Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 230

Cover Renegade Immortal 1

230. สังหารเพื่อป้ายสิทธิ์

สายลมตีเข้ากับใบหน้าหวังหลินขณะที่เขานั่งอยู่บนอสูร ระหว่างทางอสูรทั้งหมดที่มีระดับสูงกว่าต่างถูกนำเอาแกนพลังไปและให้เจ้าอสูรยุงกลืนกิน

ขณะที่มันบิน หวังหลินใช้เวลานานมากเพื่อเสาะหาผ่านความทรงจำของเทพโบราณ ในที่สุดเขาก็พบกับอสูรตัวหนึ่งที่เรียกกันว่าอสูรยุงซึ่งมีรูปร่างคล้ายคลึงกัน ถึงอย่างไรก็ตามไม่ว่าจะขนาดหรือพละกำลังของมัน อสูรในปัจจุบันของเขาอ่อนแอกว่าที่ประทับในความทรงจำอย่างมากซึ่งงวงของมันใกล้เคียงกันมากนัก

ในความทรงจำของเทพโบราณเห็นเพียงยุงอยู่ครั้งเดียว มันอยู่ในระบบดวงดาวที่แห้งแล้ง ไม่มีเซียนคนใดอาศัยอยู่ในระบบนั้นและมันล้อมรอบไปด้วยควันสีเทา

ตู่ซือแค่มองหาวัตถุดิบเพื่อมาทำสมบัติ แม้กระทั่งความแข็งแกร่งที่เทพโบราณมียังแทบตายที่นั่น

เหตุผลก็คือมีเพียงยุงตัวเดียวที่มีงวงยาวนั่น ทว่าตอนแรกมันเป็นเพียงอสูรเดียวดายระดับสูงเพียงตัวเดียว ทว่ายิ่งเขาถลำลึกเข้าไปยิ่งเจอมากขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นทะเลอสูรยุง

หากมันมาทีละตัวนับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เมื่อพวกมันเข้ามาเป็นฝูงเช่นนี้นับว่าเป็นปัญหาแล้ว อสูรยุงพวกนี้ดูเหมือนจะมีการเชื่อมต่อกันแต่ละตัวด้วยวิธีลึกลับจึงทำให้ความสามารถของพวกมันเพิ่มขึ้น แม้กระทั่งเทพโบราณต้องฝ่าฟันเพื่อหลบหนีเอาชีวิตรอดออกมา หลังจากออกมาได้เขาคิดและตัดสินใจว่าจะไม่กลับไปอีก

เหตุผลก็คือตอนที่เขาหลบหนีดันมีอสูรยุงจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนจากดาวเคราะห์ใกล้ๆทำให้ศีรษะตู่ซือมึนงงไปหมดตอนที่เขามองพวกมัน

หวังหลินมองอสูรเบื้องล่างเขาโดยเฉพาะงวงของมัน แม้อสูรตัวนี้จะไม่ใช่อสูรยุงที่อยู่ในความทรงจำแต่มันต้องสัมพันธุ์กันในทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่เช่นนั้นมันจะมีงวงเหมือนกันได้อย่างไร?

ด้วยความคิดนี้หวังหลินจึงไม่ทำอะไรด้วยตัวเองระหว่างทาง เขามักจะจดจ้องอสูรสู้กับตัวอื่นอย่างใจเย็น มีเพียงชั่วขณะความเป็นความตายเท่านั้นที่หวังหลินจะช่วยชีวิตอสูรยุง

จึงทำให้แม้จะล้าช้าไปบ้างทว่าความแข็งแกร่งอสูรยุงค่อยๆเพิ่มขึ้น

แปดวันผ่านไปในที่สุดหวังหลินก็มาถึงเมือง

มีสิ่งก่อสร้างทั้งใหญ่และเล็กปกคลุมไปทั่วเมืองพร้อมกับเหล่าเซียนนับไม่ถ้วนในนั้น รอบๆมีค่ายกลเคลื่อนย้ายไม่กี่แห่งซึ่งมีเซียนมากขึ้นปกป้องค่ายกล

กล่าวได้ว่ามีอสูรจำนวนมากภายในทะลปิศาจตอนนี้ มีเพียงเซียนที่มีระดับฝึกฝนแข็งแกร่งหรือต้องเดินทางกันเป็นกลุ่มเล็กๆสามถึงห้าคนถึงจะกล้าออกไปนอกเมือง

เซียนส่วนใหญ่ตัดสินใจใช้หินวิญญาณเล็กน้อยเพื่อเดินทางผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย ด้วยวิธีนี้อย่างน้อยก็รับประกันความปลอดภัยได้

สำหรับหวังหลินที่กำลังเข้าใกล้เมืองพร้อมกับยืนบนหลังอสูรยุงนั้น ยามในเมืองเห็นพวกเขา ทั้งหมดสูดลมหายใจหนาวเหน็ยลึกขึ้นขณะที่จ้องไปที่อสูรยุงน่าขยะแขยงและทำให้เส้นผมบนร่างตั้งชัน

หวังหลินยืนอยู่บนอสูรและไม่ได้ขยับเขยื้อนขณะที่เขาเข้ามาในเมือง เมื่อเข้ามาสัมผัสวิญญาณสามแห่งตรงมาทางหวังหลิน

หวังหลินขมวดคิ้วและทันใดนั้นเขาหายไป เมื่อปรากฎตัวอีกครั้งเขาอยู่ในเมืองเรียบร้อยแล้วและอสูรยุงอยู่ในกระเป๋า

เรื่องระดับฝึกฝนของเขา หวังหลินจงใจปลอมระดับฝึกฝนเป็นขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลาง ด้วยวิญญาณอันแข็งแกร่งของเขา เว้นแต่จะมีคนขั้นตัดวิญญาณมา พวกเขาจะไม่อาจมองเห็นระดับของหวังหลินได้

ขณะที่หวังหลินหายตัวไป สามร่างปรากฎในท้องฟ้า ทั้งสามร่างสวมชุดแบบเดียวกันมีความแตกต่างเพียงแค่สีของชุดคือสีดำ ขาว และแดง

ชายชุดสีดำมีใบหน้าเคร่งเครียดขณะมองข้ามเมืองและพูดขึ้น “เซีนยขั้นวิญญาณแรกกำเนิดคนนี้ดูเหมือนไม่ต้องการให้ใครรู้ ช่างเถอะตราบใดที่เขาไม่สร้างปัญหา ข้าก็ไม่ต้องการมีปัญหาอะไรกับเขาหรอก”

อีกสองคนมองหน้ากันเองและหายตัวไป

พวกเขาไม่รู้ว่าตลอดเวลา สัมผัสวิญญาณของหวังหลินจับจ้องพวกเขา หลังจากหายไปหวังหลินจึงถอนสัมผัสวิญญาณออกและเดินเข้าไปในเมือง

มีร้านจำนวนมากในเมืองแต่หลังจากมองผ่านร้านค้าและแผงลอยแล้วไม่เจอร้านไหนขายแผนที่สักชิ้นเดียว หลังเดินไปได้ชั่วครู่หนึ่งเขาหยุดเบื้องสิ่งก่อสร้างสามชั้นและยิ้มขึ้น ชื่อของมันคือ ศาลาหลอมสมบัติ

หวังหลินยังจดจำชายชราเมื่อหลายปีก่อนได้ เขาคิดว่าชายชราคนนั้นต้องพบอสูรตัวเล็กที่หวังหลินแปลงกฎเกณฑ์ไว้ด้วย

หวังหลินเหยียดยิ้มในใจและไม่ได้เข้าไปข้างใน เขามั่นใจว่าหาพบชายชราอีกครั้งเขาคงมีพลังพอที่จะหนี ไม่เหมือนตอนครั้งก่อนที่เขาไม่อาจหนีได้ทัน

ขณะที่กำลังเดินไปสายตาพลันสว่างขึ้นเมื่อเห็นร้านหนึ่งขายหินหยก บนแผ่นโลหะนอกร้านเขาสังเกตร่องรอยของพลังปราณบางๆ

พลังปราณนี้เบาบางมาก มีเพียงคนระดับชั้นวิญญาณแรกกำเนิดเท่านั้นถึงจะสามารถเห็นมันได้ หากระดับขั้นต่ำกว่าจะไม่สามารถสังเกตได้เลย

ด้วยประสบการณ์ของหวังหลินในทะเลปิศาจ เขาเคยได้ยินว่านอกจากร้านค้าสาธารณะแล้วมีการแลกเปลี่ยนลับๆในเมืองใหญ่ด้วยเช่นกัน

การแลกเปลี่ยนลับๆพวกนี้จำเป็นต้องมีระดับขั้นอย่างน้อยที่กำหนด เมื่อถึงระดับนั้นถึงจะสามารถเข้าร่วมได้

หวังหลินมองไปที่ร้านค้าเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังเดินไปข้างหน้าร้าน พลันสังเกตได้ว่ามีผู้เยาว์คนหนึ่งกำลังวิ่งเข้าหาเขา ผู้เยาว์คนนี้หล่อเหลาเอาการแต่วิ่งมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดมาก เขามองข้างหลังไปด้วย ข้างหลังเป็นชายวัยกลางคนซึ่งกำลังเร่งรีบไล่ล่าตามหลังชายหนุ่มด้วยใบหน้าดูชั่วร้าย ชายวัยกลางคนรีบไล่ขึ้นมาและพยายามจับชายหนุ่มแต่ชายหนุ่มหลบและวิ่งมาทางหวังหลิน

ร่างหวังหลินวูบวาบไปด้านข้างและออกไปนอกทาง

ชายหนุ่มเดินโซเซสองสามก้าวและผลอยลงกับพื้น หลังจากนั้นหินหยกสีม่วงหล่นลงจากฝ่ามือ มันเป็นสีม่วงบริสุทธิ์ขนาดเท่ากำปั้น

ใบหน้าชายหนุ่มเผยอาการหวาดกลัว เขารีบคว้าหินหยกและกำมันไว้ในมือ

ขณะเดียวกันชายวัยกลางคนก็มาถึงและเพราะหวังหลินอยู่ขวางทางไว้เขาจึงสะบัดแขนเพื่อผลักหวังหลิน

หวังหลินขมวดคิ้ว เขาก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวและออกไปห่างฝ่ามือชายวัยกลางคน

ชายวัยกลางคนเผยใบหน้าตกใจแต่ยังดูโกรธเกรี้ยว “เจ้ากล้าขวางทางปู่คนนี้หรือ? ไปซะ!”

หวังหลินมองชายคนนี้ด้วยความสงบ เขาสามารถเห็นได้ว่าระดับฝึกฝนของเขาเพียงขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลางเท่านั้น อีกทั้งพลังปราณเบาบางมาก ชัดเจนว่าเขาบังคับเพิ่มระดับถึงตอนนี้ด้วยเม็ดยา

หลังชายวัยกลางคนเห็นหวังหลินไม่ได้ตอบสนอง เขาพ่นลมหายใจเย็นและมองชายหนุ่มพลางกล่าวอย่างชั่วช้า “เด็กเหลือขอ เจ้ากล้าหาญถึงขนาดมาขโมยหยกปู่เจ้าได้เนี่ยนะ?”

ร่างชายหนุ่มสั่นเทา แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่เขายังกล้าพูด “แกโกหก! นี่มันมรดกของตระกูลข้า!”

ชายวัยกลางคนหัวเราะ เขาก้าวเข้าไปเตะชายหนุ่มพลางคว้าหินหยกออกมาจากมืออย่างง่ายดาย “งั้นถ้าข้ามีตาดีหล่ะ? เจ้าสามารถทำอะไรได้? ข้าไม่ได้ขโมย ข้ากำลังซื้อมัน! เอ้านี่!” เช่นนั้นเขาโยนหินวิญญาณระดับต่ำหนึ่งก้อนลงบนพื้น

ชายหนุ่มทุบพื้นด้วยความเจ็บใจใต้ฝ่าเท้าชายหนุ่มและไอออกมาเป็นโลหิตจำนวนมาก ใบหน้าซีดเผือดขณะจ้องชายวัยกลางคนด้วยดวงตาเกลียดชัง

ขณะนั้นมีสองสามคนผ่านมาเห็นแต่หลังจากพวกเขาเห็นชายวัยกลางคนจึงรีบหันกลับและจากไป

หวังหลินมองคราเดียวและเมินสิ่งที่เกิดขึ้นขณะเดินเข้าหาร้าน หวังหลินรู้ว่าหินหยกม่วงนั้นคืออะไร มันเป็นวัตถุดิบหลอมที่สามารถขายได้ถึงหินวิญญาณระดับกลางหนึ่งก้อน

สำหรับชายวัยกลางคนที่พูดจาเลวทรามนั้นหากเป็นหวังหลินเมื่อก่อนเขาไม่ต้องการปล่อยไป แต่เมื่อระดับฝึกฝนเพิ่มขึ้นหวังหลินจึงไม่ได้ใส่ใจกับคนพวกนี้

ทว่าแม้เขาไม่ต้องการสร้างปัญหากับชายวัยกลางคน แต่ชายวัยกลางกลับต้องการสร้างปัญหาให้เขา หลังรับหยกสีม่วงมา ชายวัยกลางรู้สึกหยิ่งผยองมากขึ้น เขาหันกลับมาเห็นหวังหลินกำลังจากไปพลันตะโกน “ก่อนหน้านี้ข้าบอกให้เจ้าไป หยุดเดินซะ!”

ขณะที่เขาพูดไปด้วยพลันเดินเข้ามาและสะบัดแขนหัวเพื่อตบศีรษะหวังหลิน

หวังหลินหยุดก้าวและหันกลับมา เขาจ้องชายวัยกลางคนพลันแขนของเขาหยุดกึกทันที หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ

“ไปซะ!” หวังหลินพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งและหันจากไป

ขณะนั้นชายสูงอายุคนหนึ่งเดินออกมาจากร้าน เขามองหวังหลินหนึ่งครั้งและไม่ได้มองอีกพร้อมกับเริ่มเช็ดแผ่นโลหะ

ชายวัยกลางคนใบหน้าซีดเผือด เขามองรอบๆและเห็นว่าตอนนี้มีคนเริ่มมุงจำนวนมากจึงพลางกัดฟันแน่นและตบกระเป๋า กระบี่เหินออกมาและเขาร้องตะโกน “ไป!”

กระบี่เหินรวดเร็วราวกับสายฟ้าและเพราะระยะทางสั้นมากมันจึงมาถึงเบื้องหน้าหวังหลินในทันที ทว่าขณะที่กระบี่เหินมาถึงหวังหลิน มันแตกหักครึ่งและหล่นลงกับพื้น

หวังหลินหันกลับมา เวลานี้เขาตัดสินใจว่าจะฆ่าเรียบร้อย พลันสะบัดแขนและกฎเกณฑ์หนึ่งพุ่งออกมาตกลงบนหน้าผากชายวัยกลางคน

ร่างเขาสั่นกระตุกขณะที่ร้องไห้อย่างโหยหวน ร่างกายเปลี่ยนเป็นบ่อโลหิตทิ้งไว้แต่เพียงกระเป๋าและหยกสีม่วงเพราะเขาไม่มีเวลาเก็บกลับไป

ชายหนุ่มเมื่อครู่จ้องหยกสีม่วง เขารีบคว้าหินหยกมาอย่างรวดเร็วจากข้างในน้ำพุโลหิตจากนั้นมองหวังหลินอย่างระมัดระวังเล็กน้อยและวิ่งหนีไป

ผู้คนรอบๆเผยใบหน้าตกใจและรีบออกจากที่แห่งนี้ทันที ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเมื่อเห็นหวังหลินเดินตรงมาที่ร้านเขาอย่างสงบนิ่ง เขากล่าวขึ้น “ร้านนี้ไม่เปิดสาธารณะ ข้าขอให้สหายเซียนจากไปเถิด”

ใบหน้าหวังหลินจมดิ่งลง เขาชี้ไปที่พลังปราณเล็กน้อยบนแผ่นโลหะและถามขึ้น “หากไม่เปิดเป็นสาธารณะทำไมถึงมีเครื่องหมายตรงนี้ด้วยเล่า?”

ชายชราตกตะลึงพลันใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคารพยิ่ง “โปรดให้อภัยด้วยผู้อาวุโส โปรดเข้ามาข้างในและคุยกันก่อน”

หลังเข้ามาในร้าน ชายสูงอายุมีท่าทางประหลาด เขาถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโส การแลกเปลี่ยนที่นี่จะเปิดในสามวัน ผู้น้อยแนะนำว่าท่านควรจะออกจากเมืองนี้โดยเร็วที่สุด”

หวังหลินถามอย่างสงบนิ่ง “คนที่ข้าสังหารไปผู้นั้นมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งนักหรือ?”

ชายสูงอายุลังเลเล็กน้อย เขาพยักหน้าและไม่ได้เอ่ยอันใด

ขณะนั้นสัมผัสวิญญาณอันทรงพลังกวาดผ่านเมืองจากด้านทิศตะวันออกทันทีและกล่าวข้อความทิ้งไว้ว่า “อันธพาลที่สังหารศิษย์ของข้า จงออกมาเดี๋ยวนี้!”

ใบหน้าชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปทันที เขามองหวังหลินด้วยสายตาอ้อนวอนและขอร้อง “ผู้อาวุโสโปรดสงสารชายชราคนนี้และจากไปด้วยเถอะ หากคนผู้นั้นดุด่าข้า ข้าไม่สามารถต่อต้านได้จริงๆ อีกทั้งป้ายสิทธิ์ทั้งหมดของการแลกเปลี่ยนครั้งนี้หมดไปแล้ว ดังนั้นหากผู้อาวุโสกลับมาในอีกสามวัน ท่านก็ยังไม่สามารถเข้าการแลกเปลี่ยนได้อยู่ดี”

หวังหลินยืนขึ้นและถามอย่างสงบนิ่ง “คนที่ส่งข้อความมานั้นมีป้ายสิทธิ์ไหม?”

ชายชราตกตะลึงและพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว เมื่อเขาคืนสติได้ใบหน้าพลันเปลี่ยนไปแต่เมื่อมองไปหาหวังหลิน เขาจากไปแล้ว

ฟากฟ้าเหนือเมืองมีชายหัวล้านสูงตระหง่านพร้อมกับงูยักษ์พันรอบร่างกาย เขามีคิ้วหนา ดวงตากลมโต ใบหน้าแหลมคมและผิวสีแทน

บนร่างมีกระเป๋าหลายแถวและแต่ชิ้นเปล่งคลื่นกดดันของพลังปราณจากสิ่งของที่อยู่ข้างใน

คนผู้นี้เป็นหนึ่งในองครักษ์ของเมืองเหลียนโม่ เดิมทีเขาปิดด่านฝึกตนอยู่แต่หลังจากเห็นโลหิตวิญญาณของศิษย์ตนเองกระจายไป เขาจึงพิโรธโกรธเกรี้ยวพลันออกจากการปิดด่านฝึกตนและส่งข้อความออกมาเพื่อค้นหาผู้สังหาร

เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สังหารหนีออกไป เขาจึงส่งคนออกไปขวางประตูเมืองไว้ เขาได้รับรายละเอียดของคนสังหารจากพยานแถวนั้นดังนั้นจึงกระจายสัมผัสวิญญาณออกเพื่อค้นหาทั่วเมือง

แต่ยิ่งค้นหาก็ยิ่งน่าสงสัย เขาค้นหามาทั่วเมืองแล้วหลายครั้งแต่คนผู้นั้นดูเหมือนจะพึ่งหายตัวเข้าไปในอากาศบางๆ

เขากระทั่งค้นหาในร้านค้าลับแต่ยังไม่สามารถค้นเจอคนผู้นั้นได้

ดังนั้นเพื่อระบายความโกรธจึงส่งข้อความศักดิ์สิทธิ์ออกไป คนผู้นั้นต้องใช้วิชาลับบางอย่างเพื่อหลบหนีเขาจึงทำได้เพียงส่งข้อความออกไปเท่านั้น

ทว่าเขาไม่คิดว่าเกือบในเวลาเดียวกันที่ส่งข้อความออกไป ชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฎห่างจากเขาไปสิบฟุต คนผู้นี้มีเส้นผมสีขาวเต็มศีรษะและดูหล่อเหลาอย่างมาก ลักษณะตรงกับรายละเอียดของคนสังหารจริงๆ

รูม่านตาชายหัวล้านแคบลงทันที เขาถอยหลังและระงับความโกรธของตัวเอง แม้ว่าเขาจะดูหยาบคายมากแต่เขาก็เป็นคนระมัดระวังเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเขาจะผ่านมาถึงระดับฝึกฝนปัจจุบันและมีสถานะเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า?

เมื่อเห็นชายหนุ่มคนนั้นปรากฎตัวโดยการเคลื่อนที่พริบตาและรวมกับที่เขาไม่สามารถค้นหาชายหนุ่มเจอได้เลยหลังจากค้นมาทั่วเมืองหลายครั้ง จึงสรุปได้หนึ่งอย่างคือไม่เพียงแต่จะมีระดับขั้นวิญญาณแรกกำเนิด แต่ระดับฝึกฝนยังสูงมากกว่าเขา

หลังหวังหลินปรากฎตัว เขาไม่พูดอะไรพลันตบกระเป๋าและธงกฎเกณฑ์ลอยออกมา แสงเย็นๆกระพริบในดวงตาและตะโกนขึ้น “กระจาย!”

กฎเกณฑ์เคลื่อนไหวทันทีและเริ่มกระจายออกรวดเร็วมากจนปกคลุมน่านฟ้า ในชั่วขณะทั้งเมืองถูกปกคลุมโดยธงกฎเกณฑ์และทำให้ทั้งเมืองมืดทึบมาก

ใบหน้าชายหัวล้านเปลี่ยนไปและร้องครวญในลำคอ เขารีบเปิดกระเป๋าและปลดปล่อยฝูงแมลง ทันใดนั้นเหล่าแมลงรวมตัวกันและล้อมรอบชายหัวล้าน

ในเวลาเดียวกันเขารีบพูดขึ้น “สหายเซียนนี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด…”

หวังหลินขัดขวางเขาด้วยลมหายใจเย็นชา เขาชี้นิ้วไปที่ชายหัวล้านพลันมังกรดำเก้าตัวซึ่งสร้างจากธงกฎเกณฑ์ได้พุ่งเข้าหา

เวลาเดียวกันนั้นหวังหลินตบกระเป๋าและกระจกทองแดงปรากฎในฝ่ามือ เขาชูกระจกและลำแสงสีเขียวพุ่งออกมา

กฎเกณฑ์นี้มีพลังรุนแรงมาก มังกรเก้าตัวออกมาจากทิศทางแตกต่างกันและกระแทกลง เหล่าแมลงที่ล้อมรอบชายหัวล้านแตกสลายในทันทีที่เหล่ามังกรปะทะใส่

ชายหัวล้านหวาดกลัว ด้วยขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นของเขาพลันรู้สึกราวกับกำลังจะตาย สมบัติวิเศษอันแปลกประหลาดของชายหนึ่งทำให้เขาขวัญหนีมากจริงๆ

ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา จากนั้นเขากัดลิ้นตัวเองและเพ่นโลหิตออกมา ร่างกายส่องแสงสีแดงโลหิตขณะที่ถอยกลับอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่าหากอยู่ในอาณาเขตของสมบัติชิ้นนี้เขาไม่มีโอกาสชนะแน่นอน ทางเลือกเพียงทางเดียวคือรีบหนีออกจากระยะของสมบัติและสู้กันข้างนอก

เมื่อเห็นว่ากำลังจะใกล้จะออกจากส่วนมืดมิดแววตาจึงมีประกายควมสุข แต่ขณะนั้นมังกรมากกว่าเก้าตัวเข้ามาหาเขาจากทุกทิศทาง

หวังหลินรู้อยู่แล้วว่าชายหัวล้านจะทำแบบนี้ดังนั้นกระจกทองแดงเหนือศีรษะจึงยิงแสงสีเขียวออกมาปกคลุมชายหัวล้านทันที ขณะนั้นร่างชายหัวล้านช่วยไม่ได้ที่จะหยุดไปครึ่งวิและมังกรเก้าตัวร่อนลงหาเขา

ในขณะที่เกิดวิกฤต ชายหัวล้านอ้าปากและนำเอาสามง่ามออกมา เขาหมุนสามง่ามไปรอบๆและมังกรเก้าตัวถูกทำลาย

แต่เป็นเพราะเขาทำเช่นนี้จึงไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ชั่วขณะ แม้ว่าในที่สุดเขาก็เป็นอิสระออกจากแสงสีเขียวได้ แต่กลับมีควันสีเขียวออกมาจากร่างกายเขาและอ่อนแอมากทันที

ในเวลาแทบทันทีที่เขาโดนลำแสงสีเขียว พลันไออกมาเป็นโลหิตและวิญญาณเซียนปรากฎขึ้นเหนือศีรษะด้วยความหวาดกลัวและหนีอย่างรวดเร็ว ทว่าเบื้องล่างมีกระบี่สีดำแปลกประหลาดแทงผ่านเข้าใส่หน้าอกชายชรา

หวังหลินยิ้มเยือกเย็นขณะที่ยืนอยู่ที่ห่างไกล เขาสะบัดแขนและกระบี่ดำเคลื่อนที่พริบตากลับเข้าหาเขา

เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นมาก ตั้งแต่ที่หวังหลินปรากฎตัวและวิญญาณเซียนของชายหัวล้านออกมาจากร่างกาย มันมีเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น ขณะนั้นใบหน้าของเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดที่จับจ้องดูการต่อสู้นี้เปลี่ยนไป องครักษ์ของเมืองอีกสามคนรีบเหาะเหินออกมาอย่างรวดเร็ว ทว่าเขาไม่กล้าเข้าไปในความมืดมิดแต่ยืนด้านนอกแทน เตรียมพร้อมจะยื่นมือเข้าไปช่วยวิญญาณเซียนของเพื่อน

วิญญาณเซียนของชายหัวล้านรีบหนีอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าหวาดกลัว เขาเห็นเพื่อนสามคนและรู้ว่าหากเขาเข้าไปหาก็จะรอดชีวิตแน่ เขาไม่คิดว่าจะทำให้อสูรตัวหนึ่งโกรธจนโจมตีโดยไม่ฟังที่เขาพูด เขาลืมเรื่องการล้างแค้นศิษย์ของตัวเองทันทีและลังเลตอนที่เห็นว่าหวังหลินเป็นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด หากหวังหลินอ่อนแอ ชายหัวล้านจะสังหารเขาโดยไม่ปราณีเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังจะออกจากความมืดนี้พลันเผยใบหน้าแห่งความสุข ทว่าสหายสามคนเผยใบหน้าตกใจและพุ่งเข้าหาเขา

ชายหัวล้านตกตะลึงแต่เขาพลันสัมผัสได้พึงลมกรรโชกขนาดยักษ์ได้ เขายกศีรษะขึ้นโดยไม่รู้ตัวและเห็นอสูรตัวหนึ่งปรากฎเหนือเขาพร้อมกับส่งลมกรรโชกออกมา ส่วนที่เห็นได้ชัดของอสูรตัวนี้คืองวงอันน่าขนลุกและดูอันตราย

ขณะนั้นกฎเกณฑ์ 99 ชุดออกมาจากธงกฎเกณฑ์และป้องกันเส้นทางของเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งสามคนไว้

เซียนทั้งสามคนช่วยไม่ได้ที่หยุดไปชั่วขณะ กฎเกณฑ์ที่ออกมานั้นรวดเร็วมาก หลังจากมันหายวับไป ฉากเหตุการณ์เบื้องหน้าทั้งสามคนทำให้พวกเขาจะไม่ลืมมันอีกเลย

สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คืองวงอสูรอันตรายนั้นแทงเข้าใส่ศีรษะของวิญญาณเซียนชายหัวล้าน วิญญาณเซียนชายหัวล้านเริ่มเล็กลงและเล็กลงเรื่อยๆจนกระทั่งถูกอสูรยุงตัวนั้นกลืนกินไปหมดจด

แถบสีทองปรากฎจากอสูรเดิมทีเป็นสีดำแกมเขียว หลังจากมองเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดสามคนด้วยแววตาเยือกเย็น มันกระพือปีกและกลับไปด้านข้างหวังหลินอย่างรวดเร็ว

หวังหลินสะบัดแขนและนำธงกฎเกณฑ์และกระจกทองแดงกลับไป กระเป๋าและสามง่ามทั้งหมดร่อนลงสู่ฝ่ามือเขาเช่นกัน

หลังตรวจสอบกระเป๋าด้วยสัมผัสวิญญาณ เขานำป้ายสิทธิ์ที่มีคำว่า “ความลับ” บนนั้นออกมา จากนั้นเขามองไปที่เซียนทั้งสามคนและหายไปโดยไม่ได้เอ่ยอันใด

ผู้คนในเมืองหลายคนมองดูการต่อสู้นี้รวมถึงเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดหลายคนที่อยู่ที่นี่เพื่อการแลกเปลี่ยน เป็นเพราะหวังหลินสังหารชายหัวล้านได้ง่ายและหมดจน เขาฝังความประทับใจทั้งหมดไว้ในจิตใจลึกๆ โดยเฉพาะธงกฎเกณฑ์และอสูรที่ดูดกลืนวิญญาณเซียนของชายหัวล้าน กระทั่งด้วยประสบการณ์ของพวกเขายังไม่อาจรู้ได้ว่าอสูรตัวนั้นคืออะไร

แม้กระทั่งองครักษ์สามคนที่เป็นเพื่อนกับชายหัวล้านยังไม่กล้าโต้แย้งหวังหลิน นอกจากนั้นในทะเลปิศาจแล้ว ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งทุกอย่าง อีกทั้งพวกเขาจำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ต่อดยุคของเมืองเหลียนโม่

ทว่าดยุคแทบจะปิดด่านฝึกฝนตลอดเวลาและเรื่องนี้อาจจะทิ้งร้างไว้ นอกจากนั้นความแข็งแกร่งของผู้เยาว์คนนั้นดูไม่เหมือนอ่อนแอกว่าระดับกลางคือระดับปลายของวิญญาณแรกกำเนิดเลย

ทั้งสามคนมองหน้ากันเอง หลังจากถอนหายใจพวกเขาจึงจากไป

หวังหลินปรากฎตัวหลังร้านค้าลับและโยนป้ายสิทธิ์ไปที่ชายชราที่กำลังตกตะลึงจากนั้นพูดขึ้น “ตอนนี้ข้ามีป้ายสิทธิ์แล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version