Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 205

Cover Renegade Immortal 1

205. วิญญาณเซียนภายในกุยซี

ในทะเลปิศาจไม่สามารถมองเห็นพระจันทร์ได้ มองเห็นเพียงจุดแสงเล็กๆที่ส่องผ่านหมอกหนาเท่านั้น แต่สำหรับเหล่าเซียน จุดแสงเล็กๆของพระจันทร์พวกนี้เพียงพอที่จะชี้ทางให้พวกเขาแล้ว

หลังหยุนเฟยออกจากถ้ำ เธอมุ่งหน้าตรงไปที่ประตูหนึ่งในภูเขาที่ล้อมรอบเมือง ขณะที่เธอผ่านประตูออกไปพลันหยุดลงและเห็นคนผู้หนึ่งเดินออกมา คนคนนี้สวมชุดสีดำและผ้าคลุมสีทอง ทั้งร่างดูราวกับถูกรัดไว้ในผ้า

ชายชุดดำคนนี้มองไปที่หยุนเฟยและไม่ได้เอ่ยคำใด จากนั้นหันกลับและเดินออกจากเมือง หยุนเฟยลังเลแต่เธอกัดฟันแน่นและติดตามอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองเดินผ่านประตูได้สำเร็จ ไม่มียามคนไหนหยุดพวกเขา หวังหลินมองเห็นทั้งหมดจากระยะไกลโดยใช้เจ้าปิศาจน้อย เขาเยาะเย้ยอีกครั้งและร่างกายเปลี่ยนเป็นร่างภูติผีพลันติดตามทั้งคู่อย่างเงียบเชียบ

หวังหลินสามารถมองเห็นผ่านเจ้าปิศาจได้น้อยได้ว่าคนชุดดำมีเพียงขั้นแกนลมปราณระดับกลาง หากหวังหลินต้องการสังหารเขาก็เพียงแค่ส่งสัมผัสวิญญาณออกไปทำลายวิญญาณของมันเท่านั้น

เพียงแค่การกระทำของหยุนเฟยคืนนี้เป็นเรื่องลึกลับมาก ดังนั้นหวังหลินจึงต้องการเห็นว่าใครที่จะช่วยเธอทำลายกฎเกณฑ์ได้

หลังชายชุดดำและหยุนเฟยออกจากเมือง พวกเขามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกและหยุดที่ภูเขาลูกหนึ่งซึ่งปกคลุมในสายหมอกดำ ทั้งคู่ห่างจากเมืองฉีหลินไปสามพันลี้

“ท่านบรรพชน ศิษย์นำคนผู้หนึ่งมาด้วย” คนชุดดำคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น เขาวางแขนบนหน้าอกเป็นรูปร่างดอกบัวและเผยใบหน้าเคารพยิ่ง

น้ำเสียงราวฟ้าฝ่าดังออกมาจากภูเขา “เจ้ากลับไปได้” หมอกสีดำบนภูเขาแยกออกจากกันเผยออกมาเป็นศาลาขนาดเล็กบนยอด

คนชุดดำยืนขึ้นและจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

หวังหลินยืนอยู่บนหน้าผาห่างไปหนึ่งพันลี้ หลังเห็นคนชุดดำจากไปจึงชี้นิ้วไปที่คิ้วตนเองและเจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วปรากฎตัว

หลังฉวี่ลี่กั๋วปรากฎ มันรับคำสั่งหวังหลินแล้วจึงหัวเราะและมุ่งหน้าเข้าหาคนชุดดำ

หยุนเฟยยืนนอกหมอกสีดำ เธอมีใบหน้าเคร่งเครียดอีกครั้งและเริ่มลังเล ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ร้องขอด้วยตนเอง

ในวันที่หวังหลินถูกขังไว้ในห้องของเธอ หยุนเฟยพบเซียนหลายคนที่ช่วยเธอลบล้างกฎเกณฑ์แต่ทั้งหมดกลับล้มเหลว เดิมทีเธอยอมแพ้ไปแล้วแต่ไม่คาดคิดว่าองค์รักษ์กลางเมืองพบเธอและพูดว่ามีคนหนึ่งสามารถลบล้างกฎเกณฑ์บนตัวเธอได้แต่มีค่าใช้จ่าย

เป็นผลให้หยุนเฟยกังวลใจ หากเซียนขั้นแกนลมปราณระดับกลางทำงานภายใต้เขา เช่นนั้นบุคคลลึกลับคนนี้ไม่อ่อนแอได้

ทว่านั่นไม่ได้หมายถึงคนผู้นี้มีความสามารถลบล้างกฎเกณฑ์ได้ แต่เพราะในใจเธอ ระดับฝึกฝนของหวังหลินได้บรรลุระดับเหนือจินตนาการไปแล้ว

เพียงเมื่อเธอกำลังไคร่ครวญตอนเช้านี้ เซียนขั้นแกนลมปราณระดับกลางได้ยื่นหยกชิ้นหนึ่งซึ่งมีรายละเอียดบันทึกผลกระทบทั้งหมดของกฎเกณฑ์นี้ นั่นทำให้เธอตกตะลึง

กล่าวได้ว่าแม้เธอมองหาเซียนหลายคนเพื่อช่วยเธอทำลายกฎเกณฑ์ แต่เธอไม่เคยพูดถึงรายละเอียดของผลกระทบเลย คนเพียงคนเดียวที่รู้รายละเอียดเหล่านี้ก็คือคนที่วางกฎเกณฑ์และเป็นคนที่สามารถทำลายมันได้

หลังเห็นหยกนี้ จิตใจหยุนเฟยที่ลังเลกลายเป็นหนักแน่นและตัดสินใจเสี่ยง

และนั่นทำให้เธอมาถึงจุดนี้

ในตอนนี้หยุนเฟยยกศีรษะขึ้นและมองไปที่ศาลาบนยอดภูเขา ทว่าเป็นเพราะหมอกรอบๆจึงทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นใบหน้าคนผู้นั้นได้ชัดเจน

หยุนเฟยกัดริมฝีปากล่างและกระซิบ “ท่านอาวุโสสามารถทำลายกฎเกณฑ์บนตัวผู้น้อยได้จริงๆหรือ?”

“ขึ้นมาและพูดซะ!” น้ำเสียงมีพลังอำนาจครอบงำ ขณะที่เขาพูด หมอกสีดำได้เคลื่อนไหวทันทีและสร้างเป็นเส้นทางรูปร่างมังกรมุ่งตรงไปสู่ยอดภูเขาและหางของมันอยู่เบื้องหน้าหยุนเฟย

หยุนเฟยกดความหวาดกลัวในใจไว้และเดินขึ้นบันไป

ในไม่ช้าเธอก็ได้มาถึงศาลาบนยอดภูเขา คนข้างในเป็นชายวัยกลางคนที่สวมผ้าคลุมยาว เขาดูดีมากและมีกลิ่นอายที่ทำให้คนอื่นรู้สึกราวกับเขามาจากตระกูลแข็งแกร่ง เมื่อเขาเห็นหยุนเฟยพลันสายตาสว่างขึ้น

คนผู้นี้คิด ‘มันเป็นกฎเกณฑ์โบราณจริงๆ!’ แต่ใบหน้าแสดงอาการปกติและพูดอย่างอ่อนโยน “ข้าสามารถลบกฎเกณฑ์ให้เจ้าได้แต่เจ้าต้องบอกข้าว่าใครวางมันบนตัวเจ้า”

หยุนเฟยลังเลเล็กน้อยและกระซิบ “ผู้อาวุโส ผู้น้อยไม่สามารถบอกท่านได้ ข้าจะแลกเปลี่ยนกับชุดยาแทนจะว่าอย่างไร?”

ชายวัยกลางคนครุ่นคิดเล็กน้อยและส่ายศีรษะ “หากเจ้าไม่บอกข้า ข้าก็ไม่ลบล้างกฎเกณฑ์บนตัวเจ้า ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่าภายในทะลปิศาจ มีคนไม่มากที่สามารถลบล้างกฎเกณฑ์นี้ได้ เจ้าคิดให้ดีดี”

ใบหน้าหยุนเฟยเปลี่ยนเป็นยุ่งยาก หลังครุ่นคิดชั่วขณะเธอจึงพูดขึ้น “ตกลง ข้าจะให้ผู้อาวุโสทะลายกฎเกณฑ์ก่อน หากท่านทำสำเร็จเมื่อนั้นผู้น้อยจะบอกท่าน”

ชายวัยกลางคนหัวเราะออกมา เขาสะบัดแขนและก้อนหินม่วงปรากฎในฝ่ามือ ก้อนหินมีรูปร่างทรงกลมเรียบลื่นมาก

หลังเขานำก้อนหินออกมาจึงใช้วิชาปราณบนมันอย่างรวดเร็ว ก้อนหินเริ่มเรืองแสงสีรุ้ง ไม่นานหลังจากนั้นแสงสีแดงปรากฎและวางบนหน้าผากหยุนเฟย

หยุนเฟยสั่นเทา เธอสามารถรู้สึกได้ว่าขณะที่แสงสีแดงเข้าสู่ร่างกายเธอ มันเข้ามาทำลายเส้นใยสีแดงหลายเส้นและเคลื่อนที่ผ่านในร่างกาย

ณ จุดนี้ใบหน้าชายวัยกลางคนมีความเคร่งเครียดมาก เขาตรวจสอบหยุนเฟยอย่างระมัดระวัง

ไม่นานหลังจากนั้นสัญลักษณ์จางๆแห่งหนึ่งปรากฎระหว่างคิ้วของหยุนเฟย มันปลดปล่อยความรู้สึกเก่าแก่อย่างมาก ขณะที่ชายวัยกลางคนเห็นสัญลักษณ์นี้พลันเผยใบหน้าปิติยินดีและพึมพำ “นี่เป็นกฎเกณฑ์โบราณของจริง! ข้าไม่คาดคิดว่าจะมีใครสามารถใช้กฎเกณฑ์ชนิดนี้ได้”

ดวงตาสว่างขึ้น เขากัดนิ้วและหยดโลหิตลงบนก้อนหิน ก้อนหินเริ่มกระพริบดุเดือด แสงสีดำกับแสงสีขาวออกมาจากก้อนหิน ลำแสงมุ่งเข้าหาสัญลักษณ์ที่อยู่ระหว่างคิ้วของหยุนเฟย

แต่ในเวลาเดียวกัน เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทันใด เงาร่างหนึ่งปรากฎออกมาจากเส้นผมหยุนเฟยและเผยเป็นหัวอสูรตนหนึ่ง มันเข้าไปเบื้องหน้าคิ้วของหยุนเฟยและกลืนแสงสีขาวและแสงสีดำไป

จากนั้นเงานั้นหันเข้าหาหยุนเฟยและสูดหายใจ ดวงตาหยุนเฟยเบิกกว้างและวิญญาณของเธอถูกดูดเข้าไปในปากอสูรตนนั้น

สิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้มันเร็วมาก ภายในพริบตาวิญญาณหยุนเฟยก็ถูกนำออกไปแล้ว

ความจริงขณะที่เธอเดินขึ้นไปบนถนนรูปร่างมังกร โชคชะตาของเธอถูกขีดเส้นไว้แล้ว มีเพียงความตายที่รอเธออยู่ หากเธอฟังคำพูดหวังหลินและรอให้เขาออกจากทะเลปิศาจอย่างเงียบๆเช่นนั้นเธอก็มีโอกาสรอดชีวิตแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ร่างอสูรขยายออกและห่อหุ้มร่างหยุนเฟย กระเป๋าเก็บของ เตาปรุงยาและแกนพลังสีทองถูกเจ้าอสูรเก็บไปขณะที่มันกำลังจะออกมา

เมื่อชายวัยกลางคนเห็นอสูรตนนั้น ใบหน้าพลันเปลี่ยนไป เขาไม่รู้จริงๆว่าอสูรตนนั้นคือสิ่งใดถึงมีความสามารถประหลาดที่กลืนกินวิญญาณผู้คนได้

เขาสังเกตการณ์ได้ว่าอสูรตนนี้อยู่ตรงนี้มาตลอดและมันมีเจ้านาย สิ่งนี้ทำให้ชายวัยกลางคนเคร่งเครียดมาก

แต่ในไม่ช้าเขาก็กลับเป็นปกติ เมื่อเห็นเจ้าอสูรกำลังจะจากไป สายตากลายเป็นความเยือกเย็นพร้อมกับสะบัดแขนและสายหมอกที่สร้างเป็นถนนมังกรได้ล้อมรอบอสูรตนนั้น

ไม่นานนักเขาตบกระเป๋าและนำกลองหนังสัตว์ออกมาพลันมองไปที่อสูรตนนั้นและตีกลองด้วยนิ้วมือเบาๆ

เกิดเสียงบูม หมอกดำเริ่มสั่นเทาและเปลี่ยนเป็นทหารชุดเกราะดำพร้อมกับถือสมบัติวิเศษแตกต่างกัน พวกมันพุ่งเข้าหาอสูรตัวนั้น

เจ้าปิศาจน้อยถูกหมอกสีดำขวางไว้ข้างหน้าและทหารชุดเกราะดำด้านหลังที่กำลังเข้ามาใกล้ แสงหลายสีเรืองออกมาจากอาวุธทหารและฝนแสงตกลงเข้าหาปิศาจน้อย

แต่เจ้าปิศาจน้อยตนนี้คือปิศาจตัวที่สองของหวังหลิน แม้มันจะไม่มีพลังมากมาย ทว่าความสามารถในการหลบหนีของมันน่าอัศจรรย์นัก แม้กระทั่งตอนที่หวังหลินจับมันครั้งแรกก็เกือบจะหนีได้

เจ้าปิศาจน้อยไม่ลังเลและกลืนแกนพลังของหยุนเฟย มันมีขนาดใหญ่ขึ้นสองเท่าและแบ่งร่างออกเป็นสิบตัว จากสิบกลายเป็นร้อย ทันใดนั้นอสูรร้อยตัวขังไว้ในศาลา

อสูรทั้งร้อยตัวเปล่งเสียงแหลม ระลอกคลื่นเสียงกระจายออกรอบด้านจากนั้นทั้งร้อยตัวกระพือปีกของตนเองพร้อมกันสร้างเป็นพายุทอร์นาโดอันแข็งแกร่งและใช้มันพุ่งออกไป

ด้วยการใช้คลื่นเสียงเปิดเส้นทางและพายุทอร์นาโดตามมาด้านหลัง สายหมอกที่ป้องกันเส้นทางไม่อาจทนต่อไปได้และสูญสลายไป แม้กระทั่งทหารบางตัวที่ไล่ล่าจากด้านหลังก็ถูกทำลาย

จากนั้นพายุทอร์นาโดออกมาและพัดปลิวสายหมอกให้หายไปอย่างสมบูรณ์

ชายวัยกลางคนจดจ้องพายุทอร์นาโดที่เจ้าอสูรตนนั้นสร้างมาด้วยแววตาน่าสนใจ เขาเคลื่อนฝ่ามือขวาและตีกลองเพิ่มอีกหลายครั้ง

บูม บูม บูม บูม เสียงดังสี่ครั้งกึกก้องและสายหมอกโหมกระหน่ำหนาแน่นและสร้างอสูรประหลาดหลายประเภทที่ปลายภูเขา

อสูรทั้งหมดพวกนี้มีขนาดใหญ่มากและเต็มไปด้วยจิตสังหารต่อพายุทอร์นาโด

“ข้าไม่สนว่าเจ้านายของเจ้าเป็นใคร ไม่มีอสูรวิญญาณตัวไหนที่ข้าต้องตาจะหนีรอดไปได้ ข้ารู้ว่าเจ้าฟังออกดังนั้นจงฟังให้ดี ก่อนนี้ข้าเพียงสกัดกั้นเจ้าไว้เท่านั้นและไม่ได้โจมตี แต่ในสามลมหายใจหากเจ้าไม่เชื่อฟังข้า ข้าจะเริ่มโจมตีแล้ว”

เจ้าปิศาจน้อยหัวเราะ ร่างกายที่มัน ร่างกายที่มันสร้างขึ้นรวมเข้าด้วยกันภายในพายุทอร์นาโดและทันใดนั้นโจมตีชายวัยกลางคนด้วยการโจมตีทางวิญญาณ

การโจมตีวิญญาณรูปร่างสายฟ้าได้ทำลายเส้นทางที่สกัดกั้นไว้ทั้งหมด กระทั่งสายหมอกเมื่อสายฟ้าสัมผัสกลับแตกกระเจิงทันที ในพริบตามันก็มาถึงเบื้องหน้าชายวัยกลางคนแล้ว

ใบหน้าชายวัยกลางคนเปลี่ยนทันใด เขาถอยหลัง กัดริมฝีปากเล็กน้อยและพ่นโลหิตสดๆออกมา เมื่อการโจมตีวิญญาณปะทะกับโลหิต เสียงร้อนฉ่าดังออกมาและการโจมตีหยุดชะงักเล็กน้อย

ขณะเดียวกันชายวัยกลางคนนำเศษไม้สีดำออกมาจากกระเป๋าด้วยความหวาดกลัว เขาคำรามขึ้น “ดูดซับ!”

ชั่วขณะนั้นการโจมตีวิญญาณได้พุ่งเข้หาไม้สีดำโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อการโจมตีกำลังจะถึง เจ้าปิศาจน้อยส่งเสียงคำรามและการโจมตีวิญญาณแตกสลายเป็นร้อยเส้นและถอยกลับอย่างรวดเร็ว

หน้าผากชายวัยกลางคนปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่อ หากก่อนหน้านี้เขาช้าลงเพียงเล็กน้อยเมื่อนั้นนับว่าอันตรายมาก แต่ใบหน้าเขาในตอนนี้มีความกระตือรือร้นอย่างมาก พลันเลียริมฝีปากตนเองและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “กระทั่งใช้การโจมตีวิญญาณได้ แม้มันจะมีเจ้าของ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าจะขโมยมัน”

ขณะที่เขาพูดประโยคนั้นพลันได้ยินเสียงหนาวเย็นดังออกมาจากที่ห่างไกล “อย่างนั้นหรือ?”

ขณะที่เสียงดังขึ้นพลันมีเสียงหึ่งปรากฎเช่นกัน ชายวัยกลางคนเงยศีรษะและเห็นพายุทอร์นาโดขนาดยักษ์ปรากฎบนเส้นขอบฟ้าและพุ่งเข้าหาสายหมอกอย่างรวดเร็ว

อสูรที่สร้างจากสายหมอกดำกำลังจะโจมตีพายุทอร์นาโด แต่เมื่อเสียงกรีดร้องดังออกมาภายในพายุและลมแรงพัดออกมา มันทำลายอสูรทุกตัว

ในขณะเดียวกันอสูรตัวน้อยหัวเราะขึ้นและพุ่งออกมา มันรวมเข้าด้วยกันกับพายุทอร์นาโด เจ้าปิศาจน้อยมีความโกรธมาก หลังได้ควบคุมพายุทอร์นาโดมันจึงอาละวาดและเริ่มทำลายสายหมอกโดยรอบ

ชายวัยกลางคนกระทั่งไม่ได้มองพายุทอร์นาโดแต่จดจ้องไปที่เส้นขอบฟ้าด้วยดวงตาระมัดระวัง

เขาเห็นชายผมขาวสวมชุดสีดำเดินตรงมาหาเขาช้าๆ แม้ว่าชายผมขาวจะดูราวกับเคลื่อนไหวช้ามากแต่ความจริงกลับรวดเร็วยิ่ง กระพริบตาไม่กี่ครั้งชายผมขาวได้ปรากฎตัวบนยอดภูเขาเสียแล้ว

รูม่านตาชายวัยกลางคนแคบลง เขาตีกลองอีกครั้งและสายหมอกรอบๆควบแน่นเป็นบอลหมอกสีดำแปดลูก มันลอยรอบๆตัวเขา

ดวงตาฉิวซื่อผิงสว่างขึ้น เขาพูดอย่างเยือกเย็น “ท่านต้องเป็นคนที่รู้วิธีใช้กฎเกณฑ์โบราณแน่”

ชายผมขาวคือหวังหลิน เขาสะบัดแขนและของสองสิ่งออกมาจากพายุทอร์นาโดยักษ์ มันเป็นกระเป๋าและเตาปรุงยา หวังหลินไม่ได้มองเขาแต่ถือของไว้ในฝ่ามือ เพียงหลังจากเห็นว่าของปลอดภัยจึงมองไปที่ชายวัยกลางคน หวังหลินเห็นได้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ได้บรรลุขั้นแกนลมปราณระดับปลายเรียบร้อยและห่างขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเพียงก้าวเดียว

แต่ตราบใดที่ไม่ใช่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิด หวังหลินไม่มีปัญหาใดที่จะสังหารเขา ดวงตาจึงเยือกเย็นและพูดขึ้น “ข้าเป็นเจ้านายของอสูรตัวนี้ ก่อนหน้านี้เจ้าพูดว่าต้องการขโมยมัน ใช่ไหม? ก็ดี เข้ามาขโมยมันดู ข้าจะให้โอกาสเจ้า”

หวังหลินสะบัดแขน เจ้าปิศาจน้อยออกมาจากพายุทอร์นาโดและลอยเบื้องหน้าชายวัยกลางคนโดยไม่เคลื่อนไหว

ฉิวซื่อผิงขมวดคิ้ว เขาเห็นได้ว่าหวังหลินก็มีระดับขั้นแกนลมปราณระดับปลายเช่นเดียวกันแต่ที่เขาหยิ่งยโสได้แบบนั้นต้องมีบางสิ่งเป็นแน่

ฉิวซื่อมีมีความระมัดระวังมาก ดวงตาขยับเล็กน้อยและจดจ้องอสูรเบื้องหน้าเขา เขาส่ายศีรษะและพูดขึ้น “ก่อนนี้ขออภัยที่ต้องให้สหายเซียนเห็นเป็นเรื่องขบขัน ข้าเพียงข้อเล่น อสูรตัวนี้เป็นของสหายเซียนผู้นี้แล้วข้าจะขโมยมันได้เช่นไรเล่า? ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าหวังว่าท่านจะไม่คิดมากกับเรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นนี้”

หวังหลินโบกแขนอย่างสงบและเจ้าปิศาจน้อยกลับเข้าหาเขา ทันใดนั้นแสงสีแดงปรากฎในดวงตาพร้อมกับวิญญาณขอบเขตจวี่ปรากฎขึ้น

แรงกดดันแข็งแกร่งรุนแรงปรากฎขึ้นทันที

ฉิวซื่อผิงกำลังจะพูดแต่เมื่อเขาเห็นแววตาเรืองแสงสีแดงของหวังหลิน หัวใจจึงจมลง เขาไม่คิดว่าหวังหลินจะไม่รอให้เขาพูดจบก่อนที่จะสังหาร จึงมีความโกรธในใจ หวังหลินมีระดับฝึกฝนเท่าเทียมกับเขาน่ะหรือ?

เขาหายใจออกพลันเคลื่อนที่ไปด้านหลังอย่างรวดเร็วพร้อมกับสะบัดแขน บอลสายหมอกทั้งแปดลูกกระจายกลายเป็นชั้นหมอกหนาหนึ่งชั้น

ดวงตาฉีซื่อผิงมีความหนาวเย็น นับตั้งแต่ที่หวังหลินไม่ฟังคำพูดเขา จึงตัดสินใจต่อสู้ก่อนและคุยกันทีหลัง

แต่ขณะที่ความคิดนี้ก่อขึ้นในใจ เขาได้ยินเสียงอันหนาวเหน็บราวกับลมหนาวจากนรก

“ทำลาย!”

ขอบเขตจวี่ของหวังหลินพุ่งเข้าหาหมอกราวกับสายฟ้า หมอกนั้นไม่อาจเปรียบเทียบกับขอบเขตจวี่ได้เลยและมันแตกสลายขณะที่ถูกปะทะ

มีเพียงเสียงระเบิดดังออกมาเป็นชุดขณะที่บอลทั้งแปดลูกแตกสลาย

ใบหน้าฉิวซื่อผิงเปลี่ยนทันที ขณะที่กำลังถอยลังเขาไม่ลังเลที่จะสร้างผนึกขึ้นด้วยฝ่ามือและพ่นโลหิตป้องกันแสงสีแดงออกมาหลายคำ แต่ขณะที่โลหิตปรากฎออกมามันเปลี่ยนกลายเป็นหมอกและถูกผลักด้านข้าง

มันไม่สามารถหยุดสายฟ้าได้แม้เพียงหนึ่งวิ

เงาแห่งความตายที่ไม่ได้ปรากฎขึ้นเป็นเวลาได้เกาะกุมหัวใจฉิวซื่อผิง โดยไม่ต้องพูดเขานำเศษไม้สีดำออกมาก่อน เมื่อนำออกมานั้นขอบเขตจวี่ของหวังหลินปะทะใส่

เสียงแตกดังออกมาชัดเจนจากเศษไม้และจากนั้น ปัง มันระเบิดออกมา สายฟ้าแดงออกจากเศษไม้และเข้าสู่ร่างฉิวซื่อผิง

ร่างกายฉิวซื่อผิงสั่นสะท้าน ดวงตาเปลี่ยนเป็นมัวหมองแต่หลังจากปล่อยโลหิตออกมาไม่กี่ครั้ง แววตามีความสดใสอีกครา ทว่าเวลานี้ดวงตาเต็มไปด้วยความกลัว

โดยไม่ต้องพูด เขารีบหันตัววิ่งหนีทันที

หวังหลินส่งเสียงประหลาดใจ คนผู้นี้ไม่ตายภายใต้การโจมตีขอบเขตจวี่ของเขา สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจจริงๆเพราะครั้งอื่นก็เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นที่ภายนอกทะเลปิศาจจากคนชื่อจางก้วนโม่ซึ่งใช้หินหยกลึกลับหลบหนี

ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น เขาไล่ล่าตามหลังฉิวซื่อผิงราวกับสายฟ้าและปรากฎตัวเบื้องหน้าเขา

ฉิวซื่อผิงหวาดกลัวและมีรอยยิ้มชั่วร้าย “สหายเซียน เจ้าและข้าต่างไม่มีความแค้นใดต่อกัน ทำไมเจ้าต้องสังหารข้าเล่า?” เขารู้สึกเสียใจมากในจิตใจ เมื่อคิดเรื่องที่ชายผู้นี้สามารถใช้กฎเกณฑ์โบราณได้ เขาจะอ่อนแอได้ยังไง? กระทั่งมีระดับขั้นแกนลมปราณระดับปลาย เขามีการโจมตีวิญญาณที่ไม่สามารถต่อต้านการป้องกันได้ หากเขาไม่มีสมบัติประหลาดไว้ปกป้องตัวเอง เขาคงตายไปแล้ว

ในสายตาเขา แม้คนผู้นี้จะไม่ใช่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิด เขาต้องมีพลังโจมตีระดับเดียวกับขั้นวิญญาณแรกกำเนิดแน่ เช่นนั้นเขาจะไม่หนีได้ยังไง?

แต่ขณะที่กำลังคิดเช่นนั้น หวังหลินต้องครอบครองสมบัติที่แข็งแกร่งมากเพื่อใช้การโจมตีทรงพลังแบบนั้นได้

ใบหน้าหวังหลินเย็นชา ดวงตาเผยการล้อเลียนขณะที่พูดอย่างอ่อนโยน “เจ้าส่งคนออกมาหลายครั้งเพื่อล่อสตรีคนนั้นออกมาเพื่อค้นหาคนที่วางค่ายกลโบราณ ตอนนั้นเจ้าพบเขาแล้ว ทำไมถึงวิ่งหนีซะหล่ะ?”

ฉิวซื่อผิงยิ้มอย่างขื่นขม “สหายเซียนข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใด เพียงแค่…” เขาลังเลชั่วขณะและพูดอย่างรวดเร็ว “เพียงแค่มีผลประโยชน์มหาศาลบางอย่างที่ข้าจำเป็นต้องใช้คนที่รู้จักกฎเกณฑ์โบราณเพื่อช่วยเหลือก็เท่านั้น”

ฉิวซื่อผิงเป็นคนฉลาด หลังได้ยินคำพูดหวังหลินเขาจึงตระหนักได้ว่าลูกน้องชุดดำของเขาตกอยู่ในอันตราย แต่กลับแกล้งทำเหมือนไม่รู้อะไรเลย

หวังหลินสงบนิ่ง ดวงตาเรืองแสงสีแดงอีกครั้ง ฉิวซื่อผิงลอบกัดฟันแน่นและพูดอย่างรีบร้อน “สหายเซียนทั้งเจ้าและข้าต่างเป็นขั้นแกนลมปราณระดับปลายเหมือนกัน หากเจ้าฟังข้าสักนิด การสร้างวิญญาณเซียนจะเกิดขึ้นในไม่ช้า”

ดวงตาเรืองแสงสีแดงของหวังหลินจางหาย เขาจ้องฉิวซื่อผิงและพูดอย่างลึกลับ “ความอดทนของข้ามีจำกัด ข้าจะให้เจ้าพูดสามประโยคเพื่ออธิบายให้ข้าฟัง หากมันไม่ประทับใจก็อย่ากล่าวหาว่าข้าโหดร้าย”

ฉิวซื่อผิงสาปแช่งในใจแต่ใบหน้าปกติ เขาสูดหายใจลึกและพูดขึ้น “ข้าเชื่อว่าสหายเซียนรู้ความแตกต่างระหว่างแกนลมปราณและวิญญาณแรกกำเนิดว่ามีขนาดใหญ่มาก หากพบเจอสถานที่ที่พลังปราณหนาแน่น โอกาสทะลวงสู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดยังคงสูงมาก”

ใบหน้าหวังหลินเบื่อหน่ายและพูดขึ้น “ประโยคแรก!”

ฉิวซื่อผิงหยุดชั่วขณะและพูดต่อทันที “เว้นแต่จะมีเม็ดยาบางอย่างที่ช่วยสร้างวิญญาณเซียนของเรา เช่นนั้นจำนวนพลังที่แกนพลังสร้างขึ้นก็ยังนับว่าไม่เพียงพอ”

หวังหลินชำเลืองไปที่ฉิวซื่อผิงและพูดขึ้น “ประโยคที่สอง!”

“ข้าไม่มีเม็ดยาใดเพื่อช่วยกระบวนการนั้นแต่ข้ารู้หนทางที่ดีกว่าเม็ดยาพวกนั้น หากคนผู้หนึ่งกลืนกินสิ่งนี้เช่นนั้นการบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดนับว่าเป็นเรื่องง่าย สิ่งนี้ก็คือการใช้วิญญาณเซียนของผู้ที่มีขั้นวิญญาณแรกกำเนิด ข้ารู้จักสถานที่แห่งหนึ่งที่มีเซียนวิญญาณแรกกำเนิดอย่างน้อยสองคนภายในกุยซี!” ฉิวซื่อผิงพูดประโยคสุดท้ายจบในหนึ่งลมหายใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version