208. ปลายทางสุดท้ายของขอบเขตจวี่
หวังหลินขมวดคิ้ว สายตาตกลงบนเต่ายักษ์ที่อยู่ใต้ชายชรา กลิ่นอายที่เต่าตัวนี้ปล่อยออกมาช่างคุ้นเคยกับมังกรยักษ์ในดินแดนเทพโบราณอย่างมาก
สิ่งสำคัญที่สุด เต่าตัวนี้ดูเหมือนกับเต่ายักษ์ในความทรงจำของเทพโบราณจริงๆ
“ซวนหวู่!!” ดวงตาฉิวซื่อผิงเบิกกว้างและใบหน้าเปลี่ยนสีทันที เขาสร้างผนึกในฝ่ามือหลายแห่งและส่งมันเข้าสู่รูปปั้นข้างหน้า
ทันใดนั้นเรือทั้งลำเริ่มหันไปล้อมรอบชายชรา
“ซวนหวู่…” หวังหลินจดจ้องไปที่เต่าและขบคิด ในความทรงจำไม่มีซวนหวู่แต่มีอสูรตัวหนึ่งเรียกกันว่าถีโฉ่ว
อสูรตัวนี้กินพลังปราณเป็นหลัก มันโจมตีด้วยเสียงคำรามเมื่อเซียนธรรมดาได้ยินพลังปราณในร่างจะหลุดจากการควบคุมทำให้ร่างกายล้มเหลวและกลายเป็นอาหารของมัน
ชายชราผู้กำลังสาปแช่งได้หยิบน้ำเต้าสกปรกขวดใหญ่ออกมา หลังดื่มไปอีกใหญ่เขาเริ่มสาปแช่งอีกครั้ง เขาไม่ได้กระทั่งมองเรือหวังหลินและฉิวซื่อผิงที่มาถึง
เม็ดเหงื่อปรากฎบนหน้าผากฉิวซื่อผิง เขาควบคุมเรืออย่างระมัดระวังให้เคลื่อนไปรอบชายชราอย่างเชื่องช้า หลังบินห่างไกลจากชายชราในที่สุดก็ปล่อยลมหายใจออกมาและหันหน้าเข้าหาหวังหลินพร้อมกับพูดขึ้น “ตั้งแต่ที่คนผู้นั้นใช้ซวนหวู่เป็นสัตว์ขี่ ระดับฝึกฝนของเขาต้องมีระดับเกินจินตนาการ ดูเหมือนการเปลี่ยนแปลงในทะเลปิศาจนี้ทำให้ผู้ทรงพลังออกมาจำนวนมาก โชคดีที่เขาไม่ได้ก่อกวนเรา”
หวังหลินมองฉิวซื่อผิงและพูดด้วยใบหน้ามืดมน “อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น”
ฉิวซื่อผิงตกตะลึง หวังหลินชี้ด้วยฝ่ามือขวา ฉิวซื่อผิงหันไปทิศทางนั้นและเห็นฉากเหตุการณ์เบื้องหน้า
ชายชราที่กำลังยืนอยู่เหนือเต่ายักษ์กำลังสาปแช่งเสียงดัง
ฉิวซื่อผิงขบคิดชั่วขณะและพูดออกมาคำเดียว “ค่ายกล?”
หวังหลินไม่ได้ก่อกวนฉิวซื่อผิง เขาเดินออกไปที่หัวเรือและมองรอบๆ เมื่อเรือหันทิศก่อนหน้านี้เขารู้สึกบางสิ่งแปลกประหลาดราวกับมีพลังผันผวนออกมาจากขาเต่ายักษ์
หลังขบคิดชั่วขณะหวังหลินเอ่ยขึ้น “นี่มันไม่ใช่ค่ายกล แต่เป็นกฎเกณฑ์รูปแบบหนึ่ง!”
ฉิวซื่อผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองรอบๆและพูดอย่างขื่นขม “ด้วยแค่ระดับฝึกฝนของเรา ไม่มีแรงจูงใจใดให้ผู้อาวุโสคนนี้ต้องวางกฎเกณฑ์ไว้เพื่อเราถูกไหม?”
หวังหลินไม่ได้พูดออกมาแต่ทำการตรวจสอบพื้นที่ทั่วบริเวณด้วยสัมผัสวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ชายชราไม่แค่หยุดพวกเขาโดยไม่มีเหตุผล แต่ดูเหมือนอาจจะมีปัญหาในอนาคต
ชายชราดูเหมือนจะสาปแช่งจนเหนื่อย เขาดื่มน้ำจากน้ำเต้าอีกอึกใหญ่และนั่งลง สายตาจดจ้องบนเรือฉิวซื่อผิงและหวังหลินอยู่
ชายชราคว้ามือขวาและทันใดนั้นเรือเมฆลอยเข้าหาเขาทันที ในไม่ช้าเรือก็ห่างจากเขาเพียงสิบฟุต
ฉิวซื่อผิงรีบปั้นใบหน้าเคารพ “ผู้น้อยฉิวซื่อผิงขอคารวะผู้อาวุโส”
ชายชรากระพริบตา “เจ้ารู้จักข้าหรือ?”
ฉิวซื่อผิงตกตะลึงและรีบพูด “ผู้อาวุโส…”
“ข้าไม่รู้จักเจ้า เช่นนั้นเจ้ารู้จักข้าได้อย่างไร? หากเจ้าไม่รู้จักข้าแล้วทำไมเจ้าถึงเรียกข้าว่าผู้อาวุโสเล่า? ข้าแก่หรือ?ก็ดี ให้ข้าเล่าเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นตอนที่ข้าสามขวบ หลังจากข้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในหลายพันปีที่ผ่านมา เมื่อนั้นเจ้าถึงสามารถบอกได้ว่าเจ้ารู้จักข้า ตอนที่ข้าสามขวบนั้น…” ขณะที่ชายชราเริ่มพูด เขาก็พูดต่ออย่างไม่หยุดทำให้ฉิวซื่อผิงติดมึนและไม่สามารถเอ่ยอะไรได้
หลังผ่านไปนานในที่สุดชายชราก็หยุดลงและดื่มเหล้าจากน้ำเต้าอีกอึกหนึ่ง ตอนนี้น้ำเต้าว่างเปล่าและปากของเขาบิดเบี้ยวและพึมพำ “หากข้ารู้ว่าจะมาพูดมากในวันนี้ ข้าคงพาเหล้ามาด้วยเพิ่มขึ้น ตอนนี้มันไม่มีเหลือแล้ว เจ้าทั้งสองตามไปกับข้า ข้าจะไปเอาเหล้ามาเพิ่มและข้าจะเล่าประสบการณ์ตอนที่ข้าอายุ 75 ในระหว่างทาง”
ใบหน้าฉิวซื่อผิงบิดเบี้ยว เขารีบนำเหล้าออกจากกระเป๋าและพูดขึ้น “ผู้..อาวุโส..ผู้น้อยมีเหล้า เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องไปซื้อเพิ่มหรอก”
ใบหน้าชายชราเป็นประกายและขยับแขน พร้อมกันนั้นเหล้าในมือฉิวซื่อผิงหายไปทันที
หวังหลินเงียบเสียงตลอดเวลา เขาไม่สามารถมองระดับฝึกตนของชายชราได้และตั้งแต่ที่เขาสนทนาเป็นไปไม่ดีนัก มันจึงเยี่ยมที่จะทิ้งฉิวซื่อผิงไว้
หวังหลินกำลังคิดว่าทำไมคนผู้นี้ต้องหยุดพวกเขา เขารู้สึกได้ว่าเหตุผลก็คือบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์หรือการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่ามีโอกาสที่ชายชราคนนี้อยู่ที่นี่เพราะฉิวซื่อผิง แต่ขณะที่พูดนั้นหวังหลินรู้สึกได้ว่าไม่ใช่ฉิวซื่อผิงแต่เป็นหวังหลินเสียเอง
ชายชราเปิดขวด เขาดมกลิ่นเหล้าและพูดขึ้น “เยี่ยมมาก เหล้าที่สร้างจากผลคานหยุน ไม่เลวๆ หนุ่มน้อยเจ้าเหมาะกับตาเฒ่าคนนี้ทีเดียว มาเป็นศิษย์ข้าจะว่าอย่างไร?”
หวังหลินเริ่มคิด ชายชราคนนี้ไม่ได้พูดโดยไร้เหตุผล มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่ในความหมายนั้น
ฉิวซื่อผิงตกตะลึงจนเป็นใบ้ หากคนผู้นี้ขังตัวเองไว้นาน ดูเหมือนเขาจะเป็นบ้าไปแล้ว ใครจะมารับศิษย์แบบนี้กัน?
ฉิวซื่อผิงรู้สึกมีใครกำลังกุมลำคอเขาไว้และไม่อาจพูดออกมาได้ หลังผ่านไปชั่วขณะเขายิ้มอย่างขมขื่น “ผู้อาวุโส ข้า…”
ดวงตาชายชราเปลี่ยนไปและพูดขึ้น “อะไร? ไม่มีความสุขหรือ? งั้นเจ้าตอบมา ต้องการเป็นศิษย์ข้าไหม?” ชายชราหันหน้าหาหวังหลินและยิ้มเบาๆ
ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่ง เขารู้แล้วว่าชายชราคนนี้นำเรื่องมาให้เขาจึงพูดอย่างเคารพ “ผู้น้อยมีสำนักอยู่แล้ว”
“สำนักอะไร?” ใบหน้าชายชรายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่จากมุมมองของหวังหลิน เขาเห็นความเย็นชาแฝงในแววตา หวังหลินเดาได้ทันทีว่าเป้าหมายของชายชราคือตัวเขาเอง
หวังหลินตอบกลับไปอย่างเคารพ “สำนักเหิงยั่ว แคว้นจ้าว”
ชายชรามองหวังหลินอย่างครุ่นคิดและรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นเย็นชาพร้อมกับพูดขึ้น “ในสามวัน เจ้าสังหารเซียนขั้นแกนลมปราณไปหลายพัน เจ้ากล้ามากจริงๆ!”
ขณะที่คำพูดพวกนั้นเปล่งออกมา ใบหน้าฉิวซื่อผิงเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เขาก้าวถอยหลังและมองหวังหลินด้วยใบหน้าไม่เชื่อ
ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งแต่หัวใจเต้นผิดจังหวะและหลายความคิดแล่นผ่านสมอง หลังคิดเรื่องทั้งหมดที่ชายชราพูดและน้ำเสียงที่เปล่งออกมา หวังหลินสูดหายใจลึกและเปลี่ยนเป็นเคารพมากขึ้น “ผู้น้อยจะขอให้ท่านเป็นอาจารย์ข้า”
ชายชราตกตะลึง หลังจ้องหวังหลินเป็นเวลานาน สายตาเย็นชาจึงหายไปทีละน้อย เมื่อนั้นเขาหัวเราะออกมาและสะบัดแขน กฎเกณฑ์หนึ่งร่อนลงบนหน้าผากหวังหลินจากนั้นเอ่ยขึ้น “เยี่ยม! เจ้าฉลาดจริง! ตาเฒ่าผู้นี้จะรับเจ้าเป็นศิษย์ มากับข้าสิ”
หลังกฎเกณฑ์ตกลงบนร่างกายหวังหลิน มันเปลี่ยนเป็นดอกบัวยักษ์ทันทีโดยใช้ช่องหวังหลินเป็นราก เส้นโลหิตเป็นกิ่งก้านและเลือดเนื้อเป็นสารอาหาร
ใบหน้าหวังหลินไม่ได้เปลี่ยนไปเลยและพูดขึ้น “ศิษย์มีแผนจะช่วยฉิวซื่อผิงทำบางอย่าง เช่นนั้นข้าขอให้อาจารย์รอข้าไม่กี่วันได้หรือไม่?”
สายตาชายชราตกลงบนฉิวซื่อผิง ฉิวซื่อผิงสั่นเทาเล็กน้อย เขากัดฟันแน่นและพูดขึ้น “ผู้อาวุโส นี่เป็นเรื่องจริง ข้าขอให้ผู้อาวุโสตามจะเห็นสมควร”
ชายชรากรอกสายตา “ข้าจะให้เจ้าหนึ่งเดือน หลังผ่านไปหนึ่งเดือนให้เจ้าไปที่ศาลาหลอมสมบัติเมืองไหนก็ได้บอกชื่อข้า ซุนเตียน และข้าจะรู้”
เช่นนั้นชายชรามองหวังหลินและหัวเราะออกมา เขาตบเจ้าเต่าด้วยฝ่าเท้าและหายไปในพริบตา
ฉิวซื่อผิงขบคิดชั่วขณะ เขามองหวังหลินอย่างน่ากลัว เขาไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับชายชราแต่พูดด้วยน้ำเสียงหนักหน่วง “น้องหวัง ข้าจะเพิ่มความเร็วของเรือดังนั้นเราจะถึงในอีกสองวัน ข้าวางเรื่องกฎเกณฑ์ในถ้ำให้กับน้องหวังเสียแล้ว”
หวังหลินพยักหน้า เขานั่งลงอย่างรวดเร็วบนท้ายเรือและชี้ไปที่คิ้วตัวเอง เจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วและปิศาจน้อยออกมาพร้อมกับลอยลอยตัวเขา
ขณะเดียวกันเขาตบกระเป๋าและธงกฎเกณฑ์โผล่ออกมา เวลานี้ภายใต้การควบคุมของเขาจึงทำให้ธงกฎเกณฑ์ล้อมรอบร่างกายไปด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน น้ำเสียงเยือกเย็นดังออกมาจากหมอกสีดำ “สหายฉิว ข้าจะปิดประตูฝึกฝนเป็นเวลาสองวัน ดังนั้นโปรดอย่ารบกวนข้า”
ฉิวซื่อผิงตอบรับทันที หลังมองหมอกสีดำเขาหันกลับและมุ่งความสนใจไปที่การควบคุมเรือให้เร็วที่สุด
หลังผ่านไปสองวันเรือได้มาถึงภูเขาเดียวดาย เขาหันไปรอบๆและมองหวังหลิน ขบคิดเล็กน้อยและนั่งลงรอหวังหลินแทนที่จะรบกวนเขา
ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ธงกฎเกณฑ์รอบหวังหลินเริ่มขยับ มันหดกลับจนมีขนาดเล็กและถูกเก็บไป
ใบหน้าหวังหลินค่อนข้างซีดเผือด กฎเกณฑ์ดอกบัวที่ชายชราวางไว้ไม่ได้เข้มงวดนักดังนั้นเขาจึงทำส่วนหนึ่งเป็นรอยแตก ทว่าการนำมันออก เขาจำเป็นต้องใช้เวลาเพิ่ม
แต่ในสองวันนี้ หวังหลินเข้าในกฎเกณฑ์นี้อย่างสมบูรณ์ กฎเกณฑ์นี้คือการติดตามตัวและจากความเข้าใจของหวังหลิน ระยะของมันกว้างใหญ่ไพศาลมาก
หลังฉิวซื่อผิงเห็นหวังหลินออกมาจากหมอกสีดำ เขายืนขึ้นทันที “น้องหวัง ข้างใต้เราคือตำแหน่งของถ้ำ”
หวังหลินพยักหน้าและมองลงไป ทันใดนั้นเขาทิ้งเรือไว้และลอยไปในอากาศ
ฉิวซื่อผิงสร้างผนึกขึ้นด้วยฝ่ามือขวาและใช้วิชาหนึ่งบนเรือ เรือเมฆหดลงจนมีขนาดเท่าอุ้งมือและเขาเก็บไป
หลังทำเช่นนั้นเขาจึงลงไปอย่างรวดเร็ว หลังมองรอบๆจึงร่อนลงบนก้อนหินก้อนหนึ่ง เขาวางแขนขวาไปบนก้อนหินสีดำและปล่อยพลังงานจากแกนสีทองออกมา ก้อนหินสีดำเริ่มส่องแสง
ฉิวซื่อผิงสะบัดแขนและก้อนหินลอยในอากาศ เขาสร้างผนึกหลายอย่างและก้อนหินลอยเข้าหาภูเขาขณะที่กำลังเรืองแสงไปด้วย
ระลอกคลื่นปรากฎด้านข้างภูเขาและเริ่มกระจายออกไป
จากภายในระรอกน้ำ รูครึ่งวงกลมปรากฎในภูเขา ฉิวซื่อผิงสูดหายใจลึกและมองตรงไปหวังหลิน
หวังหลินขบคิดเล็กน้อย ดวงตาสวรรค์ส่องแสงขึ้น หลังจ้องระลอกน้ำชั่วครู่ เขาสร้างวงกลมมายาสามวงและส่งมันเข้าหาระลอกน้ำ เมื่อวงกลมวางลง ระรอกน้ำเริ่มสั่นสะเทือน ฟองอากาศปรากฎบนภูเขา บางครั้งมันก็ขยายตัวและบางครั้งก็หด พวกนี้ประหลาดนัก
หวังหลินไม่ได้ใส่ใจ เขาสะบัดแขนสร้างวงกลมมายาขึ้นอีกวง จากนั้นฟองอากาศในระลอกน้ำแตกสลายทันที ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นและส่งวงกลมมายาหนึ่งวงไปที่ตำแหน่งฟองกาศแตกสลาย
แต่หลังจากนั้นฟองอากาศแตกเพิ่มขึ้น หวังหลินส่งวงกลมมายาออกมาทีละวงและทั้งหมดวางลงบนตำแหน่งที่ฟองอากาศแตกสลาย
ขณะที่เวลาผ่านไปยิ่งมีฟองกาศแตกมากขึ้น หวังหลินจึงค่อยๆไม่สามารถตามความเร็วฟองอากาศที่กำลังแตกได้ หลังฉิวซื่อผิงจากเห็นหวังหลินไม่สามารถทำต่อไปได้จึงช่วยไม่ได้ที่จะกังวล เขาตบกระเป๋าและก้อนหินสีดำสิบก้อนลอยออกมา
หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองมือปะทะบนก้อนหินพลันส่งก้อนหินหนึ่งเข้าหาฟองอากาศหนึ่งลูกที่ระเบิดไปซึ่งเป็นลูกที่หวังหลินส่งวงกลมมายาช้าไป
เขาเผยใบหน้าผวดหัวเมื่อส่งก้อนหินออกไป แต่ในไม่ช้าจึงเคร่งเครียด ฝ่ามือเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เมื่อไหร่ที่หวังหลินไม่สามารถทำต่อไปได้ เขาจะเติมเต็มช่องว่างด้วยก้อนหินสีดำ
หลังจากหวังหลินเห็นเช่นนี้ ดวงตาสว่างขึ้น เขาจงใจช้าลงเล็กน้อยบังคับให้ฉิวซื่อผิงใช้ก้อนหินเพื่อเติมเต็มช่องว่าง
ในที่สุดก้อนหินสีดำทั้งหมดได้ถูกใช้ไปและฝ่ามือหวังหลินพลันเร็วขึ้นเพื่อส่งวงกลมมายาหลายสิบออกไป เสียงบูมปรากฎจากระลอกน้ำและมันแบ่งครึ่งออกสร้างเป็นทางเข้าที่กำลังเปิดอยู่
ใบหน้าฉิวซื่อผิงตื่นเต้นและพุ่งเข้าไป ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นและติดตามไปด้านหลัง
หลุมไม่ใหญ่มาก ภายในถ้ำมีประตูหินสี่ห้อง หลังหวังหลินเข้าไปเขาเห็นฉิวซื่อผิงอยู่ข้างหน้าประตูหินห้องหนึ่งเผยใบหน้าหวาดกลัว
หวังหลินเมินฉิวซื่อผิงและมองประตูหิน เมื่อตรวจสอบจึงพบว่ามีกฎเกณฑ์วางบนประตูทั้งสี่ สายตาจรดลงบนประตูแห่งหนึ่งทางด้านซ้ายและพบว่ากฎเกณฑ์บนประตูทำลายง่ายมาก
เขาขบคิดชั่วครู่ ฝ่ามือเริ่มเคลื่อนไหวสร้างวงกลมมายาและโยนไปที่ประตู
ทันใดนั้นประตูหินเริ่มสั่นและเปิดออกช้าๆ หวังหลินมองข้างในห้องและดวงตาเบิกกว้าง
ห้องหินว่างเปล่าและมีเพียงค่ายกลวงกลมตั้งอยู่ตรงกลาง ค่ายกลนี้ดูโบราณมากแต่เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิด หวังหลินพบว่าวัตถุดิบที่ใช้สร้างค่ายกลนี้ยังมีสภาพดี
หวังหลินสามารถมองผ่านว่าค่ายกลนี้คือค่ายกลอะไรได้ทันที มันเป็นค่ายกลที่สามารถเคลื่อนย้ายคนในระยะหลายล้านลี้ได้ทันที
ฉิวซื่อผิงหันศีรษะและมองไปที่ค่ายกลพร้อมกับพูดอย่างอ่อนโยน “นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ตอนที่อาจารย์ข้าพบถ้ำแห่งนี้ เขาพบค่ายกลเคลื่อนย้ายเช่นกัน แม้ค่ายกลเคลื่อนย้ายยังอยู่สภาพดีเพราะมันอยู่ในถ้ำ แต่การกระตุ้นมันจำเป็นต้องใช้หินวิญญาณระดับสูง ข้าไม่เคยได้ยินว่าในทะลปิศาจจะมีใครมีหินวิญญาณระดับสูง ดังนั้นข้าจึงไม่เคยเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ขึ้น”
หวังหลินไม่ได้พูดแต่เขาลอบตื่นเต้น กล่าวได้ว่าหลังออกจากดินแดนเทพโบราณ เป้าหมายหลักของเขาคือการค้นหาค่ายกลเคลื่อนย้ายแต่กลับไม่มีข้อมูลนักในเมืองฉีหลิน
แผนเดิมของเขาคือค้นหาข้อมูลค่ายกลเคลื่อนย้ายและค้นหาค่ายกลด้วยตัวเองและซ่อมมัน แต่ด้วยค่ายกลเคลื่อนย้ายเบื้องหน้าเขานี้ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดเลย
เรื่องน่าสงสารคือเขาไม่รู้ว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้จะนำพาไปที่ไหน
ฉิวซื่อผิงชี้ไปที่ห้องหนึ่งและเอ่ยขึ้น “ห้องหินนี้คือห้องเก็บของที่ใช้เก็บหนังสือหลายเล่มแต่ข้าได้นำออกมาหมดแล้ว” เขาสร้างผนึกหลายอย่างและวางไว้บนหนึ่งในประตูหิน
ทันใดนั้นประตูหินเปิดขึ้นเผยให้เห็นห้องโล่งว่างเปล่า
“ห้องนี้มีซากศพของเซียนโบราณ แต่มันไม่อยู่ที่นี่แล้ว อาจารย์ข้าใช้ซากศพเป็นตัวยาไป” เช่นนั้นเขาเปิดอีกห้องหนึ่งอีกครั้งและมันว่างเปล่าเช่นกัน
ฉิวซื่อผิงชำเลืองหวังหลินและพูดขึ้นช้าๆ “อาจารย์และผู้อาวุโสอยู่ในห้องขวาง เมื่อมันเปิดเราจะนำวิญญาณเซียนออกมาคนละดวง วิญญาณเซียนอาจารย์ข้าจะเป็นของเจ้า และข้าจะรับของผู้อาวุโสข้ไว้ น้องหวังข้ารู้ว่ามีความเข้าใจผิดเมื่อเราเจอกันครั้งแรกแต่ข้าเชื่อว่าระหว่างการเดินทางมาที่นี่ ความเข้าใจผิดนั้นได้ถูกขจัดออกไปแล้ว”
หวังหลินเอ่ยอย่างสงบ “หากข้อสรุปของเจ้าผิดและวิญญาณเซียนทั้งสองดวงไม่ได้อยู่ในภาวะกุยซี?”
ฉิวซื่อผิงส่ายศีรษะ “น้องหวังมั่นใจได้ว่าทั้งสองอยู่ในภาวะกุยซี ข้าได้เตรียมเรื่องนั้นไว้แล้ว” เขาสูดหายใจลึกและนำธูปสีม่วงออกมา จุดไฟขึ้นและกลิ่นหอมเต็มทั่วห้อง
“กลิ่นหอมจิตสับสน?” ดวงตาหวังหลินเรืองแสงขึ้นและเขารู้ทันทีว่ามันคืออะไร กลิ่นหอมจิตสับสนเป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างเม็ดยา หากรวมกับเม็ดยาอื่นมันจะทำให้จิตใจสงบและช่วยต่อต้านปิศาจภายนอก หากใช้เดี่ยวๆโดยเฉพาะกับคนที่กำลังถูกปิศาจโจมตีภายใน เมื่อนั้นอาการบาดเจ็บจะเพิ่มขึ้นและปิศาจจะรับการช่วยเหลือจากภายนอก
ฉิวซื่อผิงพยักหน้าและพูดอย่างเยือกเย็น “ใช่แล้ว ตอนนี้น้องหวังมั่นใจได้ ทว่ากฎเกณฑ์นี้อันตรายนัก น้องหวังควรระมัดระวังให้ดี” เขาก้าวถอยหลังสองสามก้าวพร้อมกับนำห้องให้หวังหลิน
หวังหลินจดจ้องประตูชั่วครู่จากนั้นขยับแขนขวาและส่งวงกลมมายาเข้าไป ทว่าเมื่อวงกลมสัมผัสกับประตู หัวอสูรตัวหนึ่งปรากฎออกมา มันคำรามและพยายามกลืนกินหวังหลิน
ใบหน้าหวังหลินคงเดิม เขาตบกระเป๋าและธงกฎเกรฑ์ปรากฎขึ้น หวังหลินคำราม “กลืนกิน!” มือยักษ์ออกมาจากธงและลากอสูรเข้าไป
หลังจากนั้นไม่นานหวังหลินขยับมือเคลื่อนไหวและวงกลมมายาหลายวงปรากฎพร้อมกับร่อนลงบนประตู ขณะที่แต่ละวงกลมร่อนลง หัวอสูรอีกหัวปรากฎขึ้น ในไม่ช้าจึงมีจำนวนหัวอสูรเพิ่มขึ้นแต่กฎเกณฑ์ไม่มีสัญญาณว่ากำลังจะแตกสลาย
ฉิวซื่อผิงขมวดคิ้วบาง เขาขบคิดชั่วขณะจากนั้นนำก้อนหินสีดำออกมาเพิ่มขึ้นสี่ก้อน เขามองด้วยใบหน้าเจ็บปวด หลังสะเพร่าเล็กน้อยจึงส่งออกไปทั้งสี่ทิศทางและวางลงบนประตหิน
ฉิวซื่อผิงร้องตะโกน “น้องหวัง ข้าข่มหัวอสูรไว้ได้เพียงสิบลมหายใจ เร็วเข้า!”
ดวงหวังหลินสว่างขึ้น เขาถือธงกฎเกณฑ์ไว้ในมือพร้อมกับสะบัดมัน ทันใดนั้นกฎเกณฑ์นับพันบนตัวธงลอยออกมากระแทกเข้าหาประตูหิน
หวังหลินไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารถทำลายกฎเกณฑ์บนประตูหินนี้ในเวลาอันนั้นดังนั้นจึงตัดสินใจใช้วิธีที่สองก็คือการเปิดมันด้วยกำลัง
กฎเกณฑ์นับพันและหัวอสูรนับไม่ถ้วนออกมาต่อสู้กัน แต่หินดำบนประตูได้ปลดปล่อยแสงอ่อนโยนซึ่งป้องกันหัวอสูรไม่ให้ออกมา
ขณะที่กฎเกณฑ์ปะทะกับประตู เกิดแรงสั่นสะเทือนจนทำให้ฝุ่นฝงตกลงมาจากเพดานถ้ำ ให้ความรู้สึกราวกับตลอดทั้งถ้ำกำลังถล่ม
เมื่อประตูถูกธงกฎเกณฑ์เปิดออก แสงสีเหลืองหม่นหมองลอยออกมาจากห้องและพยายามหลบหนี
แต่ขณะนั้นเอง แสงสีเหลืองทั้งสองเริ่มช้าลงและโคลงเคลง ทั้งสองสลัวมากขึ้นราวกับกำลังแตกสลาย
นี่เป็นผลมาจากกลิ่นหอมจิตสับสน
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น ขณะที่แสงสีเหลืองสลัวทั้งสองออกมาเขาเห็นได้ว่าภายในแสงนั้นคือวิญญาณเซียนสองดวงที่เกือบโปร่งใส
จากสีอันเรือนลาง พวกมันดูเหมือนจะแตกสลายเมื่อไหร่ก็ได้และด้วยการช่วยเหลือของกลิ่นหอมจิตสับสน พวกมันมาถึงขีดจำกัดแล้ว
หวังหลินและฉิวซื่อผิงเคลื่อนไหวเกือบพร้อมกัน หวังหลินเคลื่อนไหวเร็วกว่าเล็กน้อยและคว้าวิญญาณผู้อาวุโส โดยไม่ต้องให้พูดหวังหลินพุ่งออกไปนอกถ้ำทันที
ตัวถ้ำเริ่มจะล่มสลายและเกิดแรงสั่นสะเทือนมากขึ้น ฉิวซื่อผิงออกมาจากถ้ำอย่างรวดเร็ว หลังออกมาเขาคารวะด้วยสองแขนเข้าหาหวังหลินและจากไปทันทีราวกับกลัวว่าหวังหลินจะต่อสู้กับเขา
หวังหลินถือวิญญาณเซียน เขาสัมผัสหน้าผากตนเองและปิศาจฉวี่ลี่กั๋วลอยออกมา เมื่อมันเห็นวิญญาณเซียน ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความโลภ
หวังหลินแค่นเสียง ฉวี่ลี่กั๋วสั่นสะท้านและเผยความหวาดกลัว มันนำวิญญาณเซียนไปอย่างเชื่อฟังและกลับเข้าสู่จิตสำนึกของหวังหลิน
หลังจากนั้นหวังหลินมองไปที่ถ้ำและมองทิศทางที่ฉิวซื่อผิงจากไป เขาครุ่นคิด ในที่สุดก็ยกเลิกความคิดไล่ล่าฉิวซื่อผิงเพื่อสังหารเขาเพราะนอกจากวิญญาณของหวังหลินจะถือวิญญาณเซียนได้เพียงวิญญาณเดียวแล้ว หากเขาเพิ่มมาอีกหนึ่งดวง จะมีโอกาสที่เขาจะสูญเสียการควบคุมและถูกปิศาจกลืนกินเสียเอง
ดวงตาหวังหลินกระพริบวาบ เขาตื่นเต้นมาก หลังกลืนกินวิญญาณเซียนดวงนี้เขาควรจะบรรลุขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดได้ หวังหลินสงบจิตใจและจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังเดินทางมาหนึ่งวัน หวังหลินหยุดใจกลางทะลทราย หวังหลินจงใจเดินทางมาสถานที่รกร้าง เขามองไปรอบๆและรู้ว่าภายในรัศมีหมื่นลี้มีคนและอสูรจำนวนน้อยมาก เขากระทืบเท้าและร่างกายจมเข้าไปในพื้นดินทันที
หวังหลินหยุดตัวหลังลงมาลึกถึงสองพันฟุต เขาสร้างถ้ำขึ้นมาและนั่งขัดสมาธิลง หวังหลินชี้นิ้วไปที่ระหว่างคิ้วและเจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วลอยออกมา
หวังหลินมองฉวี่ลี่กั๋ว ฉวี่ลี่กั๋วนำวิญญาณเซียนที่กำลังแตกสลายออกมาอย่างเชื่อฟังและยืนด้านข้างอย่างใจจดใจจ่อ
หวังหลินไม่ได้มองฉวี่ลี่กั๋ว เขาหลับตาหายใจหลายครั้งจากนั้นลืมตาขึ้นด้วยแววตาแน่วแน่ หวังหลินอ้าปากและกลืนวิญญาณเซียนลงไป
ขณะที่วิญญาณเซียนเข้าไปในร่าง กลยุทธิ์เทพโบราณถูกใช้งานขึ้นราวกับโรงโม่อย่างดี ขณะที่วิญญาณเซียนกำลังละลาย มันปลดปล่อยพลังงานจำนวนมหาศาลที่เติมเต็มร่างกายหวังหลิน
หวังหลินหยุดกลยุทธิ์เทพโบราณทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้ใช้พลังทั้งหมดไปกับการเสริมสร้างร่างกาย เป็นผลให้ภายใต้การควบคุมของเขา พลังปราณทรงพลังได้เคลื่อนผ่านร่างกายและตรงเข้าสู่แกนพลัง
ทันใดนั้นแกนพลังของเขาขยายออกและมีสีเข้มขึ้น ขนาดมันขยายขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมีรอยราวปรากฎบนพื้นผิว
สัญญาณของวิญญาณเซียนค่อยๆปรากฎในร่างกาย
แต่!
ขณะเดียวกันนั้น ขอบเขตจวี่ในจิตสำนึกกระตุ้นขึ้นโดยไม่ได้ควบคุม มันออกจากจิตสำนึกของเขาอย่างรวดเร็วและเดินทางผ่านร่างกายเข้าหาแกนพลัง
หวังหลินฝืนลืมตา ไม่ว่าเขาจะพยายามควบคุมขอบเขตจวี่ตัวเองอย่างไรก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ ขณะที่ขอบเขตจวี่สัมผัสกับแกนพลังของเขา มันระเบิดออก
พลังปราณจากการระเบิดของแกนพลังได้ปะทะกับพลังปราณจากวิญญาณเซียนที่เขากลืนกิน
ผลกระทบของพลังงานทั้งสองได้ส่งให้พลังงานทั้งหมดไหลออกผ่านรูขุมขนราวกับกวาดผ่านร่างกาย
ร่างหวังหลินถูกโยนไปรอบๆจากแรงระเบิดในร่าง เขาไอออกมาเป็นโลหิตหลายครั้งแบะใบหน้าซีดเผือดทันที
หวังหลินพยายามจะลุกขึ้นนั่ง ดวงตามืดมนและเงียบเสียงลง หลังผ่านไปเวลานาน แสงบางส่วนกลับเข้ามาในแววตาและเขาหลับตาลง หลังตรวจสอบร่างกายจึงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะเป็นไปอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะฟังอย่างไรมันแฝงไปด้วยความเศร้าโศก
ดวงตาหวังหลินแดงฉานขณะพึมพำ “วิญญาณขอบเขตจวี่…วิญญาณขอบเขตจวี่…วิญญาณขอบเขตจวี่…”
แกนพลังในร่างกายไม่ได้ระเบิดไปหมดแต่หดลงจนมีขนาดเท่าเล็บหัวแม่มือ
หวังหลินคาดการณ์ไว้แล้วว่าขอบเขตจวี่จะป้องกันเขาจากการบรรลุวิญญาณแรกกำเนิด แม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจก่อนหน้านี้ แต่เขาพึ่งมายืนยันได้ว่ากำแพงที่แข็งแกร่งที่สุดในการบรรลุวิญญาณแรกกำเนิดก็คือขอบเขตจวี่
โอกาสสำเร็จของหวังหลินก็มาจากขอบเขตจวี่ของเขาและความพินาศก็มาจากขอบเขตจวี่ด้วยเช่นกัน แต่หวังหลินต้องการรู้จริงๆว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ทำไมขอบเขตจวี่ของเขาถึงหลุดจากการควบคุมและโจมตีแกนพลังตัวเองตอนที่กำลังพยายามบรรลุวิญญาณแรกกำเนิด
เขาสูดหายใจลึกอย่างขื่นขมและเริ่มฝึกฝนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
หลังผ่านไปสามวัน หวังหลินลืมตาทั้งสองขึ้นพร้อมกับออกจากถ้ำ เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อค้นหาเมืองหนึ่ง
ผ่านไปครึ่งเดือน หวังหลินได้มาถึงเมืองเกือบทุกเมืองในบริเวณนั้น แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้เข้าไปในศาลาหลอมสมบัติสักแห่ง
ภายในเมืองพวกนี้เขาไม่อาจค้นหาร่องรอยข้อมูลเกี่ยวกับขอบเขตจวี่ได้เลย
ในความสับสนของเขาพลันจดจำถ้ำของฉิวซื่อผิงได้ทันที ภายในถ้ำมีหนังสือหลายเล่มกระทั่งหนังสือที่บันทึกบนไม้ไผ่ซึ่งแสดงถึงความเก่าแก่ของมัน พวกเขาสามารถทำลายด้วยความผันผวนพลังปราณดังนั้นมันจึงไม่สามารถเก็บไว้ในหินหยกได้
เมื่อคิดเรื่องนี้หวังหลินจึงเคลื่อนไหวเข้าหาถ้ำของฉิวซื่อผิงอย่างรวดเร็ว
หลังผ่านไปห้าวันหวังหลินจึงมาถึง เขาคงไม่กล้าหากฉิวซื่อผิงอยู่ที่นี่ หากพยายามหยุดเขาไว้เมื่อนั้นหวังหลินจะสังหารโดยไม่ลังเล
แม้ฉิวซื่อผิงจะรับวิญญาณเซียนไป การสร้างวิญญาณเซียนใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือนดังนั้นหวังหลินจึงไม่กังวลเรื่องฉิวซื่อผิงตอนนี้
เขาจมเข้าในพื้นดินและพบกับถ้ำ ส่วนกฎเกณฑ์บนตัวถ้ำไม่มีปัญหาสำหรับหวังหลิน หลังทำลายพวกมันได้หวังหลินจึงเขาได้
เขาตรวจสอบถ้ำด้วยสัมผัสวิญญาณและพบว่าฉิวซื่อผิงไม่อยู่ข้างใน หวังหลินเดินตรงเข้าหาห้องที่มีหนังสือทั้งหมด กฎเกณฑ์ในห้องหวังหลินใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงจึงผ่านเข้าไปได้
หลังจากเข้าไป หวังหลินสูดหายใจลึกและสงบจิตใจก่อนจะเริ่มค้นหาหนังสือ
หนังสือไม้ไผ่พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับกฎเกรฑ์ หลังตรวจสอบพวกมันหวังหลินจึงเก็บไป ไม่มีชิ้นไหนที่มีคำว่าขอบเขตจวี่
หัวใจหวังหลินหนักหน่วงและมองหาต่อไป ทันใดนั้นดวงตาตกลงบนไม้ไผ่ชิ้นหนึ่ง ไม้ไผ่นี้ดูเก่าแก่มากและแม้กระทั่งได้รับความเสียหายบางส่วน
หลังหยิบมันขึ้นมาหวังหลินเปิดมันออกและร่างกายสั่นเทา เขามองมันบนโต๊ะและเปิดขึ้นช้าๆ
ส่วนใหญ่ในไม้ไผ่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์แต่ส่วนหลังมีประโยคแถวหนึ่งสลักไว้
“ในโลกแห่งเซียน มีโอกาสที่พลังปราณจะเปลี่ยนเป็นบางสิ่งที่เรียกขานกันว่าขอบเขตจวี่ ข้าได้เรียนรู้ขอบเขตจวี่มาหลายปีและข้าได้ทิ้งการวิจัยของข้าเพื่อคนรุ่นหลังในอนาคต”
“พลังลึกลับนี้รู้จักกันว่าขอบเขตจวี่ จากมุมมองข้าควรจะเป็นวิชาสวรรค์! มีเพียงวิชาสวรรค์เท่านั้นที่จะมีพลังพอสังหารเซียนระดับเดียวกันได้ในทันที!”
“วิวัฒนาการสุดท้ายของขอบเขตจวี่เชื่อกันว่าคือขั้นวิญญาณแรกกำเนิดที่หลายคนค้นคว้า แต่หลังจากอ่านอักษรทางประวัติศาสตร์ ข้าพบกับปรากฎกาณณ์อันน่าสนใจมาก”
“ก่อนอื่น ข้าต้องบอกว่าในตัวอักษรทางประวัติศาสตร์ไม่มีข้อบ่งชี้ตรงๆว่าใครมีขอบเขตจวี่ แต่จากบริบทของหลักฐาน ข้าจึงทำการค้นหาร่องรอยของเซียนขอบเขตจวี่หลายคน”
“ในหมู่คนพวกนี้ บางคนหยุดที่ขั้นแกนลมปราณ บางคนหยุดที่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดและบางคนหยุดที่ขั้นตัดวิญญาณ กล่าวได้ว่าไม่มีรูปแบบและมันขึ้นอยู่กับตัวบุคคล”
“ความจริงความก้าวหน้าในการค้นคว้าขอบเขตจวี่ของข้าต้องขอบคุณคนผู้หนึ่ง ข้าไม่สามารถเอ่ยนามได้แต่คนผู้นี้เป็นเซียนขอบเขตจวี่คนหนึ่งที่ข้าเคยพบ!”
“ระดับฝึกตนของเขาคือขั้นวิญญาณแรกกำเนิด”
“คนผู้นี้ต้องการทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิดไปสู่ตัดวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงมาขอความช่วยเหลือ แต่ในตอนท้าย ข้ายังล้มเหลว…”
หังหลินถูกฝังอยู่ในตัวอักษร อ่านประโยคทีละประโยค ผ่านไปนานเขาจึงมีใบหน้างุนงงอย่างมาก
จากบันทึกบนหนังสือไม้ไผ่ หวังหลินตระหนักได้ทันทีว่าขอบเขตจวี่ของเขามีขีดจำกัดคือขั้นแกนลมปราณ ไม่เช่นนั้นขอบเขตจวี่ของเขาคงไม่หลุดจากการควบคุมและพยายามทำลายวิญญาณเซียน
เป็นผลให้ระดับฝึกฝนของเขาติดอยู่ที่ขั้นแกนลมปราณระดับปลายโดยไม่มีโอกาสทะลวงผ่านในอนาคต หวังหลินพบว่าเรื่องนี้รับไม่ได้
หากระดับฝึกฝนของเขาไม่สามารถทะลวงผ่านได้ แล้วสี่ร้อยปีแห่งความทุกข์ทรมานโดยไม่ได้รับการปลดปล่อยและซือถูหนานไม่เคยตื่นขึ้นมา ทั้งหมดที่เขาทำจะจบลงตรงนี้
เถิงฮว่าหยวนยังมีชีวิตและเขาไม่เคยได้แก้แค้น เขายังไม่สามารถกลับไปแคว้นจ้าวได้เพราะเถิงฮว่าหยวนจะไม่ปล่อยเขาไป
ความฝันทั้งหมดสูญสลายที่ตรงนี้
โอกาสสำเร็จของเขามาจากขอบเขตจวี่…หายนะของเขาก็มาจากขอบเขตจวี่เช่นกัน…หวังหลินกำหมัดแน่นและเผยใบหน้าที่ไม่ยอมแพ้
หากเขาต้องการบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเมื่อนั้นเขาต้องยอมแพ้ต่อขอบเขตจวี่ หนทางเดียวคือยกเลิกพลังอำนาจทั้งหมดของขอบเขตจวี่ถึงจะบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด
นี่เป็นตัวเลือกที่ยากมาก คนที่ทิ้งข้อความไว้บนหนังสือไม้ไผ่ขึ้นมีความคิดหนึ่งสำหรับเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเพื่อช่วยเหลือก็คือสูญเสียการบ่มเพาะของตัวเอง
ขณะที่ระดับการบ่มเพาะกระจัดกระจายออก ขอบเขตจวี่จะสูญสลายออกไปด้วยซึ่งทำให้เขาเริ่มฝึกฝนอีกครั้งและทะลวงผ่านระดับได้
เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดคนนั้นไม่ได้เลือกวิธีนั้นในตอนจบ
ตอนนี้ใบหน้าหวังหลินตัดสินใจอย่างยากลำบาก
หากเขาไม่ยอมแพ้ต่อขอบเขตจวี่ เมื่อนั้นเขาจะไม่สามารถทะลวงผ่านระดับได้ ทุกสิ่งที่เขาพยายามทำเพื่อสร้างวิญญาณเซียนจะถูกขัดขวางโดยขอบเขตจวี่ แต่หากเขายอมแพ้ ระดับฝึกเซียนทั้งหมดที่ตราตรำมาสามร้อยปีจะสูญเปล่า อีกทั้งตอนนี้เขาอยู่ในทะเลปิศาจซึ่งเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก เขาอาจจะตายก่อนที่ระดับฝึกฝนจะกลับมาเป็นเหมือนตอนปัจจุบัน
หลังผ่านไปเวลานาน ดวงตาหวังหลินเผยความมุ่งมั่น เขาสูดหายใจลึกและนำไม้ไผ่เก็บไปขณะที่เดินออกมาจากถ้ำอย่างเชื่องช้า
สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือลบกฎเกณฑ์บนร่างกายให้สมบูรณ์