1857. หลิวจื่อหยวน
หวังหลินซึ่งปะปนไปกับกองทัพเซียนหมื่นคนไม่ได้ทำตัวโดดเด่นมากนัก มีเพียงหยานหลวนที่มองกลับมายังกองทัพเซียนราวกับกำลังมองหาหวังหลิน
แต่มีเซียนมากมายเกินไป ที่นี่ยังปกคลุมไปด้วยสายหมอกจึงทำให้นางหาเขาไม่เจอ
ในสายหมอกแห่งนี้ เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวได้ทะยานไปข้างหน้าโดยมีชายชราขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนเป็นผู้นำทัพ ขณะที่ท่องทะยานนั้นสายหมอกถูกผลักกลับไปราวกับพวกมันไม่กล้าเข้าไปใกล้จนเกินไป
แม้แต่บนแผ่นดินเซียนดารา เหล่าเซียนวิบากดับสูญระดับกลางยังเป็นเสมือนนายเหนือหัวที่สามารถค้ำจุนสำนักระดับกลางได้ กระทั่งเก้าสำนักสิบสามกองกำลังเองยังถือว่าเป็นผู้อาวุโสระดับแถวหน้า!
เซียนที่สามารถบรรลุขั้นวิบากดับสูญระดับกลางได้ถือว่าสังหารได้ยากมาก เพราะมีทั้งสมบัติช่วยชีวิตและวิชาหลายอย่าง
สองชายชราขั้นวิบากดับสูญระดับกลางที่มาจากแคว้นมารเขียวมีแซ่จางและแซ่จ้าว ทั้งคู่มาจากสำนักมารที่แตกต่างกัน แต่พอร่วมมือกันกลับทำให้โลกสั่นสะเทือน ลิ่วเหวินหลานพุ่งทะยานออกไปและเริ่มต่อสู้กับชายชราแซ่จางในสายหมอก!
เสียงดังสนั่นแผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง การต่อสู้ของแต่ละคนได้ทำให้เกิดสายลมรุนแรงพัดกระพือจนไม่สามารถทำให้เซียนคนอื่นเข้าไปใกล้ได้
ชายชราแซ่จ้าวอีกคนก้าวทะยานและกำลังจะร่วมวงต่อสู้กับลิ่วเหวินหลาน ในสายตาเขาตราบใดที่ทำให้ลิ่วเหวินหลานบาดเจ็บสาหัส เซียนที่เหลืออยู่ที่นี่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล!
แต่ขณะที่ชายชราแซ่จ้าวก้าวออกไปข้างหน้า หยานหลวน ซิ่วตงเต๋อและเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นอีกคนได้เข้าไปขัดขวาง ทั้งสามคนร่วมมือกันเข้าต่อสู้กับเขา!
หากเป็นที่อื่น แม้ทั้งสามจะร่วมมือกันก็ไม่สามารถเทียบชั้นกับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางได้ ความแตกต่างในแต่ละชั้นของเซียนขั้นวิบากดับสูญถือได้ว่ามหาศาลดุจฟ้ากับเหว
หวังหลินที่มีเจ็ดแก่นแท้สามารถต่อสู้กับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นได้ แต่ถึงแม้เขาจะมีแปดแก่นแท้ในตอนนี้ก็ยังต่อสู้ได้เพียงเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นอยู่ดีและไม่สามารถสั่นคลอนระดับกลางได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ภายในค่ายกลชีพจรกระทิงสวรรค์แห่งนี้ ขณะที่สายหมอกเข้าสู่ร่างกาย การต่อสู้จึงเปลี่ยนไป ทั้งสามคนสามารถต้านทานชายชราแซ่จ้าวได้! ถึงแม้จะไม่ชนะก็สามารถยื้อได้อยู่ดี!
ด้วยคนทั้งสี่ที่กำลังต้านทานเซียนทรงพลังสองคนของอีกฝ่าย ทำให้ฝ่ายเซียนแคว้นมารเขียวไม่สามารถลงไปทำหน้าที่กวาดล้างได้ แต่ยังมีเซียนขั้นวิบากแก่นแท้ระดับต้นจำนวนสี่คนจากแคว้นมารเขียวอยู่อีก
สี่คนนี้เป็นสองบุรุษและสองสตรี พวกเขาสวมชุดคลุมหรูหราและมีสถานะอันพิเศษ ทั้งสี่คนเผชิญปัญหาเดียวกันเพราะยังมีเซียนขั้นวิบากดับสูญสามคนจากแคว้นกระทิงสวรรค์อย่างเหล่าเซียนเฒ่า ซึ่งสามคนนี้แทบจะมีพลังอันไร้ขีดจำกัดในสายหมอก พวกเขาเริ่มต่อสู้กับสี่คนจากแคว้นมารเขียว เหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญจึงเป็นจุดเริ่มต้นการต่อสู้ของสงครามครั้งนี้!
หลังจากเริ่มต่อสู้กันทั้งสองฝ่ายจึงเกิดความวุ่นวายเนื่องจากมีคนกว่าสองหมื่นคน ทัศนวิสัยถูกสายหมอกบดบังและมีเสียงกรีดร้องดังระงมขึ้นไปทั่ว
หวังหลินเคลื่อนร่างในสายหมอกดุจภูติผี ก้มหน้าลงมองเข็มทิศในมือซึ่งมีจุดสีขาวและเขียวอยู่หนาแน่นและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
เสียงร้องโหยหวนดังกึกก้องอยู่ในสายหมอก แสงกะพริบของเหล่าวิชาปกคลุมไปทั่วแต่ไม่อาจปกคลุมจิตสังหารที่ปะทุจากภายในได้ หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาชี้ไปทางขวา เพียงเท่านั้นแสงสีโลหิตกะพริบวาบ กระบี่โลหิตพุ่งทะยานออกไป
ฉัวะ!
เซียนจากแคว้นมารเขียวพลันก้าวออกมาจากสายหมอก เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบสนองและถูกกระบี่ตัดศีรษะหลุดจากบ่า
หวังหลินมีสีหน้าดังเดิมและเดินหน้าต่อไป เป้าหมายของเขาไม่ใช่เซียนธรรมดาแต่เป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญ!
หวังหลินต่อสู้ไปพลางมีสายหมอกสีดำรอบตัวไว้หนึ่งชั้น สายหมอกสีดำนี้แตกต่างจากของค่ายกล มันเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและลิ้นสีแดงสดส่ายไปมาข้างใน
หลังจากเข้าไปใกล้กับการต่อสู้ของเซียนขั้นวิบากดับสูญทั้งเจ็ดคนก่อนหน้านี้ หวังหลินจึงชะลอตัวลง ท้ายที่สุดเขาก็หยุดห่างจากการต่อสู้ในระยะหลายหมื่นฟุต ยืนอยู่ตรงนั้นและดวงตาเป็นประกาย
‘การสังหารพวกเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นนับว่าเป็นเรื่องยากมาก…แค่คนเดียวก็แทบสังหารไม่ได้แล้ว…แม้จะมีหุ่นเชิดเย่ซื่อช่วยเหลือก็ยังไม่พอ…’ หวังหลินรู้ดีว่าการสังหารเซียนที่ผ่านด่านวิบากแก่นแท้ทั้งเก้าด่านไปแล้วจนบรรลุขั้นวิบากดับสูญนับว่าเป็นเรื่องยากแค่ไหน มันไม่เหมือนกับการสังหารเซียนแซ่เฉียนและหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่อยู่ใต้ผืนธงในทะเลโอสถ
สามคนนั้นผ่านถึงด่านที่เก้าวิบากแก่นแท้ ถึงแม้จะใกล้เคียงอย่างมากกับขั้นวิบากดับสูญแต่ช่องว่างกลับกว้างใหญ่เกินไป สองในสามสามารถสังหารกลุ่มพยัคฆ์ขาวได้และด้วยสภาพแวดล้อมอันพิเศษจึงสามารถบังคับเซียนพวกนั้นให้ตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ได้อีก นอกจากนี้ระดับบ่มเพาะของกลุ่มพยัคฆ์ขาวก็ใกล้เคียงกับตู้ฉิงซึ่งอยู่ในระดับวิบากแก่นแท้ที่เจ็ดถึงแปด
ในโลกถ้ำนั้นมีแค่ผีเฒ่าจางและเซียนเต๋าสีรุ้งที่อยู่ในขั้นวิบากดับสูญระดับต้น หากได้ผสานเข้ากับวิญญาณดวงที่สามและกลายเป็นราชันย์เทพสีรุ้งคนใหม่ พวกเขาก็คงบรรลุถึงขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสูงสุด
ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลินในตอนนี้ เขาสามารถสังหารคนที่ต่ำกว่าขั้นวิบากดับสูญได้ แต่การสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญจริงๆ ยังต้องเตรียมการหลายอย่าง
แม้แต่บนแผ่นดินเซียนดาราเอง การตายของเซียนขั้นวิบากดับสูญหนึ่งคนนับว่าหาได้ยาก เมื่อเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของสำนักอย่างมหาศาล
ไม่ต้องพูดถึงการตายของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางเลย แม้แต่ในสำนักมหาวิญญาณเองก็ไม่อยากพบเจอเหตุการณ์แบบนี้
หวังหลินมองดูสายหมอกปั่นป่วนเบื้องหน้า เฝ้าดูทั้งเจ็ดคนพัวพันในการต่อสู้แห่งความเป็นความตาย ยากนักที่จะตัดสินชัยชนะ ซึ่งความจริงแล้วแทบไม่สามารถบอกได้ ตราบใดที่แต่ละคนยังคงระมัดระวังตัวเองก็คงไม่ตาย อย่างมากก็บาดเจ็บ
แต่หวังหลินไม่กระวนกระวาย นั่งลงอย่างง่ายๆ หมอกสีดำรอบตัวเขาผสานเข้ากับสายหมอกของค่ายกลจนยากจะตรวจเจอ นอกจากนี้การที่เซียนขั้นวิบากดับสูญเจ็ดคนสู้กันอยู่ ยิ่งเข้าไปใกล้ยิ่งอันตราย หวังหลินทำได้แค่หาที่ปลอดภัยและรอโอกาส
เขากำลังรอคอยโอกาสสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นในครั้งเดียว
‘เย่ซื่อสามารถใช้กระบวนท่าโจมตีอย่างหนักหน่วงออกไปได้ กระบี่โลหิตทำให้บาดเจ็บได้ ประทับวิญญาณสงครามป้องกันไม่ให้หนี…ภาพมายาทับซ้อนสามารถสร้างจังหวะโอกาส…และกระบวนท่าสุดท้ายจะต้องเป็นวิชาต้นกำเนิดวิญญาณ!’
‘ทั้งหมดนี้ทำได้แค่ทำให้บาดเจ็บสาหัสเท่านั้น ไม่สามารถสังหารได้…’ หวังหลินดวงตาเปล่งประกายพลางจ้องมองระยะห่างนับหมื่นฟุต
พริบตาเดียวผ่านไปอีกหลายชั่วโมง เสียงการเข่นฆ่าไม่ลดน้อยลงเลยและมีแต่จะรุนแรงขึ้น จำนวนคนที่ตายของทั้งสองฝั่งถือว่ามหาศาล
อย่างไรก็ตามหวังหลินยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น รอคอยโอกาสอันเหมาะสม
หลิวจื่อหยวน คือผู้อาวุโสของสำนักเต๋ามารและเพิ่งบรรลุขั้นวิบากดับสูญระดับต้นได้ไม่นาน ดังนั้นจึงค่อนข้างมีชื่อเสียงในสำนักเต๋ามาร เขายังเป็นทายาทของจ้าวสำนักเต๋ามาร ดังนั้นจึงมีสายโลหิตอันแน่นแฟ้น
เขาเข้าร่วมการรุกรานแคว้นกระทิงสวรรค์พร้อมกับผู้อาวุโสอีกคนชื่อซิ่วเว่ย และสหายจากสำนักอื่นอีกสองคน ตอนนี้กำลังต่อสู้กับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นจำนวนสามคนจากแคว้นกระทิงสวรรค์
อีกฝ่ายดูเหมือนมีพลังไร้ที่สิ้นสุดและใช้วิชาได้ทุกรูปแบบ ทั้งสี่คนถูกสายหมอกขัดขวางสัมผัสวิญญาณและไม่สามารถฟื้นฟูได้ หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมงจึงแสดงสัญญาณว่ากำลังโดนกดดัน
การต่อสู้อันวุ่นวายระหว่างเจ็ดคนดำเนินไปเรื่อยๆ และเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง หลิวจื่อหยวนเพิ่งจะบรรลุขั้นวิบากดับสูญ ดังนั้นพลังปราณสวรรค์จึงเริ่มจะหมด อีกทั้งหมอกรอบตัวเขาได้ดูดซับพลังปราณสวรรค์ของเขาไปจำนวนมาก
‘ไอ้หมอกบัดซบ!! เมื่อไรพวกผู้ส่งสาส์นจะมาถึงกัน? หากเป็นเช่นนี้ต่อไปสงครามจะยากขึ้นเรื่อยๆ!’ หลิวจื่อหยวนมีท่าทีมืดมน ฝ่ามือสร้างผนึกเป็นดอกบัวสีดำเข้าปะทะกับมังกรที่สร้างขึ้นจากวิชาของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นจากแคว้นกระทิงสวรรค์
ท่ามกลางเสียงดังอึกทึก หลิวจื่อหยวนจึงล่าถอยโดยไม่ลังเล เขาไม่จำเป็นต้องพูดเนื่องจากพรรคพวกอีกสี่คนรู้หน้าที่ของตัวเอง พวกเขารีบขัดขวางการโจมตีที่เหลือเพื่อให้มีโอกาสได้กินเม็ดยาไปบางส่วน
หลังจากผ่านการต่อสู้ไปหลายชั่วโมง แน่นอนว่าทั้งสี่คนยังต้องฟื้นคืนพลังปราณสวรรค์ ไม่เช่นนั้นคงไปต่อได้ยาก
หลิวจื่อหยวนมีสีหน้าโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง เขาบ่มเพาะวิถีฝึกฝนหยินหยางซึ่งจะควบแน่นวิญญาณของเซียนหญิงสาวให้กลายเป็นดอกบัวสีดำ เซียนหญิงสาวมากมายล้วนตายด้วยมือเขา
พริบตาเดียวเขาจึงล่าถอยไปหมื่นฟุต สะบัดแขนขวาให้ก้อนแสงปรากฏขึ้นเบื้องหน้ามากกว่าสิบก้อน ข้างในก้อนแสงแต่ละก้อนมีหญิงสาวเปลือยเปล่าสูงสามฟุต ทั้งหมดดูน่าเวทนา
หลิวจื่อหยวนอ้าปากสูดเข้าไปโดยไม่แม้แต่หันไปมอง
ทว่าในจังหวะนั้นเองหวังหลินที่ซ่อนตัวอยู่ห่างจากเขาไม่ไกล พลันลืมตาเย็นเยียบขึ้นมา เขารอคอยโอกาสนี้มานานและในที่สุดก็มีคนมามอบให้!
‘เขาคือคนที่หนึ่ง!’
หวังหลินเผยแววตาที่มีจิตสังหาร สัญญาแรกที่ให้ไว้กับสำนักมหาวิญญาณคือการสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นจำนวนสิบคน วันนี้เขาจะสังหารคนแรก!
ขณะที่หวังหลินก้าวไปข้างหน้าดุจประกายสายฟ้า ในมือปรากฏแสงโลหิตกะพริบวาบฟันเข้าใส่หลิวจื่อหยวนที่หันหลังมาหาหวังหลิน!
ความคมของกระบี่โลหิตนับว่าไร้คู่เปรียบเทียบ ขณะที่หลิวจื่อหยวนกำลังกลืนกินก้อนแสงหลายสิบก้อน ทันใดนั้นเขาสัมผัสได้ถึงอัตรายและล้มเลิกการกลืนกินก้อนแสงทันที เขาสะบัดแขนปรากฏดอกบัวสีดำขึ้นด้านหลังซึ่งปะทะกับกระบี่โลหิต!
เสียงดังสนั่นกึกก้องพร้อมกับหลิวจื่อหยวนหันตัวกลับมา ดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ข้าอยากเห็นเสียจริงว่าใครกันที่กล้าลอบโจมตีข้า!”
ทว่าขณะที่เขาหันกลับมา หวังหลินจึงเข้าโจมตี!