาแน่น และยังมีพลังซ่อนไว้ที่นี่ป้องกันไม่ให้หวังหลินเข้าไป
‘น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถเอาใบเรือหน้าผีออกมาจากมิติเก็บของได้ ไม่เช่นนั้นข้าอาจจะสามารถหยิบยืมพลังของมันเพื่อเข้าสู่สำนักมหาวิญญาณได้’ หวังหลินหยุดชะงักและมองภูเขาที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก เขามองภูเขาสีแดงและถอนหายใจ
เขาซ่อนกลิ่นอายไว้อย่างสมบูรณ์และดูเหมือนคนธรรมดา หลังจากนั่งลงไปจึงหลับตาและเริ่มรอคอย
จังหวะที่นั่งลง ร่างกายพร่ามัวและเปลี่ยนกลายเป็นควันลอยขึ้นไป
สำนักมหาวิญญาณนั้นมีค่ายกลที่ทรงพลังรอบอาณาเขต ใครที่ไม่ใช่ลูกศิษย์จะถูกตรวจจับทันทีที่สัมผัสกับค่ายกล หากต้องการเข้าไปเขาจะต้องรอให้ศิษย์ผ่านมาและทำให้ค่ายกลเกิดความผันผวน
หากเป็นศิษย์ธรรมดาเขาคงเลือกผสานร่างกับศิษย์คนนั้นเข้าไป แต่นั่นจะส่งผลเสียกับตัวเอง แม้จะฟังดูดีแต่ความจริงสำนักมหาวิญญาณ มีคำว่า “วิญญาณ” อยู่ในชื่อก็หมายความว่าพวกเขามีความเข้าใจด้านวิญญาณอย่างมาก
ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถสรรสร้างวิชามายาหลายชั้นได้แบบนั้น
ดังนั้นการเข้าไปในร่างศิษย์คือผลลัพธ์ที่หวังหลินค้นพบเรื่องค่ายกลก่อนหน้านี้ตอนที่สังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ
เขาสามารถลองเข้าไปได้ครั้งเดียวแต่ก็ไม่อยากเสี่ยง หวังหลินเชื่อในระดับบ่มเพาะของตัวเองและความเข้าใจในเขตอาคม
สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้คือ รอให้ความผันผวนในค่ายกลเกิดขึ้นมา
พริบตาเดียวผ่านไปสามวัน ช่วงสามวันนี้มีศิษย์เข้าออกทั้งสิ้น 314 คน และ ค่ายกลผันผวน 314 ครั้ง
หวังหลินไม่ได้ทำอะไรวู่วาม เขาทำการสังเกตอย่างต่อเนื่อง ใช้ความเข้าใจด้านค่ายกลเพื่อค้นหาจุดอ่อน อีกทั้งหวังหลินยังมีแก่นแท้เขตอาคมที่หาได้ยากอีก
เขาไม่ได้กระวนกระวาย มีเวลามากพอและอดทนรออย่างใจเย็น เช่นนั้นเวลาจึงผ่านไปอีกเจ็ดวัน
ช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา ค่ายกลเกิดระลอกคลื่นเกือบพันครั้งขณะที่เหล่าศิษย์เข้าออก หวังหลินค่อยๆสังเกตได้ทีละน้อยถึงความแตกต่างในตัวตนของเหล่าศิษย์
ช่วงเวลาสิบวันหวังหลินได้สังเกตเห็นถึงความแตกต่างของเหล่าศิษย์นับพันแบบ เขาสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงต่อร่างของศิษย์แต่ละคนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ สำนักมหาวิญญาณ
ตัวอย่างเช่นหากเปรียบวิญญาณศิษย์ของสำนักมหาวิญญาณคือเปลวเพลิง เช่นนั้นเปลวเพลิงจะรุนแรงและไม่เกิดความผันผวนง่ายๆ
ช่วงสิบวันหวังหลินยังไม่ได้ทำอะไร เขาสังเกตการณ์ต่อไปอีกสิบวัน ในวันนี้เองขณะที่ศิษย์สำนักมหาวิญญาณคนหนึ่งเข้าไปในค่ายกล หวังหลินซึ่งเปลี่ยนเป็นควันได้พุ่งออกไป
ควันที่มองไม่เห็นได้ปรากฏข้างร่างของศิษย์คนนั้น ค่ายกลเกิดระลอกคลื่นพร้อมกับศิษย์ได้เข้าไป ส่วนหวังหลินเข้าไปในจังหวะเดียวกัน
แก่นแท้เขตอาคมปรากฏขึ้นหักล้างกับค่ายกล จากนั้นเขาก็จำลองสิ่งที่เรียนรู้จากการสังเกตยี่สิบวันที่ผ่านมา ช่วงเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ หวังหลินได้เปลี่ยนแปลงไปหลายร้อยครั้ง
ตอนที่ศิษย์ผ่านมาแล้วและทะยานออกไปยังไม่สามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
ทางเข้าไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเมื่อสัมผัสค่ายกลเลยแม้แต่น้อย พูดให้ถูกคือการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดถูกซ่อนไว้ในระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นเมื่อศิษย์คนนั้นเข้าไป
หวังหลินจำแลงกายเป็นควันลอดผ่านภูเขาไปอย่างเงียบเชียบ เขาเห็นศิษย์ สำนักมหาวิญญาณจำนวนมาก ทั้งหมดมีท่าทีรีบร้อนและไม่มีใครสังเกตหวังหลิน
หวังหลินระมัดระวังมากและมักจะหยุดบ่อยครั้งที่ก้าวออกไป เขาค่อยๆ เข้าสู่ส่วนลึกของเทือกเขา และเข้าหาภูเขาสีแดงไปเรื่อยๆ ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งสัมผัสถึง สายเพลิงปฐพีเส้นหลักมากขึ้น
หวังหลินอยู่ห่างไม่ไกลจากภูเขาสีแดงซึ่งขณะนั้นมีลำแสงสามสายทะยานเข้าไป ในนั้นเป็นหนึ่งบุรุษและสองสตรี ทั้งสามตรงเข้าไปหาภูเขาสีแดง
หวังหลินไม่ได้ทำให้พวกนั้นมองมา เขาเคยเจอลำแสงพวกนั้นหลายครั้งแล้ว
ทว่าในจังหวะนั้น สัมผัสวิญญาณหนึ่งพลันระเบิดออกมาจาภูเขาสีแดงและตกลงมา มันปกคลุมเกือบทั่วทั้งภูเขา สัมผัสวิญญาณนี้ทรงพลังมากและไม่ใช่สิ่งที่เซียนธรรมดาจะมีได้ ต้องเป็นคนที่ผ่านด่านวิบากแก่นแท้ด่านที่เก้าและบรรลุขั้นวิบากดับสูญเท่านั้นถึงจะมี
สัมผัสวิญญาณแฝงกลิ่นอายหยินซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจจับได้หลังจากบรรลุระดับ บ่มเพาะในระดับหนึ่งเท่านั้น วินาทีที่หวังหลินรู้สึกถึงสัมผัสวิญญาณ เขาบอกได้ว่านี่เป็นเซียนสตรี
สัมผัสวิญญาณแผ่กระจายฉับพลันเกินไป หากหวังหลินไม่ได้ระมัดระวังตัวเขาคงตื่นตระหนก ควันที่เป็นหวังหลินพลันล่าถอยไป
หวังหลินเคลื่อนไหวที่ล่าถอยด้วยความเร็วเท่าสัมผัสวิญญาณ หนึ่งกระจายออกมา
ทว่าสัมผัสวิญญาณนี้กระจายออกมารูปแบบใบพัดโดยมีภูเขาสีแดงอยู่ใจกลาง หวังหลินหลบเลี่ยงได้ชั่วขณะ แต่คงใช้เวลาไม่นานก็จะถูกจับได้
ขณะที่สัมผัสวิญญาณกวาดเข้ามา ระลอกคลื่นส่งเสียงดังกึกก้องขึ้นทั่วค่ายกลสำนักมหาวิญญาณและได้ทำการผนึกสถานที่แห่งนี้เอาไว้ ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้ หวังหลินตกตะลึง
‘หรือข้าโดนเจอตัวแล้ว?’ หวังหลินไม่มีเวลาคิดถึงสัมผัสวิญญาณที่กำลังใกล้เข้ามา เขาล่าถอยแต่ดูเหมือนไม่มีที่ให้ซ่อนตัว หวังหลินทะยานเข้าหาลำแสงทั้งสามที่อยู่ห่างออกไป
เขาเคลื่อนร่างด้วยความเร็วสูงที่สุดพุ่งเข้าหาชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้น เหตุผลไม่ใช่เพราะระดับบ่มเพาะแต่เป็นเรื่องสัมผัสวิญญาณของสตรีที่กำลังใกล้เข้ามา จากประสบการณ์ของหวังหลิน สตรีส่วนใหญ่ที่มีระดับบ่มเพาะเท่านั้นมักจะโอหังและดูถูกศิษย์บุรุษเพศ ดังนั้นจึงไม่ค้นหาละเอียดเกินไป อีกทั้งการค้นละเอียดนั้นก็เหมือนการมองไปที่ร่างเปลือยเปล่า
จังหวะที่หวังหลินเข้าไปในร่างชายคนนั้น สัมผัสวิญญาณก็กวาดผ่านเข้ามา
มันไม่ได้อืดอาดนักและตรงผ่านออกไปไกล หลังจากปกคลุมทั่วทั้งเทือกเขา มันค่อยๆ หายไป เมื่อสัมผัสวิญญาณกระจายไปแล้ว ค่ายกลจึงไม่ปิดผนึกพื้นที่อีกต่อไปและเริ่มทำงานตามปกติ
‘ไม่ใช่ว่าข้าถูกค้นพบแล้วหรอกหรือ หรือเพียงแค่สำนักมหาวิญญาณมีงานอดิเรกที่ให้เซียนทรงพลังเฝ้าระวังและกระจายสัมผัสวิญญาณเป็นช่วงเวลา…’ หวังหลินรวมอยู่ในร่างบุรุษและสร้างวังวนที่ห่อหุ้มด้วยเขตอาคม
ขณะที่หวังหลินขบคิด สตรีด้านข้างดุด่าเขา “เจ้าจะยืนบื้อตรงนั้นอีกนานหรือไม่? หากเราไปส่งผลไม้แยกวิญญาณให้ศิษย์พี่หญิงช้า เราจะโดนลงโทษ”