1860. แขกที่ไม่ได้รับเชิญ!
ดวงจันทราแขวนอยู่บนทุ่งยอดนภาและมีดวงดาวประปราย แสงจันทราส่องสว่างกระทบบนพื้นดินทำให้ทุ่งหญ้าห่อหุ้มอยู่ในแสงสีเงิน มองไกลๆ ช่างเป็นภาพที่ดูงดงาม ก่อเกิดเป็นความรู้สึกอันสงบสุขเกินบรรยายและไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่ามันเคยเป็นสนามรบของเซียนหลายหมื่นคนตรงนี้มาตลอดหลายวัน
บนพื้นไม่มีร่างศพเหลืออยู่ ร่างและวิญญาณของเซียนที่ตายไปแล้วถูกสายหมอกกลืนกินไปทั้งหมด สภาพแวดล้อมดูไม่แตกต่างจากก่อนหน้านี้
มีแต่เพียงกลิ่นคาวเลือดที่แสดงให้เห็นว่ามันเคยมีการต่อสู้ล้างผลาญแค่ไหน
แสงจันทราส่องกระทบผืนดินแต่ไม่อาจเจาะทะลุเข้าไปในวังใต้ดินได้ หวังหลินนั่งอยู่ในถ้ำมืดไร้แสงไฟ แม้แต่ร่างเขาก็ยังคล้ายกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของความมืด
หวังหลินใช้อะไรไปมากมายเพื่อสังหารหลิวจื่อหยวน จากการคำนวณทุกอย่างก่อนการต่อสู้จนถึงกระบวนท่าสุดท้าย ตอนนี้ใบหน้าซีดเผือดและกำลังหลับตาบ่มเพาะ
ผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหนในที่สุดหวังหลินก็ลืมตาส่องสว่างขึ้นมา ราวกับในดวงตามีก้อนเปลวเพลิงสองดวงที่จุดขึ้นในถ้ำ
หวังหลินในตอนนี้รู้ซึ้งถึงอันตรายในการสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญแล้ว หากเป็นคนอื่นคงพบว่าสังหารได้ยากเพราะหลิวจื่อหยวนมีวิชาอีกหลายอย่างและสมบัติที่ไม่เคยนำออกมาใช้ ช่วงจังหวะเวลาของหวังหลินถือว่ายอดเยี่ยมมากเกินไป ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์คงแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
‘วิบากดับสูญระดับต้นจำนวนสิบคน ระดับกลางจำนวนสามคน…งานที่บรรพชนกระทิงเขียวให้ข้ามาถือว่าค่อนข้างยาก…’ หวังหลินขบคิดเงียบๆ ความจริงตอนที่เขาตกลงในสามเงื่อนไขนี้ เขารู้อยู่แล้วถึงความท้าทาย
เหตุผลที่ตกลงเป็นเพราะหวังหลินไม่ยอมเป็นหนี้เรื่องสมบัติสามชิ้น! เพียงแค่สมบัติเป็นแก่นแท้วารีก็เท่ากับเป็นการมอบแก่นแท้ใหม่ให้เขาไปแล้ว!
หากเขาพึ่งพาตัวเองไปทำความเข้าใจและรวบรวมแก่นแท้มันคงยากเกินไปดังที่แสดงออกมากับแก่นแท้เพลิงและแก่นแท้สายฟ้า ดังนั้นน้ำหนักความสำคัญของของขวัญได้ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้
ส่วนหินมิติ แม้จะดูธรรมดาแต่หวังหลินรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่ของธรรมดาทั่วไป มันมีมิติอวกาศข้างในจำนวนมากและลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
อีกทั้งในของขวัญชิ้นสุดท้าย ใช้เพื่อพยากรณ์ได้หนึ่งครั้ง มันจะช่วยหวังหลินในสถานการณ์วิกฤติและสามารถย้อนคืนเหตุการณ์ทั้งหมดได้!
สมบัติทั้งสามสิ่งนี้มีความสำคัญมาก ในเมื่อหวังหลินยอมรับมาก็ต้องตอบแทนสำนักคืน!
‘ยังมีเซียนขั้นวิบากดับสูญอีกเก้าคนที่ต้องจัดการ…หากข้าสามารถสังหารได้หนึ่งคน ข้าก็สามารถสังหารได้อีกเก้าคนแน่นอน! สิ่งสำคัญที่สุดคือการสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจำนวนสามคน ถึงข้าจะระเบิดเต๋าวิญญาณสามสิบล้านดวง ข้าก็ฆ่าได้แค่หนึ่งคนเท่านั้น…ส่วนที่เหลืออีกสองคน…’ หวังหลินขมวดคิ้วแต่ไม่ยอมถอย แววตาเย็นเยียบขึ้นมา
‘บรรพชนกระทิงเขียวมอบสามเงื่อนไขนี้โดยคิดว่าข้าจะไม่สามารถทำสำเร็จได้ในชั่วเวลาสั้นๆ เขาคิดว่าจะต้องใช้เวลานานมาก…แต่ข้าไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องแคว้นกระทิงสวรรค์และแคว้นมารเขียวมากเกินไป ข้าต้องทำเงื่อนไขทั้งสามนี้ให้สำเร็จเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้และตัดความสัมพันธ์กับสำนักมหาวิญญาณ จากนั้นออกไปจากที่นี่!’ หวังหลินมองไปยังร่างตัวเองที่เข้าผสานกับความมืดในถ้ำ
ชั่วจังหวะนั้นหวังหลินพลันเงยหน้าขึ้นมามองออกไปด้านนอก สายตาคล้ายทะลุถ้ำออกไป ตอนนี้วังมากมายใต้ผืนดินต่างก็เงียบสนิทและได้ยินแต่เสียงลมหายใจ แสงบางส่วนที่วางเอาไว้ใต้ดินคือแสงจากหินจันทรา
ในแสงสลัวนี้มีร่างเงาสตรีผู้หนึ่งเดินทางมาดุจหมอกควันและยืนอยู่นอกถ้ำของหวังหลิน
นางมองถ้ำของหวังหลินด้วยความลังเล หลังจากครุ่นคิดอยู่นานและกำลังจะพูดขึ้นแต่หวังหลินเอ่ยออกมาจากในถ้ำเสียก่อน
“สหายเซียนหยานหลวนแวะมาหาข้ากลางดึกป่านนี้ ทำไมถึงลังเลอยู่ด้านนอกเล่า? โปรดเข้ามาเถิด”
เพียงหวังหลินเอ่ยออกมา ประตูถ้ำจึงเปิดออกอย่างเงียบเชียบจนเผยเป็นช่องว่างขนาดพอดี ช่องนี้มืดมิดและไม่อาจมองเห็นสิ่งใดข้างในได้
จากตำแหน่งของหยานหลวน ช่องว่างในประตูดุจเสมือนปากที่พร้อมจะกลืนกินจิตใจผู้คนได้ มันกำลังรอให้นางเข้าไป
หลังจากขบคิดอีกเล็กน้อย หยานหลวนกัดฟัน นางมีข้อสงสัยในใจ หากไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนจะไม่สามารถสงบจิตใจลงได้ นางเปลี่ยนร่างเป็นควันและเข้าไปในประตู
เมื่อเข้ามา ประตูถ้ำจึงปิดลง ไม่ปล่อยให้มีอะไรเล็ดลอดออกไปได้
หยานหลวนหยุดเคลื่อนไหวทันที นางมองไปตรงหน้าซึ่งยังคงมืดมิด
นางมองเห็นร่างหวังหลินนั่งอยู่ไกลๆ อย่างเลือนลางทั้งยังเปล่งแรงกดดันจำนวนมาก ต้นตอของแรงกดดันนี้มาจากการเดิมพันสองครั้งที่นางได้พูดเอาไว้ในตำหนักสลักวิญญาณ
หยานหลวนมองไปตรงหน้าและสังเกตได้ถึงจิตสังหารเบาบางและไม่ได้มุ่งเป้ามาที่นาง มันเป็นกลิ่นอายตามธรรมชาติที่ปลดปล่อยออกมาเพราะอีกฝ่ายเพิ่งกลับมาจากการเข่นฆ่า
มีแต่เหล่าเซียนเท่าทั้นที่สามารถสังเกตกลิ่นอายเบาบางนี้ได้
หยานหลวนไม่รู้ว่าทำไม แต่ทันทีที่นางสัมผัสจิตสังหารได้ ร่างของหลิวจื่อหยวนปรากฏขึ้นในใจทันที เรื่องราวการตายของเขาฉายขึ้นมาในสายตานางดุจภาพวาด
คล้ายกับนางได้เห็นหวังหลินสังหารหลิวจื่อหยวนในช่วงเวลาสั้นๆ
“สหายเซียนหยานหลวน นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านมายืนในถ้ำข้าโดยไม่พูดอะไรสักคำหน่อยหรือ ท่านจะยืนแบบนี้ไปตลอดทั้งคืนหรือไม่?” หวังหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
หยานหลวนขบคิด จากนั้นเอ่ยขึ้นมาจนเสียงดังไปในถ้ำ “เจ้าได้สังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นจากแคว้นมารเขียวใช่หรือไม่?”
“มันต้องเป็นเจ้า ในอาณาเขตนี้นอกจากผู้อาวุโสลิ่วเหวินหลาน ไม่มีใครที่สามารถทำได้ในชั่วเวลาสั้นๆ หากจะมีคนอื่นก็ต้องเป็นเจ้า!”
“คนอื่นไม่รู้ว่าเจ้าทรงพลังแค่ไหน แต่ข้าเป็นพยานได้” นางพูดเสียงเบาลง สายตามองหวังหลินที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
“หวังหลิน เป็นเจ้าใช่หรือไม่!”
หวังหลินครุ่นคิดและตอบกลับไปอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่มีความคิดเห็น!” น้ำเสียงไม่สั่นเครือคราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ
หลังจากได้ยินหวังหลินพูดออกมา หยานหลวนจึงยิ้ม ทัดผมไปหลังหูและเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ยอมรับ กลิ่นอายของเจ้าไม่มั่นคงและเป็นที่แน่ชัดว่าเจ้าใช้กำลังไปมาก นอกจากนี้เซียนขั้นวิบากดับสูญก็ไม่ได้ตายง่ายๆ…”
“หากเจ้าต้องการตัวช่วย ข้าสามารถให้ได้…ข้อเสนอคือเมื่อเราสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญได้หนึ่งคน เราจะแบ่งผลประโยชน์กันคนละครึ่ง! ขออภัยที่รบกวนเจ้า ข้าหวังว่าผู้อาวุโสหวังจะไม่คิดมาก นี่เป็นเพียงความจริงใจและเจตนาดีจากข้า!” นี่คือเหตุผลจริงๆ ที่หยานหลวนเข้ามา นางนำเม็ดยาออกมาวางไว้บนพื้นก่อนจะโค้งตัวให้หวังหลิน สายลมพัดผ่านมาตรงทางเข้าถ้ำและนางก็หายไป
ท้ายที่สุดคำตอบของหวังหลินที่มอบให้คำถามหลายอย่างของหยานหลวนมีเพียงแค่สองคำ หลังจากหยานหลวนจากไป หวังหลินลืมตาส่องประกายขึ้นมาในถ้ำมืด
เขามองไปที่ประตูถ้ำและขบคิด สะบัดแขนขวานำเม็ดยาเข้ามาหาและตรวจสอบเม็ดยาอย่างละเอียด เม็ดยานี้เปล่งกลิ่นหอมหวาน เห็นได้ชัดว่าเป็นเม็ดยาที่ใช้สำหรับฟื้นฟูโดยเฉพาะ หวังหลินค่อยๆ เผยรอยยิ้ม
ไม่นานนักเวลาได้ผ่านไปอีกสองวัน เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวตรงชายขอบทุ่งยอดนภาต่างก็เงียบมากและไม่ได้เริ่มการรบครั้งที่สอง พวกเขาดูเหมือนกำลังรอคอยบางอย่างและส่งคนเข้ามาสังเกตทุ่งแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง
เซียนจากวังใต้ดินได้ส่งออกมาสอดแนมด้วยเช่นกัน ถึงจะมีความขัดแย้งอยู่บางส่วนแต่ไม่ได้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่
พวกเซียนที่ถูกส่งออกมาคือชายชราสามคน ชายชราแซ่โจวเป็นคนรับผิดชอบ นอกจากเซียนขั้นวิบากดับสูญแล้ว เหล่าเซียนที่เหลือคนอื่นต่างก็ถูกส่งออกไปลาดตระเวน
เซียนที่ไม่ได้ออกมาลาดตระเวนต่างก็จมดิ่งไปกับการบ่มเพาะทั้งหมดเพื่อรักษาตัวเองให้อยู่สภาพพร้อมรบ เหล่าเซียนจากแคว้นกระทิงสวรรค์เข้าใจดีว่าแคว้นมารเขียวไม่ยอมเลิกลาง่ายๆ แน่นอน
เซียนทั่วไปสามารถไม่สนใจเรื่องนี้ได้ แต่คนที่มีระดับบ่มเพาะสูงสุดที่นี่อย่างลิ่วเหวินหลานได้มองขึ้นไปด้วยสายตาเป็นกังวล
จากมุมมองเขา เรื่องนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด พวกเซียนจากแคว้นมารเขียวดูเหมือนรอกำลังเสิรม หากเป็นเช่นนั้นคงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นที่นี่
เรื่องคนที่สังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญของฝ่ายศัตรูยังคงค้างคาอยู่ในใจเขา เขาพิจารณาความเป็นไปได้ออกมาทีละคนจนกลับมายังคนที่เขาคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้นคือหวังหลิน
แม้เขาไม่เชื่อว่าหวังหลินมีความสามารถ แต่เรื่องนี้ถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง เขาจึงเรียกชายชราแซ่โจวออกมาให้คำสั่งไป ชายชราแซ่โจวจึงเดินออกไปนอกถ้ำ
ช่วงระยะเวลาสองวันหวังหลินฟื้นคืนมาได้อย่างมาก พลบค่ำของวันที่สองมีแขกอีกคนต่อจากหยานหลวนเข้ามาเยือนด้านนอกถ้ำ เป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกหนึ่งคน!
“สหายเซียนหวังหลินจากสำนักมหาวิญญาณ ข้าอยากขอให้สหายเซียนหยุดการบ่มเพาะและไปลาดตระเวนยามดึก!” คนที่พูดขึ้นมาคือชายชราแซ่โจวซึ่งรับคำสั่งมาจากลิ่วเหวินหลาน
ตอนนี้เขาอยู่นอกถ้ำของหวังหลิน ท่าทีนิ่งเฉยและพูดอย่างเย็นชาราวกับไม่ใช่ประโยคคำถาม