361. แคว้นซูซาคุ
นี่คือเครื่องหมายอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของสำนักมารยักษ์ ตั้งแต่บัดนี้ไปพวกเขาไม่เป็นแคว้นระดับสี่อีกแต่คือแคว้นระดับห้า
ซูซาคุให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ดังนั้นหนึ่งในเซียนเทวะของซูซาคุจึงมาพบบรรชนขั้นแปลงวิญญาณผู้นั้นของสำนักมารยักษ์เป็นการส่วนตัว
ความจริงมีข่าวลืออยู่หนาหูว่าสำนักมารยักษ์มีเซียนขั้นแปลงวิญญาณอยู่คนหนึ่งแต่ไม่มีใครยืนยันได้ ถึงเช่นนั้นมีโอกาสสูงมากเพราะฉีฮู่ผู้เป็นปรมาจารย์น้อยจากสำนักมารยักษ์ได้นำหยกสวรรค์กลับมาจำนวนมาก
เมื่อบรรพชนใช้ระดับขั้นแปลงวิญญาณเพื่อยืนยันสิทธิ์ในการเป็นแคว้นระดับห้า ข่าวลือจึงถูกยืนยัน
เผ่ามารยักษ์ไม่ใช่ชนเผ่าดั้งเดิมของซูซาคุ พวกเขาย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ ฉีฮู่สามารถสู้รบกับเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลายได้เพียงแค่เขาอยู่ระดับกลางนั่นจึงชัดเจนว่าพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน
มหาอำนาจแห่งสำนักมารยักษ์ได้ถือกำเนิดโดยธรรมชาติเมื่อพวกเขาบรรลุขั้นแปลงวิญญาณ ความจริงการที่เซียนขั้นเทวะจากซูซาคุเข้ามาเป็นการส่วนตัวก็บอกได้แล้วว่าระดับแคว้นของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหน
กล่าวได้ว่าตามปกติซูซาคุเพียงแค่ส่งเซียนชั้นแปลงวิญญาณระดับปลายมาจัดการเรื่องนี้เท่านั้น
การเลื่อนขั้นของสำนักมารยักษ์เหมือนกับหยดหมึกลงในน้ำ ครั้งแรกมันไม่เปลี่ยนแปลงมากนักแต่มันจะเริ่มกระจายออกไปทุกที่
ทั้งหมดนี้ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับหวังหลิน เขาเดินออกมาจากหุบเขาและเข้าสู่ค่ายกลพร้อมกับเฟิ่งอยู่ชานและพวกของเขา ก่อนที่เขาจะหายตัวไปหวังหลินหันกลับไปมองหุบเขาเบื้องหลังด้วย
แคว้นซูซาคุตั้งอยู่บนทวีปที่ใหญ่ที่สุดบนดาวเคราะห์ซูซาคุ มันชื่อว่าทวีปซูซาคุ
มีเพียงแค่สี่แคว้นเท่านั้นบนทวีปแห่งนี้ อีกสามแคว้นเป็นระดับห้าทั้งหมดและพวกเขาเป็นแคว้นระดับห้าที่แข็งแกร่งที่สุด
สามแคว้นที่ว่าคือแคว้นชิงหลง(มังกรเขียว) เฉียนฮ่วนและพีลู
ในใจกลางทวีปและกินพื้นที่ถึงสองในสามส่วนเป็นตำแหน่งที่ตั้งของแคว้นซูซาคุ
แม้กระทั่งคนธรรมดาของซูซาคุยังมีระดับสูงกว่าคนทั่วไปเพราะพวกเขาคือผู้คนของซูซาคุ
มีทั้งหมดสามสำนักในแคว้นซูซาคุนั่นก็คือสำนักหยกสวรรค์ สำนักวิญญาณปฐพีและสำนักเส้นทางอมตะ
แต่ละสำนักมีเซียนขั้นเทวะหนึ่งคน รวมกับเซียนขั้นเทวะระดับปลายที่ภูเขาซูซาคุซึ่งถือครองฉายาแห่งซูซาคุ พวกเขาจึงเป็นกำลังหลักในดาวเคราะห์ดวงนี้
มีตระกูลเซียนนับไม่ถ้วนภายใต้ทั้งสามสำนักนี้ พวกเขาอาศัยกับทั้งสามสำนักเพื่อสนับสนุนและกลายเป็นเครือข่ายที่ส่งศิษย์สำนักมากเข้าสู่ทั้งสามสำนัก
ลำแสงหนึ่งพลันหล่นจากท้องฟ้าเข้าสู่แท่นบูชาในซูซาคุทำให้เกิดคลื่นพลังปราณกระจายออกไปรอบด้าน
ผีเสื้อสีชาดนั่งอยู่บนดอกบัวหนึ่งบนหลังภูเขาสำนักหยกสวรรค์ นางพลันลืมตาขึ้นและมองไปทางลำแสงที่หล่นลงมาจากท้องฟ้า
แววตาของนางเยือกเย็นและเอ่ยกระซิบ “เขามาแล้ว….”
หวังหลินค่อยๆปรากฎตัวบนแท่นบูชาและเฟิ่งหยู่ชานปรากฎหลังจากนั้น เฟิ่งหยู่ชานโล่งอก เมื่อเซิ่งหนิวมาแล้วเขาต้องไปรายงานให้กับภูเขาซูซาคุ
มีอีกหนึ่งคนอยู่บนแท่นบูชานอกจากหวังหลินและเฟิ่งหยู่ชาน
คนผู้นี้สวมชุดเดรสสีม่วงมีรูปผีเสื้อม่วงบนดอกลิลลี่ นางสวมผ้าคลุมหน้าสีฟ้าและโปร่งใสราวกับเวทมนต์ สายตาที่นางมองผู้คนให้ความรู้สึกแห่งความสง่างาม จมูกตั้งตรง ปากเล็กและริมฝีปากแดงระเรื่อ
นางยืนอยู่ตรงนี้พร้อมกับจ้องสายตามองหวังหลินเงียบๆ
หลังเฟิ่งหยู่ชานเห็นนาง เขารีบเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม “ขอทักทายศิษย์พี่สาม”
นางพยักหน้าเบาๆอย่างน่ารักและเอ่ยถาม “หรือคนผู้นี้คือสหายเซียนเซิ่งหนิว?”
หวังหลินมองนาง เขาไม่ถูกผลกระทบต่อความสวยที่นางมี หวังหลินคำนับฝ่ามือและพลางกล่าว “ข้าเซิ่งหนิว”
“สหายเซียนเซิ่ง สาวน้อยคนนี้เป็นศิษย์ของสำนักเส้นทางอมตะ แซ่ขาวและชื่อข้าคือหิมะ” นางยิ้ม ผิวของนางขาวใสราวกับหิมะ เส้นผมสองข้างยาวถึงสามฟุตประทับบนหน้าอกของนาง ที่เหลือม้วนเป็นมวยผมบนศีรษะ
“อาจารย์สั่งให้ข้ารอท่านที่นี่และพาท่านไปหาเขา”
ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่ง เขามองนางและเอ่ยถาม “สำนักเส้นทางสวรรค์หรือ?”
หิมะขาวพยักหน้า “ภูเขาซูซาคุกำหนดวันประลองระหว่างสหายเซิ่งและผีเสื้อสีชาดแล้ว ซึ่งจะใช้เวลาอีกครึ่งเดือน ในตอนนั้นผู้ส่งสาส์นแห่งแคว้นเซียนอื่นๆจะเข้ามาเฝ้าดูด้วย จนกว่าจะถึงตอนนั้นสำนักเส้นทางสวรรค์ของข้าจะดูแลที่พักให้สหายเซียน”
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและพยักหน้า
หิมะขาวยิ้มบางและกระโดดออกแท่นบูชา ลำแสงสีขาวลอยเข้ามาและกุมหิมะขาวขึ้นไปในอากาศ
มันเป็นกระเรียนขาวบริสุทธิ์
หลังหวังหลินร่อนลงบนกระเรียนขาว มันร้องกระพือปีกและเหาะเหินเข้าไปไกล
เฟิ่งหยู่ชานมองกระเรียนขาวอย่างอิจฉาก่อนจะกระโดดออกจากแท่นบูชาและเหาะเหินเข้าหาภูเขาซูซาคุ
หิมะขาวมองหวังหลินเป็นพักๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ชื่อเสียงของเซิ่งหนิวกว้างขวางมาก หลังเห็นหวังหลินนางจึงอดไม่ได้ที่จะผิดหวัง นางมั่นใจว่าเซิ่งหนิวต้องเป็นคนมีพรสวรรค์ไร้ที่ติ แต่มองเขาตอนนี้แล้วกลับดูธรรมดามาก
หลังจากหยุดพักการเดินทางเป็นเวลานาน หิมะขาวจึงเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล “สหายเซียนเซิ่ง ท่านมีวิธีการจะต่อสู้กับผีเสื้อสีชาดอย่างไร?”
หวังหลินถอนสายตาจากการมองดูแคว้นซูซาคุและส่ายศีรษะ “ไม่มีเลย!”
หิมะขาวตกตะลึงแต่นางยิ้มให้ “สหายเซิ่งไม่ต้องถ่อมตัว”
หวังหลินไม่ได้สนใจนางและมองสิ่งที่อยู่เบื้องล่างเขาอย่างละเอียด เขาจดจำสภาพพื้นที่อย่างละเอียด หยกแผนที่ที่เขามีเพียงอธิบายรายละเอียดแคว้นซูซาคุไว้อย่างคลุมเครือเท่านั้น
แม้หวังหลินจะลอบคิดว่าซูซาคุพยายามรับเขาให้เป็นศิษย์หลัก เขายังคงระมัดระวังตัวอยู่ดี
หวัหลินครุ่นคิดเล็กน้อยและเอ่ยถาม “สหายเซียนหิมะขาว มีสำนักอะไรอยู่ในซุซาคุบ้าง?”
น้ำเสียงหิมะขาวมีเสน่ห์ชวนหลงไหล หลังนางอธิบายหวังหลินจึงพอเข้าใจซูซาคุได้หยาบๆ
“ศิษย์น้องผีเสื้อสีชาดเป็นศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์” สิ้นคำหิมะขาวถอนหายใจและมองไปทางเซิ่งหนิว สิ่งที่นางได้ยินจากอาจารย์ของนาง ดูเหมือนว่าหลังการประลอง ภูเขาซูซาคุต้องการคนผู้นี้ให้เข้าร่วมสำนักของนางด้วย
สายตาหวังหลินเยือกเย็นและไม่ได้เอ่ยอะไร
ความเร็วของกระเรียนขาวไม่ได้เร็วมากแต่การขับขี่ลื่นไหลอย่างยิ่ง ขณะที่มันผ่านภูเขาไปหลายลูก หวังหลินลอบจดจำไว้ทั้งหมด
ซูซาคุเต็มไปด้วยพลังปราณซึ่งเป็นอีกมุมหนึ่งที่แคว้นอื่นไม่อาจเทียบได้เลย ระหว่างทางหวังหลินผ่านสายแร่วิญญาณมาถึงสิบแห่ง
เพราะมีสายแร่วิญญาณเหล่านี้จึงมีพลังปราณจำนวนมากภายในซูซาคุ
ขณะเหาะเหิน สายตาหวังหลินพลันเคร่งขรึมมองออกไปไกล ทิศทางนั้นมีภูเขาหนึ่งตั้งขึ้นสูงสูงก้อนเมฆมันดูเหมือนกับภูเขาสวรรค์
กระเรียนขาวไม่ได้บินเข้าหาภูเขาตรงๆแต่กลับอ้อมแทน แม้ว่าท่าทางหวังหลินจะสงบนิ่งแต่จิตใจเขาตื่นตะลึง
หิมะขาวกระซิบ “นั่นเป็นตำแหน่งที่สำนักหยกสวรรค์ตั้งอยู่ แต่เพราะค่ายกลท่านจึงไม่อาจเห็นที่อยู่ภายใน”
ขณะนี้เองร่างสีแดงลดตัวลงมาจากภูเขาและยืนอยู่บนก้อนเมฆขาว ร่างนั้นมองออกไปทิศทางนั้น
สายตาหวังหลินเย็นชาขณะจ้องร่างสีแดงอย่างสงบเงียบ ร่างสีแดงหายตัวไปอย่างเชื่องช้าพร้อมกับกระเรียนขาวลอยออกห่างไปไกล
ผีเสื้อสีชาดยืนอยู่นอกสำนักหยกสวรรค์ขณะมองหวังหลินหายตัวไปอย่างช้าๆ สายตาของนางเย็นชาพร้อมกับสายลมพัดพาให้แขนเสื้อว่างเปล่าข้างหนึ่งพริ้วไหว
“เขามาจริงๆ!” ผีเสื้อสีชาดหันกลับมาและหายตัวกลับเข้าไปในสำนักหยกสวรรค์
หวังหลินยืนอยู่บนกระเรียนขาวและมองหิมะขาวอย่างเยือกเย็น สตรีคนนี้จงใจเลือกเส้นทางนี้ นางต้องมีแผนของตัวเอง
หลังจากนั้นไม่นานนักกระเรียนขาวลอยเข้าไปในภูเขาลูกหนึ่งที่ดูราวกับมังกรยาว กระเรียนขาวบินผ่านชั้นก้อนเมฆและเข้าไปภายในภูเขาลึก
หวังหลินก้าวลงออกจากกระเรียน
หลังมาถึงหิมะขาวพลันกระซิบ “สหายเซิ่ง ที่นี่ไม่ใช่สำนักเส้นทางอมตะแต่เป็นถ้ำส่วนตัวของอาจารย์ข้า ตอนนี้อาจารย์กำลังบ่มเพาะ ให้เลือกที่พักไหนก็ได้สามแถวทางเหนือ อาจารย์จะมาพบท่านเมื่อฝึกฝนเสร็จ”
สิ้นคำนางคำนับฝ่ามือต่อหวังหลินและหายตัวไปท่ามกลางบ้านหลายหลัง
หวังหลินเข้าใจว่าเขาไม่สามารถกระจายสัมผัสวิญญาณออกไปภายในซูซาคุโดยไม่ระมัดระวังได้ไม่เช่นนั้นเขาคงพบกับปัญญาใหญ่ หวังหลินทำตามคำพูดของหิมะขาวและเดินไปยังสิ่งก่อสร้างทางทิศเหนือ
ระหว่างทางเขาพบกับคนรับใช้หลาคน ทั้งหมดต่างมีสีหน้ามึนงง พวกเขารีบผ่านไปไม่มีใครแม้แต่จะมองหวังหลิน
หลังจากนั้นไม่นานนักหวังหลินมาถึงปลายสุดของทิศเหนือและเห็นบ้านอันฟุ่มเฟือยอยู่สามแถว หวังหลินเลือกหนึ่งหลัง
ทั้งหลังมีทุกสิ่งทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้สำหรับเขา หวังหลินนั่งลงในห้องและเริ่มครุ่นคิด
ตั้งแต่ที่เข้ามาซูซาคุ หวังหลินสัมผัสอันตรายได้ แม้ว่ามันจะเบาบางมากมันก็ยังคงมีตัวตนอยู่ หวังหลินเข้าใจได้ว่าด้วยเพียงแค่ระดับฝึกฝนของเขา มีหลายคนในซูซาคุที่สามารถสังหารหวังหลินได้ เซียนขั้นแปลงวิญญาณใดก็สามารถสังหารเขาได้
ท่าทีของซูซาคุที่มีต่อเขาคือคนแปลกหน้า มันประหลาดนักที่จะมีใครส่งคนมารับเขา ดูเหมือนอาจารย์ของหิมะขาวจะเข้ามาทักทายเขาในไม่ช้า
หลังจากนั้นชั่วครู่หวังหลินหลับตาลงและเริ่มบ่มเพาะ
ยามพลบค่ำ ห้องมืดสลัวเพราะไม่มีแสงไฟจากข้างใน วันเวลาผ่านไปจนมืดสนิท
ในความมืดหวังหลินสัมผัสความรู้สึกแห่งความโดดเดี่ยว เขามองไปรอบๆในบ้านต่างถิ่น สำนักต่างที่และในแคว้นต่างแดน เขามิอาจสัมผัสใดที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่
หวังหลินถอนหายใจและกำลังจะจุดเทียนทว่าเขาหันกลับมามองประตูและเสียงเคาะเริ่มดังก้องในห้อง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก…