294. ข่มขู่
หกเสาแสงเชื่อมต่อกันและเกิดเป็นหกเหลี่ยมก่อนจะบินไปไกลอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้าประตูสีทองยักษ์ปรากฎเบื้องหน้าหวังหลิน
ประตูบานนี้ใหญ่โตมโหฬารเกินกว่าคำอธิบายใดๆ เมื่อผู้คนยืนอยู่เบื้องหน้าดูราวกับมดตัวเล็กๆ มีคำพูดสลักไว้บนประตู ตามความทรงจำของเทพโบราณแล้วคำพูดนี้คือคำว่า “พิรุณ”
นี่คือประตูสวรรค์พิรุณ ทว่ามีรอยฝ่ามือหนึ่งบนประตูและล้อมรอบไปด้วยรอยร้าว
มีฐานแตกเสียหายจำนวนมากเบื้องล่าประตู มีคนอยู่แล้วหลายคนที่นี่และส่วนใหญ่ทั้งหมดมีฐานของตนเอง
หลังจากทั้งหกคนมาถึง ลำแสงที่ล้อมรอบพวกเขาหายไปและโยนทุกคนไปข้างหน้า หวังหลินถอยหลังเล็กน้อยและร่อนลงฐานแห่งหนึ่งกว้างหนึ่งร้อยฟุต
ส่วนอีกห้าคน แต่ละคนต่างเลือกฐานให้ตนเองยืน
หวังหลินมองไปรอบๆ ช่วยไม่ได้ที่หัวใจจะหยุดเต้นไปเสี้ยววิเมื่อรับรู้ได้ว่าฐานทั้งหมดที่มีขนาดแตกต่างกันนี้กลับมีพื้นผิวเหมือนกัน หากมองไปขอบแต่ละชิ้นมันคงเข้าด้วยกันได้พอเหมาะพอดีมาก
ด้วยเรื่องนี้หวังหลินจึงเดาได้ว่าเมื่อกาลก่อนที่ดินแดนสวรรค์จะล่มสลาย มีฐานขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่นี่
หลังจากเห็นรอยฝ่ามือบนประตู หวังหลินสงสัยว่าต้องมีพลังมากแค่ไหนถึงจะทิ้งรอยประทับไว้บนประตูสวรรค์ได้
ความภูมิใจเล็กๆของหวังหลินที่พึ่งมีมาพลันหายไปหลังจากมองประตูบานนี้ เปรียบเทียบกับการคงอยู่ของสิ่งลึกลับนี้ หวังหลินยังดิ้นรนอยู่ที่สุดขอบล่าง
หลังจากนั้นชั่วครู่มีผู้คนอีกมากมายปรากฎและร่อนลงบนฐานต่างๆกัน มีช่วงระดับฝึกต้นในกลุ่มเซียนกว้างมากซึ่งมีแม้กระทั่งเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด เรื่องนี้ทำให้หวังหลินงุนงงมากมายนัก
ยิ่งผู้คนมาถึงสถานที่แห่งนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่มีฐานเพียงพอ
หนึ่งในผู้เยาว์ชุดดำมองไปรอบๆและพบว่าไม่มีฐานเหลืออยู่อีก ดังนั้นจึงร่อนลงข้างหญิงชราคนหนึ่ง ฐานแห่งนี้มีความกว้างขนาด 300 ฟุต ไม่ต้องกล่าวถึงคนเพียงสองคนเลยมันเพียงพอสำหรับยี่สิบคนด้วยซ้ำ
แต่เมื่อผู้เยาว์คนนั้นร้อนลงบนฐาน แววตาหญิงชราสว่างขึ้นและนางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ไปซะ!”
ใบหน้าผู้เยาว์เย็นยะเยือก เขากำลังจะเอ่ยแต่หญิงชราขมวดคิ้ว ฝ่ามือยื่นออกมาและคว้าเขาไว้ ทันใดนั้นชายหนุ่มกรีดร้อง เขารีบกลับขึ้นอย่างรวดเร็วและหลีกเลี่ยงอันตราย เขามองหญิงชราอย่างเหลืออด หันกลับไปและร่อนลงบนฐานอีกแห่งใกล้ๆ
บนฐานนั้นมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่มาพร้อมกับหวังหลิน เขาเพียงหนึ่งอยู่ที่นี่ดื่มกับตัวเองและไม่ดูเหมือนจะใส่ใจว่าจะมีคนเพิ่มบนฐานหรือไม่
ชายหนุ่มชุดดำครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงบนขอบของฐาน สายตาเขาสว่างขึ้นและมักจะมองหญิงชรานานๆครั้ง
หลังจากนั้นไม่นานอีกคนหนึ่งก็มาถึง ใบหน้าคนผู้นี้หมองเศร้า เขามีขั้นตัดวิญญาณระดับต้น หลังจากมาถึงพลันรับรู้ได้ว่าฐานทั้งหมดมีคนจับจองไว้และเหาะเหินไปด้านข้างทันที ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรื่องเจตนาหรือไม่แต่ก็ควรมีโชคติดตัวมาด้วย เขาเหาะเหินไปทางตำแหน่งหกคนที่มาจากซูซาคุ
ร่างกายเขาปรากฎบนฐานที่ชายจากเผ่ามารยักษ์อยู่และพลันพูดอย่างเยือกเย็น “ออกไปให้พ้นทาง!”
บุรุษจากเผ่ามารยักษ์มองเขาอย่างไม่แยแสจากนั้นร่างกายพองขึ้นทันทีและเขากลายเป็นยักษ์ตนหนึ่ง พลันยืนขึ้นมองลงมายังคนที่กำลังหวาดกลัวและเอ่ยว่า “ไม่มีที่ว่าง!”
ขณะที่เอ่ยขึ้นมา ตราประทับรูปขวานบนหน้าผากกระพริบถี่
คนผู้นั้นมองบุรุษจากเผ่ามารยักษ์ด้วยความเกรงกลัวขณะพึมพำว่า “เผ่ามารยักษ์…” ร่างกายจึงเคลื่อนไหวออกจากฐานนั้นอย่างช้าๆ
ถัดไปเขาปรากฎตัวบนฐานที่ผีเสื้อแดงซึ่งเป็นอัจฉริยะของเฉว่ยี่อยู่บนนั้น บุรุษจากเผ่ามารยักษ์มองเข้ามาด้วยความสนใจ
คนผู้นี้ร่อนลงบนฐานของผีเสื้อแดง มองไปที่นาง คำนับฝ่ามือและจากไป
เขาสังเกตได้ว่าผีเสื้อแดงผู้นี้มีขั้นตัดวิญญาณระดับปลาย นางไม่ใช่บุคคลที่สามารถตอแยด้วยได้ ดังนั้นเขาจึงลอยขึ้นไปในอากาศ สายตากวาดผ่านทุกคนรอบๆ เขายอมแพ้ต่อชายชราผมขาวหลังจากมองเพียงครั้งเดียวและส่วนชายวัยกลางคนเขาก็ยกธงขาวเช่นกันเพราะมีอีกคนหนึ่งบนฐานนั้นอยู่แล้ว
ในที่สุดเขาก็เลือกสองฐานที่มีหวังหลินและชายหนุ่มแววตากระหายโลหิต เขายอมแพ้ต่อชายหนุ่มเพราะดูเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การต่อสู้ครั้งใหญ่และนั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ
ส่วนหวังหลินดูเหมือนจะเป็นปราชญ์ผู้อ่อนแอซึ่งง่ายต่อการหลอกลวง สายตาเขาสว่างขึ้นและมาถึงที่ฐานของหวังหลิน
ในขณะนี้แม้กระทั่งชายวัยกลางคนซึ่งกำลังดื่มอยู่พลันยกศีรษะขึ้นและหันมามอง
ชายจากสำนักมารยักษ์มองเข้ามาเช่นกัน ความสนใจในแววตาเขายิ่งลึกล้ำขึ้นไปอีก
ผีเสื้อแดงเก็บความรู้สึกไว้ราวกับนางรู้จักชายหนุ่มคนนี้แต่กลับนึกไม่ออก นางมองเข้ามาเพื่อดูว่าสามารถจดจำสิ่งใดได้หรือไม่โดยดูจากวิชาของเขา
ชายหนุ่มแววตากระหายโลหิตและชายชราผมขาวมองเข้ามาเช่นกัน นอกจากนั้นแล้วหวังหลินก็เป็นคนที่มาจากดาวเคราะห์ซูซาคุเหมือนเช่นพวกเขา
คนผู้นั้นยืนอยู่บนฐานที่หวังหลินอยู่และพูดด้วยความเยือกเย็น “สหายเซียน โปรดทิ้งฐานนี้และหาแห่งใหม่เถอะ” แม้น้ำเสียงเขาจะเยือกเย็น ทว่าหลังพ่ายแพ้ติดต่อกัน ความหยิ่งยโสจึงลดลงไปมาก
หวังหลินมองคนผู้นี้ด้วยแววตาสงบนิ่งและไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไร เขาโบกแขนและสร้อยข้อมือเด้งออกมาเปลี่ยนไปเป็นคางคกตัวใหญ่
ขณะที่คางคกตัวนี้ปรากฎ ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปพลันร้องอุทาน “คางคกสายฟ้า!”
คางคกตัวนี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในสมบัติของหวังหลินดังนั้นจึงไม่กลัวว่าจะเปิดเผยตัวตนออกมา สิ่งที่เขามีอยู่ในกระเป๋าคือไพ่ตายของจริงดังนั้นหวังหลินจึงไม่คิดมากที่จะใช้เจ้าคางคกสายฟ้าตัวนี้เพื่อข่มขู่คนอื่น หากต้องการสู้กับหวังหลินในภายภาคหน้าและเตรียมการสำหรับคางคกสายฟ้าของเขามาอย่างดี เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อการสังหารที่แท้จริงของเขา
ยิ่งไปกว่านั้นเห็นได้ชัดว่าพลังคือทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ หากเขาไม่แสดงพลังอำนาจเลยนั่นจะเกิดปัญหามากมายในอนาคต เรื่องนี้จึงเป็นเหตุให้หวังหลินตัดสินใจนำคางคกตัวนี้ออกมา
ขณะที่คางคกสายฟ้าปรากฎ ท้องของมันพองโตและยิงบอลสายฟ้าออกไป คนผู้นั้นรีบถอยกลับอย่างรวดเร็วขณะที่ฝ่ามือสร้างผนึกและกงล้อหยินหยางปรากฎออกมา กงล้อกระแทกใส่บอลสายฟ้าเข้าอย่างจัง
คนผู้นั้นกระแอมโลหิตออกมาแต่กงล้อหยินหยางสามารถต่อกรกับบอลสายฟ้าให้หดลงอย่างมากและกระดอนมันกลับ คางคกสายฟ้าอ้าปากของมันและกลืนบอลสายฟ้าเข้าไปจากนั้นมองเขาด้วยความระมัดระวัง
หวังหลินลอบถอนหายใจ เขารู้ว่าเซียนขั้นตัดวิญญาณทุกคนมีวิธีการของตนเองโดยเฉพาะเมื่อสามารถมาที่นี่ได้ เช่นนั้นกงล้อหยินหยางจึงมีผลกระทบอันทรงพลังในการต่อต้านบอลสายฟ้าได้อย่างดีเยี่ยม
กล่าวได้ว่าคางคกสายฟ้านั้นเท่ากับเซียนขั้นตัดวิญญาณคนหนึ่ง แม้ว่าจะยังห่างไกลเล็กน้อยจากเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลาย อย่างน้อยมันก็มีพละกำลังเทียบเท่าเซียนระดับกลาง แม้ว่าบอลสายฟ้าจะไร้ซึ่งเขตแดน พลังของมันก็ยังสูง
คนผู้นั้นลอยออกไปไกล เขามองคางคกสายฟ้าด้วยความเกรงกลัวจึงช่วยไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น เขาคำนับฝ่ามือไปที่หวังหลินและไม่พยายามหาฐานแห่งอื่นอีก พลันนั่งขัดสมาธิในอากาศ
หวังหลินประหลาดใจมากที่คนผู้นี้ปล่อยไปง่ายๆ แต่เขาไม่มั่นใจว่าการกระทำนี้เป็นเรื่องนี้หรือเสแสร้ง
สายตาของอัจฉริยะจากเฉว่ยี่เพ่งพินิจไปบนคางคกสายฟ้าเล็กน้อยก่อนจะถอนสายตา
ส่วนบุรุษจากเผ่ามารยักษ์นั้นสายตาเต็มไปด้วยแรงกระตุ้นในการต่อสู้ขณะพยักหน้าไปที่หวังหลิน ดูเหมือนเขาจะยอมรับพลังความแข็งแกร่งของหวังหลินแล้ว
ส่วนชายชราพลันกรอกตาและถอนสายตาออกมา
มีเพียงแค่ชายหนุ่มแววตากระหายโลหิตที่มองคางคกด้วยความเกรงกลัว วิถีฝึกเซียนทั้งหมดของเขามีพื้นฐานมาจากแมลง ดังนั้นจึงเหนื่อยใจต่อสิ่งมีชีวิตที่สามารถพ่นสายฟ้าออกมาได้โดยเฉพาะคางคก
ชายวัยกลางคนถอนหายใจ “คางคกสายฟ้า…หวานเอ๋อ ข้าเห็นคางคกสายฟ้าอีกครั้ง น่าเศร้าว่ามันไม่ใช่คนเดียวกันจากเมื่อตอนนั้น”
หวังหลินโบกแขนขวาและคางคกสายฟ้ากลับเข้าไปในกับดักอสูร
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์นี้เงียบสงัดแต่ทั้งหมดเพียงแต่มองหวังหลินนานๆที
สายตาหวังหลินสงบนิ่งดังเดิมขณะโบกแขนและน้ำเต้าลูกหนึ่งปรากฎ เขาดื่มไปหนึ่งอึกก่อนจะก้มศีรษะลงและเริ่มคิด
ไม่นานหลังจากนั้นเกิดเสียงระเบิดออกมาจากประตูสวรรค์ คราแรกเสียงนี้เล็กมากแต่ในไม่ช้ามันก็เทียบได้ดั่งพายุฝนกระหน่ำ ขณะที่เสียงดังกึกก้องขึ้นต่อเนื่อง ประตูสวรรค์ก็เปิดออกอย่างช้าๆ
คลื่นแสงสีทองออกมาจากประตูและสว่างขึ้นทั่วทั้งบริเวณ หลังจากนั้นชั่วขณะประตูสวรรค์ก็ได้เปิดออกอย่างสมบูรณ์
เซียนทั้งหมดโดยรอบต่างยืนขึ้นและลอยเข้าไปข้างในโดยไร้ซึ่งคำพูด พวกเขาทั้งหมดหายตัวเข้าไปในประตูสวรรค์
แววตาหวังหลินสว่างขึ้นแต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างในทันที เพียงหลังจากรอคนทั้งห้าจากซูซาคุให้เข้าไปก่อน เขาจึงค่อยเข้าไป
ขณะที่ผ่านประตูไป หวังหลินสัมผัสถึงกลิ่นอายทรงพลังเข้ามาจากดินแดนสวรรค์ กลิ่นอายนี้ไม่มีเจตนาสังหารและเพียงแค่ผ่านทุกคนที่เข้าไป จากนั้นประตูสวรรค์ก็ค่อยๆปิดลง
ในเวลาเดียวกันหม้อหยกเล็กๆปรากฎเบื้องหน้าหวังหลิน เขาสูดหายใจลึก คว้าหม้อหยกและเก็บมันใส่ในกระเป๋า ก่อนที่เขาจะมาที่นี่หวังหลินได้ค้นคว้าเกี่ยวกับดินแดนสวรรค์มาแล้ว
หวังหลินรู้ได้ว่านี่คือหม้อหวนคืน สถานที่บางแห่งเขาสามารถกระตุ้นมันด้วยเวลาสองชั่วยามและมันจะทำให้เขากลับไปสู่ดาวเคราะห์เซียนที่จากมาได้