Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 397

Cover Renegade Immortal 1

397. เผ่ามารยักษ์

ดวงวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินปลดปล่อยแสงสีทอง แสงสีทองนี้ออกมาจากการกระตุ้นวิชาผนึกวิญญาณ เหล่าวิญญาณสิบสองดวงคือเซียนขั้นแปลงวิญญาณของสำนักหลอมวิญญาณซึ่งยินยอมนำวิญญาณของตัวเองให้ผนึกภายในธงวิญญาณนี้

การมีดวงวิญญาณของเซียนขั้นแปลงวิญญาณอยู่ในนี้ พลังอำนาจของธงวิญญาณจึงเพียงพอให้สั่นสะเทือนสวรรค์ได้แล้ว

นอกจากดวงวิญญาณของเซียนขั้นแปลงวิญญาณทั้งสิบสองตน ยังมีวิญญาณของขั้นตัดวิญญาณมากกว่าร้อยดวงและขั้นวิญญาณแรกกำเนิดนับไม่ถ้วน

ขณะที่วิญญาณขั้นแปลงวิญญาณทั้งสิบสองดวงโค้งคำนับ เหล่าดวงวิญญาณอื่นๆทั้งหมดในธงกลับเงียบเสียงลง พลังวิญญาณออกมาจากดวงวิญญาณทั้งหมดจนเกิดเป็นควันสีดำและรวบรวมเบื้องหน้าวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลิน

เส้นใยควันสีดำรวมตัวกันมาจากทุกทิศทุกทาง แม้กระทั่งวิญญาณของเซียนขั้นแปลงวิญญาณทั้งสิบสองดวงยังเปลี่ยนไปเป็นเส้นใยควันสีดำ ควันทั้งหมดรวมตัวกันเกิดเป็นธงสูงสามสิบฟุตด้านหน้าวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลิน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่หวังหลินเห็นอยู่ในธงวิญญาณ ธงที่ปรากฎด้านหน้าเขาคือจิตใจของธงวิญญาณ หากเขาสามารถควบคุมสิ่งนี้ได้เขาก็สามารถควบคุมธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงได้อย่างแท้จริง

วิญญาณดั้งเดิมหวังหลินยื่นมือออกไปคว้าผืนธง ทันใดนั้นเขารู้สึกร่างกายสั่นเทาและจากนั้นวิญญาณดั้งเดิมกลับเข้าสู่ร่างกาย

ณ บนยอดเขาหลอมวิญญาณ​หวังหลินลืมตาขึ้นไม่มีสิ่งใดอยู่เบื้องหน้าแต่กลับสัมผัสธงสีทองม่วงอยู่ภายในวิญญาณดั้งเดิมของตัวเองได้

“บรรพชนเผ่ามารยักษ์ นี่เป็นหายนะของเจ้าที่ยากจะหนีรอด!” ดวงตาส่องสว่างและหายไปจากสำนักหลอมวิญญาณ

หลังจากหวังหลินออกไป เสียงถอนหายใจดังออกมาจากวงแหวนโลหิตจุดที่ตุ้นเทียนกำลังปิดด่านฝึกตน

หวังหลินปรากฎตัวที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณอย่างรวดเร็ว เปิดมันขึ้นและหายตัวไปจากแคว้นพิลู

เผ่ามารยักษ์

อาณาเขตของเผ่ามารยักษ์นับว่ากว้างใหญ่ ตอนที่พวกเขาย้ายมาจากดาวเคราะห์อื่นได้ทำข้อตกลงกับคนที่เป็นอันดับหนึ่งซูซาคุในเวลานั้นและถูกยกแผ่นดินนี้ให้เจริญรุ่งเรือง

ในเผ่ามารยักษ์มีปราสาทสิบสองแห่ง ทั้งหมดดูเหมือนกันและมีขนาดใหญ่มาก

เมื่อสองปีก่อนบรรชนสูญเสียร่างกายและครอบครองร่างคนอื่น ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้

หลังจากนั้นระหว่างการครอบครองร่างใหม่จะอ่อนแออย่างมากซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านบรรพชนถึงเปลี่ยนตำแหน่งปิดด่านฝึกตนถึงสามครั้ง

วันนี้ฉีฮู่นั่งอยู่ในปราสาทหลังที่สามพร้อมกับหินหยกก้อนหนึ่งในมือ ใบหน้าซีดเผือดและเต็มไปด้วยความสับสน

“เซิ่งหนิวสังหารหลี่หยวนเฟิงแห่งเฉว่ยี่ หากด้วยความเข้าใจของข้า เป้าหมายต่อไปของเขาจะเป็นท่านบรรพชน…หากเขามาที่นี่นั่นหมายความว่าเขามั่นใจ….ข้าควรจะทำสิ่งใด….”

“แม้บรรพชนเป็นคนผิด เขาหวังดีต่อเผ่ามารยักษ์ ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปก็เพื่ออนาคตต่อเผ่ามารยักษ์”

“แต่เซิ่งหนิวนับว่าเป็นสหายข้าโดยแท้…อ้ากกก!”

ฉีฮู่ส่ายศีรษะอย่างเจ็บปวด ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสน

หวังหลินปรากฎตัวที่ชายแดนของเผ่ามารยักษ์ เขาไม่รีบเร่งเข้าสำนักไปแต่สร้างถ้ำขึ้นที่ชายแดนและใช้วัตถุดิบหลายอย่างในกระเป๋าเพื่อสร้างค่ายกลแทน

เป้าหมายของค่ายกลนี้คือการสร้างเครื่องนำทางเท่านั้น

นี่คือสิ่งที่หวังหลินใช้ต่อกรกับพลังสายเลือดของบรรพชนเผ่ามารยักษ์ แม้เขาจะเคลื่อนที่เข้าไปในมิติอื่น เขาจะใช้ค่ายกลนี้เป็นเครื่องนำทางให้กลับมาและไม่หลงทางในมิตินั้น

มันเป็นเหมือนแนบเชือกไว้กับตัวเอง แม้เขาจะถูกดูดออกไป เขาจะไม่ไปไกลนักและสามารถหาทางกลับมาได้

นี่คือค่ายกลที่ตุ้นเที่ยนทิ้งไว้ให้ หวังหลินเรียนรู้มันและใส่การเปลี่ยนแปลงบางอย่างเข้าไปทำให้มันซับซ้อนมากกว่าเดิม

หวังหลินใช้เวลาสามเดือนเพื่อตั้งค่ายกลนี้และกระทั่งจะวางหินหยกสวรรค์เป็นต้นตอพลังงานพร้อมกับวางค่ายกลนับไม่ถ้วนรอบพื้นที่เพื่อป้องกันเอาไว้อีกชั้น

หลังทำเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จสิ้น หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมองไปทางเผ่ามารยักษ์ ดวงตาเย็นชาและหายตัวไป

เมื่อปรากฎตัวอีกครั้งเขาก็อยู่ใจกลางเผ่ามารยักษ์แล้ว

หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณและปกคลุมทั้งแคว้นในทันที

“บรรพชนเผ่ามารยักษ์ ออกมาตอนนี้ซะ!” หวังหลินส่งข้อความกระจายผ่านสัมผัสวิญญาณและส่งไปถึงสมาชิกของเผ่ามารยักษ์นับไม่ถ้วน

บางส่วนอยู่ในระหว่างการบ่มเพาะไม่ก็จับคู่แต่เมื่อได้ยินเสียงนี้พลันหยุดเรื่องที่กำลังทำและมองมาทางหวังหลิน

ฉีฮู่ถอนหายใจและหายตัวออกมาจากปราสาท

หลังจากหวังหลินส่งข้อความออกไป เขายืนอยู่ตรงนี้อย่างใจเย็น

พริบตาเดียวลำแสงนับไม่ถ้วนออกมาจากทุกทิศทางและหยุดลงห่างจากเขาไปหนึ่งพันเมิตร มีทั้งบุรุษและสตรี คนหนุ่มคนแก่ ทั้งหมดจ้องหวังหลินด้วยใบหน้ามืดมน

นอกจากคนเหล่านี้ยังมีสิ่งที่บินเหนือฟ้านับไม่ถ้วน

ชายชราผู้หนึ่งปรากฎตัวจากอากาศและคนในเผ่าทั้งหมดหลีกทางให้

ชายชราหยุดลงเบื้องหน้าหวังหลิน เขาขมวดคิ้วและตะโกนถาม “เจ้าเป็นใคร?”

หวังหลินจับจ้องมองราวกับสายฟ้าไปที่เขา “เซิ่งหนิว!“

เมื่อคำสองคำเอ่ยออกมา รอบด้านพลังเงียบเสียง คนแทบทั้งหมดในเผ่ามารยักษ์เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“เซิ่งหนิว มันเป็นคนที่ชนะการต่อสู้กับผีเสื้อสีชาด!”

“เขาคือเซิ่งหนิวที่สังหารหลี่หยวนเฟิงทำให้เฉว่ยี่กลายเป็นแคว้นระดับสามและผนึกเซียนขั้นตัดวิญญาณทั้งหมดไป”

“หมายเลขหนึ่งที่อยู่ใต้ขั้นแปลงวิญญาณ!”

“มีข่าวลือว่าเขาบรรลุขั้นแปลงวิญญาณแล้วไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่เขาสามารถสังหารหลี่หยวนเฟิงลงได้”

แม้กระทั่งชายชราที่พึ่งถามออกไปยังต้องสูดหายใจลึก เขามองเซิ่งหนิวและถามช้าๆ “สหายเซียนเซิ่งหนิว เจ้ามาหาบรรพชนของเผ่าข้าเพื่อสิ่งใด”

หวังหลินเอ่ยตอบด้วยสายตาเยือกเย็น “ฆ่า!”

ใบหน้าชายชราไม่ชอบใจ เขาหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยวพลางชี้ไปที่หวังหลิน “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าหยิ่งยโสโอหัง ตอนนี้ข้าได้พบกับเจ้าจึงเห็นว่าเจ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ! เซิ่งหนิว เผ่ามารยักษ์ของข้าไม่ใช่เฉว่ยี่ เราจะปล่อยให้เจ้าสังหารตามที่ต้องการได้อย่างไร? วันนี้แม้จะไม่จำเป็นต้องให้ท่านบรรพชนออกมา เผ่ามารยักษ์ของข้าจะสังหารเจ้าเอง!” เช่นนั้นชายชราตบกระเป๋าและป้ายสิทธิ์สีดำปรากฎ เขาถือมันขึ้นมาและร้องตะโกน “ข้าขอให้สถานะที่เป็นผู้อาวุโสของเผ่ามารยักษ์มีคำสั่งให้คนในเผ่าทุกตนใช้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสังหารเซิ่งหนิว!”

ขณะที่เอ่ยเช่นนี้ ป้ายสิทธิ์เปลี่ยนไปเป็นฝุ่นผงและพลังลึกลับกระจายไปทั้งเผ่ามารยักษ์อย่างรวดเร็ว

คนในเผ่าทุกคนรู้สึกถึงข้อความจากพลังลึกลับได้

ขณะที่คำสั่งถูกส่งออกไป คนในเผ่ามากกว่าร้อยคนรอบหวังหลินต่างร้องคำรามและร่างกายขยายขนาดขึ้นไปหลายเท่าตัว พวกเขาเปลี่ยนไปเป็นยักษ์สูงหลายสิบฟุตในพริบตา ทั้งหมดสัมผัสหน้าผากตัวเองและขวานสงครามปรากฎในฝ่ามือ

กลิ่นอายที่รั่วไหลออกมาสั่นสะเทือนฟ้าดิน!

“ฆ่า!” ชายชราร้องคำราม เสียงรอยร้าวดังออกมาจากทั้งร่างกาย เขาแปรเปลี่ยนเป็นยักษ์สูงหนึ่งร้อยฟุตและกวัดแกว่งขวานที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วงเข้าใส่บนหวังหลิน

“ฆ่า!!!” คนในเผ่าที่อยู่รายล้อมต่างส่งเสียงคำรามพร้อมกับพุ่งตัวใส่หวังหลิน เสียงคำรามแต่ละคนรวมเข้ากลายเป็นคลื่นเสียงพุ่งออกมา

เผ่ามารยักษ์แตกต่างจากสำนักอื่นๆ เมื่อเป็นศัตรูคือถูกผู้อาวุโสระบุตัวตน พวกเขาไม่เคยสู้เพื่อตัวเองแต่โจมตีเพื่อพวกพ้อง

ทั้งยังไม่ต้องพูดคุยกันอีกต่อไป “ฆ่า” เป็นเพียงคำเดียวที่พวกเขาเอ่ยออกมา

เซียนทั่วไปคงกลัวตายเมื่อเหล่ายักษ์พุ่งปะทะมาเช่นนี้ แม้ใบหน้าแต่ละคนจะเยือกเย็นแต่จิตใจพวกเขายังคงสั่นเทา

เสียงคำรามบรรจุเจตนาสังหารสั่นสะเทือนสวรรค์ราวกับอสูรต้นกำเนิด แต่เมื่อเปรียบกับหวังหลินแล้วมันยังไม่เพียงพอ

เจตนาสังหารของหวังหลินนับว่าน่ากลัวอย่างมาก เขาอยู่รอดมาเกือบทั้งชีวิตด้วยการสังหารและยังมีร่างหลักโดยเฉพาะ

ร่างอวตารรวมเข้ากับร่างหลัก ดังนั้นจิตสังหารจากร่างหลักจึงอยู่ที่นี่ หวังหลินดวงตาเย็นชาพร้อมกับจิตสังหารในร่างกายระเบิดออกมา

“จงบอกข้ามาว่าบรรพชนเผ่ามารยักษ์ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ไม่งั้นก็ตาย!”

นอกจากฉีฮู่ หวังหลินไม่มีเจตนาดีต่อเผ่ามารยักษ์ที่เหลือ เพราะว่าเขาไม่สามารถค้นหาได้ว่าบรรพชนเผ่ามารยักษ์อยู่ที่ไหนตอนที่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาจึงใจร้อน

ขณะที่เอ่ยคำพูด หวังหลินไม่ได้มองพวกคนที่พุ่งเข้ามาแต่กลับกระตุ้นเขตแดนของตัวเองแทน ท้องฟ้าเหนือเผ่ามารยักษ์มืดลงในทันที

พลังลึกลับล้อมรอบฟ้าดิน ม้วนคัมภีร์แห่งชีวิตและความตายปรากฎในท้องฟ้าพร้อมกับร่างของเทพโบราณ

เทพโบราณในท้องฟ้าถือคัมภีร์แห่งชีวิตและความตาย

หวังหลินเผยใบหน้าเหี้ยมโหด “ผนึก!”

เส้นสายควันสีเทานับไม่ถ้วนออกมาจากคัมภีร์และร่อนลงบนร่างคนของเผ่ามารยักษ์ที่กำลังพุ่งเข้าหาหวังหลิน

ใบหน้าชายชราเปลี่ยนไปอย่างมาก เขากัดฟันแน่นและกวัดแกว่งขวานลงมา หวังหลินชำเลืองมองเขาและเอ่ยเบาๆ “ไปซะ!”

พลังอำนาจเพียงแค่หนึ่งคำพูดเดียว ร่างชายชราสั่นสะท้านและวิญญาณดั้งเดิมไม่เสถียร ทว่าเขาร้องคำรามและใช้วิธีการบางอย่างเพื่อฟื้นฟูและสับขวานลงมาต่อ

น่าประหลาดใจ หวังหลินรีบโยนกำปั้นออกไป

ปัง!

ชายชรากระอักโลหิตและถูกถอยร่นกลับไปหลายฟุตก่อนจะชนกับคนอื่นๆในเผ่า เหล่าคนพวกนั้นต่างกระอักโลหิตออกมาและถอยหลังรวมเข้าด้วยกันออกไปมากกว่าหนึ่งร้อยฟุตก่อนจะหยุดลง

เส้นสายสีเทาสองเส้นไปถึงทั้งสองคนและเข้าไปในร่าง

“เซิ่งหนิว หยุด!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดดังออกมา

หวังหลินเงยศีรษะขึ้นและลดความเย็นชาลงจากใบหน้า

“ฉีฮู่”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version