Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2041

Cover Renegade Immortal 1

2041. พรุ่งนี้

มีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นที่วังหลวงอาณาเขตเต๋า หวังหลินผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของซวนลั่วได้บุกเข้าไปในพระราชวัง ใช้ความตายของตัวเองเพื่อตอบแทนความเมตตาของซวนลั่วจนผู้คนมากมายให้ความสนใจ ท้ายที่สุดเขาได้ทำการสังหารจักรพรรดิเต๋า แม้กระทั่งจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เย่เว่ยก็ไม่สามารถหยุดหวังหลินได้

ข่าวนี้ค่อยๆ แพร่กระจายออกไปหลังจากผู้คนอีกสองอาณาเขตกลับถิ่นฐาน แทบทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี

เหตุการณ์นี้น่าจะทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้น แต่กลับมีเรื่องน่าตกตะลึงยิ่งกว่าทำให้เรื่องของหวังหลินเบาบางลงอย่างช้าๆ นั่นคือการเปิดของแดนเทพบรรพกาลที่เกิดขึ้นเร็วกว่าปกติจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปทั่วทั้งเผ่าโบราณ

ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ระหว่างเผ่าโบราณและเผ่าเทพกลายเป็นหลุมยักษ์และส่งกลิ่นเหม็น ใจกลางทะเลก่อเกิดเป็นคลื่นพายุพัดส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

ภายในทะเลมีประตูปรากฏขึ้นจากเสาทั้งเก้าแห่ง ผู้คนทรงพลังจำนวนมากให้ความสนใจ แต่หลังจากสังเกตการณ์แล้ว ทุกคนก็จากไป

จิ่วตี้เข้ามาที่นี่ด้วยตัวเองเช่นกัน แต่แม้จะมีระดับบ่มเพาะเช่นเขาก็ยังเข้าไปในพายุได้ไม่ไกลนัก ตัดสินจากระดับบ่มเพาะของเขาและการประเมินของไฮ่จื่อแล้ว มันต้องใช้เวลาถึงห้าร้อยปีกว่าจะเปิดออกมา

และคราวนี้มันจะเป็นการเปิดอย่างสมบูรณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน!

ต้าวยี่ หวู่เฟิงและมหาชั้นฟ้าเผ่าโบราณรวมถึงซวนลั่วต่างก็เข้ามาทั้งหมด พวกเขามองดูประตูจากด้านนอกพายุอย่างเงียบๆ และจากไป

แต่ขณะเดียวกันได้มีข้อความส่งตรงลงมาจากภูเขากุ้ยต้าวถึงราชวงศ์ทั้งสามและมหาชั้นฟ้า ข้อความนี้เรียบง่าย เป็นการบอกให้ผู้คนหยุดการสังเกตการณ์แดนเทพบรรพกาลและมันจะเปิดในอีกห้าร้อยปี ข้อความนี้ยังบอกให้พวกเขาและมหาชั้นฟ้าว่าให้เตรียมการต่อสู้ในอีกห้าร้อยปีด้วย

ภูเขากุ้ยต้าวไม่ได้ให้ความสนใจต่อการตายของจักรพรรดิอาณาเขตเต๋า เหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ทำให้กลุ่มที่สนับสนุนมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวให้ตามล่าหวังหลินถึงกับเงียบไปและไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย

เผ่าเทพคล้ายกันกับเผ่าโบราณ พวกเขาได้ส่งข้อความออกไปให้แก่ 72 แคว้นว่าแดนเทพบรรพกาลจะเปิดในอีกห้าร้อยปี พวกเขาจะต้องใช้เวลาห้าร้อยปีนี้เพื่อทำการฝึกฝนให้แข็งแกร่ง เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าและผู้สูงส่งชั้นเทวะส่วนใหญ่เกิดอาการตื่นเต้น แดนเทพบรรพกาลเป็นเสมือนประตูมังกรสำหรับพวกเขา เมื่อได้รับโชควาสนาแล้ว พวกเขาอาจได้กลายเป็นมหาชั้นฟ้า!

เนื่องจากการปรากฏตัวของแดนเทพบรรพกาล จึงเกิดคลื่นครั้งใหญ่ขึ้นบนแผ่นดินเซียนดารา แต่เนื่องจากต้องรอถึงห้าร้อยปี คลื่นลูกนี้จึงกลายเป็นคลื่นใต้น้ำ สงบนิ่งก่อนจะเกิดคลื่นครั้งใหญ่ตามมา

ไม่ว่าจะเป็นเผ่าเทพหรือเผ่าโบราณ หากเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการเข้าไปในแดนเทพบรรพกาล พวกเขาจะรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล และรู้ว่าเมื่อแดนเทพบรรพกาลเปิดออก จะเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ขึ้นในตอนนั้น

แต่เรื่องนี้อาจส่งผลให้เกิดสงครามระหว่างเผ่าเทพและเผ่าโบราณหลังจากที่สงบสุขมาอย่างช้านาน!!

เผ่าโบราณกำลังเตรียมตัว…เผ่าเทพก็เช่นกัน!

ห้าร้อยปี เพียงห้าร้อยปีเท่านั้น!! สำหรับคนธรรมดา เซียนที่มีระดับต่ำ และประชาชนชั้นล่างของสามอาณาเขต ห้าร้อยปีอาจดูเหมือนยาวนาน แต่สำหรับผู้คนที่ทรงพลัง ห้าร้อยปีนั้นสั้นเหมือนกะพริบตา

สัญญาณแห่งสงครามปรากฏขึ้นบนแผ่นดินเซียนดาราเนื่องจากการปรากฏตัวของแดนเทพบรรพกาล

ณ แคว้นชายแดนของอาณาเขตเต๋าและอาณาเขตฉี ตอนนี้เป็นฤดูฝนซึ่งไม่ได้รุนแรงแต่ดูเหมือนมันกำลังจะตกไปอีกนาน

แม้จะฝนตก เมืองในเผ่าโบราณก็ยังคึกคัก สายฝนตกลงบนพื้นดินอย่างสงบเงียบและรวมตัวกันเป็นสายธารเล็กๆ

ท้องฟ้าอึมครึมและมีหมอก ห่างออกไปไม่ไกลในภูเขาแห่งหนึ่งมีชายหนุ่มชุดขาวถือร่มกระดาษ ด้านข้างเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง นางสวยงามมากและมองไปข้างหน้าพร้อมกับชายหนุ่มด้วยเช่นกัน

“มีหลายเรื่องเกี่ยวกับท่านและเศษวิญญาณในตัวข้าชื่อหวานเอ๋อร์…” นางพูดขึ้นเบาๆ พลางถอนสายตาออกมาจากสายฝน หันไปมองชายชุดขาวด้านข้าง

ชายผู้นี้คือคนที่บุกเข้าไปในวังหลวง สังหารจักรพรรดิเต๋าและก้าวเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยพลังของเขาเพียงคนเดียว ทั้งยังไม่มีใครกล้าหยุดเขา เป็นชายคนนี้ที่พานางมาที่นี่

นางไม่รู้ว่าหวังหลินกำลังจะทำอะไร แต่ระหว่างทาง ความอ่อนโยนของเขาได้ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นจากก้นบึ้งในจิตใจ

ระหว่างทางชายหนุ่มได้เล่าเรื่องหนึ่งให้นางฟัง มันเป็นเรื่องราวที่ยาวนาน เป็นความรักที่เริ่มต้นด้วยคำว่า “ข้าจะพาเจ้าไปสังหารพวกมัน”

และจบลงด้วย “แม้สวรรค์ต้องการให้เจ้าตาย ข้าก็จะพาเจ้ากลับมา!” ตามมาด้วยความเศร้าโศกและความคิดถึงนับพันปี

หวังหลินมองหญิงสาวตรงหน้า เผยสายตาอ่อนละมุนและพยักหน้า

นางเงียบลง สัมผัสได้ถึงสายตาของหวังหลินว่าไม่ได้มองมาที่นางแต่เป็นเศษวิญญาณข้างใน นางมองดูสายฝนที่ห่างออกไปไกลและพูดขึ้นเบาๆ

“เจ้ากำลังจะไปที่ใด?”

“ที่ที่เราได้เจอกันครั้งแรก” หวังหลินอุ้มซ่งจื่อพร้อมกับเผชิญหน้ากับสายฝน ก้าวเดินออกไปไกล

เขาไม่ได้ใช้ความเร็วสูงสุดในการเดินทางครั้งนี้ เพราะต้องดูแลร่างที่อ่อนแอของซ่งจื่อและวิญญาณที่ไม่มั่นคงข้างในตัวนาง ทำให้หวังหลินใช้เวลาเป็นปีตั้งแต่ที่สังหารจักรพรรดิเต๋าและมาถึงที่นี่ได้

ช่วงระหว่างปีนี้หวังหลินไม่ได้ถูกเซียนของภูเขากุ้ยต้าวไล่ล่าและอาณาเขตเต๋าก็ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย หวังหลินพานางมาที่ชายแดนของอาณาเขตเต๋า

ผ่านที่นี่ไปก็จะเป็นอาณาเขตฉี

“ที่ที่เราพบกันครั้งแรก…ใช่เมืองศิลาดำหรือไม่…” เรือนผมสีดำขลับของนางพัดไปกับสายลม บางส่วนพัดเข้าใบหน้าหวังหลินและพัวพันกับเส้นผมสีขาวของเขา

หวังหลินไม่ได้พูดตอบ พานางเลือนหายไปกับสายฝนอย่างช้าๆ

หลายเดือนต่อมา หวังหลินและซ่งจื่อได้ออกมาจากอาณาเขตเต๋าและมาถึงอาณาเขตฉี หลังจากมาถึงที่นี่ อารมณ์ของซ่งจื่อไม่หมองหม่นอีกแล้ว นางมองอาณาเขตฉีและเจอกับความรู้สึกคุ้นเคย

แต่นางพูดน้อยลงไปมาก ยิ่งเผชิญหน้าหวังหลินยิ่งทำให้นางเงียบมากขึ้นและรู้สึกซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ บางครั้งนางก็รู้สึกว่าหวังหลินกำลังส่งพลังงานอบอุ่นมาให้ในร่างกาย นางไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร แต่สัมผัสได้ว่าเศษวิญญาณที่ผสานเข้ากับนางได้เผยสัญญาณการแยกตัวออกมา

‘เขากำลังแยกวิญญาณของหญิงสาวชื่อหวานเอ๋อร์…บางทีเมื่อวิญญาณแยกขาดจากกันอย่างสมบูรณ์ นั่นจะถึงคราวการตายของข้า…แต่การได้เห็นบ้านเกิด ได้เห็นป้าจาง น้องตง นั่นก็ดีมากแล้ว’ ซ่งจื่อรู้สึกขมขื่นในใจและขบคิดเงียบๆ

นางหวาดกลัวแต่ก็ไร้กำลัง

หวังหลินมองเห็นทุกอย่างแต่ไม่ได้อธิบายอะไร ทั้งสองเข้าใกล้เมืองศิลาดำขึ้นเรื่อยๆ

อีกหลายเดือนผ่านไป

ดวงอาทิตย์ตกบนภูเขารกร้างแห่งหนึ่ง ซ่งจื่อทอดสายตามองออกไปและถามชายหนุ่มด้านข้าง “เราจะถึงเมืองศิลาดำพรุ่งนี้หรือไม่”

หวังหลินได้บอกนางว่าพวกเขาจะถึงเมืองศิลาดำที่เป็นบ้านเกิดของนางในวันพรุ่งนี้

หวังหลินพยักหน้า

ซ่งจื่อเงียบลงไปชั่วครู่ จากนั้นมองหวังหลินด้วยรอยยิ้ม นางมองคนที่อยู่กับนางมาปีกว่า นางมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาที่เปล่งกลิ่นอายโบราณ

“หวานเอ๋อร์ช่างโชคดีมาก…ข้าหวังว่าท่านและนางจะมีความสุขด้วยกันไปตลอดกาล”

ยามบ่ายของวันถัดไป เมืองศิลาดำมองเห็นในระยะสายตา ทำให้ซ่งจื่อรู้สึกคิดถึง

หวังหลินหยุดลงห่างจากเมืองไม่ถึงห้าร้อยเมตร ซ่งจื่อมองหวังหลินและพูดขึ้นเสียงแผ่วเบา “ขอข้าสัมผัสใบหน้าท่านได้หรือไม่…”

หวังหลินมองนาง ผ่านไปสักพักจึงค่อยๆ พยักหน้า

ซ่งจื่อยิ้มและใบหน้าแดงก่ำ นางลูบใบหน้าที่ดูธรรมดาของหวังหลิน จากนั้นวางศีรษะไว้แนบอกของเขา นางได้ยินเสียงหัวใจเต้น

เสียงหัวใจเต้นของเขาทำให้นางถึงกับหลับตาลง

หวังหลินก้มหน้าและลูบเรือนผม กลิ่นหอมจากตัวนางเข้าไปในจมูกหวังหลิน ทั้งสองนิ่งอยู่แบบนี้ไปสักพัก

พอดวงอาทิตย์ที่กำลังตกเริ่มมีสีแดงเบาบางและหมองลง ซ่งจื่อเงยหน้าออกมาจากหน้าอกหวังหลิน

“หากข้าตาย ได้โปรด…”

“เจ้าจะไม่ตาย” หวังหลินมองนางอย่างสงบนิ่ง ชี้นิ้วไปที่จุดกลางหน้าผากของนาง ทัศนวิสัยของซ่งจื่อพร่าเลือนและฟุบลงไปราวกับกำลังหลับ

ครึ่งชั่วโมงต่อมานางตื่นขึ้นด้วยสายตาสับสน นางขมวดคิ้วพลางหันมองไปรอบด้าน ผ่านไปสักพักจึงคล้ายกับจำอะไรบางอย่างได้

ตอนนี้ดวงอาทิตย์ใกล้ตกดินเต็มที่แล้วและกำลังจะหายไป ซ่งจื่อยืนขึ้นมองบนลำคอจนเจอกับสร้อยหยกเปล่งความอบอุ่น

นางรู้สึกว่าเศษวิญญาณของหวานเอ๋อร์ได้หายไปแล้ว นางไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรอีกต่อไป แต่รู้สึกจิตใจสั่นไหว แววตามีอารมณ์ความรู้สึกเจือปน ผ่านไปสักพักนางได้หันตัวกลับและเดินเข้าหาเมืองศิลาดำซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล

ที่นี่คือบ้านของนาง

…………………………………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version