182. เทพโบราณตู่ซือ
เมล็ดเหล่านี้ดูคล้ายทองแต่ไม่ใช่ทอง คล้ายกระดูกแต่ไม่ใช่กระดูก ถึงอย่างนั้นหวังหลินที่กำลังจะหยิบมันเพื่อศึกษาดู ในจังหวะวิญญาณของเขาเข้าไปสำรวจมันพลันพบพลังอันแข็งแกร่งต่อต้านขึ้น
พลังต่อต้านนี้ผลักวิญญาณของหวังหลินออกห่างไปเพื่อไม่ให้เขาตรวจสอบเมล็ดสีทอง หวังหลินถือเมล็ดไว้บนฝ่ามือและบีบมัน น่าแปลกใจที่มันดูไม่ได้ยากมากมายนัก มันแบนบนนิ้วมือเขาได้อย่างง่ายดาย
แต่ไม่ว่าหวังหลินจะกดเมล็ดสีทองนี้มากเท่าไหร่มันก็เพียงแต่แบนลงและแบนลงโดยไม่ได้แตกสลาย หวังหลินผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาทันที เขานำเมล็ดสีทองทั้งหมดอัดแน่นเข้าด้วยกันเพื่อสร้างเมล็ดถั่วสีทองขนาดเท่าปลายนิ้ว
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยขณะที่จ้องเมล็ดถั่วสีทอง ยิ่งจ้องก็ยิ่งนึกถึงกระดูกของหน้าผากราชาอสูรจากบททดสอบแรก หากมันเป็นสิ่งเดียวกันเช่นนั้นมันเป็นกระดูกมีชีวิตแน่นอน
ความคิดหนึ่งเด่นชัดในใจหวังหลิน “หรือนี่เป็นกระดูกของเทพโบราณ?” จิตใจหวังหลินสั่นเทาขณะคิดขึ้นมา
แต่ในไม่ช้าก็เอาความคิดนี้ทิ้งไป จากที่เขาได้ยินครั้งก่อน เทพโบราณมีขนาดใหญ่มากมายนักดังนั้นกระดูกของเขาก็ควรจะใหญ่ด้วยเช่นกัน แม้มันจะเป็นเพียงกระดูกนิ้วมือมันก็น่าจะเปรียบได้กับเขาของราชาอสูร
หลังจากคิดชั่วขณะ หวังหลินนำเมล็ดถั่วสีทองเก็บไป พลันยืนขึ้นและมองไปที่กฎเกณฑ์ข้างหน้าจากนั้นกระโกนเข้าไป
หวังหลินผ่านการคิดวิเคราะห์กฎเกณฑ์อย่างรอบคอบมาแล้วระหว่างระยะห่างห้าร้อยฟุตและสามร้อยฟุตจากยอดภูเขา รวมถึงการลอบสังเกตการกระทำของจักรพรรดิโบราณ แม้ว่าเขาจะยังระมัดระวังมันก็ง่ายกว่าครั้งก่อน
ทว่าที่ระยะห่างสามร้อยฟุต หวังหลินเริ่มเคลื่อนไหวช้าลงและระมัดระวังอย่างมาก เขาไม่ต้องการกระตุ้นกฎเกณฑ์ใดๆและถูกโจมตีโดยสายฟ้า
หวังหลินไม่รีบเร่ง เวลาค่อยๆผ่านไปและในไม่นานนักอีกสามปีผ่านไปอีกแล้ว….
ระยะสามร้อยฟุตนี้ทำให้เขาใช้เวลาสามปีเพื่อผ่านมันขณะที่ก้าวบนเส้นทางนี้ทีละก้าว หวังหลินยืนบนยอดภูเขาในปีที่สามหลังจากจ้าวปิศาจหกปรารถนาและจักรพรรดิโบราณมาถึงที่นี่ เขารู้ว่าโอกาสเป็นไปได้ทางเดียวก็คือการกระตุ้นกฎเกณฑ์เมื่อสามปีก่อน กฎเกณฑ์บริเวณใกล้เคียงทั้งหมดสูญเสียพลังไปหมดแล้ว แม้หวังหลินจะกระตุ้นกฎเกณฑ์แถวนี้ พวกมันก็ไม่มีพลังพอจะเปิดใช้งาน
หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ไม่มีทางที่เขาจะมาถึงที่นี่ได้ด้วยระดับฝึกฝนของตัวเอง
ถึงเช่นนั้นหวังหลินเหลืออีกเพียงห้าฟุตจากยอดเขา ก้อนเมฆเริ่มรวมตัวกันมืดครึ้มมากขึ้น สายฟ้าปรากฎให้เห็นทว่าหวังหลินเพียงมองอย่างใจเย็นก่อนที่จะเดินเข้าไปในน้ำวน
หวังหลินไม่ได้ช้าลง เขาเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างราบรื่น ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน หวังหลินสงสัยเสมอว่าเงื่อนไขอะไรในการเปิดใช้กฎเฏณฑ์ที่อยู่ในท้องฟ้า
เขาคิดกลับไปเมื่อสามปีก่อน ตอนที่ส่งพายุทอร์นาโดเพื่อรับเอากระดูกมา ไม่มีสายฟ้ากระแทกลงมาตอนที่พายุทอร์นาโดถูกเรียก แต่เมื่อมันหยิบแขนขึ้นและพุ่งกลับหลัง สายฟ้าจึงโจมตีมัน
หลังจากหวังหลินคิดเรื่องนั้นและค้นคว้าอยู่ไม่นาน เขาจึงตระหนักได้ถึงสิ่งที่ทำให้มันกระตุ้นก็คือความเร็ว!
หากคนผู้หนึ่งมีความเร็วที่เกินกำหนด เพิ่มหรือว่าลดความเร็วของตัวเองในทันที มันจะไปกระตุ้นกฎเกณฑ์ในท้องฟ้าให้โจมตี ยิ่งเข้าใกล้ยอดภูเขาก็ยิ่งอ่อนไหวง่าย
ในอีกความหมายหนึ่งหากท่านเร่งความเร็วขึ้นทันทีที่ตีนภูเขา จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่หากทำในภูเขาแล้ว ท่านอาจจะกระตุ้นกฎเกณฑ์บางอย่าง แต่หากใกล้กับยอดภูเขาแล้วท่านจะไปกระตุ้นกฎเกณฑ์ในท้องฟ้า
หลังจากขบคิดเงื่อนไขการกระตุ้นกฎเกณฑ์บนท้องฟ้าได้ หวังหลินก้าวเดินอย่างมั่นคงเข้าไปในน้ำวน
บททดสอบที่สองนี้ทำให้หวังหลินใช้เวลาไปสิบสามปีเพื่อผ่านไป ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เขาได้รับแล้ว จำนวนเวลาพวกนั้นเป็นเรื่องเล็กมาก
ในสิบสามปีนี้จากธรรมดาสู่ความซับซ็อน จากง่ายไปเป็นยาก เขาเรียนรู้ศิลปะของกฎเกณฑ์ทีละก้าวจนในที่สุดก็มาถึงระดับนี้ แม้มันจะใช้เวลามากกว่านี้หวังหลินก็จะไม่ยอมแพ้
จากมุมมองของเขา จุดประสงค์จริงๆของบททดสอบที่สองไม่ใช่การป้องกันผู้บุกรุก แต่เป็นเส้นทางให้ผู้คนเรียนรู้กฎเกณฑ์อย่างเป็นระบบ
มิฉะนั้นเพียงแค่วางกฎเกณฑ์ที่เหมือนกับบนยอดภูเขาไว้ที่ตีนเขา จะไม่มีใครสามารถปีนขึ้นมาได้
หวังหลินสงสัยอย่างมากในเรื่องนี้ ทว่าเขาไม่มีใครให้ถาม
ขณะที่หวังหลินเข้ามาในน้ำวน มีบางสิ่งเปลี่ยนไป ลำแสงสีม่วงออกมาจากน้ำวนจนก่อตัวเป็นบอลสายฟ้าม่วงขนาดยักษ์
บอลสายฟ้าลูกนี้แตกต่างจากที่ออกมาจากกฎเกณฑ์ในท้องฟ้า มันสีเข้มกว่าและทรงพลังมากกว่า เมื่อบอลสายฟ้าปรากฎขึ้น หวังหลินรู้สึกได้ว่าทั้งภูเขาสั่นสะเทือน
จากล่างภูเขาจนถึงยอดเขา กฎเกณฑ์ทั้งหมดเริ่มลอยขึ้นไปสู่ยอด แสงทุกจุดคือหนึ่งกฎเกณฑ์และแสงจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นสูงขึ้นและสูงขึ้น
กฎเกณฑ์จำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นอย่างน่าประหลาดแต่ไม่ได้ไปจนถึงกฎเกณฑ์ในท้องฟ้า ขณะที่พวกมันขึ้นมาถึงจุดหนึ่งพลันเริ่มเข้ามารวมกันและก่อร่างเป็นบอลแสงขนาดยักษ์จนมันมีขนาดเท่ากับบอลสายฟ้าม่วง
ขณะนั้นเองจุดแสงทั้งหมดหายวับไปจากภูเขา ไม่มีกฎเกณฑ์ลงเหลืออยู่บนภูเขาลูกนี้
หวังหลินทำได้เพียงจ้องสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ตั้งแต่ที่บอลสายฟ้าปรากฎ ร่างกายเขาแข็งทื่อจากพลังงานที่กำลังครอบคลุม หวังหลินไม่อาจเคลื่อนไหวไปไหนได้แม้เพียงครึ่งก้าว
บอลสายฟ้าม่วงและบอลแสงเคลื่อนที่เข้าหากันอย่างช้าๆ ขณะที่พวกมันสัมผัสกัน ภาพมายาหนึ่งปรากฎเหนือทั้งสองก้อน
ภาพมายาเติบโตขึ้นมีขนาดใหญ่มากจนมันเปลี่ยนรูปร่างเป็นยักษ์ตนหนึ่งมีสองเท้ายืนอยู่เหนือบอลสายฟ้าม่วงและบอลแสง บอลทั้งสองเคลื่อนที่ขึ้นอย่างช้าๆจนกระทั่งมันไปถึงตำแหน่งดวงตาของยักษ์ตนนั้น มองห่างๆราวกับว่ายักษ์มีดวงตาที่กำลังเรืองแสงเป็นประกาย
ขณะเดียวกันยักษ์ตนนั้นเป็นเพียงภาพมายา มันให้ความรู้สึกราวกับมีชีวิตจริงๆ
“ยินดีต้อนรับ เจ้าเป็นคนที่สี่ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนของภูเขากฎเกณฑ์ นามของข้าคือตู่ซือ(涂司 tú sī)…ตามกฎโบราณที่วางเอาไว้ก่อนที่ร่างกายข้าจะนิทรา เจ้าพบเจอจุดประสงค์ของภูเขากฎเกณ์ เจ้าสามารถเข้ามาในทะเลจิตสำนึกของข้าเพื่อรับภูมิปัญญาและความทรงจำได้ แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องยืนยันตัวตนของเจ้าและสร้างธงกฎเกณฑ์ด้วยหินหยกชิ้นนี้”
ยักษ์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านโลกา จากนั้นหินหยกชิ้นหนึ่งสายฟ้าม่วงปรากฎขึ้นและลอยเข้าหาหวังหลิน
หวังหลินตกใจ เขาสูดหายใจลึกหนึ่งครา
จากน้ำเสียงยักษ์ตนนั้น นี่ต้องเป็นร่างอวตารของเทพโบราณ ชัดเจนว่ามันคือเทพโบราณตู่ซือ
เทพโบราณมีพลังแข็งแกร่งอย่างมาก เพียงแค่ร่างอวตารก็เพียงพอให้หวังหลินรู้สึกหายใจอึดอัด หวังหลินไม่อาจจินตนาการไ้ด้ว่าพลังของเทพโบราณตู่ซือของจริงทรงพลังแค่ไหนหากเขาอยู่ที่นี่
ขณะเดียวกันนั้นหินหยกอยู่ด้านหน้าหวังหลิน เขาขยี้ตาและยื่นมือออกคว้ามัน เมื่อหวังหลินคว้าได้สายฟ้าม่วงทะยานผ่านร่างกายเขาก่อนจะกลับเข้าไปในหินหยก
หวังหลินรู้สึกว่าชั่วขณะนั้นมีบางสิ่งถูกเพิ่มขึ้นมาในใจ เขารู้แล้วว่าสายฟ้านั้นไม่มีอันตรายและเป็นวิธีการยืนยันเจ้าของเท่านั้น
ขณะที่ความคิดหวังหลินได้รับข้อมูลความเข้าใจของธงกฎเกณฑ์ หัวใจหวังหลินไม่อาจหยุดเต้นระรัวได้แต่ขณะเดียวกันก็หัวเราะอย่างขมขื่น
หินหยกนี้ไม่ได้กล่าวถึงการใช้งานธงกฎเกณฑ์ที่แน่ชัด วัตถุดิบหรือความต้องการพิเศษอื่นๆ ดูราวกับว่าธงกฎเกณฑ์นี้สามารถสร้างจากอะไรก็ได้
มีเพียงวัตถุดิบชิ้นเดียวที่มันต้องมีและนั่นก็คือหินน้ำหมึก!
ข้อมูลเกี่ยวกับหินน้ำหมึกเข้ามาในหัวเข้าเช่นกัน หินน้ำหมึกไม่ได้ผลิตขึ้นบนดาวเคราะห์แต่มันถูกผลิตในดวงดาว
สำหรับเหล่าเทพโบราณแล้วมันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะได้รับมา เพียงแค่เดินทางไปในอวกาศชั่วครู่เดียวก็สามารถได้รับหินน้ำหมึกแล้ว
ข้อมูลนี้ยังให้แผนที่ของทะเลจิตสำนึกของเทพโบราณไว้ด้วย มันทำเครื่องหมายตำแหน่งของหินน้ำหมึก ใครก็ตามที่ทำความเข้าใจสถานที่พวกนั้นสามารถได้รับมันมาได้
เมื่อได้รับหินน้ำหมึกแล้ว ท่านสามารถสร้างธงกฎเกณฑ์ขึ้นมาได้ กระบวนการของมันง่ายดายทั้งยังไม่ซับซ้อน ท่านต้องสลักกฎเกณฑ์จำนวน 999,999 กฎเกณฑ์ไปบนธง
เพียงแค่นั้นท่านถึงจะสร้างธงกฎเกณฑ์ได้หนึ่งผืน
การใช้ธงกฎเกณฑ์ไม่ได้ถูกกล่าวถึงด้วย แต่อาวุธที่เทพโบราณมอบให้จะอ่อนแอได้เช่นไร? และนั่นยังไม่นับวัตถุดิบอันล้ำค่าหรือกระบวนการสร้างอันยากลำบากด้วย
หวังหลินไม่เชื่อว่าสมบัติชิ้นนี้จะอ่อนแอไปได้ เห็นได้ชัดว่าของรางวัลที่แท้จริงของบททดสอบนี้ก็คือหินหยกและสิทธิพิเศษก็คือคนที่ถูกเลือกไว้แล้วเท่านั้น หากจ้าวปิศาจหกปรารถนาและจักรพรรดิโบราณรู้เรื่องนี้ พวกเขาคงไม่รีบเร่งเข้าไปและเรียนรู้กฎเกณฑ์สูงขึ้นทีละก้าวแทน
“นอกจากข้า มีอีกสามคนที่ได้รับหินหยกนี้…” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง เขาสรุปได้อย่างรวดเร็วว่าหากเขาสามารถได้รับหยกชิ้นนี้หลังจากเข้าในบททดสอบที่สอง เขาจะสามารถได้รับรางวัลที่คล้ายกันหากพบเจอจุดประสงค์ของบททดสอบแรกหรือไม่?
หวังหลินจดจำได้ว่าเขาได้ยินบางสิ่งบนถนนไม่หวนคืน ชายลึกลับได้พูดโดยไม่ได้ตั้งใจว่า “ข้าสังหารราชาคนแรก!”
บางทีนั่นคือรางวัลของบททดสอบแรก หวังหลินหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา เขาไม่มีความสามารถที่จะทำสิ่งเดียวกันนั้น
ในขณะนั้นเองร่างยักษ์เริ่มหายไป บอลทั้งสองเริ่มเคลื่อนที่ออกจากกัน บอลแสงสลายกลับเป็นจุดแสงและลงกลับไปบนภูเขา ขณะที่จุดแสงร่อนถึงพื้น กฎเกณฑ์ถูกวางไว้อีกครั้งและกลับเป็นภูเขาในสิ่งที่มันเป็นครั้งก่อน
บอลสายฟ้าม่วงลอยเข้าไปในน้ำวน จากนั้นพลังดึงดูดสายหนึ่งออกมาจากน้ำวนและค่อยๆดึงหวังหลินเข้าหามัน ร่างกายเขาค่อยๆจมลงไปในน้ำวน
เมื่อหวังหลินปรากฎตัวจากน้ำวนอีกครั้ง เขามาอยู่ในสถานที่ที่ดูเหมือนสรวงสวรรค์ขนาดใหญ่ ทุ่งหญ้าโล่ง รอบๆเต็มไปด้วยพลังปราณ
ไม่ไกลนั้นมีทะเลสาปแห่งนั้น ใจกลางทะเลสาปมีเจดีย์สามชั้นตั้งอยู่พร้อมกับเปล่งแสงหลากสี
ขณะที่หวังหลินปรากฎกาย เขาส่งสัมผัสวิญญาณของตัวเองเพื่อตรวจค้นรอบๆ หลังจากผ่านไปนานจึงก้าวเดินข้างหน้าอย่างระมัดระวัง หวังหลินสัมผัสกระเป๋าและกระบี่พิษสีดำออกมาพร้อมกับลอยรอบๆตัว
เขารู้ว่าจ้าวปิศาจหกปรารถนาและจักรพรรดิโบราณเกลียดเขา แม้ว่าทั้งคู่จะผ่านเข้ามาในน้ำวนเมื่อสามปีก่อน มีโอกาสที่พวกมันจะนอนรอเขาอยู่ที่นี่ หากเป็นหวังหลินที่ถูกบังคับให้ผ่านอุปสรรคทั้งหมดนั้นเขาจะรอสังหารคนร้ายแน่นอน
ขณะที่หวังหลินเดินออกมา เขาใช้สัมผัสวิญญาณเพื่อตรวจสอบพื้นที่โดยรอบแต่ไม่อาจค้นหาสิ่งใดเจอ ในที่สุดจึงเริ่มสงสัยเกี่ยวกับเจดีย์
เจดีย์ไม่มีกฎเกณฑ์ใดอยู่บนนั้น หวังหลินเคลื่อนที่เข้าหามันอย่างรวดเร็วและหยุดลงที่ปลายทะเลสาป เขากระแทกกระเป๋าและเจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วลอยออกมา
มันเบื่อจะตายอยู่แล้วดังนั้นจึงตื่นเต้นมากเมื่อถูกปลดปล่อย ทว่าเมื่อมันเห็นหวังหลิน พลันท่าทางแข็งทื่อและเปลี่ยนท่าทีเป็นประหลาดใจ
หวังหลินเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ที่ฉวี่ลี่กั๋วเห็นครั้งล่าสุด เส้นผมเจ้าอสูรร้ายตนนี้เป็นสีขาวทั้งหมดและดวงตาเจาะทะลุถึงหัวใจ ฉวี่ลี่กั๋วมองคราเดียวและหวาดกลัวทันที มันร้องครวญครางกับตัวเอง “เจ้าอสูรร้ายนี่มันแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งได้ยังไง….ด้วยการเติบโตนี้เมื่อไหร่ข้าจะหนีจากเงื้อมมืออสูรร้ายได้…แม้ข้าจะต่อสู้โดยไม่ห่วงชีวิต ข้าคงสิ้นหวัง”
ก่อนหน้านั้นหวังหลินต้องใช้พลังวิญญาณของตัวเองเต็มที่เพื่อข่มขู่ฉวี่ลี่กั๋ว แต่ตอนนี้มันรู้สึกได้ว่าแม้หวังหลินจะไม่ใช้พลังใดก็ตาม เห็นได้ชัดว่าพลังกฎเกณฑ์ของหวังหลินเติบโตขึ้นมากแค่ไหนที่ผ่านมาสิบสามปีนี้
หวังหลินชี้นิ้วไปที่ทะเลสาป ฉวี่ลี่กั๋วต้องการต่อรอง แต่เมื่อเห็นสายตาหวังหลิน จึงลอยออกไปหาทะเลสาปอย่างเชื่อฟังโดยสาปแช่งหวังหลินเงียบๆ
ฉวี่ลี่กั๋วสาปแช่งในใจ ‘รอข้าประเดี๋ยว เมื่อข้ากินวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย รับน้องเล็กเข้ามาและเพิ่มระดับฝึกตนของข้า ข้าจะสู่กับเจ้าให้ตายเลยคอยดู!’ หลังจากระบายออกมามันรู้สึกดีขึ้นมากและโฉบเข้าหาทะเลสาปเพื่อเริ่มการค้นหา
หวังหลินใช้เสี้ยววิญญาณที่ทิ้งไว้ในร่างฉวี่ลี่กั๋วเพื่อตรวจสอบขณะที่ร่างกายเขายืนอยู่บนชายฝั่ง หลังจากมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติจึงเหินเข้าหาเจดีย์
ขณะที่ฉวี่ลี่กั๋วลอยขึ้นมาจากทะเลสาป มันสาปแช่งเงียบๆไม่กี่ครั้งแต่ยังติดตามไปด้วย
ด้านหน้าเจดีย์ หวังหลินให้ฉวี่ลี่กั๋วเข้าไปคนแรก ก่อนจะมั่นใจว่ามันปลอดภัยจึงตามเข้าไป เจดีย์แห่งนี้มีสามชั้น ชั้นแรกมีตารางสี่เหลี่ยม 9 รูปที่ว่างเปล่าทั้งหมด
หวังหลินเข้าใจสถานที่แห่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว มันต้องเป็นตำแหน่งของรางวัลสำหรับคนทั้งหมดที่ผ่านบททดสอบที่สองได้ ทว่าหลังจากผ่านมานานหลายปี ของรางวัลทั้งหมดถูกนำออกไปแล้ว นั่นถึงว่าทำไมจึงเหลือแต่เพียงพื้นที่ว่างเปล่า
หลังจากเดินขึ้นไปบนชั้นสอง หวังหลินจึงมั่นใจว่าเขาเดาถูก มีสี่เหลี่ยม 4 แห่งที่ว่างเปล่าคือเหนือ ใต้ ตะวันออก และตก
บนชั้นที่สามหวังหลินเห็นน้ำวนอยู่ที่ทางออกและสี่เหลี่ยมว่างเปล่าอีกแห่งหนึ่ง หวังหลินไม่ได้ผิดหวังขณะที่ครุ่นคริดเรื่องทั้งหมดอยู่ชั่วครู่ เขาจดจำข้อความที่ชายลึกลับบนถนนไม่หวนคืนทิ้งไว้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทิ้งข้อความใดในบททดสอบที่สอง หวังหลินรู้สึกได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในสามคนที่ได้รับหินหยก
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ หวังหลินค้นหาทั้งสามชั้นทันที มีชั้นที่สองที่เขาเห็นข้อความอันคุ้นเคยอยู่ถัดจากสี่เหลี่ยมว่างเปล่า
“หลังจากเห็นเจดีย์สมบัตินอกเหนือจากรูปลักษณ์อันสวยงามแล้ว ข้าผิดหวังอย่างมากในดินแดนของเทพโบราณแห่งนี้”
ประโยคนี้พูดอย่างภูมิใจมาก หวังหลินสงสัยอยู่ชั่วขณะและเดินขึ้นไปบนชั้นสาม
บนชั้นที่สาม เขาไม่ได้เข้าไปในวังวนทันที หวังหลินนั่งลงและฟื้นฟูพลังปราณของตัวเองให้ถึงจุดสูงสุด จากนั้นจัดเรียงกระเป๋า ถัดไปก็สูดหายใจลึกก่อนจะชี้ให้ฉวี่ลี่กั๋วเข้าหาน้ำวน
ฉวี่ลี่กั๋วมีใบหน้าขมขื่น มันสาปแช่งเงียบๆหลายครั้ง ทว่าขณะที่มันสัมผัสกับน้ำวน มันกรีดร้องออกมาขณะที่ร่างกายมีควันขโมง พร้อมกับถอยกลับอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าหวาดกลัว
หวังหลินนำสัตว์ตัวเล็กตัวหนึ่งออกมาและโยนเข้าหาน้ำวน เวลานั้นเจ้าสัตว์ตัวเล็กผ่านไปโดยไม่เจออุปสรรคใดและเริ่มจมเข้าไป พร้อมกันนั้นการเชื่อมต่อหวังหลินกับเจ้าสัตว์ตัวเล็กพลันตัดขาดออกจากกันทันที
ใบหน้าหวังหลินมืดหม่น หลังจากขบคิดอยู่ชั่วขณะจึงคิดได้ว่าน้ำวนนี้ต้องเป็นคนเช่นจ้าวปิศาจหกปรารถนาหยุดตรงนี้และหนีด้วยความหวาดกลัว อุปสรรคแห่งที่สาม
จากสิ่งที่ตวนมู่พูดไว้ครั้งก่อน สิ่งนี้เป็นอุปสรรคแห่งที่สามที่จำเป็นต้องใช้วิชาคำสาปแห่งความตายอันโด่งดังเพื่อผ่านเข้าไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดถึงมากนัก หวังหลินจึงรู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากทดสอบเรื่องนี้ เขาพบว่าฉวี่ลี่กั๋วไม่สามารถเข้าไปในน้ำวนได้ ขณะที่มันเข้าใกล้ วิญญาณของมันจะได้รับความเสียหาย ขณะที่สัตว์ตัวเล็กเข้าไปได้และการเชื่อมต่อของเขาถูกตัดขาด
จากการสังเกตการณ์เรื่องนี้หวังหลินสรุปได้ว่าบททดสอบแห่งที่สามต้องอันตรายอย่างมาก เขาขบคิดอยู่ชั่วขณะและตัดสินใจเข้าไปในน้ำวน หวังหลินค่อยๆยื่นมือเข้าไป
ความรู้สึกเย็นแล่นผ่านแขนในทันทีทว่าเขาไม่ได้รับอันตรายแบบเช่นฉวี่ลี่กั๋ว โดยไม่คิดซ้ำสองหวังหลินเดินเข้าไปข้างใน
เมื่อหวังหลินออกมาจากน้ำวน เขาแข็งค้างทันที ทะเลจิตสำนึกของเขากระสับกระส่ายจนเกิดคลื่นและสายฟ้ากระพริบวาบ เป็นครั้งแรกที่มันไม่ได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของหวังหลิน ดวงตาเขากระพริบถี่
“นี่…นี่มันสวรรค์ชัดๆ!” หวังหลินคิด
ด้านหน้าเขาคือทะเลอันเวิ้งว้างพร้อมกับก้อนหินรูปทรงแปลกประหลาดลอยอยู่รอบๆ ขณะเดียวกันวิญญาณของเขาผันผวนตลอดเวลา
หวังหลินหัวเราะอย่างเยือกเย็น พูดได้ว่าเขาผ่านบททดสอบแรกด้วยความโชคดี ผ่านบททดสอบที่สองด้วยความตั้งใจ เช่นนั้นบททดสอบที่สามนี้…หวังหลินสามารถเดินทางได้อย่างง่ายดายในบททดสอบแห่งที่สามนี้
เขากระแทกกระเป๋า ฉวี่ลี่กั่วและเจ้าปิศาจน้อยปรากฎทันที ปิศาจทั้งสองตัวเพ่งไปรอบๆ พวกมันฟื้นคืนสติอย่างช้าๆและดวงตาเปลี่ยนจากประหลาดใจเป็นความปิติยินดี
ที่นี่ เจ้าปิศาจทั้งสองตัวเหมือนกับปลาในน้ำ พวกมันรู้สึกสะดวกสะบายอย่างมาก
หลังจากปลดปล่อยเจ้าปิศาจทั้งสอง หวังหลินตรวจสอบรอบๆและพลันคว้าพื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งทันที เสียงร้องไห้ฉับพลันดังออกมาและควันเป็นสายปรากฎขึ้นเป็นจุด ควันนั้นก่อร่างเป็นภาพมายาที่มีสิ่งมีชีวิตสองเขา มันเป็นวิญญาณเร่ร่อนตัวหนึ่ง
มันซ่อนอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าเพื่อหวังจะโจมตีหวังหลิน ทว่ามันคาดไม่ถึงว่าหวังหลินจะดึงมันออกมาจากพื้นที่ว่างเปล่านั้นได้
วิญญาณเริ่มตื่นตระหนกทันที หวังหลินกระทั่งไม่ชำเลืองมองขณะที่สัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่พุ่งออกมาก่อร่างเป็นปากกลืนเจ้าวิญญาณเร่ร่อนนั้นลงไป
หวังหลินหลับตา เขาไม่ได้ลิ้มรสชาติวิญญาณเร่ร่อนเป็นเวลานานแล้ว มันรู้สึกดีมาก เขารู้สึกชัดเจนว่าวิญญาณของตัวเองกำลังแข็งแกร่งขึ้น
“วิญญาณเร่ร่อนเป็นของเสริมที่ดีที่สุดที่จะหล่อเลี้ยงวิญญาณจริงๆ เพียงแค่วิญญาณเร่ร่อนที่นี่ เวลาที่ใช้กับบททดสอบแห่งนี้นับว่าล้ำค่านัก” หวังหลินพูดขึ้นขณะพุ่งตรงไป
เหตุการณ์ที่หวังหลินกลืนกินวิญญาณเข้าไปทำให้ฉวี่ลี่กั๋วและเจ้าปิศาจน้อยหวาดกลัวอย่างมาก ปิศาจทั้งสองตัวโดยเฉพาะฉวี่ลี่กั๋วกินวิญญาณมามาก ปากของฉวี่ลี่กั๋วกำลังน้ำลายสอ และเมื่อเห็นหวังหลินกลืนวิญญาณต่อหน้ามัน มันรู้สึกราวกับโดนคนอื่นขโมยอาหาร
ทว่าฉวี่ลี่กั๋วรู้สึกว่าวิญญาณที่หวังหลินดึงออกมานั้นคล้ายคลึงกับตัวเองมาก รู้สึกได้กระทั่งมันเป็นบรรพบุรุษของเขา มันรู้สึกอบอุ่นใจเมื่อเห็นหวังหลินกำวิญญาณเร่ร่อนไว้ มันคิดว่าเจ้าอสูรนี้กำลังจะรับน้องเล็กมาเพิ่มและมันจะเข้าไปทักทาย
น่าเสียดายที่ความคุ้นเคยที่มันรู้สึกได้เปลี่ยนเป็นความกลัวเมื่อหวังหลืนกินกินวิญญาณลง มันรู้เสมอว่าจะต่อสู้กับเจ้าปิศาจนี้ให้ตายไปข้าง แต่เมื่อตระหนักได้ว่าไม่ใช่แค่อสูรร้ายตนนี้กลืนกินวิญญาณเท่านั้น มันอาจโดนกลืนกินได้เช่นกัน
นี่ทำให้ฉวี่ลี่กั๋วหวาดกลัวมาก
เสียงกรีดร้องจากวิญญาณเร่ร่อนด้านหน้ามันกำลังถูกกลืนกินและหวังหลินมีท่าทางมึนเมา นั่นทำให้ฉวี่ลี่กั๋ววอกแวก เขาจะได้ถึงตอนที่ต่อรองเจ้าอสูรตนนี้ ร่างกายพลันสั่นเทาด้วยความกลัว
ก่อนหน้านี้มันรู้สึกว่าหวังหลินใช้เครื่องมืออันแข็งแกร่งเพื่อลงโทษมันซึ่งเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดที่มันโดน แต่ว่านับเป็นเรื่องชี้ประติ๋วมากเมื่อเทียบกับการโดนกินทั้งที่ยังมีชีวิต…
ฉวี่ลี่กั่วตัดสินใจว่าจะไม่สร้างความวุ่นวายให้อสูรตัวนี้อย่างเด็ดขาด หากวันหนึ่งมันโกรธเขาขึ้นมาจริงๆ มันอาจจะกลืนกินเขาในคำเดียวโดยไม่มีอะไรเหลือ
ขณะที่เจ้าปิศาจน้อยตัวที่สอง แม้ว่ามันจะเป็นอสูร แต่หลังจากที่ติดตามฉวี่ลี่กั๋วเป็นเวลานาน มันจึงมีความนึกคิดอยู่บ้างเล็กน้อย หัวใจมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
สัญชาตญาณของมันแข็งแกร่งมากกว่าฉวี่ลี่กั๋ว เมื่อหวังหลินแสดงความสามารถการกลืนกินวิญญาณคล้ายๆกับมัน มันจึงคิดว่าหวังหลินเป็นราชา