371. มนุษย์
หลังการต่อสู้ของหวังหลินและผีเสื้อสีชาด เซิ่งหนิวได้รับชื่อเสียงมากยิ่งขึ้นและสมบัติที่เขาใช้ต่อสู้ต่างถูกผู้ส่งสาส์นทุกคนเห็น หลังจากนั้นเหล่าผู้ส่งสาส์นกลับไปตามแคว้นของตน ข่าวก็กระจายออก
ไม่ว่าจะเป็นธงกฎเกณฑ์ กระบี่สวรรค์หรือราชรถสังหารเทพ ของเหล่านี้ต่างกลายเป็นที่พูดถึงมากที่สุดในเหล่าเซียน
เซิ่งหนิวกลายเป็นชื่อคนที่เป็นอันดับหนึ่งใต้เหล่าเซียนต่ำกว่าขั้นแปลงวิญญาณบนดาวเคราะห์ซูซาคุแห่งนี้
ในเวลาเดียวกันภูเขาซูซาคุได้ส่งข่าวสารว่าผีเสื้อสีชาดกำลังปิดด่านฝึกตนเพื่อทะลวงผ่านระดับขั้นแปลงวิญญาณ ไม่มีใครสงสัยคำถามนี้เลย นอกจากนั้นการที่ผีเสื้อแดงมีความก้าวหน้าระหว่างการต่อสู้หลังจากนั้นจึงปิดด่านฝึกตนถือเป็นเรื่องธรรมดา
อย่างไรก็ตามกาลเวลาค่อยๆผ่านไป เหล่าผู้คนพบว่าเซิ่งหนิวกำลังหายตัวไป
ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ไหน พวกเขารู้แค่เพียงว่าเซิ่งหนิวหายตัวไปโดยไร้ร่องรอยตอนที่กำลังเข้าไปภูเขาซูซาคุเพื่อรับคำสั่ง
เรื่องนี้ทำให้เกิดพายุขนาดใหญ่ ผู้เฒ่าซึ่งถือครองฉายาแห่งซูซาคุออกมาจากการปิดด่านฝึกตนและมองออกไปทิศเหนือ
สามวันก่อนมีคลื่นสั่นสะเทือนที่บรรจุพลังปราณสวรรค์ไว้ออกมาจากที่แห่งนั้นซึ่งหมายความว่าเซียนขั้นแปลงวิญญาณใช้พลังปราณสวรรค์ต่อสู้กัน
นอกจากนั้นแล้วเขายังรู้สึกถึงพลังแห่งสายเลือดของเผ่ามารยักษ์
แม้ว่าระดับฝึกฝนของซูซาคุจะแข็งแกร่ง เขาไม่ใช่เทพเจ้าที่รู้ไปเสียทุกอย่าง ซูซาคุกว้างใหญ่ไพศาลและซับซ้อน ดังนั้นเมื่อค้นหาอย่างถี่ถ้วนเขาจึงพบว่าเรื่องเซิ่งหนิวถูกเริ่มมาจากเฉว่ยี่และสำนักมารยักษ์เข้าร่วมมือ
ทว่าเขาไม่สามารถระบุตัวตนของเซียนขั้นแปลงวิญญาณอีกคนได้
นอกจากนี้ตอนที่เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกไปแต่สัมผัสตำแหน่งหวังหลินอย่างเลือนรางเท่านั้น เขาไม่สามารถหาตำแหน่งที่แน่นอนได้ซึ่งทำให้ประหลาดใจยิ่ง
เขาตัดสินว่าวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินต้องแตกสลายเนื่องจากอาการบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเป็นเหตุที่เขาไม่สามารถหาตำแหน่งที่แน่นอนของหวังหลินได้
อย่างไรก็ตามในสายตาเขา หวังหลินเป็นเพียงเตาเพิ่มระดับฝึกตนให้หลิวเหมยเท่านั้น เขาสำคัญแต่ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
“หลิวเหมยจงไปเหนือสุดของทวีปซูซาคุ หวังหลินอยู่ที่นั่น…” หลังทิ้งข้อความไว้ให้หลิวเหมย ผู้เฒ่ากลับเข้าไปปิดด่านฝึกตนต่อ
การกระทำของเฉว่ยี่เป็นการต่อต้านคำสั่งของเขา ถือว่าเป็นอันตรายในอนาคต
ร่างหลิวเหมยลอยตัวลงจากภูเขาซูซาคุและเปลี่ยนเป็นลำแสงเหาะเหินไปทางทิศเหนือของทวีป
ในตอนนี้บนหน้าผาหนึ่งบนภูเขาซูซาคุ มีหญิงสาวผู้หนึ่งสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงยืนอยู่ สายตาของนางว่างเปล่าและไม่มีสัญญาณแห่งชีวิต
ดอกไม้สีแดงเรืองแสงใกล้ฝ่าเท้านาง เมื่อสายลมพัดผ่าน ดอกไม้สั่นไหวราวกับจะปลิวออกไปแต่มันยังคงเติบโตขึ้น
ร่างเฉียนเฟิงปรากฎเบื้องหลังนาง เขาพลิกนิ้วและดอกไม้ใต้ฝ่าเท้าหญิงสาวเปลี่ยนไปเป็นฝุ่นผง
“ไร้หัวใจ ข้ารู้ว่าเจ้มีวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่ง แต่เมื่อมีข้าควบคมอยู่จะไม่มีซื่อฉินคนที่สอง!” ฝ่ามือขวาของเฉียนเฟิงสัมผัสใบหน้าหญิงสาวผ้าคลุมหน้าและเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางทิศเหนือของทวีปซูซาคุ ชายหนุ่มนั่งอยู่บนก้อนหินหนึ่งทางเข้าหมู่บ้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลน่าตกใจทำให้เขาดูน่าเกลียดน่ากลัวและสายตาสลัว
เขามองออกไปไกล แววตามิอาจเพ่งสิ่งใดได้เลย มีเพียงความเศร้าและความสับสน
ชาวบ้านผ่านไปมา ทั้งหมดมองเขาด้วยความรังเกียจก่อนจะอ้อมเขาไป
สีหน้าชายหนุ่มไม่เปลี่ยนไปเลยเมื่อคนอื่นๆผ่านไป เขาเพียงจ้องออกไปไกล
หลังจากนั้นไม่นานนักหญิงสาวสวมเสื้อและกางเกงลายดอกได้ผ่านมา เบื้องหลังนางเป็นสุนัขขนาดเท่าลูกวัว
หญิงสาวดูราวกับอายุสิบสี่สิบห้าปี ใบหน้าขาวสะอาดและดวงตากลมโต
นางหยุดห่างจากชายหนุ่มและตะโกน “เจ้าใบ้น่าเกลียด พ่อข้าบอกให้ข้ามาเรียกเจ้ากลับไปทานอาหารเย็น”
ชายหนุ่มหันกลับมามองหญิงสาวและยืนขึ้น แข้งขาชาเล็กน้อยอาจเป็นเพราะนั่งอยู่ที่นี่เป็นเวลานานทำให้หญิงสาวหัวเราะ
“เจ้าใบ้รีบเข้า ข้าหิวแล้ว” นางหันกลับและเดินเข้าไปในหมู่บ้าน สุนัขเบื้องหน้านางราวกับเป็นตัวนำทางให้
ชายหนุ่มติดตามหญิงสาวไปอย่างช้าๆ ขณะที่เขามองหมู่บ้าน ความเศร้าโศกในแววตายิ่งลึกขึ้น
ในบ้านหลังหนึ่งใกล้ทางเข้าหมู่บ้านมีชายวัยกลางคนนั่งรออยู่ เขาสวมเสื้อสีฟ้าหม่นที่ซักไปหลายครั้งจนมันเปลี่ยนเป็นสีขาว
มีสมุนไพรวางอยู่บนพื้น เมื่อสายลมพัดผ่านกลิ่นหอมของสมุนไพรจึงกระจายออกมา
หญิงสาวเด้งตัวเข้ามาในห้องนั่งลงถัดจากชายผู้นั้นและเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ ข้าเรียกเจ้าใบ้กลับมาแล้ว”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขามองเด็กสาวและตะโกน “ทำตัวดีดี! เรียกเขาว่าท่านลุง!”
นางแลบลิ้นและไม่ได้พูดอะไร พลันเดินเข้าบ้านและช่วยแม่จัดโต๊ะแทน
ชายยืนขึ้นและมองไปที่ชายหนุ่ม เขาเอ่ยขึ้นมา “น้องชายอย่าถือสานางเลย เอ๋อยี่เป็นเช่นนี้เสมอ เข้ามาเถอะให้ข้าดูว่าท่านจะฟื้นฟูอาการได้มากแค่ไหน”
ชายหนุ่มพยักหน้าและนั่งลงถัดจากเขา จากนั้นยืดแขนอันเรียวเล็กออก มันดูเหมือนหนังหุ้มกระดูกมากกว่า
ชายกดมือลงบนแขน หลังจากนั้นยิ้มออกมาและเอ่ยขึ้น “น้องชายอาการดีขึ้นมาก ข้าจะให้โอสถท่านมากขึ้นและท่านจะต้องดูแลร่างกายให้ดี”
ชายหนุ่มครุ่นคิดและพยักหน้า
ชายวัยกลางคนเห็นชายหนุ่มเป็นเช่นนี้และถอนหายใจ เขาเจอคนผู้นี้เมื่อหนึ่งเดือนก่อนตอนที่เข้าหาเพื่อรวบรวมท่อนไม้ ชายหนุ่มอยู่ปากเหวแห่งความตาย เขาซึ่งเป็นหมอจึงตัดสินใจพาเขากลับมาและช่วยรักษา
อาการบาดเจ็บของเขาถือว่าร้ายแรง แม้กระทั่งอวัยวะภายในยังหลุดมาข้างนอกและได้รับบาดเจ็บ ชายวัยกลางคนไม่มั่นใจในการรักษาชายหนุ่มเลย เขาวางมันไว้กับโชคชะตาเท่านั้น ทว่าร่างกายเขาประหลาดอย่างยิ่ง หลังผ่านไปสิบวันร่างกายก็เริ่มดีขึ้นและชายหนุ่มก็รู้สึกตัว
ทว่าหลังจากเขาตื่น ชายวัยกลางคนพบว่าเด็กหนุ่มไม่สามารถพูดได้
ณ ตอนนี้หญิงสาวเดินออกมาจากบ้านและเด็กสาวตามนางมาข้างหลัง ทั้งสองถือช้วยชามออกมาวางบนโต๊ะ
เด็กสาวบุ้ยปากและเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ ข้าไม่กินกับเจ้าใบ้ เขาน่าเกลียดมากและข้าไม่อยากกิน”
“เจ้า!” ชายหนุ่มวัยกลางคนจ้องเด็กสาว หญิงสาวรีบเข้ามายืนเบื้องหน้าลูกของนางและวางจานบางส่วนเข้าไปในถาดของนาง “เอ๋อยี่ ไปกินข้างในบ้าน”
เด็กสาวบุ้ยปาก นางกำลังจะจะเอ่ยขึ้นทว่าชายหนุ่มหยิบชามข้าวของเขาด้วยมืออันสั่นเทา เขายืนขึ้นเดินออกไปที่ลานกว้าง นั่งลงบนก้อนหิน จ้องข้าวในชามพร้อมกับครุ่นคิด
ไม่มีใครในโลกแห่งเซียนรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ เขาคือหวังหลิน
คนที่เคยรุ่งโรจน์กลับมาเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดก็เพราะเฉว่ยี่และสำนักมารยักษ์
หวังหลินวางชามข้าวลงบนก้อนหินด้วยแขนสั่นเทา เขายิ้มอย่างขมขื่น หนึ่งเดือนก่อน วิญญาณดั้งเดิมของเขาพังทลายไป
มันพังทลายแต่ไม่ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง มันหลงเหลือแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในร่างกายเขา ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป เศษที่แตกกระจายนั้นค่อยๆสลายไปอย่างช้าๆ
ร่างกายเขาได้รับบาดเจ็บหนักด้วยเช่นกันแต่เนื่องจากความโชคดี พลังปราณที่ปลดปล่อยออกมาตอนที่วิญญาณดั้งเดิมพังทลายได้ซ่อมแซมร่างกายเขา ซึ่งเป็นเหตุที่เขาดีขึ้นกว่าเดิม
ทว่าตอนนี้เขาสูญเสียพลังปราณทั้งหมดและกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีปัญหาแม้กระทั่งการถือถ้วยชาม ตอนนี้แม้กระทั่งคนธรรมดาก็ตบตีให้เขาล้มลงกับพื้นด้วยหมัดเดียวได้แล้ว
สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือการพังทลายของวิญญาณดั้งเดิมส่งผลกระทบต่อร่างหลักของเขาในแคว้นซูด้วย มันหลับลึกและไม่สามารถปลุกให้ตื่นขึ้นได้
นี่เป็นข่าวร้ายมากสำหรับหวังหลิน
หากร่างหลักของเขาไม่ได้หลับลึก เขาคงใช้ร่างหลักมารับร่างอวตารไปแล้วจากนั้นเพียงแค่หาสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังปราณเพื่อบ่มเพาะ แต่ตอนนี้ทั้งหมดกลับอยู่ในหมอกควัน
เขาไม่ได้เป็นใบ้ เพียงแค่ไม่อยากพูด
รอยแผลที่เกิดจากเขตแดนแห่งชาทำให้ใบหน้าเขาน่าเกลียดน่ากลัว ดังนั้นผู้คนจึงไม่เข้าใกล้เขา นอกจากสองคู่รักในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีคนอื่นที่พูดดีกับเขาเลย
เมื่อไม่มีพลังปราณเขาจึงไม่สามารถเปิดกระเป๋าได้ ตอนนี้เขากลายเป็นคนธรรมดาโดยสิ้นเชิง หวังหลินถอนหายใจและกินข้าวในชามทั้งหมด
“ภายในเก้าปี หวานเอ๋อจะเผชิญหน้ากับวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดแห่งสวรรค์อีกครั้ง เก้าปี…” หวังหลินกินข้าวคำสุดท้ายและเผยใบหน้ามุ่งมั่น
ตลอดทั้งเดือนนี้เขาพยายามหาทางฟื้นฟูระดับฝึกตนตลอดเวลา
ตราบใดที่เขตแดนและผนึกถูกทำลาย เขาจะฟื้นฟูระดับฝึกตนได้โดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตามเขาพ่ายแพ้ไปตอนที่พยายามทำลายมัน
กลางดึก หวังหลินนอนในโรงเก็บไม้ในสวนและเผลอหลับช้าๆ ร่างกายเขาในตอนนี้อ่อนแอมาก ความแข็งแรงสักเล็กน้อยยังไม่ค่อยมี
ยามเช้าตรู่ของวันถัดไป ชายวัยกลางคนใส่ตระกร้าไว้บนหลังและเข้าไปในภูเขาเพื่อเก็บรวบรวมสมุนไพร
หวังหลินลืมตาพลันนั่งลงในท่านั่งดอกบัวและฝึกฝนข้างในโรงเก็บไม้อย่างเงียบเชียบ หลังผ่านไปสักพักเขาจึงถอนหายใจ ไม่มีพลังปราณใดในร่างกายดังนั้นมันจึงมิอาจบ่มเพาะได้ มีเพียงอยู่ในสถานที่ที่มีพลังปราณหนาแน่นเท่านั้นขึงจะสามารถบังคับบ่มเพาะให้พลังปราณปรากฎในร่างกายได้
เขาส่ายศีรษะอย่างเจ็บปวดและเดินออกมาจากโรงเก็บไม้ ร่างกายยังคงอ่อนแอ
ขณะนั้นเด็กสาวเดินออกมาจากบ้าน หลังเห็นหวังหลินนางบุ้ยหน้าและเอ่ยขึ้น “เจ้าใบ้น่าเกลียด เจ้าพักที่นี่มาเป็นเดือนแล้วเมื่อไหร่จะออกไป? บ้านข้าไม่ใช่โรงทาน เราจะมีอาหารมากพอให้เจ้ากินได้อย่างไร?”
หญิงสาวเดินออกมาจากบ้านและดุนาง “เอ๋อยี่ กี่ครั้งแล้วที่พ่อเจ้าบอกให้เรียกเขาว่าลุง”
เด็กสาวพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่พึงพอใจและเอ่ยขึ้น “ซิ่วไค่ ตามมา!” สิ้นคำนางเดินตรงไปที่ประตู
สุนัขพุ่งตัวออกไปจากมุมสวนและติดตามหญิงสาวและแกว่งหางไปด้วย
หญิงสาวจ้องสายตากวาดผ่านหวังหลินและเอ่ยเป็นเชิงขอโทษ “เด็กคนนั้นไม่รู้อะไรดีไม่ดี อย่าถือสานางเลย พ่อของนางกำลังเข้าภูเขาไปเพื่อรวบรวมสมุนไพร เขาบอกว่าร่างกายของท่านอ่อนแอมากดังนั้นพักที่นี่ได้ตามที่ท่านต้องการเถิด ท่านค่อยออกไปเมื่อท่านรู้สึกดีขึ้น”
ในพริบตาอีกครึ่งเดือนก็ผ่านไป ในครึ่งเดือนนี้ด้วยการช่วยเหลือของโอสถชายวัยกลางคน ร่างหวังหลินจึงฟื้นฟูความแข็งแกร่งมาได้เล็กน้อย กลางดึกคืนหนึ่งหวังหลินเดินออกมาจากโรงเก็บไม้ เขามองบ้านที่ชายวัยกลางคนอาศัยอยู่และจดจำไว้ในใจก่อนจะเดินออกไปจากสวน
ถึงเวลาที่เขาจะไปแล้ว!