Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 185

Cover Renegade Immortal 1

185. ผู้ปกครองทะเลโลหิต

บุคคลที่ยืนอยู่ตรงนี้สูงมากกว่าสิบฟุต เปล่งจิตสังหารอันแข็งแกร่งและสวมชุดเกราะสีม่วงพร้อมกับหนามกระดูกอันแหลมคมติดอยู่หลากหลายที่

เส้นผมสีดำปลิวไสวโดยไร้แรงลม ใบหน้าหล่อเหลาและคมเข้มมาก เขาดูเหมือนปิศาจตนหนึ่งโดยเฉพาะท่าทางเหี้ยมโหด

ดวงตาเรืองแสงสีแดงและจ้องไปที่จ้าวปิศาจหกปรารถนา หลังจากขบคิดชั่วขณะจึงพูดขึ้น “เย่เอ๋อร์ เจ้ายังจำอาจารย์ของเจ้าได้ ดีมากดีมาก แต่ชื่อของข้าตอนนี้คือเทพมารตู่ซือ”

หลังจากจ้าวปิศาจหกปรารถนาได้ยินสองประโยคนั้น จิตใจของเขาหวั่นไหวและไม่สามารถเชื่อสายตาได้ หากเป็นคนอื่นที่ดูเหมือนอาจารย์ เขาจะไม่หวั่นไหวแต่คนผู้นี้เรียกเขาด้วยชื่อเล่นที่มีไม่กี่คนรู้ นอกจากอาจารย์ของเขาหรือก็คือจอมเวทย์ปิศาจฟ้า ใครอีกจะรู้จักกันเล่า?

จ้าวปิศาจหกปรารถนาสูดหายใจลึก ใบหน้าเต็มไปด้วยความลังเลขณะที่เขาจ้องคนเบื้องหน้าและกล่าวออกมา “ท่าน…ท่านเป็นคนหรือมารกันแน่? ทำไมท่านถึงได้เปลี่ยนเป็นมารเหมือนเมิ่งหลังค่อมกัน? อีกทั้งหนึ่งพันปีก่อนท่านได้….”

จอมเวทย์ปิศาจฟ้าหลับตาแต่ลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วพร้อมกับพูดขึ้น “ที่เจ้าต้องการพูดก็คือข้าควรจะตายไปเมื่อพันปีก่อน จากนั้นข้าฟื้นคืนชีพมาได้อย่างไร ถูกไหม?”

จ้าวปิศาจหกปรารถนาลอบตื่นตระหนก ด้วยการปรากฎตัวของเมิ่งหลังค่อมและอาจารย์ของเขาที่ฟื้นชีวิตจากความตาย เขารู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้แปลกประหลาดเกินไป เขาสัมผัสได้ถึงความกลัวในใจขณะที่รู้ว่าต้องมีความลับยิ่งใหญ่ที่นี่แน่

ความสงสัยในดินแดนเทพโบราณของเขาก็คือไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าไปร่างกายของเทพโบราณและรับเอาสมบัติทั้งหมดติดตัวมาด้วย

ความสงสัยนั้นเริ่มเมื่อหนึ่งพันปีก่อนตอนที่อาจารย์ของเขารับมรดกสมบัติจากดินแดนของเทพโบราณมาและกลายเป็นเหมือนคนใหม่

ประเด็นนั้นทำให้คิดอย่างงุนงงมาตลอดหลายปี แต่ตอนนี้เหมือนกับฟ้าฝ่าลงมาและปรากฎขึ้นชัดเจนในหัวเขา

“ข้าไม่ได้ถูกสิงร่าง!” จอมเวทย์ปิศาจฟ้าพูดขึ้นขณะที่มองไปทิศทางที่เมิ่งหลังค่อมพึ่งผ่านไป

จ้าวปิศาจหกปรารถนาประหลาดใจแต่ใบหน้าสงบนิ่งขณะที่จ้องอาจารย์ของตัวเองและถอยหนีช้าๆ

อาจารย์ของเขาพูดขึ้นโดยไม่ได้หันมามอง “ถอยไปมากกว่าสิบก้าว ข้าจะถูกบังคับให้ต่อสู้!”

จ้าวปิศาจหกปรารถนาหยุดกึกและกระซิบ “ท่านอาจารย์ เรื่องทั้งหมดนี้มันอะไรกัน? หากท่านต้องการสังหารศิษย์ตัวเอง อย่างน้อยท่านต้องเล่าเรื่องทั้งหมด”

จอมเวทย์ปิศาจฟ้าหันกลับมามองศิษย์ตัวเอง เขาขบคิดชั่วครู่และพูดขึ้น “ก็ดี ไม่มีเรื่องอันตรายที่ข้าจะบอกเจ้า เรื่องนี้….”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ จ้าวปิศาจหกปรารถนาทำให้ร่างชายหนุ่มในฝ่ามือระเบิดดังปัง แม้กระทั่งชายหนุ่มที่ตายไปสักพักแล้ว เลือดของเขายังไม่แห้งและดูราวกับพึ่งตายไปหมาดๆ

ขณะที่ร่างกายระเบิด หมอกโลหิตพลันกระจายออกและห่อหุ้มรอจ้าวปิศาจหกปรารถนาทันที ร่างกายทั้งร่างดูราวกับรวมเข้ากับหมอกโลหิตและหายตัวไปขณะที่พุ่งไปทางออกของบททดสอบที่สาม

“หลบหนีปรารถนาโลหิต….เยี่ยมมาก เป็นไปตามคาดลูกศิษย์ของข้า เมื่อสถานการณ์ดูไม่ดีก็จงหนีซะ” จอมเวทย์ปิศาจฟ้าพูดด้วยรอยยิ้มเห็นด้วยบนใบหน้าขณะที่มองไปทางที่จ้าวปิศาจหกปรารถนาออกไป

วิชาของจ้าวปิศาจหกปรารถนาทั้งหมดถูกเขาสอนเป็นการเฉพาะ วิธีฝึกฝนเซียนที่เขาสอนก็คือวิธีฝึกฝนปิศาจฟ้าเร้นลับ มนุษย์มีสิ่งที่ปรารถนาหกอย่างโดยธรรมชาติ วิธีฝึกฝนเซียนก็เพื่อควบคุมความปรารถนาของตนเองจากนั้นใช้มันเป็นชักจูงความปรารถนาของคนอื่นให้เป็นไปตามประสงค์

เมื่อเปรียบกับคำสาปแห่งความตายนับว่าด้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดของวิธีฝึกฝนปิศาจฟ้าเร้นลับก็คือการควบคุมแรงปรารถนา หากสามารถควบคุมแรงปรารถนาได้เต็มที่จำนวนสี่ปรารถนา เขาจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณและหากควบคุมได้ถึงหกปรารถนา จะบรรลุขั้นเปลี่ยนวิญญาณ

จ้าวปิศาจหกปรารถนาได้รับรู้ความเข้าใจในการควบคุมมากกว่าห้าแรงปรารถนา สิ่งปรารถนาสุดท้ายนั้นเขายังไม่ได้เข้าใจมันซึ่งก็คือ ความหลงใหล ไม่ว่าเขาจะพยายามหนักหนาเพียงไหนก็ไม่อาจควบคุมแรงปรารถนานั้นได้ ความหลงใหลของเขาคือระดับฝึกฝนของตัวเองเท่านั้น นับตั้งแต่วันแรกที่เขาเริ่มฝึกฝนเซียน เขาสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะบรรลุขั้นเปลี่ยนวิญญาณให้ได้

สิ่งนี้เป็นความฝันและเป้าหมายในชีวิตของเขาเสมอมา จอมเวทย์ปิศาจฟ้าทำนายไว้ครั้งหนึ่งว่าความหลงใหลจะเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจ้าวปิศาจหกปรารถนา และมันก็เป็นความจริง

วิชาหลบหนีปรารถนาโลหิตนี้มาจากวิธีฝึกฝนปิศาจฟ้าเร้นลับที่จะใช้เป็นวิธีสุดท้าย โดยจะเสียสละระดับฝึกฝนการควบคุมความปรารถนาของตัวเองจะช่วยให้เพิ่มความเร็วโดยไม่อาจจินตนาการถึง

จ้าวปิศาจหกปรารถนาเป็นคนเด็ดขาดเสมอ เมื่อเขาเห็นอาจารย์ของตัวเองจึงสัมผัสความหวาดกลัวได เขาตัดสินใจกัดฟันและหนีด้วยชีวิต

ขณะที่หวังหลินกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มุ่งหน้าไปทางออกของบททดสอบที่สาม วิญญารเร่ร่อนทั้งหมดเคลื่อนที่ออกห่างเป็นเส้นทางให้กับเขา

ร่างกายเคลื่อนไหวรวดเร็วจนเกือบเป็นภาพเบลอ เขากำลังเข้าใกล้ขึ้นและใกล้ทางออกขึ้น ส่วนเรื่องจ้าวปิศาจหกปรารถนาจะอยู่หรือตาย หวังหลินไม่มีเวลาสนใจ เขาแทบจะไม่รู้จักกัน ไม่ว่าจ้าวปิศาจหกปรารถนาจะตายหรือไม่ก็สิ่งสำคัญก็คือช่วยเขาหลบหนี

แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือเขาเห็นผ่านวิญญาณเร่ร่อนว่าจ้าวปิศาจหกปรารถนาพบกับอาจารย์ของตัวเอง

และเมิ่งหลังค่อมเพียงหยุดกึกชั่วขณะก่อนจะไล่ล่าตามหลังเขาต่อไป

หวังหลินสูดหายใจลึกและดื่มน้ำพลังปราณอีกอึกใหญ่ เขาสะบัดแขนและเปลวไฟสีฟ้าปรากฎขึ้น หวังหลินตบกระเป๋าและกระบี่พิษสีดำลอยออกมาพร้อมกับเปล่งกระกายเย็นเยือก

ร่างหวังหลินกลายเป็นไม่มั่นคงไปชั่วขณะเมื่อเขายิงเปลวไฟและกระบี่กลับไปด้านหลัง จากนั้นพุ่งไปข้างหน้าต่อไป เปลวไฟและกระบี่แยกออกจากกันและพุ่งเข้าหาเมิ่งหลังค่อมจากสองทิศทาง

ขณะที่เมิ่งหลังค่อมไล่ล่า เขาสรุปในใจว่าคนผู้นี้คือคนที่มีกลิ่นอันสะอิดสะเอียนที่เขาไม่สามารถทนได้ เขาสับสนมากในเรื่องนี้ เร่งเร้าให้ตามทันและฉีกร่างมันออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

แต่ในใจเมิ่งหลังค่อมชื่นชมคนผู้นี้อย่างใจจริง บอกได้ว่าเขามีระดับเพียงแค่ขั้นแกนลมปราณระดับกลางและมีความเจ้าเล่ห์อย่างมาก หากเขาเริ่มไล่ตามหลังจากจ้าวปิศาจหกปรารถนา คนผู้นั้นจะหลบหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ทันที

สิ่งที่ทำให้เมิ่งหลังค่อมมึนงงจริงๆก็คือวิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดที่นี่ไม่มีการรุกรานต่อคนคนนี้ แม้คนผู้นี้จะพุ่งผ่านบททดสอบที่สามไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่พวกมันกลับไม่โจมตี

สิ่งนี้ทำให้จิตใจเขารู้สึกประหลาดมาก เหตุผลเดียวที่เขาไม่ถูกพวกมันโจมตีเป็นเพราะเจ้านายให้สมบัติวิเศษที่ป้องกันวิญญาณเร่ร่อนพวกนั้นได้

แต่คนคนนั้นมีสิ่งเดียวกันได้อย่างหร? เมิ่งหลังค่อมงุนงงอย่างมาก เขาสูดหายใจลึกจากนั้นก้าวไปข้างหน้าและพุ่งเข้าหาอย่างรีบเร่ง

ทว่าไม่นานนักหลังจากเคลื่อนที่ไป เขาสัมผัสถึงเปลวไฟสีฟ้าพุ่งเข้าหาเขาทันที พลันเยาะเย้ยและพุ่งตรงไปเร็วขึ้น

เขาไม่ได้กระทั่งหลบหลีกและเพียงกระแทกใส่เท่านั้น เปลวไฟสะบัดสองสามครั้งก่อนจะระเบิดออกเป็นดอกไม้เปลวน้ำแข็งนับไม่ถ้วนและกระจายไป

เมิ่งหลังค่อมเยาะเย้ยและกำลังจะเร่งความเร็วแต่ทว่าใบหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที แม้ว่าเปลวไฟกำลังเหือดหายไปอย่างช้าๆ เขามองไปที่หน้าอกตัวเองและสังเกตได้ว่ามันเป็นสีฟ้า มีชั้นน้ำแข็งหนึ่งบนหน้าอกเขา

น้ำแข็งเริ่มกระจายผ่านร่างกายเมิ่งหลังค่อมอย่างรวดเร็ว

เมิ่งหลังค่อมหยุดกึก เขามองต่ำลงมาและวางมือขวาไปบนน้ำแข็งทำให้มันแตกระแหงและหยุดกระจายทั่วร่าง

ขณะเดียวกันเขาสังเกตเห็นแสงกระพริบห่างไกล หลังจากแสงกระพริบ กระบี่รูปทรงประหลาดปรากฎถัดจากไหล่เมิ่งหลังค่อม กระบี่เหินรูปทรงแปลกมากมันมีหนามเล็กสีฟ้าหลายแห่งบนกระบี่สั้น บ่งบอกว่ามีพิษมาก

ขณะที่เมิ่งหลังค่อมเห็นกระบี่ หัวใจเขาสั่นสะเทือน เขาสัมผัสได้ถึงสิ่งคุ้นเคยอย่างมากจากตัวกระบี่ราวกับเป็นบางสิ่งที่สำคัญสำหรับเขา

เพียงชั่วขณะ เมิ่งหลังค่อมสูญเสียสมาธิและกระบี่แทงเข้าไหล่ขวา เสียงหึ่งดังขึ้นขณะที่กระบี่ปะทะเข้าหา แม้ว่ากระบี่จะเร็วอย่างมากแต่มันแทบจะเจาะผิวหนังไม่เข้า

แม้ว่ามันจะไม่ระคายผิวแต่พิษในกระบี่เริ่มบุกเข้าไปในร่างกายเมิ่งหลังค่อม เขาไม่แม้กระทั่งใส่ใจพิษ พลันจับไปตัวกระบี่ รู้สึกได้อย่างรุนแรงว่ากระบี่เล่มนี้เดิมทีเป็นของเขา

ด้วยระดับฝึกตนของเมิ่งหลังค่อม การจับกระบี่เสมือนกับของเล่นเด็ก ขณะที่เขายื่นมือออกไปเพื่อคว้ากระบี่ ชั้นพลังปราณห่อหุ้มรอบกระบี่สร้างเป็นพายุน้ำวนลูกหนึ่งเพื่อให้มันไม่สามารถหนีได้

หวังหลินเกือบจะถึงทางออกขณะที่ใบหน้าเปลี่ยนทันที เขารับรู้อันตรายที่กระบี่เหินกำลังเผชิญ หวังหลินไม่ได้หยุดแต่ฝ่ามือทั้งสองข้างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วสร้างหลายสัญลักษณ์จนในที่สุดหวังหลินพ่นพลังปราณสีทองออกมา

ขณะเดียวกันกระบี่เหินถูกขังไว้ในวังน้ำวนพลังปราณพลันรู้สึกได้ว่าพิษสีฟ้าบนตัวกระบี่ได้ทวีความรุนแรงขึ้น

ขณะที่เมิ่งหลังค่อมเอื้อมมือออกมาคว้ากระบี่ พายุน้ำวนคลายและกระบี่สร้างหนามออกมาแปดจุดพร้อมกับพุ่งเข้าหาเมิ่งหลังค่อมด้วยความเร็วสุดขีด

หากวิเคราะห์พิษบนตัวกระบี่ จะเห็นได้ว่าความจริงแล้วมันเทียบไม่ได้กับพิษบนหนาม ตอนที่หวังหลินสร้างกระบี่เล่มนี้ เขาใช้สมาธิอย่างมากกับหนามทั้ง 99 จุด

พิษเกือบทั้งหมดถูกบรรจุไว้บนหนามพวกนั้นเป็นผลให้จำนวนพิษของหนามแปดจุดมีอยู่สูงมาก

หากใช้ต่อต้านคนอื่นเมื่อนั้นมันจะได้ผลลัพธ์ดีมาก แต่เมิ่งหลังค่อมเป็นเซียนพิษ พิษหลักในหนามคือพิษหวังติง พิษนี้เดิมทีเป็นสมบัติของเมิ่งหลังค่อมดังนั้นจึงไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ ก่อนหน้านี้ที่กระบี่แทงไปบนไหล่ของเขา ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเพื่อให้เขาดูดซับพิษเท่านั้น

แม้ว่าพิษบนหนามจะไม่เป็นอันตรายแต่พลังของหนามราวกับกระบี่แปดเล่ม หากเป็นคนอื่นแล้วฝ่ามือคงถูกแทงทะลุ แต่สำหรับมารร้ายเมิ่งหลังค่อมแล้วร่างกายเขาบรรลุความแข็งแกร่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ขณะที่หนามชนเข้ากับฝ่ามือเขา พวกมันหักครึ่งภายใต้แรงปะทะทันที

แม้ว่าหนามแหลมจะพังทะลายไปแล้ว มันชะลอตัวลงขณะที่มืออีกฝ่ายกำลังเอื้อมจับกระบี่ ณ จุดนั้นกระบี่เหินหนีไป เมิ่งหลังค่อมเพียงจับได้แต่ปลายกระบี่ก่อนที่มันจะหายไปจากฝ่ามือเขา

แต่กระดับฝึกตนของเมิ่งหลังค่อมแข็งแกร่งนัก เพียงแค่แตะมันเขาก็สามารถสร้างสีหมองคล้ำพร้อมกับรอยแตกหนึ่งรอยปรากฎบนตัวกระบี่นั้น

กระบี่เหินหายวับไปอย่างรวดเร็วโดยไร้ร่องรอยขณะที่มันหนีออกมาได้มากกว่าหนึ่งพันฟุตจากเมิ่งหลังค่อม

ใบหน้าเมิ่งหลังค่อมมืดหม่น จ้องไปที่ทิศทางที่กระบี่หายไป เขาสะบัดแขนขวาและฉีกรอยแยกหนึ่งออกมา

สัมผัสวิญญาณที่กดขี่ออกมาจากรอยแยกพร้อมกับกวาดพื้นที่ใกล้เคียงจากนั้นปกคลุมทั่วทั้งบททดสอบที่สาม ทว่ามันระมัดระวังบริเวณที่วิญญาณกลืนกินกำลังหลับไหลอยู่

“มันอะไรกัน?” สัมผัสวิญญาณส่งข้อความอันหนาวเหน็บออกมา

เมิ่งหลังค่อมคุกเข่าลงทันทีเมื่อสัมผัสวิญญาณออกมา

“นายท่าน มีเซียนคนหนึ่งเข้าใกล้ทางออกมากเกินไป ข้าขอความช่วยเหลือ”

“ตกลง” สัมผัสวิญญาณตอบกลับ

เมิ่งหลังค่อมพุ่งเข้าหาหวังหลินทันทีหลังจากได้ยินเสียงตอบกลับ เขามั่นใจไ้ดว่าด้วยการช่วยเหลือของอีกฝั่ง ไม่มีทางที่เด็กขั้นแกนลมปราณระดับกลางจะออกไปได้

สัมผัสวิญญาณของผู้สื่อสารตรวจสอบบททดสอบที่สามอย่างรวดเร็วและพบหวังหลินกับจ้าวปิศาจหกปรารถนา เขาเพ่งสัมผัสวิญญาณของตนเองไปบนจ้าวปิศาจหกปรารถนาที่ปกคลุมไปด้วยลำแสงสีโลหิตซึ่งเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างมหาศาล ทว่ายิ่งจ้าวปิศาจหกปรารถนาเข้าไปลึกขึ้นก็ยิ่งพบเจอวิญญาณเร่ร่อนมากขึ้น มันมากกว่าที่สมบัติของเขาสามารถต่อกรได้

เป็นผลให้เขาถูกวิญญาณเร่ร่อนโจมตีระหว่างทาง เขาอาศัยพลังปราณของตัวเองเพื่อต่อสู้กับวิญญาณเร่ร่อนที่กำลังอาละวาดในร่างกายเขา

ขณะที่สัมผัสวิญญาณคนผู้นั้นปรากฎขึ้น จ้าวปิศาจหกปรารถนาร่างสั่นสะท้าน ในที่สุดหลังจากกำจัดวิญญาณเร่ร่อนได้ สัมผัสวิญญาณผิดปกตินั้นได้ปรากฎขึ้น เขารู้จากสัมผัสวิญญาณอันทรงพลังที่ส่งออกมานั้นว่าระดับฝึกตนของเขาต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่

หลังจากสัมผัสวิญญาณตรวจสอบจ้าวปิศาจหกปรารถนา มันส่งคลื่นพลังที่ทำให้แสงสีแดงโลหิตจางหายไปทีละน้อยทีละน้อยจนกระทั่งหายไปในที่สุด เผยออกมาเป็นใบหน้าจ้าวปิศาจหกปรารถนาที่กำลังหวาดกลัว

“ข้าไม่สามารถทำอะไรกับวิญญาณกลืนกินรอบๆได้ ข้าทำได้เพียงช่วยเจ้าขัดขวางเขาไว้เท่านั้น (จ้าวปิศาจหกปรารถนา)” หลังจากจบการกระทำนั้น สัมผัสวิญญาณอันทรงพลังส่งข้อความหาจอมเวทย์ปิศาจฟ้าซึ่งกำลังไล่ตามหลังจ้าวปิศาจหกปรารถนาอย่างไม่ใส่ใจ

ใบหน้าจอมเวทย์ปิศาจฟ้าสงบนิ่ง เขาพยักศีรษะและเร่งความเร็วพุ่งไปข้างหน้าทันที จ้าวปิศาจหกปรารถนากรีดร้องและกัดฟันแน่น เขาไม่ลังเลที่จะใช้แรงปรารถนาเพื่อกระตุ้นวิชาหลบหนีปรารถนาโลหิตอีกครั้ง เวลานี้ร่างกายเขาแทบไม่สามารถอดทนต่อวิชานี้ได้และไออกมาเป็นก้อนเลือด วิญญาณเร่ร่อนในร่างกายเขาเริ่มกินเขาไปด้วย พลันเผยรอยยิ้มและพุ่งไปข้างหน้า

สัมผัสวิญญาณตรวจสอบจ้าวปิศาจหกปรารถนาอีกครั้งแต่ไม่ได้ทำอะไร หลังจากมองหนึ่งครั้งจึงจากไป เขามาถึงที่ทางออกของบททดสอบที่สามและเห็นหวังหลินห่างจากทางออกหนึ่งพันฟุต

สัมผัสวิญญาณส่งออกมาเป็นคลื่นโดยมีเป้าหมายที่หวังหลิน หวังหลินสังเกตได้สัมผัสวิญญาณในขณะที่มันปรากฎตัวออกมา แม้มันจะทรงพลังอย่างมาก หวังหลินรู้สึกประหลาดเล็กน้อย เขารู้สึกราวกับมีบางสิ่งผิดปกติกับสัมผัสวิญญาณนี้

ขณะที่สัมผัสวิญญาณโจมตีหวังหลิน เขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าผิดปกติตรงไหน สัมผัสวิญญาณนี้ไม่ได้เป็นเซียนคนหนึ่งแต่เป็นวิญญาณเร่ร่อนตนหนึ่งที่กำลังจะกลายเป็นวิญญาณกลืนกิน

นี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินพบเจอกับวิญญาณเร่ร่อนตัวใหญ่เช่นนี้ ทว่าวิญญาณเร่ร่อนก็ยังคงเป็นวิญญาณเร่ร่อน จนกว่ามันจะกลายเป็นวิญญาณกลืนกิน ไม่ว่ามันจะมีขนาดใหญ่แค่ไหนมันก็ยังต่ำชั้นกว่าวิญญาณกลืนกิน นั้นยังเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ที่วิญญาณเร่ร่อนต้องข้ามผ่าน

วิญญาณเร่ร่อนตัวใหญ่นั้นกล้าโจมตีหวังหลินที่เป็นถึงวิญญาณกลืนกิน จากมุมมองของหวังหลิน วิญญาณเร่ร่อนตัวใหญ่นี้เป็นเม็ดยาสุดยอดอมตะแน่นอน หากหวังหลืนกินกินมันไป วิญญาณเขาไม่เพียงฟื้นคืนถึงจุดเดิม แต่กระทั่งข้ามขีดจำกัดจนไม่อาจจินตนาการได้

ขณะเดียวกันนั้นที่การโจมตีของวิญญาณเร่ร่อนปะทะเข้ากับหวังหลินทำให้มันมึนงงทันที วิญญาณเร่ร่อนตนนั้นเกิดเรื่องประหลาดใจ

“วิญญาณกลืนกิน! เจ้า…เจ้าเป็นวิญญาณกลืนกิน!” วิญญาณเร่ร่อนร้องตะโกนออกมา แม้ว่าจะแฝงความประหลาดใจในน้ำเสียงนั้น แต่ยังมีสัมผัสถึงความตื่นเต้นเช่นกัน

หวังหลินพบข้อสงสัยในใจแต่เขาเริ่มกลืนกินวิญญาณเร่ร่อนที่เข้ามาในร่างไปแล้ว วิญญาณเร่ร่อนถอนสัมผัสวิญญาณของตัวเองออกทันทีแต่ส่วนหนึ่งของมันถูกหวังหลินกลืนกินไปเรียบร้อย

หวังหลินเลียริมฝีปาก เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าวิญญาณขอบเขตจวี่ของเขาเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร้วแต่รู้สึกเสียใจเล็กน้อย หากเขาสามารถกลืนกินวิญญาณได้ทั้งดวง วิญญาณของเขาเองจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

หลังวิญญาณขนาดใหญ่หลบหนีไป มันใช้วิธีอันซับซ้อนเพื่อเปิดรอยแยกและหายไปจากบททดสอบที่สาม

ขณะเดียวกันนั้นในทะเลโลหิตของเทพมาร รอยแยกหนึ่งปรากฎในท้องฟ้าขณะที่วิญญาณขนาดใหญ่ตนหนึ่งผ่านออกมา มันรีบเข้าไปหาเสาที่สูงที่สุดเทียมฟ้า ขณะที่มันเข้าใกล้วิญญาณของมันเปลี่ยนเป็นร่างชายหนุ่ม คุกเข่าบนอากาศด้วยใบหน้าดูอ่อนแอ แต่ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“นายท่าน ในบททดสอบที่สามข้าเห็น….วิญญาณกลืนกิน!”

บนยอดเสาหินมีชายผมแดงนั่งอยู่ เขากำลังมองลงมา ดังนั้นเส้นผมจึงปิดบังใบหน้า ทว่าสัมผัสแห่งความหยิ่งผยองกระจายออกมาจากร่างกายนั้น

เมื่อได้ยินเสียงของวิญญาณเร่ร่อน ร่างกายนั้นสั่นเทาทันทีและยกศีรษะขึ้น มันเผยใบหน้ากระหายเลือดพร้อมกับหมอกโลหิตหนาได้ปรากฎในทะเลโลหิต

ในขณะเดียวกันเซียนทุกคนบนเสาหินและกระทั่งคนที่กำลังนั่งแช่โลหิตบนพื้นพลันมองมาที่เขาด้วยใบหน้าปิติยินดีทันที

“วิญญาณกลืนกิน…เจ้าแน่ใจหรือ?” ชายผู้นั้นเปล่งน้ำเสียงต่ำแต่เต็มไปด้วยอำนาจ

ชายผมยาวที่ก่อร่างจากวิญญาณได้พูดขึ้น “นายท่าน ข้ามั่นใจว่าคนผู้นั้นเป็นวิญญาณกลืนกิน มันอยู่ใกล้กับทางออกของบททดสอบที่สาม หากท่านต้องการจับเขา ท่านต้องไปตอนนี้!”

“วิญญาณกลืนกิน…” ดวงตาของชายผมแดงเผยความหมองคล้ำ เขาสะบัดแขนและรอยแยกยาวหลายพันฟุตปรากฎขึ้น

“เทพมารตู่ซือทั้งหมด ออกไปจับวิญญาณกลืนกินตนนั้นและนำกลับมาให้ข้า!” ชายผมแดงพูดขึ้นจากนั้นมองลงไปข้างล่างอีกครั้งและเงียบเสียง

หลังจากที่เขาพูดจบ เซียนทั้งหมดในทะเลโลหิตกระโจนออกจากเสาหินหรือบนพื้นและหายเข้าไปในรอยแยกทันที

วิญญาณขนาดใหญ่ตัวนั้นต่างติดตามพวกเขาผ่านรอยแยกเช่นกัน ทั้งทะเลโลหิตพลันว่างเปล่า หลงเหลือแต่เพียงชายผมแดง เขาใช้ฝ่ามือสีแดงเขียนคำพูดแถวหนึ่งบนพื้น

“ข้าถูกผนึกในทะเลโลหิตของเทพมารมาหมื่นปี วันนี้ข้าได้ยินว่าวิญญาณกลืนกินตนหนึ่งปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง หัวใจข้าตื่นเต้นมาก…”

ถัดจากแถวนั้นมีประโยคเล็กๆหลายแถวพร้อมกับลายมือเขี่ยๆ

“เข้ามาในบททดสอบที่สาม ข้าตระหนักได้ทันทีว่าสถานที่แห่งนี้คือรอยแยกหนึ่งที่เชื่อมต่อกับโลกแห่งการล่มสลาย หลังจากค้นคว้าข้าได้พบทางเข้าสู่โลกแห่งการล่มสลายแต่ไม่อาจเข้าไปได้”

“ดินแดนของเทพโบราณแห่งนี้เป็นคำเล่าลือที่เกินจริง นอกจากบททดสอบแห่งที่สามที่สนุกเล็กน้อย ดินแดนอื่นๆช่างน่าผิดหวังมาก เดิมทีข้าต้องการจะออกไป แต่นับที่ข้าอยู่ที่นี่ ข้าอาจจะต้องควานหาทางออกให้ดีไม่เช่นนั้นข้าต้องเสียเวลาเปล่า”

“ดินแดนแห่งที่สี่เป็นเพียงค่ายกลเคลื่อนย้าย ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เคลื่อนย้ายผู้คนคิดจากจากความเร็วการผ่านบททดสอบสามแห่ง ค่ายกลซับซ้อนมาก หลังจากใช้เวลาศึกษาเรียนรู้อยู่นานตอนนี้ข้าจึงสามารถใช้มันเข้าสู่พื้นที่ส่วนใดก็ได้ของร่างกายเทพโบราณ”

“ดินแดนของเทพโบราณเป็นอย่างไรงั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่ามันเป็นดินแดนของเทพมาร”

“เทพโบราณตู่ซือ…คนผู้นี้ความจริงแล้วเป็นเซียนคนหนึ่งที่มีภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ ข้าชื่นชมเขามาก…จึงเข้ามาด้วยวิธีนี้”

“ข้าไม่คิดว่าข้าจะถูกขังไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งนับพันปี…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version