Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1927

Cover Renegade Immortal 1

1927. บททดสอบชั้นฟ้า

ในแคว้นทะเลขุนเขาแห่งแผ่นดินทิศใต้ มีทะเลภายในแห่งหนึ่งเรียกกันว่าทะเลขุนเขา ทะเลแห่งนี้กว้างใหญ่ บางครั้งอาจได้เห็นนกนางนวลจำนวนมากบินเหาะเหินอยู่ในท้องฟ้าสีคราม คลื่นทะเลดังกระทบฝั่ง สายลมพัดหวิวเข้าสู่ชายฝั่ง

ทะเลขุนเขานั้นกินพื้นที่แคว้นทะเลขุนเขาไปกว่าเจ็ดในสิบส่วน ที่เหลืออีกสามส่วนคือแผ่นดินที่ล้อมรอบทะเล

เวลานี้ทางเหนือของทะเลขุนเขา หวังหลินยืนอยู่บนยอดเขา มองลงไปยังทะเลเบื้องล่างอย่างสงบนิ่ง

ตรงจุดนี้คือพื้นที่ที่ใกล้กับต้นไม้ทะเลขุนเขามากที่สุดแต่หวังหลินไม่ได้เข้าไปทันที ร่างกายวูบวาบและหายตัวไปจากยอดเขา ปรากฏตัวขึ้นในถ้ำที่สร้างเอาไว้

หวังหลินอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้มาสามปีและวางเขตอาคมจำนวนมากไว้รอบๆ ที่นี่สามารถปกป้องเขาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

ในถ้ำมีหมอกสีฟ้าหม่น ซ่อนมังกรสมุทรไว้ข้างใน ซึ่งมันหดขนาดลงไปหลายเท่า

พอนั่งอยู่ในถ้ำ หวังหลินค่อยๆ หลับตาลง สองมือสร้างผนึกอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นผนึกพิเศษยิ่งและหวังหลินศึกษามาหลังจากพิสูจน์แล้วหลายครั้ง

‘ก่อนที่ข้าจะไปหาต้นทะเลขุนเขา ข้าจะไปดูก่อนว่าบททดสอบชั้นฟ้านั้นลึกลับแค่ไหน!’ หวังหลินกำลังจะใช้วิธีที่เขาศึกษามาห้าสิบปี ส่งสัมผัสวิญญาณเข้าสู่ศีรษะและยืดขึ้นไปกลายเป็นแสงเจิดจ้า

แสงนี้คือแสงของสัมผัสวิญญาณ หลังจากรวมอยู่บนศีรษะหวังหลินไปชั่วขณะ มันได้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความเร็วเหนือจินตนาการ

มันแทงทะลุถ้ำและภูเขาขึ้นไปในท้องฟ้า คนนอกไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ ผนึกที่หวังหลินใช้นั้นซ่อนความผันผวนจากสัมผัสวิญญาณได้ทั้งหมดและปกป้องผู้สูงส่งชั้นฟ้าตอนที่เข้าบททดสอบ

กล่าวได้ว่ามันเป็นผนึกที่ถูกส่งต่อมาจากบรรพชนเทพ!

สัมผัสวิญญาณของหวังหลินพุ่งทะยานขึ้นต่อไปและทะลวงสู่ความว่างเปล่า ราวกับกระบี่ฟาดฟันจนเปิดท้องฟ้าเหนือแผ่นดินเซียนดารา!

วินาทีที่สัมผัสวิญญาณมาถึงจุดสูงสุด เสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้นในใจหวังหลิน สัมผัสวิญญาณของเขารู้สึกราวกับท้องฟ้าได้เปลี่ยนกลายเป็นวังวนยักษ์ดูดสัมผัสวิญญาณเข้าไป

ทัศนวิสัยพร่าเลือน พอมองเห็นชัดเจนอีกครั้งจึงมองรอบๆ และเกิดอาการตกตะลึง

เขาอยู่บนแผ่นดินที่มีความกว้างราวหมื่นลี้ แผ่นดินแห่งนี้เล็กมากและลอยอยู่ในท้องฟ้า สายลมหวนดังอยู่รอบแผ่นดินและมีเส้นสายสีดำอยู่ในสายลม เส้นสีดำเหล่านี้มีพลังอำนาจอันน่าตกตะลึง เพียงแค่สัมผัสก็สามารถทำลายคนผู้นั้นได้แล้ว

ใจกลางแผ่นดินมีตำหนักขนาดยักษ์ตั้งตระหง่าน ตำหนักแห่งนี้เปล่งกลิ่นอายเก่าแก่ มันมีสีดำสนิทและมีกลิ่นอายสูงศักดิ์ คนที่เห็นจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวในจิตใจ

พอหวังหลินมาถึงที่นี่และเริ่มตรวจสอบ สัมผัสวิญญาณหลายแห่งได้โผล่ออกมาจากด้านข้างตำหนักและกวาดมาหาหวังหลิน

ทุกสัมผัสวิญญาณมีแรงกดดันของผู้สูงส่งชั้นฟ้าและมีเกือบสองร้อยคน

“หวังหลิน?”

“ผู้สูงส่งชั้นฟ้าผมขาว!”

“นั่นเขา!” ท่ามกลางสัมผัสวิญญาณเหล่านี้ มีสัมผัสวิญญาณที่ได้ต่อสู้กับหวังหลินในช่วงห้าสิบปี พอเห็นหวังหลินจึงจดจำได้ทันที

สีหน้าหวังหลินยังคงเหมือนเดิม ขณะที่มองไปรอบๆ เขาค้นพบว่าตัวเองอยู่ใกล้กับค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ค่ายกลนี้ซับซ้อนมาก เพียงแค่ชำเลืองมองก็ทำให้หวังหลินรู้สึกเหมือนสัมผัสวิญญาณกำลังถูกดูดออกไป

หลังจากผ่านไปสักพัก หวังหลินได้ถอนสายตาและเดินออกไปจากค่ายกลเคลื่อนย้าย เขาตรวจสอบร่างกายของตัวเองอย่างละเอียดราวกับรู้สึกว่าอยู่ในร่างกายหยาบ ถ้าไม่รู้ว่าเขามาด้วยวิญญาณดั้งเดิมก็คงแยกความแตกต่างได้ยาก

‘บททดสอบชั้นฟ้าถูกสร้างขึ้นจากบรรพชนเทพ ช่างน่าลึกลับยิ่ง!’ หวังหลินทะยานเข้าหาตำหนักที่มีสัมผัสวิญญาณทั้งหมดโผล่ออกมา

ยิ่งหวังหลินเข้าไปใกล้ ยิ่งเกิดความตกตะลึงมากกว่าเดิม ตำหนักโบราณหากมองไกลๆ จะดูกว้างใหญ่ แต่หลังจากเข้าไปใกล้ยิ่งน่าตกตะลึงมากกว่าเดิม สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจคือหวังหลินพบว่ามันมีตำหนักขนาดใหญ่หลายแห่งอยู่เหนือตำหนักแห่งนี้

ทั้งหมดสิบเก้าตำหนัก ลอยอยู่ในอากาศและเชื่อมกันเหมือนมังกรยาวเหยียด ตำหนักด้านบนยืดยาวขึ้นสู่ท้องฟ้าและมองเห็นเพียงแต่เค้าโครงเลือนลาง

‘จากความเข้าใจของข้าห้าสิบปี ลือกันว่าบททดสอบชั้นฟ้าความจริงเป็นสมบัติทรงพลังที่สุดของบรรพชนเทพ มันอยู่ในความว่างเปล่าและปกป้องเผ่าเทพตั้งแต่อดีต’ หวังหลินมองตำหนักขนาดใหญ่ในท้องฟ้า บางแห่งก็อยู่ไกลเกินไปจนเห็นแค่เงา แต่เขาก็ยังสัมผัสแรงกดดันได้ชัดเจน

พอเข้าไปใกล้หวังหลินจึงเห็นเซียนเกือบสองร้อยคนรอบตำหนักโบราณแห่งแรก ทั้งหมดอยู่ห่างกันราวกับไม่ยอมเข้ามาใกล้

หลังจากหวังหลินมาถึง หลายคนมองเข้ามา บางคนรู้จักหวังหลินจึงยิ้มขึ้นและคำนับฝ่ามือให้

หวังหลินคำนับฝ่ามือตอบกลับ ยืนอยู่นอกตำหนักและมองดูความยิ่งใหญ่ตรงหน้า เขารู้สึกว่าตัวเองเล็กไปถนัดตา

‘บททดสอบชั้นฟ้าเป็นสถานที่ประหลาดมาก ไม่ว่าจะอยู่ไหนก็สามารถมาที่นี่ได้ด้วยวิญญาณดั้งเดิม ที่นี่เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าเพราะถึงอีกฝ่ายจะอยู่ไกลกันก็สามารถมาเจอกันที่นี่ได้’

‘และด้วยลักษณะเช่นนี้ บททดสอบชั้นฟ้าจึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าจะมาเจอกัน’ ข้อมูลที่หวังหลินรวบรวมในช่วงห้าสิบปีปรากฏขึ้นในใจ

ขณะที่หวังหลินกำลังขบคิด แสงสีทองเปล่งประกายออกมาจากตำหนักที่เจ็ดบนท้องฟ้า แสงสีทองห่อหุ้มบริเวณและทำให้เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าทั้งหมดมองขึ้นมาทันที

หวังหลินมองขึ้นไปเห็นร่างสีดำคนหนึ่งทะยานออกมาจากตำหนักแห่งที่เจ็ด ร่างนี้เป็นชายวัยกลางคน ผมยาวพริ้วไหว เปล่งกลิ่นอายทรงพลังพุ่งทะยานจากตำหนักที่เจ็ดสู่ตำหนักที่แปด

“ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลิน เขาทะลวงผ่านระดับเจ็ดแล้ว!”

“การสามารถทะลวงผ่านระดับเจ็ดได้หมายความว่าเขาผสานวิชาได้อย่างน้อย 63 วิชา ก่อนหน้านี้เขาทำไม่ได้ขนาดนี้!”

“เขาติดตามมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ถึงพันปี ได้อะไรมามากมาย…”

“ระดับแปดไม่มีอะไรเลย แต่ระดับเก้าสำคัญที่สุด หากมีใครทะลวงผ่านระดับเก้าได้ มหาชั้นฟ้าทุกคนจะให้ความสนใจแน่”

“ระดับเก้า…ยากเกินไป! คนที่ทะลวงระดับเก้าได้คงใกล้เคียงกับผู้สูงส่งชั้นเทวะไปแล้ว คงอีกขั้นเดียวก็จะกลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะคนที่ 49 ของเผ่าเทพ!”

“แม้ผู้สูงส่งชั้นเทวะที่แข็งแกร่งที่สุด หมิงต้าว ก็ยังหยุดที่ระดับสิบหกและไม่สามารถไปต่อได้”

“ลือกันว่าหากมีใครสามารถทะลวงผ่านระดับสิบเก้าได้ หมายความว่าเขาจะทรงพลังมากพอจนแม้แต่มหาชั้นฟ้ายังต้องระมัดระวัง!”

ขณะที่แสงสีทองเปล่งประกาย เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้ากว่าสองร้อยคนต่างก็ส่งข้อความสัมผัสวิญญาณให้กัน

พวกเขาพูดคุยเรื่องผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลิน เสียงคำรามดังออกมาจาตำหนักที่แปด จากนั้นมีคนกระเด็นออกมาตกลงบนพื้นดินรอบตำหนักแห่งแรก

พอเขาร่อนลงมา ข้อความสัมผัสวิญญาณทั้งหมดจึงหายไป สายตาแต่ละคนมารวมกันเป็นจุดเดียว

ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินมีท่าทีมืดมน เขาไม่ได้มองไปรอบๆ และเดินผ่านหวังหลินไป หาที่แห่งหนึ่งและนั่งลง

จากนั้นหวังหลินได้เห็นแสงสีทองโผล่ออกมาจากหลายแห่ง ผู้คนค่อยๆ โดนดีดออกมาอย่างต่อเนื่อง ตำหนักที่สูงที่สุดที่ถูกดีดออกมาคือตำหนักที่แปดเหมือนผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลิน ส่วนที่น้อยที่สุดคือระดับสองถึงสาม

หวังหลินไม่ได้รีบเข้าไป เขานั่งลงเพื่อสังเกตการณ์ไปสามวัน เซียนหลายคนเข้ามาและจากไป แต่ส่วนใหญ่เลือกจะอยู่ต่อและไม่ได้จากไปไหน

ผ่านมาสามวัน ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินพยายามเข้าสู่ระดับแปดอีกครั้งแต่ก็ยังล้มเหลว

ในวันที่สี่ หวังหลินดวงตาเปล่งประกายและยืนขึ้นเดินเข้าหาตำหนักแรก การกระทำของเขาไม่ได้ทำให้คนสนใจมากนัก อีกทั้งตำหนักแรกก็ง่ายเกินไปสำหรับเซียนที่นี่

มีเพียงเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่เคยต่อสู้กับหวังหลินเท่านั้นไ้ดมองเข้ามาเห็นเขาเข้าสู่ตำหนักแรก

“ผู้สูงส่งชั้นฟ้าผมขาวเข้าสู่ตำหนักแรกแล้ว คงเป็นครั้งแรกของเขา ข้าสงสัยเสียจริงว่าเขาจะทะลวงไปได้ถึงระดับไหน”

“เขาช่างน่าประหลาดมาก ระดับบ่มเพาะธรรมดาแต่พลังต่อสู้ช่างน่าตกตะลึง ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ข้าเองก็สงสัยว่าเขาจะผ่านไปได้กี่ระดับ”

“หวังหลิน…หลายสิบปีมานี้เขามีชื่อเสียงขึ้นมากในแผ่นดินทิศใต้ เล่ากันว่ามหาชั้นฟ้าต้าวยี่ได้เชิญชวนเขาแต่ก็ถูกปฏิเสธ” สายตาหลายคู่มองตามหวังหลินจนเห็นเขาหายไปในตำหนัก

วินาทีที่เข้าไปในตำหนักแรก เขารู้สึกเหมือนโลกเบื้องหน้าเปลี่ยนไป เขาเห็นว่าในตำหนักคือดาราจักรดวงดาวหนึ่งแห่ง!

ดาราจักรแห่งนี้กว้างใหญ่และมีดวงดาวอยู่นับไม่ถ้วน ดาวแต่ละดวงเปล่งประกายเจิดจ้าและเขายืนอยู่ในดาราจักรแห่งนี้

เสียงหอนประหลาดดังออกมาจากในดาราจักร หวังหลินหันมองขึ้นไปทันที แววตากะพริบเย็นเยียบ

…………………………………………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version