296. พลังปราณสวรรค์
ขณะที่แผ่นหินจารึกถูกลากออกไปจากพื้นดิน พื้นที่เบื้องล่างแผ่นหินกลายเป็นอีกมุมมองหนึ่ง ผนังพื้นที่ใต้ดินมีสีแตกต่างจากผนังเหนือพื้นดิน พวกมันดูเหมือนกับชุ่มไปด้วยน้ำทั้งที่ไม่มีแหล่งน้ำใกล้ๆ
แววตาหวังหลินสว่างขึ้น คิดตามตรรกะแล้วสถานที่แห่งนี้แห้งแล้งมานานหลายปีและแม้จะมีดินแดนสวรรค์หลายส่วนมากเท่าไหร่ ทุกครั้งที่ประตูสวรรค์เปิด ผู้คนก็จะเข้ามา
ดั้งนั้นแม้ว่าจะมีส่วนที่ไม่มีคนก้าวเข้าไปมาก่อน ที่แห่งนั้นเป็นสิ่งหายากและยากนักที่จะหาเจอ
โดยพื้นฐานแล้วพื้นที่ของดินแดนสวรรค์ส่วนใหญ่ได้ถูกเซียนหลายต่อหลายคนเข้าไปมาก่อน
แผ่นหินจารึกนี้ปกติแล้วเป็นสัญลักษณ์ที่วางไว้ด้านนอกซึ่งยังไม่ใช่ที่นี่แต่เป็นใกล้กับใจกลางพระราชวัง เพิ่มเติมว่ามีสัญลักษณ์ที่บ่งชี้ถึงการที่มีสิ่งหนึ่งฝังอยู่ใต้ดินเป็นเวลานาน ในที่สุดหวังหลินก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
แผ่นหินจารึกนี้ต้องถูกเซียนคนหนึ่งเคลื่อนย้ายระหว่างที่ประตูสวรรค์เปิดก่อนหน้านี้เพื่อซ่อนบางอย่าง
ไม่เช่นนั้นสัญลักษณ์ครึ่งซีกของแผ่นหินจารึกคงไม่ได้อยู่ที่นี่ หากมันถูกทิ้งไว้โดยไม่เคลื่อนย้าย เช่นนั้นอีกครึ่งซีกน่าจะแห้งและเริ่มร้าว
หลังยืนยันความคิดนี้แววตาหวังหลินสว่างขึ้นและยกแขนตัวเอง แผ่นหินไม่กี่ฟุตสุดท้ายที่อยู่ใต้ดินถูกหวังหลินดึงออกมา
จังหวะที่แผ่นหินจารึกถูกดึงออก เสี้ยวพลังปราณสวรรค์เล็ดลอดออกมา มันไม่ได้มากนักเพราะขณะที่มันปรากฎขึ้นมันก็กำลังจะหายไปแล้ว
หวังหลินเผยใบหน้ามีความสุขขณะรีบดักจับพลังปราณสวรรค์นี้อย่างรวดเร็วและหลอมรวมมัน
ขณะนั้นคลื่นเสียงกระแทกหนึ่งพลันได้ยินแจ่มชัดจากที่ห่างไกลและมีบางสิ่งข้ามผ่านท้องฟ้าราวกับสายฟ้าฟาด ของชิ้นนี้ถูกปกคลุมไปด้วยค่ายกลแปดเหลี่ยม
เซียนชุดเขียวพร้อมกับกระบี่เหินแนบไว้เบื้องหลังพลันเดินออกมาจากค่ายกล
จังหวะที่เขาปรากฎตัวพลันเหาะเหินตรงไปที่ซากปรักหักพังราวกับมีเป้าหมาย
หวังหลินสังเกตได้ทันทีและขมวดคิ้ว ทว่าเขาเมินเฉยความเร็วของคนผู้นั้นและเพ่งสมาธิไปที่การหลอมรวมปราณสวรรค์
เสี้ยวปราณสวรรค์กลายเป็นหยดของเหลวหลังจากถูกหวังหลินปรับแต่งไปชั่วครู่หนึ่ง
หวังหลินรู้ได้ว่าพลังปราณสวรรค์ที่ถูกปรับแต่งโดยเซียนไปเป็นสภาวะหินวิญญาณนั้นมันสามารถเก็บไว้ได้ ทว่าเวลาที่จะใช้ปรับแต่งขึ้นอยู่กับระดับฝึกตนของเซียนผู้หลอมรวม
ความเร็วของเซียนชุดคลุมเขียวถือว่าเร็วมาก เมื่อเขาสังเกตได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติใบหน้าพลันเปลี่ยนไปและร้องตะโกน “หยุด!” เขาใช้วิชาเซียนที่ไม่รู้จักและความเร็วของเขาเพิ่มสูงขึ้น
หวังหลินเมินเขาเพราะเซียนชุดเขียวมีระดับเท่าเทียมกับหวังหลินซึ่งเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับต้น เขาไม่เห็นเซียนคนนี้เป็นภัยคุกคามเลยและเพียงคาดคำนวณเวลาที่คนผู้นั้นมาถึงพร้อมกับเพ่งสมาธิไปที่การปรับแต่งพลังปราณสวรรค์
เมื่อเซียนชุดเขียวเห็นว่าไม่เพียงแต่หวังหลินไม่หยุดแต่เขาเร่งกระบวนการหลอมรวมขึ้นจึงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พื้นที่แห่งนี้ถูกสำนักกระบี่ต้าโหลวพบเมื่อสามพันปีก่อน หากเจ้าไม่หยุดตอนนี้สำนักกระบี่ต้าโหลวของข้าจะมาหาเจ้าแน่!”
น้ำเสียงของเซียนผู้นั้นดังออกมาจากระยะไกล แม้ว่าหวังหลินจะได้ยินเพียงบางส่วนเท่านั้นเขาก็เข้าใจความคิดโดยทั่วไปได้จึงเหยียดยิ้มออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีเจ้าของได้อย่างไร? โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นดังเช่นพลังปราณสวรรค์นั้น คนที่พูดช่างไร้สาระเสียจริง
หวังหลินโบกสะบัดแขน สร้อยข้อมือพลันหลุดออกมาและกลายร่างเป็นคางคกสีเขียวตัวใหญ่
ขณะที่คางคกสายฟ้าปรากฎ มันพองตัวขึ้นและพ่นบอลสายฟ้าลอยเข้าไปหาเซียนชุดเขียว
ใบหน้าเซียนชุดเขียวผู้นั้นเปลี่ยนไปทันที เขาหวาดกลัวบอลสายฟ้านั้นมากพลันตบกระบี่เบื้องหลัง กระบี่หลุดออกมาและเรืองแสงราวกับดวงอาทิตย์พร้อมกับลอยขึ้นเหนือศีรษะ
เซียนชุดเขียวสร้างผนึกและชี้ไปที่บอลสายฟ้า กระบี่ตวัดลงและจากนั้นปราณกระบี่ทรงพลังอันหนาแน่นเคลื่อนลงมาจากท้องฟ้า
มันร่อนลงปะทะกับบอลสายฟ้าอย่างรวดเร็ว บอลสายฟ้าถูกผ่าครึ่งและหล่นไปด้านข้างเกิดเป็นหลุมอุกกาบาตพร้อมกับควันสีขาวพวยพุ่งออกมา
ใบหน้าเซียนชุดเขียวเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะฝืนกลืนโลหิตที่กำลังออกมาจากลำคอ กระบี่เล่มนี้เป็นหนึ่งในกระบี่สมบัติทั้งเจ็ดของสำนักกระบี่ต้าโหลว หากมันใช้ต่อสู้กับคนที่อ่อนแอกว่า เขาสามารถควบคุมมันได้ง่ายๆ แม้แต่สูกับคนที่ระดับเดียวกันเขาก็สามารถสังหารด้วยเพียงแค่ปราณกระบี่ที่อยู่ในกระบี่
ทว่าคางคกสายฟ้านั้นเป็นเสมือนกับเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับกลาง ขณะที่บอลสายฟ้าที่ไม่มีเขตแดนแต่มันไม่ใช่สิ่งที่เซียนธรรมดาสามารถควบคุมได้ นี่คือวิชาโจมตีพิเศษของอาวุธที่ส่งไปหาเจ้าคางคกสายฟ้า ดังนั้นเขาจึงทุ่มเททุกอย่างและเอาชนะแม้จะต้องทำร้ายตัวเอง
ด้วยการช่วยเหลือของคางคกสายฟ้า ในที่สุดหวังหลินก็เสร็จสิ้นการปรับแต่งพลังปราณสวรรค์ ตอนนี้มันเป็นผลึกสีม่วงขนาดเท่าเมล็ดข้าวในฝ่ามือเขา
ผลึกเล็กๆนี้มีค่าเท่ากับพลังปราณของแคว้นจ้าวที่ควบแน่นไว้ด้วยกัน หวังหลินรู้สึกตกใจเมื่อสัมผัสพลังปราณที่อยู่ข้างใน หลังเก็บผลึกใส่เข้าไปในกระเป๋าจึงเงยศีรษะขึ้นและมองเซียนชุดเขียวอย่างเย็นชา
ภายใต้แผ่นหินจารึกได้ซ่อนหนึ่งในดวงตาของค่ายกลเอาไว้ แม้ว่าค่ายกลจะแตกเสียหายมานานมากแล้วมันยังคงใช้งานได้ หลังเวลาผ่านไปยาวนานมันยังคงรวบรวมพลังปราณสวรรค์จนสร้างเศษเสี้ยวพลังปราณสวรรค์ที่บริสุทธิ์ขึ้นมาได้
สำนักกระบี่ต้าโหลวนั้นต้องวางแผ่นจารึกไว้ที่นี่เพราะกลัวว่าจะมีคนอื่นหาเจอ ทุกครั้งที่ประตูสวรรค์เปิดพวกเขาจะส่งคนมาที่นี่เพื่อเก็บเกี่ยวพลังปราณสวรรค์
เหตุผลที่พวกเขาไม่ได้ใช้กฎเกณฑ์ใดเลยและใช้เพียงหินจารึกแทนเป็นเพราะกลัวจะมีใครสังเกตเห็น ไม่ว่าจะสร้างค่ายกลไว้ดีแค่ไหนมันยังแกะรอยได้ และมีผู้คนที่ฝึกฝนวิชาสวรรค์สามารถมองเห็นได้ง่ายๆ ในท้ายสุดพวกเขาจึงตัดสินใจวางหินจารึกไว้ที่นี่และไม่ได้ว่ากฎเกณฑ์ไว้ วิธีนี้ยากยิ่งที่จะหาพบ
หวังหลินเยาะเย้ยขณะวางฝ่ามือขวาเหนือหลุมและบีบอย่างรุนแรง เสียงรอยแตกได้ยินขึ้นขณะที่ดวงตาของค่ายกลได้พังเสียหาย มันไม่สามารถใช้ได้อีกครั้งแล้ว
นับตั้งแต่ที่เขาได้ละเมิดสำนักกระบี่ต้าโหลวโดยนำพลังปราณสวรรค์นี้มา เขาอาจจะต้องทำลายดวงตานี้เพื่อที่พวกมันไม่สามารถมาที่นี่และเก็บเกี่ยวมากขึ้นเพื่อสร้างเซียนที่ทรงพลังขึ้นไปอีก
เซียนชุดเขียวจ้องหวังหลินพลันร้องคำรามจากนั้นชี้ไปที่หวังหลิน กระบี่หันเข้าหาหวังหลินและปราณกระบี่ขนาดใหญ่กว่าสองเท่าจากครั้งก่อนตกลงมาจากท้องฟ้าราวกับต้องการจะแบ่งสวรรค์ออกเป็นสองส่วน
หลังส่งปราณกระบี่นี้ออกไปเขาไอออกมาเป็นโลหิตและร่างกายอ่อนแอมาก เขาไม่ได้มองผลลัพธ์และจากไปทันที
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นเขาชี้ไปที่คิ้วทำให้ควันสีดำลอยออกมา ควันได้เปลี่ยนเป็นวิญญาณเร่ร่อนพุ่งไปเบื้องหน้าและกระแทกกับปราณกระบี่
ในเวลาเดียวกันคางคกสายฟ้าร้องคำราม ท้องของมันพองโตอีกครั้งและพ่นบอลสายฟ้าที่ขนาดใหญ่กว่าครั้งก่อนเล็กน้อย
“ต้องการจะหนี?” หวังหลินตบกระเป๋าและนำธงผืนเล็กออกมา ธงกฎเกณฑ์นี้ได้บรรลุขั้นแรกไปแล้วจึงแข็งแกร่งมาก มันเปลี่ยนเป็นควันสีดำล้อมรอบหวังหลินและนำพาเขาไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
ปราณกระบี่ถูกกระแทกเข้าใส่วิญญาณเร่ร่อนมากกว่าร้อยตัวในครั้งแรก แม้ว่าวิญญาณเร่ร่อนได้แตกสลายทันทีตอนที่สัมผัสกับกระบี่ ทว่าพลังอำนาจของวิญญาณเร่ร่อนมากกว่าร้อยตัวไม่นับว่าอ่อนแอ มันทำให้ปราณกระบี่หดเล็กลงไปหนึ่งในห้าส่วนจากของเดิมและสลัวลง
ต่อมาบอลสายฟ้าปะทะกับปราณกระบี่ บอลสายฟ้าแตกสลายไปแต่ปราณกระบี่หดลงเล็กลงไปเหลือเพียงส่วนน้อยจากของเดิม ไม่มีแสงใดออกมาจากมันหลังจากปะทะเข้ากับบอลสายฟ้าอีก
ในที่สุดหวังหลินก็พุ่งออกมาได้เพราะอยู่ใต้การป้องกันของธงกฎเกณฑ์ ปราณกระบี่จึงไม่มีพลังพอที่จะหยุดเขาและถูกกฎเกณฑ์หลายอย่างทำลายไป
หวังหลินไม่ได้ช้าลงเลย ด้วยการป้องกันของธงกฎเกรฑ์เขาพุ่งตัวออกไปหลังจากที่เซียนชุดเขียวกำลังหลบหนี
ขณะที่เซียนชุดเขียววิ่งหนี เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและตกใจกับสิ่งที่เห็น เขาไม่กล้าเชื่อว่าคนผู้นี้สามารถทำลายปราณกระบี่ของเขาได้ง่ายๆราวกับเป็นฝันร้ายที่สุด แล้วเขาจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งดังเดิม กระบี่นั้นแปลกมากและมันมีปราณกระบี่ทรงพลังอยู่ข้างใน หากว่าเขาไม่เตรียมตัวอย่างเต็มที่มาก่อนคง วันนี้เขาคงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากปราณกระบี่นั้น
หวังหลินตระหนักได้อีกครั้งว่าเซียนขั้นตัดวิญญาณคนไหนที่สามารถเข้ามาในดินแดนสวรรค์ได้ไม่ควรประเมินไว้ต่ำเกินไป
ขณะที่ล้อมรอบด้วยธงกฎเกณฑ์ความเร็วของหวังหลินจึงเร็วมาก ระยะทางระหว่างเขากับเซียนชุดเขียวหดลงอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าเซียนชุดเขียวเศร้าหมอง เขาใช้วิชาลับอีกครั้งและความเร็วเพิ่มขึ้นมหาศาล พลันมาถึงจุดที่เขาร่อนลงและสร้างผนึกอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นค่ายกลปรากฎเขาผ่อนคลายเล็กน้อย เมื่อเข้าไปในค่ายกลเขาจะสามารถไปอีกส่วนอื่นได้ มีพื้นที่หลายส่วนดังนั้นคนที่ไล่ล่าเขาจะไม่สามารถตามทันได้
เขาเยาะเย้ย “รอก่อนเถอะ! ครั้งนี้สำนักกระบี่ต้าโหลวมีคนเข้ามาในดินแดนสวรรค์ถึงสี่คน เมื่อข้าพบพี่ใหญ่ เราจะมาหาและสังหารเจ้าด้วยกัน เจ้าจะไม่สามารถออกจากดินแดนสวรรค์ได้”