227. พบสหายเก่าอีกครั้ง
หวังหลินเหาะเหินราวกับสายฟ้า เขามาถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณแทบในทันที เขามองหาสถานที่ที่มีกฎเกณฑ์รอบๆก่อนที่เขาจะจากไป หลังตรวจสอบและแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดจึงพุ่งเข้ากฎเกณฑ์อย่างรวดเร็ว
ฉากเบื้องหน้าพลันไม่ชัดเจน ระลอกคลื่นปรากฎราวกับมีก้อนหินหล่นลงแอ่งน้ำ ในไม่ช้ากฎเกณฑ์โบราณปรากฎขึ้น
ร่างหวังหลินหายวับไปและปรากฎตัวอีกครั้งภายในค่ายกลเคลื่อนย้าย เขานำวัตถุดิบบางส่วนออกมาจากกระเป๋าและวางลงบนตำแหน่งที่เป็นของค่ายกลเคลื่อนย้าย
หลังจากนั้นไม่นานนักเขามองกลับไปยังทิศทางของสำนักเมฆาฟ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นขณะที่หันกลับไปพร้อมกับวางหินวิญญาณระดับสูงใส่ในค่ายกลเคลื่อนย้าย
ทันใดนั้นค่ายกลเริ่มขยับเคลื่อนไหวเป็นลำแสงพุ่งออกมา คลื่นพลังปราณออกมาจากหินวิญญาณจนมันกลายเป็นฝุ่นผง
ขณะเดียวกันร่างหวังหลินกลายเป็นภาพเบลอเข้าไปในแสงสว่างและเพียงกระพริบตาหนึ่งครั้งร่างเขาก็หายวับไป
หลังเวลาผ่านไปชั่วขณะ ค่ายกลจึงกลับคืนดังเดิม
ในพื้นที่รกร้างของทะเลปิศาจ เสียงดังกึกก้องออกมาจากพื้นดิน คลื่นลมสั่นไหวขณะที่หวังหลินเดินออกมาด้วยใบหน้าเยือกเย็น
เขามองพื้นที่อันคุ้นเคยเบื้องหน้าและถอนหายใจ พลันลอยขึ้นไปบนอากาศและเหาะเหินไปทางทิศตะวันออก
เป้าหมายของหวังหลินคือหาแผนที่ของค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณและแผนที่ของดาวเคราะห์ซูซาคุ เขารวบรวมแผนที่มาไว้จำนวนมากในแคว้นซูแต่ไม่อาจค้นหาแคว้นจ้าวได้เลย
หลังจากวิเคราะห์แผนที่ หวังหลินเดาได้ว่าแคว้นจ้าวต้องอยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลปิศาจ
ขณะที่เขาเหาะเหิน เมื่อใช้สัมผัสวิญญาณพลันเจอกับสหายเก่าผู้หนึ่งและใบหน้าเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม
หลังทัณฑ์สวรรค์ปรากฎตัวในทะเลปิศาจ สายหมอกที่ปกคลุมทะเลปิศาจได้หายไปอย่างสิ้นเชิง ฝนสีดำเกิดขึ้นมาหลายปีในทะเลปิศาจตอนนี้ได้เปิดเผยทุกอย่างให้เห็นราวกับม่านปกคลุมได้หายออกไป
เมืองจำนวน 999 เมืองและพื้นที่กว้างใหญ่ของทะเลปิศาจต่างมีคนชั่วร้ายอาศัยอยู่จำนวนมาก หลายคนมาจากหลากหลายแคว้นและหาที่ลี้ภัยในทะเลปิศาจ
การหายไปของสายหมอกทำให้เกิดเหตุการณ์หลายอย่าง อันดับแรกแคว้นอับดับสี่หลายแห่งต่างทะเยอทะยานเพื่อจับตาดูทะเลปิศาจ
หลังจากนั้นไม่นานสำนักต่างๆและหลายตระกูลเซียนได้ส่งศิษย์เข้าไปในทะเลปิศาจ พายุจึงเริ่มก่อตัวขึ้นในแคว้นแห่งนี้
สำหรับน้ำฝนสีดำนั้นมันถูกลบล้างออกไปโดยเซียนผู้แข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้นทะเลปิศาจจะเป็นสถานที่ที่อาศัยอยู่ไม่ได้ น้ำฝนนี้มีพิษบางอย่างที่ดูเหมือนมีไม่มากนักแต่หลังจากเข้าสู่ร่างกายเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ปกติแล้วเหล่าเซียนจะไม่ได้รับผลกระทบต่ออาการเจ็บปวยนี้ แต่ฝนชนิดนี้สังหารเซียนระดับต่ำหลายคนในหลายปีที่ผ่านมา
ในที่สุดเหล่าเซียนแข็งแกร่งหลายคนจึงร่วมมือกันและลบล้างฝนดำออกจากทะเลปิศาจได้ ทว่าคลื่นความเจ็บป่วยได้สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเหล่าผู้เยาว์รุ่นหลังของทะเลปิศาจหลายคน
ฝนสีดำเป็นสิ่งอันตรายเหมือนกับอสูรร้ายสำหรับเหล่าเซียน แต่อสูรในทะเลปิศาจกลับได้รับคุณประโยชน์มหาศาล ความแข็งแกร่งของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างมากซึ่งต้องขอบคุณฝนพวกนั้น แม้กระทั่งสร้างผลกระทบมากมายต่ออสูรเดียวดายบางชนิด
แม้ว่าเมื่อฝนหายไปจะเกิดความโกลาหลขึ้นแต่ฝนทำทำให้เพียงอสูรแย่ลงเท่านั้น ตอนนี้นอกจากเมืองในทะเลปิศาจแล้วแทบจะไม่เจอเซียนคนไหนอยู่ภายนอกเลย
ในเวลาเดียวกันเกิดอาชีพใหม่ขึ้นคือการล่าและขายแกนอสูร เซียนพวกนี้เคลื่อนไหวเป็นกลุ่มเล็กๆและทั้งหมดมีระดับฝึกฝนในระดับหนึ่ง พวกเขาสังหารอสูรและขายแกนพวกมันเพื่อการอยู่รอด
ณ วันนี้บริเวณพื้นที่ส่วนในของทะเลปิศาจ ภายนอกของเมืองซวนเต๋อ เซียนชุดขาวคนหนึ่งยืนจ้องอยู่ห่างไกล เขาเป็นชายวัยกลางคน หน้าตาหล่อเหลาและแววตาเฉลียวฉลาด
ผ่านไปเวลานานเขาขมวดคิ้ว พลันสะบัดแขนเสื้อและเคลื่อนร่างเข้าใกล้กำแพงเมือง
เมื่อมาถึง คนสองคนเดินออกมาจากเมือง หนึ่งบุรุษและอีกหนึ่งเป็นสตรี บุรุษผู้นั้นหลังค่อมเล็กน้อยและไอค่อกๆแค่กๆ ทั้งร่างดูเหมือนเดินไม่มั่นคง
สตรีข้างเขาตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่นางสวยงามแต่ดูสดใสและเผยกลิ่นอายไม่กลัวใคร
ทั้งสองคนสวมชุดคลุมสีน้ำเงินซึ่งดูเหมือนมาจากสำนักเดียวกัน
หลังจากทั้งสองคนปรากฎตัว ชายวัยกลางคนชุดขาวเลิกขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้น “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
สตรีสาวเปล่งลมหายใจเล็กน้อย นางจ้องมองชายข้างๆที่ดูอ่อนแอ “ทั้งหมดเป็นเพราะเขา! ข้าพบกับคลังแห่งหนึ่งและกำลังจะไปซื้อแกนอสูร แต่เขากลับเอาไปแลกกับฝักกระบี่เส็งเคร็งอันเดียว”
ชายวัยกลางคนเผยเสียงประหลาดใจ เขามองชายอ่อนแอและถามขึ้น “น้องลี่ ฝักนั้นเป็นสิ่งใด? ให้ข้าดูได้หรือไม่?”
ชายที่ชื่อว่าลี่พลันยิ้มขมขื่น เขาสะบัดแขนและฝักกระบี่ที่ดูธรรมดามากปรากฎในฝ่ามือ “ข้าพบว่าฝักกระบี่นี้ประหลาดยิ่งนัก ข้ารู้สึกเหมือนมันมีกลิ่นอายพิเศษอย่างมากดังนั้นข้าจึงซื้อมา ช่างเถอะ ตอนนี้มันเป็นของข้าแล้ว แค่หักกำไรส่วนของข้าออกครั้งถัดไปก็พอ”
สตรีปล่อยลมหายใจอีกครั้ง นางจ้องฝักกระบี่และพึมพำ “ฝักกระบี่อะไรมีราคาเท่ากับแกนอสูรวิญญาณระดับต่ำเช่นนั้น”
ชายวัยกลางคนนามว่าฉิว พลันสะบัดแขนและฝักกระบี่ลอยเข้าหาฝ่ามือเขา หลังมองมันอย่างเคร่งเครียดจึงพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “ฝักกระบี่นี้ประหลาดจริงๆ น้องลี่อาจจะไม่ผิดไปซะทีเดียว” เช่นนั้นเขาคืนฝักกระบี่ให้
สตรีสาวหันกลับไปหาชายชื่อฉิวและเอ่ยอย่างเคร่งเครียด “ก็ได้ งั้นไปกันเถอะพี่ฉิว ข้าต้องการแน่ใจว่าท่านรู้ตำแหน่งของอสูรแปดกรงเล็บใช่ไหม?”
ชายที่ชื่อฉิวพลันยิ้มและพยักหน้า
เขาสัมผัสกระเป๋าและเรือยักษ์ปรากฎในอากาศ จากนั้นกระโดดขึ้นไปบนเรือและนั่งลง อีกสองคนตามขึ้นไปและนั่งบนเรือเช่นกัน
ความเร็วของเรือนับว่าเร็วมาก มันทิ้งสายรุ้งตามทางและหายไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างการบิน นอกจากชายที่ชื่อฉิวแล้วอีกสองคนนั่งขัดสมาธิฝึกฝนอยู่กับที่ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขานั่งบนเรือนี้แต่ทุกครั้งที่ขึ้นมาพวกเขาต้องฝึกฝนเพ่งสมาธิกับพลังปราณของตัวเอง ไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่จะต้านทานพลังของสายลมได้
ใบหน้าดูถูกแว่บผ่านสายตาชายชื่อฉิว แม้ว่าคนทั้งสองจะมีระดับขั้นแกนลมปราณระดับกลางแต่พื้นฐานของพวกเขานับว่าแย่นัก สำหรับเขาตอนที่มีระดับขั้นแกนลมปราณระดับปลายเมื่อก่อนนับว่าไม่มีปัญหาในการนั่งบนเรือลำนี้
เมื่อก่อนนั้นตอนที่เขามีระดับขั้นแกนลมปราณระดับปลาย มีเซียนจำนวนไม่มากนักที่มีระดับเดียวกันจะต่อต้านเขาได้ นอกจากนั้นวิชาเซียนและสัมผัสวิญญาณของเขาสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเซียนระดับเดียวกัน เมื่อรวมกับสมบัติเซียนและประสบการณ์การต่อสู้ของเขาจึงทำให้เขาแทบไม่พ่ายแพ้เลย เขากลับคิดถึงคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีขั้นต่ำกว่าระดับวิญญาณแรกกำเนิด
เขาคิดเรื่องทั้งหมดนี้จนกระทั่งพบเจอคนผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผมขาวและจิตใจเย็นชา
ดวงตาสว่างขึ้นขณะที่ภาพชายผู้นั้นปรากฎในใจเขา หลังผ่านไปนานจึงยิ้มและคิดว่า ‘พี่หวัง หลังกินวิญญาณเซียนดวงนั้นข้าได้บรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดสำเร็จ ข้าไม่รู้ว่าท่านสำเร็จหรือไม่…หากไม่สำเร็จเมื่อเราพบกันอีกครั้งข้าต้องจ่ายท่านคืนแน่นอน’
หลังผ่านไปสี่วัน เรือได้หยุดลงเหนือพื้นที่รกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง ชายนามว่าลี่และสตรีผู้ไม่กลัวใครพลันลืมตาขึ้น แสงเยือกเย็นกระพริบผ่านสายตาหญิงสาวและนางพูดขึ้น “พี่ฉิว อสูรแปดกรงเล็บอยู่ที่ไหน?”
ฉิวซื่อผิงสูดหายใจลึกโดยไม่ได้เอ่ยอันใด เขานำโคลนขนาดเท่าฝ่ามืออกมาพร้อมกับใส่พลังปราณเข้าไปจนมันปลดปล่อยกลิ่นคาว
กลิ่นคาวนี้รุนแรงและกระจายออกอย่างช้าๆ แม้จะมีลมพัดผ่านมันก็ไม่ปลิวหายไปไหน เมื่อกลิ่นกระจายกว้างขึ้นและกว้างขึ้น เสียงกรีดร้องราวกับเสียงทารกดังขึ้นจากพื้นที่ไกลๆ สายตาฉิวซื่อผิงเพ่งสมาธิไปบนสิ่งนั้นและขับเคลื่อนเรือเข้าไปตำแหน่งนั้น ในเวลาเดียวกันสตรีสาวเผยแววตาตื่นเต้น “โคลนในมือพี่ฉิวเป็นของวิเศษจริงๆ มีอสูรแปดกรงเล็บอยู่ที่นี่จริงด้วย”
ฉิวซื่อผิงเผยใบหน้าปกติขณะเอ่ยขึ้น “ข้าตามรอยอสูรตัวนี้นานแล้ว ดังนั้นข้าจึงรู้นิสัยมัน หากไม่ใช่ว่าระดับฝึกฝนของข้าต่ำเกินไปข้าคงจับมันได้ไปแล้ว ตอนนี้ข้าจึงต้องรบกวนพวกเจ้าทั้งสอง”
สตรีสาวลูบคางตัวเอง “แน่นอน! พี่ฉิวมีระดับเพียงขั้นแกนลมปราณระดับปลาย ปล่อยเรื่องการสังหารให้เราทั้งสองเถอะ!”
เช่นนั้นนางพุ่งออกไปจากเรืองพร้อมกับชายที่ดูอ่อนแอชื่อลี่ เขายิ้มอย่างขมขื่นและติดตามนางไปอย่างรวดเร็ว
ฉิวซื่อผิงเยาะเย้ยในใจ ด้วยระดับขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นของเขามันง่ายนักที่จะซ่อนระดับฝึกตนจากขั้นแกลมปราณผู้น้อยทั้งสองคน หากไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องใช้พิษซึ่งสร้างจากน้ำลายของมัน เขาจะไม่รบกวนทั้งสองเลย
เขาติดตามทั้งสองคนอย่างสบายๆขณะที่สตรีสาวตะโกนหากันและลำแสงจากสมบัติกระพริบวาบ
อสูรแปดกรงเล็บความจริงเป็นแค่ปลาหมึกยักษ์ในทะเลปิศาจ ระดับของอสูรตัวนี้ไม่ได้ต่ำมากนักและด้วยการช่วยเหลือของฝนสีดำมันจึงได้รับสติปัญญาจนมันกลายเป็นอสูรวิญญาณระดับต่ำ
แต่อสูรแปดกรงเล็บชนิดนี้ประหลาดเกินไป แม้กระทั่งเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดยังต้องปวดหัวกับมันหลายครั้ง แม้ว่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดจะไม่มีปัญหาในการต่อสู้กับมัน ทว่าผิวหนังของมันทนทานเท่ากับอสูรวิญญาณระดับกลางทีเดียว เว้นแต่ว่าจะเป็นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลาย หากระดับต่ำกว่านี้จะไม่สามารถทำอันตรายมันได้
ซึ่งทำให้เซียนล่าอสูรทุกคนไม่ชอบมันอย่างมาก เมื่อพวกเขาเจอมันจะไปให้ไกลทันที
ทว่าอสูรแปดกรงเล็บเป็นเหยื่อที่น่าสนใจอย่างมากไม่เหมือนกับอสูรตัวอื่น มันมีแกนพลังจำนวนแปดแกน รวมถึงพิษของวิชาพิษตำหนักวิเศษจะใช้ได้มีประสิทธิภาพต่ออสูรตัวนี้อย่างมาก การล่ามันจึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักของตำหนักวิเศษ ศิษย์ทุกคนจึงมีล่าพวกมันอย่างมีความสุข
ฉิวซื่อผิงตัดสินใจได้แล้ว เมื่อทั้งสองคนนี้สังหารอสูร เขาจะสังหารทั้งสองเพื่อให้ได้แกนพลังมา
แต่ขณะนั้นสัมผัสวิญญาณขนาดยักษ์ได้กวาดผ่านทั่วบริเวณ ทั้งสองคนที่กำลังสู้กับอสูรและกำลังจะพ่นพิษได้หยุดลงพร้อมกับเผยท่าทางสงสัย
เรื่องแปลกยิ่งกว่าก็ต้องขอบคุณการตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณนั้น แม้กระทั่งอสูรแปดกรงเล็บยังสั่นสะท้าน มันเป็นเหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่งที่มีความรู้สึกไวต่อพลังปราณและสัมผัสได้ถึงพลังความน่ากลัวจากสัมผัสวิญญาณดังนั้นมันจึงร้องคำราม พลันถอยกลับและซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ ร่างสั่นเทาและไม่กล้าออกมา
ฉิวซื่อผิงเป็นคนที่มีสัมผัสแหลมคมที่สุดในกลุ่ม นอกจากนั้นเขายังมีระดับขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้น ขณะที่สัมผัสวิญญาณกวาดผ่านไป เขารู้สึกว่าถูกมองทะลุปรุโปร่ง ไม่เพียงแค่นั้นเขายังรู้สึกว่าวิญญาณเซียนของตัวเองกำลังหลุดจากการควบคุมราวกับกำลังออกจากร่างกาย ความรู้สึกนี้ทำให้ท่าทางเขาเปลี่ยนไปมาก เขานึกถึงเหล่าเซียนขั้นตัดวิญญาณที่แสนพิศดารที่ซึ่งลบล้างฝนสีดำออกไปได้
ชายที่ชื่อลี่พลันก้าวถอยหลัง เขาเก็บสมบัติของตัวเองกลับไปและมีใบหน้าเคารพยิ่ง แม้กระทั่งหญิงสาวที่ดูจะไม่กลัวอะไรกลับดูถ่อมตัวและยืนเงียบๆถัดจากชายคนนั้น
“สหายฉิว ไม่เจอกันนาน!”
ฉิวซื่อผิงประหลาดใจ “ผู้อาวุโสรู้จักข้าหรือ?”
ในเวลาเดียวกันชายหนุ่มผมสีขาวค่อยๆมุ่งหน้าตรงมา แม้จะดูช้ามากแต่ในพริบตาเดียวเขาปรากฎตัวเบื้องหน้าทุกคนในระยะสิบฟุตเรียบร้อย
ฉิวซื่อผิงเพ่งพินิจพลันสูดหายใจลึก “ท่านนั่นเอง!”
คนผู้นี้คือหวังหลิน สายตาเขากวาดผ่านชายชื่อลี่และหญิงสาว จากนั้นจรดลงบนฉิวซื่อผิงและยิ้มบางๆ เขาสามารถเห็นความคิดของฉิวซื่อผิงได้อย่างง่ายดาย
“พี่ฉิวเป็นคนอารมณ์ดีจริงๆ ด้วยระดับวิญญาณแรกกำเนิดของท่านยังมาเล่นกับเด็กน้อยขั้นแกนลมปราณพวกนี้อีก น่าสนใจ!” หวังหลินพูดเบาๆแต่เมื่อสตรีและบุรุษสองคนได้ยินเช่นนั้นราวกับฟ้าฝ่าลงกลางใจ
ทั้งสองคนไม่ได้โง่เขลา หลังได้ยินคำพูดของหวังหลิน ใบหน้าแต่ละคนมืดมนทันที ทั้งสองคนมองหน้ากันเองจากนั้นมองหวังหลินด้วยความขอบคุณขณะที่คำนับด้วยสองมือ ทั้งสองถอยกลับไปช้าๆและจากไปไกล
ฉิวซื่อผิงยิ้มอย่างขื่นขม แสงเยือกเย็นแล่นผ่านแววตาขณะที่เขานำกลองเล็กจากกระเป๋าออกมา เขาตบกลองและด้ายสองเส้นสีดำแทบมองไม่เห็นพลันพุ่งออกไป
ด้ายสีดำเร็วมาก ขณะที่ด้ายสีดำกำลังจะไล่ทันกลับมีแสงสีเขียวปรากฎขึ้นติดตามด้ายสีดำ เมื่อแสงสีเขียวหายไป ด้ายทั้งสองเส้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
ใบหน้าฉิวซื่อผิงบูดบึ้ง แม้ว่าเขาจะเกลียดหวังหลินในใจแต่กลับสูดหายใจลึก “สหายเซียน ไม่เจอกันนานทีเดียว”