Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 183

Cover Renegade Immortal 1

183. เปลี่ยนแปลงกระทันหัน

บททดสอบที่สามไม่ใช่สวรรค์ของจริง แต่เป็นรอยแยกอวกาศแห่งหนึ่ง มันเป็นเพียงแค่รอยแยกที่มีขนาดใหญ่มหาศาลเท่านั้น

หวังหลินค่อยๆเดินทางผ่านบททดสอบแห่งที่สามอย่างช้าๆ ขณะที่เคลื่อนร่างไปข้างหน้าเขาคว้าพื้นที่ที่ดูว่างเปล่ารอบตัวเขา และทุกครั้งจะเหมือนตาข่ายกวาดจับวิญญาณเร่ร่อนเพื่อกลืนกินมัน

หวังหลินไม่รู้สัมผัสการกินวิญญาณเป็นเวลานานมาก เขาคำนวณได้ว่ามันเป็นเวลาหลายสิบปีนับตั้งแต่ออกจากสนามรบต่างแดนมา

ทว่าเนื่องจากพลังของกฎธรรมชาติ เขายังจดจำช่วงเวลาที่อยู่ในสนามรบต่างแดนราวกับเป็นเหมือนเมื่อวาน

ฉวี่ลี่กั๋วและเจ้าปิศาจน้อยติดตามด้านหลังหวังหลิน ตื่นตัวและหวาดกลัวตลอดเวลา พวกมันไม่กล้าแม้แต่หายใจขณะที่เห็นบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งกว่าพวกมันหลายเท่าถูกกลืนกินโดยไม่มีทางสู้ พวกมันรู้สึกไร้อำนาจโดยสิ้นเชิง

แม้วิญญาณขนาดใหญ่ของหวังหลินจะถูกบีบอัดให้กลายเป็นเศษเสี้ยววิญญาณขอบเขตจวี่ ทว่าความสามารถของการกลืนกินวิญญาณยังคงเหลืออยู่ และด้วยความสามารถนี้เขาจึงกลายเป็นนายเหนือหัวของพวกวิญญาณทั้งหมด

ขณะที่หวังหลินก้าวเดินไป เขาส่งสัมผัสวิญญาณออกไปทุกทิศทาง นับตั้งแต่ขอบเขตแห่งนี้เป็นดั่งสรวงสวรรค์และมีวิญญาณเร่ร่อนจำนวนมาก เมื่อมันต้องมีวิญญาณกลืนกินด้วยเช่นกัน

หวังหลินไม่มั่นใจนักหากวิญญาณกลืนกินจะกลืนกินกันเอง เหล่าวิญญาณกลืนกินจะไม่โจมตีกันเองเว้นแต่มันจะเป็นทางเลือกสุดท้าย

หลังจากเหาะเหินรอบๆเป็นเวลานาน หวังหลืนกินกินวิญญาณหลายดวงแต่ยังไม่มีวิญญาณกลืนกินมาติดต่อเขา หวังหลินขบคิดชั่วขณะจากนั้นชูทั้งสองแขนขึ้นและก้อนหินที่ลอยอยู่ใกล้เคียงเริ่มเคลื่อนไหวเข้าหาเขา

ในไม่ช้าเหล่าก้อนหินกระแทกกันเองสร้างเป็นภูเขาหินขนาดใหญ่ หวังหลินกระโดดไปบนยอดภูเขาจากนั้นพลิกฝ่ามือขวาสร้างเปลวไฟสีฟ้าพวยพุ่งออกมา

หวังหลินหรี่ตา เขาวางมือขวาบนภูเขาก้อนหินและเปลวไฟรวมเข้ากับภูเขาทันที จากนั้นภูเขาเกิดรอยแตกหลายแห่งระหว่างก้อนหินขณะที่แสงสีฟ้าล้อมรอบและเปล่งอากาศเย็นๆ ช่องว่างในภูเขาหินทั้งหมดผนึกเข้าด้วยกันกับน้ำแข็งและผูกพันกันแน่นหนา

หวังหลินถอนฝ่ามือขวาออกและเปลวไฟสีฟ้าถูกดูดซับกลับมาเข้าสู่ร่าง เขาสูดหายใจลึก ดวงตาสัมผัสวิญญาณของเขากระพริบรัวและฝ่ามือขวาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะพลันวงกลมมายาปรากฎและพุ่งเข้าหาภูเขาที่พึ่งสร้างขึ้นทันที

เมื่อวงกลมมายาร่อนลงบนภูเขา ทั้งภูเขาเปล่งประกายส่องสว่างแต่กลับมาปกติอย่างรวดเร็ว หวังหลินสูดหายใจลึกอีกครั้ง ฝ่ามือขวาเคลื่อนไหวและสร้างวงกลมมายาขึ้นทีละวงด้านหน้าและรวมเข้ากับภูเขา

ไม่นานนักภูเขาได้กลายเป็นภูเขากฎเกณฑ์ฉบับย่อ หวังหลืนเกือบจะหล่นลงไปตอนที่ก้าวเท้าออก เขาเริ่มเข้าไปในภูเขาอย่างช้าๆจนมาอยู่ใจกลางภูเขา จากนั้นสร้างวงกลมมายาขึ้นอีกวงและกดมันต้านกับกำแพงหิน

ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนและหดตัวลงอย่างช้าๆแม้แต่สายตาคนทั่วไปก็มองเห็น จนกระทั่งมีขนาดเท่ากับก้อนหินที่กำลังลอยก้อนอื่น ใครที่มองมันตอนนี้ไม่อาจแยกแยกความแตกต่างจากหินก้อนอื่นที่กำลังลอยอยู่ใกล้เคียงได้

ด้วยร่างกายหวังหลินที่เสริมสร้างภายในภูเขา เขาวางเสี้ยววิญญาณส่วนหนึ่งไว้ในร่างตัวเองโดยใช้จิตวิญญาณขอบเขตจวี่และวิญญาณที่เหลือออกจากร่างกาย วิญญาณส่วนนี้ได้สร้างร่างมายาของตัวเองขึ้นทันที

ตอนนี้วิญญาณของหวังหลินไม่ได้อยู่กับร่างตัวเองอีกต่อไป มันไม่ถูกจำกัดด้วยกายหยาบ สัมผัสวิญญาณของเขากระจายออกในทุกทิศทาง มองไกลๆจะเห็นสัมผัสวิญญาณหลายชั้นถูกส่งออกมา ทำให้วิญญาณเร่ร่อนใกล้ๆทุกตัวจากพื้นที่ว่างเปล่าเผชิญกับความกลัวจนหน้าซีด

ไม่นานหลังจากนั้นวิญญาณเร่ร่อนทุกตัวได้รับคำสั่งของตัวเอง เมื่อสัมผัสวิญญาณของหวังหลินกระจายออกไปไกลมากขึ้น วิญญาณเร่ร่อนยิ่งรู้สึกตัวตนของหวังหลิน ใบหน้าแต่ละตัวขาวซีดและเริ่มกระจายตัว

หลังจากวิญญาณของหวังหลินออกจากร่างไม่นาน เขากลับมาเป็นร่างวิญญาณกลืนกิน พลันกวาดผ่านพื้นที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว วิญญาณเร่ร่อนทุกตัวที่เขาผ่านไปพลันทักทายเขาด้วยความนับถือ

หวังหลินจึงค่อยๆสัมผัสตัวตนของวิญญาณขนาดใหญ่มากตัวอื่นได้ มันเป็นวิญญาณกลืนกินอีกตัวหนึ่ง ทว่าวิญญาณของมันอยู่ในภาวะแปลกประหลาดราวกับกำลังหลับไหลอยู่

วิญญาณขนาดใหญ่ไม่ได้ตอบสนองต่อสัมผัสวิญญาณหวังหลิน หวังหลินลังเลเล็กน้อย เขาเมินเฉยวิญญาณกลืนกินตัวนั้นและขยายสัมผัสวิญญาณตัวเองออกต่อไปเพื่อนำวิญญาณเร่ร่อนตัวอื่นอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา

ขณะเดียวกันนั้นตวนมู่นั่งบนก้อนหินหนึ่งในที่แห่งหนึ่งของบททดสอบที่สามด้วยใบหน้าขมขื่น ถัดจากเขาคือหวังฉิงเย่ที่มีใบหน้าเย็นชา

ตวนมู่และหวังฉิงเย่ข้ามผ่านอุโมงค์ว่างเปล่ามาด้วยกันและมาถึงพื้นที่ทองคำซึ่งเป็นบททดสอบแรก ในบททดสอบแรกพวกเขาอาศัยวิชาเบญจธาตุหลบหนีของหวังฉิงเย่จึงทำให้ผ่านบททดสอบแรกมาได้อย่างใจเย็นและมาถึงภูเขากฎเกณฑ์

ความจริงที่ตวนมู่สามารถผ่านภูเขากฎเกณฑ์ได้เป็นเรื่องประหลาดใจต่อทุกคนที่รู้จักเขา

หนึ่งพันปีก่อนเขาได้รับสมบัติชิ้นหนึ่งจากเจดีย์สมบัติ มันเป็นหินหยกที่มีรอยแตกอยู่รอยหนึ่ง ด้วยความเข้าใจของเขา หินหยกนี้ใช้ได้อีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

หลังเขาค้นคว้ามามากมายจึงพบว่าหน้าที่ของหินหยกชิ้นนี้คือการทำลายกฎเกณฑ์ทั้งหมด เป็นผลให้การตัดสินใจกลับไปดินแดนของเทพโบราณได้รับการแก้ไข

เขารู้ว่าระดับฝึกฝนของตัวเองต่ำกว่าคนอื่นๆ ก่อนหน้านั้นมันเป็นเพราะเขาโชคดีและระมัดระวังชีวิตตนเอง เขารู้ขีดจำกัดของตัวเองดีและตัดสินใจไม่กลับมาอีกครั้ง แต่เมื่อพบวิธีการใช้หินหยกนี้จึงทำให้จิตใจสั่นไหว

เขายังระมัดระวังและลังเลอย่างมากเพราะว่าไม่สามารถผ่านบททดสอบแรกโดยไม่เชี่ยวชาญวิชาเบญจธาตุหลบหนีได้

ตวนมู่ขบคิดเรื่องนี้เป็นเวลานานและยอมแพ้การเรียนรู้วิชาเบญจธาตุ การที่เขาจะเรียนรู้มันนั้นเขาต้องอุทิศเวลาทั้งหมดของเขา และหากเขาเรียนรู้มันได้ก็ไม่รับรองว่าจะผ่านบททดสอบแรกไปได้ มีการโจมตีจากอสูรตัวใหญ่ให้พิจารณาด้วยเช่นกัน

เขาจดจำหนึ่งในประสบการณ์ในโลกน้ำแข็งได้เต็มตา

เข่นนั้นตวนมู่จึงมองหาเพื่อนของเขา หวังฉิงเย่เพื่อเดินทางมาด้วย หวังฉิงเย่เป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาเบญจธาตุและหลังจากตวนมู่บอกเขาเรื่องที่บททดสอบแรกจำเป็นต้องใช้วิชาเบญจธาตุ เขาตัดสินใจลองดู หากสิ่งที่ตวนมู่พูดเป็นเรื่องจริง ถือว่าการทดลองนี้มีค่ามหาศาล

ในการโน้มน้าวหวังฉิงเย่นั้น ตวนมู่นำหินหยกของเขาออกมา หลังจากมองหินหยกแล้วหวังฉิงเย่นึกถึงอาวุธโบราณที่หายสาบสูญไปนานได้ทันที นั่นทำให้ความสงสัยในจิตใจเขาหายไปทันที

ทว่าเขาระมัดระวังตัวอย่างมากและยังไม่ตกลงในทันที เขาต้องการรอดูจนจนกว่าพื้นที่ของเทพโบราณจะเปิดขึ้นจึงตัดสินใจ

ตวนมู่ไม่คิดมาก เขาตัดสินใจไว้แล้ว หากหวังฉิงเย่ไม่ต้องการเข้าไป เมื่อนั้นเขาจะแลกหินหยกนี้กับจ้าวปิศาจหกปรารถนากับสมบัติวิเศษบางส่วน

ทว่าเขายังเตรียมการในกรณีที่หวังฉิงเย่ตัดสินใจไปไว้ด้วย เขาผ่านบททดสอบที่หนึ่งและสองโดยไม่ได้พบกับปัญหาใดๆ ทว่าในบททดสอบที่สามนับว่าเป็นปัญหา นอกจากนั้นมันเป็นบททดสอบที่สามเองที่บังคับเขาให้ใช้สมบัติมรดกเพื่อสร้างอุโมงค์ให้พวกเขาหนีรอดเมื่อหนึ่งพันปีก่อน

สิ่งมีชีวิตประหลาดในบททดสอบแห่งที่สาม หากมีเพียงหนึ่งหรือสองตัวเขาจะไม่หวาดกลัวนัก หากมีแปดถึงสิบตัว ตราบใดที่ให้ความสนใจสักเล็กน้อย เขาจะไม่กังวลอะไร แม้แต่จะเป็นร้อยตัว ด้วยระดับฝึกตนของเขาก็อาจยังเอาตัวรอดได้ แต่หากมีจำนวนหลายพันตัว แม้เขาจะเป็นเทพก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้

สิ่งมีชีวิตพวกนั้นแปลกประหลาดมาก พวกมันมีภูมิคุ้มกันต่อวิชาเกือบทุกชนิด เพียงไฟบริสุทธิ์ในร่างของมันตัวหนึ่งสามารถบังคับให้เขาถอยหนีได้ ทว่าหากมีพวกมันจำนวนมาก ไม่มีทางที่จะต่อกรพวกมันได้ทั้งหมด หากถูกติดบนร่างของคนผู้หนึ่งจะถูกดูดพลังปราณออกจากร่าง หากถูกไฟบริสุทธิ์ติดบนร่างจำนวนมาก เมื่อนั้นจะหลงเหลือเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่

เป็นผลให้เขาค้นหาสมบัติวิเศษเพื่อป้องกันวิญญาณพวกนั้น ทว่าสมบัติพวกนี้หายากเกินไป แม้เขาจะได้มาบ้างก็ไม่มั่นใจในบททดสอบที่สาม

จนเมื่อเขาเดินทางไปที่เมืองหนานต้าวและได้ยินบางคนพูดถึงมนต์แห่งความตายจึงจดจำสิ่งที่เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับมนต์แห่งความตายได้ มนต์แห่งความตายเป็นมนต์ที่พิเศษเพื่อโจมตีทางวิญญาณ มันคือมนต์ปิศาจ เขาตื่นเต้นอย่างมากเพราะว่าหากมีทางได้คนที่มีความสามารถนี้มาช่วยเหลือ เช่นนั้นจะมีโอกาสผ่านบททดสอบแห่งที่สามได้

เขาเริ่มค้นหาจนกระทั่งพบหวังหลิน เดิมทีการเดินทางนี้จะสงบนิ่งมาก ตวนมู่เชื่อว่าตราบใดที่พวกเขาทำงานร่วมกัน ขอบเขตสามแห่งจะไม่เป็นปัญหา โดยเฉพาะหลังจากที่เขาได้รู้ว่าคู่แข่งของเขาคือจ้าวปิศาจหกปรารถนาก็นำคนหนึ่งผ่านไปบททดสอบที่สามด้วย ตวนมู่มั่นใจว่าตราบใดที่ไม่มีการต่อสู้กันภายใน การผ่านไปสู่ดินแดนของเทพโบราณขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

แม้ว่าดินแดนของเทพโบราณมีสี่เขต จากมรดกสมบัตินั้น เขาพบว่าในขอบเขตที่สี่เป็นเพียงค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จะเคลื่อนย้ายคนหนึ่งไปสู่ร่างกายของเทพโบราณ

ค่ายกลเคลื่อนย้ายจะเคลื่อนย้ายทุกคนไปโดยขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้ผ่านสามบททดสอบแรก ยิ่งใกล้เวลาน้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งเคลื่อนย้ายไปใกล้กับร่างกายเทพโบราณมากเท่านั้น มันอาจกระทั่งเคลื่อนย้ายตรงไปยังใจกลางเทพโบราณได้ ภายในใจกลางนั้นไม่เพียงแต่จะมีลูกปัดที่อัดแน่นพลังปราณไว้มากมาย ทั้งยังมีเม็ดยาเหลืออยู่อีกจำนวนมาก จากมรดกสมบัติได้กล่าวถึงเม็ดยาเปลี่ยนวิญญาณที่ยังหลงเหลืออยู่ไว้ด้วย

สำหรับเทพโบราณมันอาจจะเป็นเพียงแค่ของเหลือ แต่สำหรับพวกเขามันนับว่าเป็นเม็ดยาเปลี่ยนวิญญาณของจริง

น่าเสียดายที่แผนของเขาถูกทำลายไปโดยมังกรยักษ์ในอุโมงค์ซึ่งทำให้ทุกคนกระจัดกระจายโดยเฉพาะหวังหลินที่พุ่งเข้าไปในปากมังกร หลังจากนั้นมังกรแดงตัวหนึ่งปรากฎขึ้น เหตุการณ์หลายอย่างทำให้ตวนมู่ตื่นตระหนัก ในจุดวิกฤตนั้นเขาวางเรื่องการมองหาหวังหลินไว้ก่อนและหลบหนีกับหวังฉิงเย่อย่างรวดเร็ว

ความจริงเขาเป็นคนที่ผ่านบททดสอบที่หนึ่งและสองได้รวดเร็วที่สุดจนมาถึงบททดสอบที่สาม ทว่าในบททดสอบที่สามนี้เขากลับมีใบหน้าขมขื่น

โดยไม่มีมนต์แห่งความตายของหวังหลิน แม้เขาจะสามารถรักษาชีวิตตัวเองด้วยสมบัติที่รวบรวมมาหลายพันปี การเข้าไปลึกขึ้นเพื่อหาทางเข้าดินแดนที่สี่นับว่าเป็นไปไม่ได้

เป็นผลให้แม้เขาและหวังฉิงเย่จะเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาในบททดสอบที่สาม เขากลับถูกติดที่นี่และไม่อาจเดินทางต่อได้

ขณะนั้นเองจ้าวปิศาจหกปรารถนาซึ่งเหาะเหินไปรอบๆบททดสอบที่สาม กำลังมองหาทางออกไปดินแดนที่สี่ เมื่อไหร่ที่วิญญาณเร่ร่อนโจมตีเขา พลันสะบัดแขนและแสงสีฟ้ากระพริบออกจากร่างชายหนุ่ม วิญญาณเร่ร่อนยอมแพ้กับจ้าวปิศาจหกปรารถนาและกระโดดไปบนชายหนุ่มแทน

ทว่าหลังจากวิญญาณเร่ร่อนเข้าไปในร่างชายหนุ่ม พวกมันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย บนผิวหนังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง

จ้าวปิศาจหกปรารถนาอาศัยวิธีนี้ขณะเดินทางไป แม้ว่าจะมีความกลัวอยู่บ้างแต่ไม่พบเจออันตรายจริงๆ ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดก็ตอนที่เขาเผชิญกับกลุ่มวิญญาณเร่ร่อนนับพันตัว แต่ด้วยการสะบัดคลื่นของเขา ร่างชายหนุ่มกระพริบและวิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดลอยเข้าหาชายหนุ่มแทน

เขามองร่างที่เขากำลังถืออยู่และยิ้มอย่างเยือกเย็น แม้ว่าจะถูกเจ้าเด็กคนนั้นขังไว้และถูกสายฟ้าโจมตีจนทำให้ระดับฝึกตนลดลงหนึ่งระดับอย่างถาวรมาสู่ขั้นตัดวิญญาณระดับต้น ด้วยสมบัติของเขาที่ใช้เวลาหนึ่งพันปีเพื่อเตรียมการ การเข้าสู่ดินแดนที่สี่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

หลังจากคิดเรื่องนี้ หัวใจเต้นถี่รัว โลหิตฉูบฉีดและสายตาตื่นเต้น ระดับฝึกฝนที่สูญเสียไปจะเปรียบได้กับเม็ดยาเปลี่ยนวิญญาณจากร่างเทพโบราณได้งั้นหรือ? หลังจากได้รับเม็ดยาเปลี่ยนวิญญาณแล้วเขาจะกลายเป็นเซียนขั้นเปลี่ยนวิญญาณทันที เมื่อถึงจุดนั้นนับประสาอะไรกับทะเลปิศาจ แม้กระทั่งในอาณาจักรวิหคสีชาด ตราบใดที่เขาไม่กระทบกระทั่งกับอาณาจักรนั้น เขาสามารถทำอะไรก็ตามที่ต้องการได้

หลังคิดเรื่องนี้ เขาเพิ่มความเร็วของตัวเองขณะที่ค้นหาไปรอบๆ มรดกสมบัติจากดินแดนเทพโบราณอยู่ในมือเขา เดิมทีมันเป็นของอาจารย์ที่ได้มันมาและรวมผู้คนเพื่อค้นหาพื้นที่ของเทพโบราณแห่งนี้

อาจารย์เขาตายในบททดสอบที่สามและมรดกสมบัติจึงผ่านมือมาสู่เขา ท่านอาจารย์วางแผนจะใช้สมบัตินี้เพื่อเปิดอุโมงค์ออกจากที่นี่ แต่ในช่วงวิกฤตที่สุดนั้นได้เผชิญกับอสูรที่แข็งแกร่งมากและต่างจากอสูรอื่นรอบๆจึงจบชีวิตอาจารย์ของเขาลง

จ้าวปิศาจหกปรารถนาหวาดกลัวมากหลังจากเป็นพยานความตายของอาจารย์ และรีบหนีเข้าไปในอุโมงค์

ขณะเดียวกันนนี้มีคนอื่นในบททดสอบที่สาม จักรพรรดิโบราณ เขานั่งขัดสมาธิบนยอดหินก้อนหนึ่งพร้อมกับธงสี่ผืนที่หมุนวนรอบตัวเขาและเจดีย์ขนาดเท่าฝ่ามือลอยอยู่บนศีรษะเขาพลันเปล่งแสงอันหนึ่งอันเดียวกัน

ในพื้นที่นอกแสงของเจดีย์ หากมองดูใกล้ๆจะเห็นวิญญาณเร่ร่อนแออัดรอบๆขอบแสง จักรพรรดิโบราณกำลังมองด้วยความโลภ

ทว่าไม่ได้มีวิญญาณเร่ร่อนตัวเดียวที่กำลังเข้ามาในแสงของเจดีย์ จักรพรรดิโบราณมีใบหน้าอันขมขื่น เมื่อเขาออกจากบททดสอบที่สองได้และถูกริ้วสายฟ้าม่วงไล่ล่า เขาอาศัยสมบัติวิเศษเพื่อช่วยชีวิตจึงสามารถเอาตัวรอดได้ แต่สมบัติถูกทำลายและระดับฝึกฝนของเขาตกลงไปสู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลาย

หลังจากเข้ามาในบททดสอบแห่งที่สาม เขาไม่กล้าเข้าไปลึกมาก จึงสร้างพื้นฐานบนก้อนหินในพื้นที่ด้านนอก พยายามฟื้นฟูระดับฝึกตนของตัวเองกลับมาสู่ระดับตัดวิญญาณอีกครั้ง ด้วยระดับวิญญาณแรกกำเนิดของเขาตอนนี้ หากเขาอยู่ในบททดสอบที่หนึ่งหรือสอง เขาสามารถปกป้องตัวเองได้ แต่ที่นี่นับเป็นที่ที่อันตรายสุดขั้ว ไม่มีทางที่เขาจะหนีรอดได้

สิ่งที่ทำให้จักรพรรดิโบราณขมขื่นอย่างแท้จริงก็คือน้ำวนที่นำเขามาสู่บททดสอบที่สามนั้นได้เคลื่อนย้ายเขามาตำแหน่งที่ทำให้เขาเสียเปรียบอย่างมาก

มันเคลื่อนย้ายเขามาใจกลางบททดสอบที่สาม หากเขาไม่สร้างเจดีย์นี้ในทันที เขาจะถูกวิญญาณเร่ร่อนรุมกินโต๊ะแน่นอน

ณ จุดนั้นเขาไม่มีตัวเลือกจึงทำได้เพียงรักษาแสงของเจดีย์ต่อไป กักขังตัวเองไว้ที่นี่

คิดเรื่องนี้ใบหน้าเขาจึงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขากล่าวโทษคนลึกลับที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ ความเกลียดที่มีต่อมันนับว่ามหาศาล

ถึงเช่นนั้นเขายังงุนงงเรื่องตัวตนของบุคคลลึกลับคนนั้น จากการวิเคราะห์ของเขามันควรจะเป็นเจ้าเด็กหวังหลิน แต่เขาปฏิเสธที่จะเชื่อว่าถูกบังคับให้อยู่ในภาวะน่าสงสารเช่นนี้โดยเด็กหนุ่มรุ่นหลัง

พูดถึงหวังหลิน ตอนนี้เขากระจายสัมผัสวิญญาณของตัวเองออกมาจนกวาดไปทั่วทั้งบททดสอบที่สาม นอกจากเขาแล้วมีวิญญาณกลืนกินตนอื่นอีกหนึ่งเท่านั้น และจำนวนวิญญาณนับว่าน้อยกว่าสนามรบต่างแดน ที่มันดูเหมือนมีมากเพราะว่าพื้นที่มีขนาดเล็กกว่ามาก

นอกจากนี้หวังหลินพบทางเข้าสู่ดินแดนแห่งที่สี่เรียบร้อยแล้ว มันไม่ได้อยู่ใจกลางแต่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีวิญญาณเร่ร่อนจำนวนมากรอบทางเข้า นับได้เกือบจะหนึ่งในสี่ของวิญญาณในดินแดนนี้

ในขณะเดียวกันวิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาถูกส่งข้อความโดยใช้วิธีพิเศษบางอย่าง พวกมันทำตามคำแนะนำและพบกับจ้าวปิศาจหกปรารถนาและจักรพรรดิโบราณ

เรื่องตกตะลึงสำหรับหวังหลินก็คือวิญญาณเร่ร่อนพบกับตวนมู่และหวังฉิงเย่ด้วยเช่นกัน หวังหลินขบคิดเล็กน้อยจากนั้นส่งสัมผัสวิญญาณเข้าหาจักรพรรดิโบราณ จากปากคำของวิญญาณเร่ร่อนตัวหนึ่ง จักรพรรดิโบราณตอนนี้มีระดับฝึกตนต่ำที่สุดและติดอยู่ที่ตำแหน่งปัจจุบัน

หลังจากช่วงเวลาอันสั้น หลังจากติดตามวิญญาณเร่ร่อนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา วิญญาณหวังหลินปรากฎที่ปลายแสงเจดีย์เหนือศีรษะจักรพรรดิโบราณ เขามองใบหน้าอันซีดเผือดของจักรพรรดิโบราณและเริ่มขบคิด

หวังหลินกลืนกินวิญญาณที่อยู่ในนี้และวิญญาณเขาเติบโตขยายขนาดนั้น แม้ว่ามันจะไม่ได้มีระดับเท่าเดิมเหมือนกัน ในแง่ขอบคุณภาพแล้วมันมาไกลเกินกว่าต้นกำเนิดมากนัก นอกจากนั้นวิญญาณของเขาไม่ใช่ธรรมดาแต่เป็นวิญญาณขอบเขตจวี่

เมื่อเขามาถึง ดวงตาจักรพรรดิโบราณกระพริบพี่และจ้องอย่างเย็นชาไปที่หวังหลิน แม้เขาจะทำได้เพียงมองด้วยใบหน้ามืดหม่น เขารู้สึกได้ว่าวิญญาณตัวนั้นแตกต่างจากวิญญาณตัวอื่นรอบๆ

ขณะที่วิญญาณตัวนั้นมาถึง วิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดกระจัดกระจายออก หากเขาดูใกล้ๆไปที่เงาพวกมันจะเห็นใบหน้าแต่ละตัวซีดเผือดไปด้วยความกลัว

หลังเห็นสิ่งนี้ หัวใจจักรพรรดิโบราณหยุดเต้นชั่วขณะ เขากลืนเม็ดยาหนึ่งเม็ดเพื่อมั่นใจว่ามีพลังปราณเพียงพอจะประคองแสงจากเจดีย์

หวังหลินจ้องจักรพรรดิโบราณในแสงไฟ เขาส่งข้อความหนึ่งผ่านสัมผัสวิญญาณของเขาออกมา จากนั้นวิญญาณเร่ร่อนสิบตัวออกไปเบื้องหน้า แม้ว่าใบหน้าพวกมันจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว มันยังคงพุ่งไปที่แสงไฟ ขณะที่สัมผัสกับแสง พวกมันเจอการต่อต้านอันแข็งแกร่ง พวกมันไม่สามารถเข้าใกล้ในระยะห้าฟุตจากจักรพรรดิโบราณก่อนจะมีควันสีเขียวปรากฎออกมาจากร่างกาย บังคับให้พวกมันถอยหนี

ทว่าแสงไฟจากเจดีย์หมองลง

วิญญาณหวังหลินส่งข้อความอีก เวลานี้วิญญาณใกล้เคียงทั้งหมดมากกว่าหมื่นตัวรวมตัวกันเป็นเงาและจ้องไปที่เจดีย์

หัวใจจักรพรรดิโบราณเต้นผิดจังหวะ นั่นนับว่าแย่แล้ว เขาทำท่าทางด้วยฝ่ามือและส่งคลื่นแสงเข้าไปในเจดีย์ ทุกคลื่นแสงทำให้ใบหน้าเขาขาวซีดมากขึ้น หลังจากคลื่นสุดท้ายใบหน้าพลันขาวราวกับชอร์กและระดับฝึกฝนลดต่ำลงถึงระดับวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลาง

ขณะเดียวกันวิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดประสานเข้าไปในคลื่นและเริ่มโจมตีแสงไฟ ทว่าวิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดเริ่มมีควันและไม่อาจเข้าใกล้จักรพรรดิโบราณได้เกินสิบฟุต ระยะห่างของจักรพรรดิโบราณยังถือว่ามาก

จักรพรรดิโบราณหัวเราะอย่างหดหู่ เขาพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว จำนวนวิญญาณเร่ร่อนนับว่ามากเกินที่เขาจะต่อต้าน แม้แต่ผู้อาวุโสจากพันปีก่อนยังถูกวิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดนี้กลืนกิน ทว่าเขาจะทำได้อย่างไรด้วยระดับฝึกตนที่ลดลงมาถึงตอนนี้? หวังจะรอดชีวิตหรือ? เขากลัวว่าเขาจะพลังปราณหมดเสียก่อนและไม่อาจรักษาเจดีย์ไว้ได้ จากนั้นก็ถูกวิญญาณเร่ร่อนกลืนกิน

ตั้งแต่ต้นจนจบ หวังหลินไม่ได้เคลื่อนไหวสักก้าว เขารู้ว่าหากออกไปข้างนอกดินแดนนี้ จักรพรรดิโบราณสามารถสังหารเขาได้เพียงกระดิกนิ้ว แต่ที่นี่เขาเป็นวิญญาณกลืนกินและสามารถสั่งการวิญญาณเร่ร่อนได้ กฎพวกนี้เป็นของเขาแล้ว

แน่นอนว่าหากเขาจะโจมตีตอนนี้ตรงๆไม่อาจเอาชนะจักรพรรดิโบราณได้ แม้เขาจะเป็นวิญญาณกลืนกิน เขายังอ่อนแอมาก

ถึงอย่างนั้นความสามารถของวิญญาณกลืนกินเป็นเพียงแค่การกลืนวิญญาณ แต่ความสามารถของวิญญาณเร่ร่อนเป็นการกลืนกินพลังชีวิต แม้คนผู้หนึ่งจะมีระดับฝึกฝนที่สูงล้ำ หากมีวิญญาณเร่ร่อนเกาะติดเข้าไปก็ไม่อาจต่อต้านได้

หากรู้จักวิญญาณเร่ร่อนดีพอ เขาจะรู้ว่าหากหนึ่งในนั้นปรากฎในโลกมนุษย์ มันสามารถทำให้เกิดภัยพิบัติได้ แน่นอนว่ามันต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่สมบูรณ์ซึ่งความแข็งแกร่งนับว่าห่างไกลจากปิศาจเช่นฉวี่ลี่กั๋ว

บททดสอบที่สามของดินแดนเทพโบราณ ความจริงเป็นกับดักความตาย ไม่กี่คนที่สามารถผ่านขอบเขตนี้ได้สำเร็จ ดินแดนของเทพโบราณคงอยู่มานานหลายปีมาก และอาจารย์ของจ้าวปิศาจหกปรารถนาไม่ใช่คนแรกที่เข้ามาในบททดสอบที่สาม มีหลายคนเข้ามาก่อน แต่เป็นเหมือนเขา ทั้งหมดต่างตายในบททดสอบที่สาม

วิญญาณเร่ร่อนที่นี่ไม่สามารถทำลายได้ง่ายๆ และพวกมันมีเป็นจำนวนมาก แม้วิญญาณจะถูกกลืนกินไป ตราบใดที่มีเสี้ยวิญญาณหลงเหลืออยู่ มันสามารถชุบชีวิตได้ นับว่าเป็นวงจรไร้ที่สิ้นสุด

เหตุผลที่หวังหลินเรียกที่นี่เป็นเหมือนบ้านเนื่องจากประสบการณ์และการเผชิญหน้าขณะที่อยู่ในสนามรบต่างแดนของเขา พวกที่อยู่ภายใต้อำนาจของเขา หวังหลินสามารถกระทำเหมือนเป็นราชาของที่นี่

หากร่างกายไม่ได้ถูกเถิงฮว่าหยวนทำลายไป หากซือถูหนานไม่นำวิญญาณเซียนของตัวเองหลับลึกลงไปเพื่อรักษาวิญญาณหวังหลินไม่ให้ถูกทำลายไว้ หากเขาไม่เกิดอุบัติเหตุเข้าไปในรอยแตกในสนามรบต่างแดน หากเขาไม่เริ่มกลืนกินวิญญาณจนกลายเป็นวิญญาณกลืนกินตนหนึ่ง….หากสิ่งใดก็ตามพวกนั้นไม่เกิดขึ้น หวังหลินจะยังสามารถผ่านบททดสอบที่สามได้ แต่เขาจะไม่ได้มีสถานะเป็นราชาของที่นี่อย่างที่ทำตอนนี้

วิญญาณเร่ร่อนทุกตัวใบหน้าขาวซีดเมื่อถูกเป็นอาหารให้หวังหลิน แม้ไม่มีอาหารนี้ ในใจจักรพรรดิโบราณ มันเป็นเด็กน้อยขั้นแกนลมปราณที่ฉลาดคนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะกฎเกณฑ์ที่จำกัดผู้คนทั้งหมดที่นี่ พวกเขาเพียงแค่ยกนิ้วเดียวก็สังหารหวังหลินได้

เพียงแค่โลกนี้เท่านั้นที่มีสิ่งเกินคาดหมายเกินไปอย่างเช่นภายใต้สถานการณ์อันพิเศษที่มดสามารถฆ่าช้าง หลอดราวกับแสงไฟที่สามารถบดขยี้อูฐ บางสิ่งบางอย่างในโลกนี้เพียงไม่มีสิ่งอธิบายได้ถูกต้อง

เมื่อสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไป จะไม่มีสิ่งใดคงอยู่ได้ตลอดกาล ดังเช่นเมิ่งหลังค่อมตายได้อย่างไรในบททดสอบแรก บททดสอบแห่งที่สามพร้อมพลังอันคุ้นเคย การที่เขาตายได้อย่างไรในบททดสอบแรกเป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ พึ่งเริ่มบททดสอบที่สามของดินแดนเทพโบราณ หลายสิ่งยิ่งงุนงงและแปลกประหลาดมากขึ้นกว่าเดิม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version