Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2059

Cover Renegade Immortal 1

2059. เคยเห็นมาก่อน

เจ้าของร่างนั้นเป็นใครและเขากอดใคร…หวังหลินไม่กล้าคิดถึงคำถามเหล่านั้น…

หวังหลินนั่งอยู่ในอารามอย่างเงียบงัน นึกย้อนไปถึงเวลา 68 ปีที่เขาอยู่ที่นี่

“เหลือเวลาไม่มากแล้ว…” หวังหลินพึมพำดังกึกก้องอยู่ในอาราม

ภายในเมืองหลวงอาณาเขตฉี ขณะที่วงแหวน 27 วงกำลังส่องประกายเจิดจ้าออกมาจากรูปปั้นบรรพชนโบราณ ทั่วทั้งเมืองได้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ทุกคนต่างก็ส่งสายตาไปที่รูปปั้น

“สิบแปดปี เขาใช้เวลาสามปีในการแยกวิญญาณครั้งแรกและครั้งที่สองใช้ถึงสิบห้าปี เขาต้องการสลายอย่างสมบูรณ์และหลอมรวมอย่างไร้ที่ติ!”

“ครั้งแรกเขาทำได้สำเร็จ แต่ช่วงการผสานกลับครั้งที่สองเห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องขึ้น ข้าสงสัยเสียแล้วว่าครั้งที่สามจะเป็นอย่างไรกันแน่!”

“หากหวังหลินสลายอย่างสมบูรณ์ได้ต่อเนื่อง เช่นนั้นครั้งที่สามคงจะยากยิ่ง หากข้าเป็นเขาก็คงแยกครั้งที่สามให้เร็วขึ้นเพื่อประคองชีวิตตัวเอง”

ขณะที่สายตาทุกคนรวมกันที่อารามบรรพชน ด้านหวังหลินก็สูดหายใจลึก เขาปล่อยวางความคิดทุกอย่างเกี่ยวกับร่างนั้นไปและเพ่งสมาธิไปที่การแยกวิญญาณครั้งที่สาม!

หวังหลินสามารถบอกได้ว่าหลังจากการแยกวิญญาณครั้งที่สองจบลง วิญญาณดั้งเดิมของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาหลายเท่าและมีระดับบ่มเพาะแข็งแกร่งมากขึ้น หากแยกวิญญาณครั้งที่สามได้สำเร็จและวิญญาณดั้งเดิมกลับคืนสู่ร่างกาย เขารู้สึกว่าอาจจะบรรลุสูงสุดแห่งใหม่!

บางที…เขาอาจข้ามผ่านกุ้ยต้าว!

หวังหลินมีแววตาเป็นประกายและเผยความมุ่งมั่น เขาหลับตาลงให้ร่างเงาวิญญาณดั้งเดิมครอบคลุมทั่วทั้งอารามบรรพชน เริ่มการแยกวิญญาณครั้งที่สาม!

ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย!

‘สามปี สิบห้าปี…ครั้งที่สามจะนานแค่ไหนกัน…’ หวังหลินไม่มีคำตอบ

พริบตาเดียวเขาได้ใช้เวลาแยกวิญญาณครั้งที่สามถึงเจ็ดปี ผู้คนในอาณาเขตฉีต่างก็มองวงแหวน 27 วงรอบรูปปั้นบรรพชนโบราณด้วยความตื่นเต้น

จักรพรรดิฉีส่งต่อทุกอย่างให้จี้ตูเกือบหมดแล้ว วันที่จักรพรรดิคนใหม่จะได้สวมมงกุฎกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ยิ่งวันนั้นใกล้เข้ามา สายตาของผู้คนจึงเลื่อนจากรูปปั้นบรรพชนมาที่เรื่องที่ใหญ่ที่สุดในอาณาเขตฉี การแต่งตั้งจักรพรรดิคนใหม่ขึ้นสู่บัลลังก์!

กองทัพอาณาเขตฉีนับไม่ถ้วนได้ทำการจงรักภักดีต่อจี้ตูอย่างช้าๆ ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ คุ้นเคย เรื่องนี้นับว่าเป็นหนึ่งในการเตรียมการต่อสงครามครั้งใหญ่สำหรับเผ่าโบราณและเผ่าเทพที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ร้อยปีให้หลัง

ห้าปี…ห้าปี…ห้าปี…

กาลเวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ฤดูต่างๆ สับเปลี่ยนกันไปมา พริบตาเดียวผ่านไปอีกสิบห้าปีจนตอนนี้หวังหลินเข้าสู่ปีที่ 22 แล้ว!

หากรวมกับการแยกวิญญาณครั้งก่อนหน้านี้ก็ 90 ปีเข้าไปแล้วตั้งแต่ที่หวังหลินเข้าสู่อารามบรรพชน!

เวลาเก้าสิบปีถือว่ามากพอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่าง มากพอเท่ากับหนึ่งช่วงชีวิตของคนทั่วไป จักรพรรดิฉีคนปัจจุบันได้ถอยมาอยู่เบื้องหลังแล้วและมีคนหนึ่งก้าวขึ้นมาเบื้องหน้าแทนนั่นคือจี้ตู

แม้พิธีแต่งตั้งยังไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างในอาณาเขตฉีถูกจี้ตูจัดการเอาไว้แล้ว ถึงเขาไม่ได้สวมมงกุฎ แต่ก็สวมชุดคลุมสูงศักดิ์ไปเรียบร้อย

แม้กระนั้นนิสัยที่มองอารามบรรพชนทุกเช้าก็ไม่เคยเปลี่ยน เขาเชื่อว่าพ่อบุญธรรมจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน!

ภายในอารามบรรพชน ร่างเงาวิญญาณดั้งเดิมขนาดใหญ่ได้แตกสลายเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วนไปแล้วและอยู่ในขั้นของการแตกสลายช่วงสุดท้าย

หวังหลินได้บทเรียนจากครั้งล่าสุดและจึงทิ้งสัมผัสวิญญาณส่วนหนึ่งไว้บนร่างกาย ในช่วงวินาทีวิกฤติ สัมผัสวิญญาณนี้จะปลุกเขาขึ้นมาได้

หวังหลินอดทนต่อความเจ็บปวดหลายสิบปีพร้อมกับดวงวิญญาณดั้งเดิมแตกสลาย ผู้คนนับไม่ถ้วนไม่สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดเช่นนี้ได้ แต่สำหรับหวังหลินเขารู้สึกว่าความเจ็บปวดนี้แค่ทำให้ความรู้สึกด้านชาเล็กน้อย

เมื่อปีที่ 95 ย่างเข้ามาถึง ทั่วทั้งอาณาเขตฉีต่างก็เตรียมงานสำหรับจักรพรรดิคนใหม่ ถึงตอนนี้ร่างเงาที่ปรากฏเหนือหวังหลินได้เปลี่ยนสลายกลายเป็นฝุ่นผงอย่างสิ้นเชิง

เขากำลังเริ่มการผสานวิญญาณกลับคืนไป!

เนื่องจากเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างการแยกวิญญาณครั้งที่สอง หวังหลินจึงระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ได้ลองพยายามผสานในครั้งเดียวแต่เริ่มผสานส่วนเล็กๆ เข้าด้วยกันจนทำให้มันสมบูรณ์

หวังหลินถึงกับวางแผนเรื่องนี้เอาไว้และหากต้องการสำเร็จ เขาคงต้องทำในระหว่างการผสานวิญญาณกลับ

ขณะที่เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนถึงปีที่ 96 หวังหลินผสานวิญญาณดั้งเดิมไปแล้วสามในสิบส่วน ดวงวิญญาณไม่ได้ใหญ่และมีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น

ทว่าแค่สามในสิบส่วนก็ยังแข็งแกร่งกว่าวิญญาณที่ผ่านการแยกวิญญาณครั้งที่สองอยู่หลายเท่า บางทีหากเขาสามารถผสานวิญญาณกลับคืนในครั้งที่สามได้ มันคงทำให้เขาบรรลุจุดสูงสุดใหม่

ในปีที่ 97 ร่างเงาวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินควบแน่นไปห้าในสิบส่วนและแข็งแกร่งกว่าเดิมมากขึ้น

เหลืออีกสามปีก็จะครบร้อยปี นับเป็นวันก็แค่พันกว่าวันเท่านั้น

ช่วงเวลานี้ เมืองหลวงอาณาเขตฉีช่างเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง เหล่าผู้คนทรงพลังแทบทั้งหมดต่างก็รวมตัวกันในอาณาเขตฉีเพื่อเป็นสักขีพยานเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุด!

การเปลี่ยนจักรพรรดิได้ทำให้อาณาเขตฉีมีชีวิตชีวามากมาย ทว่าคนที่กำลังได้รับการสืบทอดบัลลังก์ยังคงเงียบสนิท เขาต้องการเข้าไปในอารามบรรพชนคนเดียวและนั่งอยู่ด้านนอกเพื่อบ่มเพาะ

เขายอมละทิ้งทุกอย่างเพื่ออยู่กับพ่อบุญธรรมเป็นเวลาสามปีก่อนที่จะได้กลายเป็นจักรพรรดิ

ขณะที่เวลาผ่านไปในแต่ละวัน ผู้คนยิ่งเข้ามาอาณาเขตฉีมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงคนจากอีกสองอาณาเขตด้วยเช่นกัน

แทบทุกวันจะมีคนเข้ามาในเมืองหลวง แต่หากเทียบเมืองหลวงกับอารามบรรพชน ถือได้ว่าอารามบรรพชนนั้นเงียบมาก มันกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามมานานแล้วและไม่มีใครอนุญาตให้เข้าไปใกล้ ทั้งยังมีองครักษ์จากวังหลวงเข้ามาคุ้มกันที่นี่อีก

จี้ตูฟังเสียงเอะอะจากด้านนอกพร้อมกับนั่งหลับตาอยู่อย่างเงียบงัน

‘พ่อบุญธรรม อีกสามปีข้าก็จะกลายเป็นจักรพรรดิฉีแล้ว…’

จี้ตูนั่งอยู่ตรงนั้น วันคืนผันเปลี่ยนไปจนย่างเข้าปีที่ 98 จากนั้นก็ปีที่ 99 และท้ายที่สุดปีที่ร้อยก็ผ่านเข้ามาอย่างเงียบๆ

ในวันนี้สายตาทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รวมมาที่รูปปั้นบรรพชนอีกครั้ง ทว่าพวกเขาไม่ได้มองมาที่วงแหวน แต่เป็นจักรพรรดิ!

ทั้งเมืองหลวงเงียบสนิทและมีคนอยู่ในวังอย่างมหาศาล พวกเขากำลังรอการปรากฏตัวของจักรพรรดิคนใหม่อยู่ที่ลานกว้าง

ผู้ส่งสาส์นอีกสองอาณาเขตได้เข้ามาถึงในงานพิธีแล้ว รวมถึงคนจากตระกูลราชวงศ์และผู้มีสถานะสูงส่ง พวกเขากำลังรอคอยอยู่ในลานกว้าง

ใจกลางลานกว้างมีเตาหลอมขนาดยักษ์ตั้งวางเอาไว้

ภายในเตาหลอมมีดินละเอียดและปักธูปก้านใหญ่เอาไว้ ธูปนี้ยังไม่ถูกจุดและคนที่มีสิทธิ์ก็คือจี้ตู!

นี่คือธูปอำนาจราชวงศ์ เมื่อธูปถูกจุดขึ้นมาจะมีควันเปลี่ยนกลายเป็นกลอง จี้ตูเป็นคนเดียวที่สามารถตีกลองนี้ได้ เมื่อมันตีถึงเก้าครั้ง จี้ตูจะได้รับการโค้งคำนับจากทั่วทั้งอาณาเขตฉี

ทุกคนที่นี่กำลังรอคอย แม้แต่จักรพรรดิฉีคนก่อนก็ยังรอคอยเช่นกัน

ด้านข้างจักรพรรดิฉีมีผู้คนอีกหลายคน หนึ่งในชายชรากลุ่มนั้นมีอาการลังเลและพูดขึ้นเบาๆ “ใกล้จะถึงเวลาแล้ว…ใต้ฝ่าพระบาท…”

“รอต่อไป! ในอาณาเขตฉีไม่มีฤกษ์มงคลอะไร เมื่อองค์ชายจี้ตูมาที่บัลลังก์ เมื่อนั้นคือฤกษ์งามยามดีที่สุด!” จักรพรรดิฉีคนเก่าพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

ชายชราที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้พลันพยักหน้าอย่างเคารพ

จี้ตูกำลังนั่งหลับตาอยู่ด้านนอกอารามบรรพชนราวกับไม่ห่วงว่าวันนี้จะเป็นวันสำคัญ หลังจากนั้นไม่นานเสียงก้าวเท้าก็ย่างเข้ามาพร้อมกับองครักษ์เกราะดำเข้ามาเทียบเคียง

“ใต้ฝ่าพระบาท ถึงเวลา…” องครักษ์คุกเข่าลงหนึ่งข้าง คนที่อยู่หน้าสุดเป็นชายวัยกลางคน

จี้ตูไม่พูดอะไรและไม่เคลื่อนไหว

องครักษ์ด้านหลังคุกเข่าลงและเงียบเสียงด้วยเช่นกัน

หลังจากผ่านไปเวลาครึ่งก้านธูปไหม้จึงเกิดเสียงถอนหายใจออกมาจากจี้ตู เขาลืมตาขึ้นและมองอารามบรรพชน จากนั้นลุกขึ้นและคุกเข่าลงโขกคำนับสามครั้งต่ออาราม

“พ่อบุญธรรม…ลูกขอตัวก่อน” จี้ตูลุกขึ้นมองก่อนจะก้าวเดินเข้าหาองครักษ์ เหล่าองครักษ์เดินตามและจากไปอย่างช้าๆ

พอพวกเขาจากไป ร่างเงาหนึ่งกำลังลอยขึ้นเบื้องหน้าหวังหลินที่อยู่ในอารามบรรพชน ร่างเงานี้ไม่มีขนาดเท่ากำปั้นอีกแล้วแต่มีขนาดเท่าร่างกายเหมือนร่างวิญญาณ

ร่างเงาเปล่งแสงเจิดจ้าและดูสมบูรณ์ยิ่ง มันดูเหมือนได้ผสานอย่างสมบูรณ์แต่ดวงตาของวิญญาณดั้งเดิมยังคงหลับสนิท

หนึ่งปีก่อนหวังหลินสามารถผสานให้เสร็จสิ้นได้แล้ว กระบวนการดำเนินไปอย่างราบรื่นและไม่เกิดเหตุร้ายอะไร ทว่าเขากลับเลือกที่จะไม่จบแบบนั้นและประคองให้เหลือส่วนที่ไม่สมบูรณ์ เพื่อที่เขาจะได้อยู่ในสภาวะหลับใหลต่อ

เขาต้องการเข้าสู่โลกที่เคยเห็นระหว่างการแยกวิญญาณครั้งที่สองอีกครั้ง เขาต้องการเห็นภูเขาที่มีหิมะสีรุ้งตกลงมา เขาต้องการเห็นร่างนั้นอีกครั้งและได้ยินประโยคเดิมอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าจะเข้าสู่โลกนั้นได้อย่างไรและไม่รู้ด้วยว่านั่นเป็นที่ไหน สุดท้ายหลังจากพยายามค้นหาทางอยู่หนึ่งปี ความคิดก็พร่าเลือนและเป็นจังหวะที่เขาได้เห็นโลกนั้นอีกครั้ง

………………………………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version