Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 476

Cover Renegade Immortal 1

476. เดินทางคนเดียว

หลังออกมาจากร้านค้า หวังหลินส่งหินวิญญาณระดับสูงสิบก้อนให้ลี่ต้านหนานและออกจากเมืองหมิงเม่ย

ร้านค้าตระกูลฉางมีหมึกหิมะจริงๆแต่ราคาของมันเจ็บแค้นไปนิด หวังหลินคาดคำนวณด้วยหินวิญญาณทั้งหมดที่เขามีสามารถซื้อได้เพียงสองถึงสามหยดเท่านั้น

ราคาเช่นนี้เกินกว่าที่หวังหลินคาดการณ์ไปมากมาย

เขาไม่คิดว่าหมึกหิมะเป็นวัตถุดิบระดับชั้นยอดในโลกแห่งเซียน

เหล่าเทพโบราณสามารถเดินทางจากดาวดวงหนึ่งไปอีกดาวเพื่อเสาะหาหมึกหิมะจนดูง่ายมาก แต่สำหรับเหล่าเซียนถือว่าขาดแคลนอย่างยิ่ง จากสิ่งที่เขาได้ยินจากสตรีคนนั้น นางกล่าวว่าหมึกหิมะเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงวิญญาณได้อย่างดีเยี่ยม หากมีไม่กี่หยดระหว่างกระบวนการครอบงำร่างกายเมื่อนั้นความเร็วการเข้าครองร่างจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

หากมีไว้ในปากตอนที่วิญญาณดั้งเดิมออกจากร่าง เมื่อนั้นมันจะป้องกันไม่ให้วิญญาณดั้งเดิมถูกทำลายหรือกระทั่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งอย่างน้อยก็สามารถกลับเข้าร่างกายได้

ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นจากนั้นเขาพบหน้าผาแห่งหนึ่งนอกเมืองหมิงเม่ยและนั่งลงในท่านั่งดอกบัว สัมผัสวิญญาณกระจายออกมาและค่อยๆเรียกหาซือถูหนาน

หลังจากนั้นไม่นานซือถูหนานก็ตอบสนอง

หวังหลินส่งข้อความออกไป “เมืองหมิงเม่ย ร้านค้าตระกูลฉาง ข้าต้องการหมึกหิมะ!”

ซือถูหนานเริ่มหัวเราะและตัดการสื่อสาร

บนดาวแห่งนี้มีทั้งหมดเก้าหัวเมือง ในเวลาสามวันพลันเกิดข่าวคราวสั่นสะเทือนไปทั้งสรวงสวรรค์

เมืองฟ้าดินถูกปล้น! คนผู้นี้รู้ที่ทางและนำสมบัติระดับสูงไปจนหมด ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าสมบัติหลักๆและแม้กระทั่งร้านค้าใต้ดินยังถูกปล้น

แม้กระทั่งคฤหาสน์เจ้าเมืองยังถูกปล้นไปด้วย!

คงจะดีหากมันเพียงแค่เมืองเดียว แต่สามวันถัดไป เก้าเมืองทั้งหมดรวมถึงหมิงเม่ยต่างถูกคนลึกลับผู้นี้ปล้นไปด้วย

ระดับของคนผู้นี้แข็งแกร่งอย่างมาก แม้จะถูกเซียนหลายคนรุมโจมตีก็ไม่มีปัญหาอันใด

ท้ายที่สุดเหล่าเซียนขั้นเทวะทั้งห้าคนจากเก้าเมืองร่วมสังหารคนลึกลับคนนี้ด้วยกัน การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ทุกคนตื่นตะลึง

แต่กระนั้นเซียนขั้นเทวะห้าคนทั้งหมดกลับถูกบังคับให้ล่าถอย

และคนลึกลับผู้นี้ก็จากไป

พลังเช่นนี้มีเพียงคนที่อยู่ในขั้นหยินลวงตา หยางรูปธรรมและทลายสวรรค์ในตำนานเท่านั้น! เป็นผลให้เขาเคลื่อนที่ราวกับฝูงตั๊กแตน ไม่มีใครกล้าตอแยหรือขวางทางเขา

หวังหลินนั่งอยู่บนหน้าผาสามวันมองมาที่เมืองหมิงเม่ย ในคืนวันที่สาม หวังหลินเผยรอยยิ้มบางพร้อมกับนำหมวกฟางออกมาสวมเข้าศีรษะ

ห่างออกไปไกล ร่างหนึ่งลอยขึ้นมาปานสายฟ้าและเบื้องหลังเป็นหมู่เซียนนับไม่ถ้วนปกคลุมท้องฟ้าไล่ตามเขาอย่างกระชั้นชิด

ท่ามกลางผู้คนที่กำลังไล่ล่า มีอยู่แปดคนที่รวดเร็วมาก พวกเขานำหน้าคนอื่นๆและไล่ตามอย่างต่อเนื่อง

ซือถูหนานหัวเราะอย่างเย่อหยิ่ง “ฮ่าฮ่าเจ้าพวกเด็กน้อย ทำไมเจ้ามาไล่ล่าข้ากัน? ข้าไม่ใช่สตรี! มาก่อกวนข้าหละก็ข้าจะไปขโมยพวกเจ้าทั้งหมดอีกครั้งเลย!”

จังหวะที่ซือถูหนานผ่านหน้าผาที่หวังหลินอยู่ เขาก็ยื่นมือออกไปใช้พลังรุนแรงสายหนึ่งคว้าหวังหลินและพาหวังหลินเคลื่อนไปราวกับสายฟ้าข้างๆซือถูหนาน

ซือถูหนานสัมผัสกระเป๋าและหัวเราะร่า “การเก็บเกี่ยวครั้งนี้ดียิ่ง ไปกันเถอะ!” เช่นนั้นเขารีบเหาะเหินออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับหวังหลิน

“หยุดซะ เจ้าโจรชั่ว!” คลื่นเสียงคำรามโกรธแค้งออกมาจากเบื้องหลังซือถูหนาน

“เว้นแต่ว่าสมองข้าจะบาดเจ็บ ทำไมข้าต้องเชื่อฟังสิ่งที่เจ้าต้องการด้วยเล่า? ถึงอย่างนั้นข้าจะให้พวกเจ้าเรียนรู้อีกครั้ง ดังนั้นจงอย่าไล่ตามมา เจ้าพวกเด็กน้อย!” ซือถูหนานหัวเราะเสียงดังขณะเคลื่อนไหวไปพร้อมกบหวังหลิน พวกเขาทะลวงผ่านชั้นบรรยากาศและเปลี่ยนไปเป็นลำแสงสองเส้นในอวกาศอันมืดมิด

“ร้านค้าบนดาวแลกเปลี่ยนที่นี่มีเบื้องหลังล้ำลึกมาก หากพวกเขาส่งคนเก่งๆมาแม้แต่ข้าก็ต่อสู้ด้วยยากนัก ข้าขโมยจากพวกมันมารวดเร็วจนไม่มีเวลาร้องขอความช่วยเหลือ เย่หวู่โยวและข้าทำเช่นนี้มานักต่อนักในอดีต!” ซือถูหนานรู้สึกภูมิใจอย่างมาก หลังจากพวกเขาเข้าไปในอวกาศ หวังหลินนำเข็มทิศดวงดาวออกมาและทั้งสองคนจากไปอย่างรวดเร็ว

เหล่าเซียนของดาวแลกเปลี่ยนไล่ตามอยู่ชั่วขณะและจึงล้มเลิกไป นอกจากนั้นแล้วมีคนไม่มากนักที่มีเข็มทิศดวงดาวและระดับบ่มเพาะของซือถูหนานแข็งแกร่งเกินไป แม้พวกเขาจะอดทนไล่ตามไปก็คงเอาชีวิตไปทิ้งอยู่ดี

“ท่านได้น้ำหมึกหิมะของข้าไหม?” หวังหลินเลียริมฝีปาก แม้เขาไม่ได้เข้าร่วมทว่าหมึกหิมะเป็นสิ่งที่เขาร้องขอดังนั้นหวังหลินจึงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย

ซือถูหนานหัวเราะและนำขวดเล็กๆออกมา เขาโยนมันให้หวังหลินและกล่าวขึ้น “สำหรับเจ้าแล้วมีราวๆสองถึงสามหยดในขวดนี้”

หลังจากโยนขวดไปให้ ซือถูหนานก็เริ่มตรวจสอบสินสงคราม ขณะที่ตรวจสอบพวกมันเขาก็เผยรอยยิ้มภูมิใจไปด้วย

“ฮ่าฮ่า ไม่เลว การเก็บเกี่ยวครั้งนี้ดีกว่าเมื่อก่อนหลายเท่านัก”

เมื่อหวังหลินรับกระเป๋าและตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ ดวงตาพลันส่องสว่างขึ้น

หวังหลินลอบตัดสินใจบางอย่างในใจ “การขโมยแบบนี้ไม่เลวนัก หากข้ามีโอกาสในอนาคต ข้าต้องขโมยแบบนี้บ้าง”

อวกาศข้างนอกไม่ได้มืดมิดไปเสียหมด บางครั้งก็มีแสงหลากสีและสิ่งของออกมาจากความว่างเปล่า ความน่ารักของมันทำให้จิตใจผู้คนส่วนใหญ่สั่นเทาเพียงแค่มองดู

ครึ่งเดือนต่อมา กลุ่มมวลก๊าซขนาดใหญ่คล้ายแมงกระพรุนปรากฎด้านหน้าหวังหลิน ซือถูหนานมองไปที่ก๊าซนั้นและถอนหายใจ “ข้าต้องจากไปตอนนี้แล้ว…”

หวังหลินขบคิดเล็กน้อยจากนั้นมองกลุ่มก๊าซสุกสกาวอย่างเงียบเชียบและถามขึ้น “ท่านมีสมบัติวิเศษเพียงพอแล้วหรือ?”

ซือถูหนานหัวเราะ “ยังไม่พอหรอก แต่ข้าหาทางและขโมยเอาระหว่างทาง เมื่อข้าไปถึงที่นั่นข้าก็จะมีเพียงพอ” สิ้นคำเขาชี้ไปที่กลุ่มก๊าซและเอ่ยขึ้น “ข้าเคยอยู่ที่นี่มาก่อนกับเย่หวู่โยว มันถึงเวลาที่เราต้องแยกจากกัน ที่ที่ข้าจะไปมันห่างไกลจากดาวเทียนหยุนมากนัก เราจะแยกจากกันและไปตามทางของตนเอง!”

เมื่อซือถูหนานเอ่ย เขาตบกระเป๋าและลำแสงสีขาวเส้นหนึ่งลอยออกมา มันเปลี่ยนเป็นกระบี่เล่มใหญ่ ซือถูหนานกระโดดขึ้นไปบนกระบี่ หันตัวกลับและเอ่ยขึ้น “หวังหลิน ดาวเทียนหยุนเต็มไปด้วยคนแปลกหน้าและเจ้าไม่รู้ที่แห่งนั้นดี โปรดจงระวังตัวด้วย! ทว่าเจ้าจงอย่าลืมความภาคภูมิใจในการเป็นเซียนของดาวซูซาคุ หากเจ้ามีปัญหาอะไรก็จงมาหาข้าที่ดาวเฟิ่งหลวน! เมื่อมีข้าคนนี้อยู่จะไม่มีใครกล้าก่อกวนเจ้า!”

หวังหลินมองไปที่กลุ่มก๊าซ เขายังไม่หันกลับไปมองซือถูหนาน “หากท่านมีปัญหาอะไร มาหาข้าที่ดาวเทียนหยุน เมื่อมีข้าด้วยจะไม่มีใครกล้าแตะต้องท่าน!”

ซือถูหนานหัวเราะ “เยี่ยมมากหวังหลิน หากว่าข้ามีปัญหาในภายภาคหน้า ข้าจะออกไปค้นหาเจ้า แต่ว่าหากพื้นที่ของเจ้าเล็กเกินไปข้าก็ไม่ไปหรอก ไม่ว่าสิ่งใดเจ้าต้องสร้างสำนักขึ้นมาบนดาวเทียนหยุนและข้าจะไปเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสให้เจ้า!”

สิ้นคำนั้น ซือถูหนานสูดหายใจลึกและมองหวังหลินอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับหวังหลินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หวังหลิน ดูแลตัวเองด้วย!” เช่นนั้นกระบี่ใต้ฝ่าเท้าเขาส่องสว่างขึ้นและหายตัวไป หลงเหลือไว้แต่ปลายแสง

“ซือถู ดูแลตัวเองด้วย!” หวังหลินหันศีรษะกลับมาตำแหน่งที่ซือถูหนานหายไป ในอวกาศอันกว้างใหญ่หลงเหลือเพียงเขาที่เฝ้าดูอย่างเงียบเชียบ

หลังผ่านไปนาน หวังหลินถอนหายใจออกมาและรู้สึกเศร้าใจ นับตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้ามาในโลกแห่งเซียน ซือถูก็อยู่กับเขาและเขาเป็นหนี้ซือถูหนานมากมายเหลือเกิน

แม้ว่าซือถูหนานเอาแต่หลับเป็นเวลายาวนาน หวังหลินก็ยังสัมผัสตัวตนของซือถูหนานได้ชัดเจนผ่านลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า

ในสายตาเขา ซือถูหนานไม่แตกต่างไปจากอาจารย์คนหนึ่ง

ครานี้เป็นการจากลาระหว่างพวกเขาจริงๆ ความโศกเศร้าในใจยิ่งรุนแรงนัก

“ข้าสงสัยว่าเราจะเจอกันอีกครั้งในชั่วชีวิตของเรา…” หวังหลินยืนอยู่ตรงนี้เป็นเวลานาน จากนั้นคุกเข่าบนเข็มทิศดวงดาวและโขกคำนับสามครั้งเข้าหาทิศทางที่ซือถูหนานไป

“ข้า หวังหลิน ไม่เคยมีชีวิตเพื่อโค้งคำนับต่อฟ้าดินและไม่เคารพต่อภูติผีหรือเทพเจ้า ข้าโค้งคำนับต่อครอบครัวของข้าและเพื่อแสดงความเคารพต่อซือถู…” หวังหลินมองขึ้นไป หักห้ามความโศกเศร้าในใจและให้เข็มทิศดวงดาวลอยออกไปไกล

ทิศทางของเขาอยู่ตรงข้ามกับซือถูหนานและพวกเขาทั้งคู่เดินทางแยกออกไปไกลขึ้นและห่างกันไกลขึ้น

หลังจากหวังหลินจากไป ลำแสงสีขาวปรากฎขึ้นตำแหน่งที่ทั้งสองคนเคยอยู่ ร่างซือถูหนานปรากฎ เขามองไปที่หวังหลินและถอนหายใจออกมา

“ไม่มีบททดสอบอันโหดร้าย คนผู้นั้นไม่นับว่าเป็นเซียนที่แท้จริง หวังหลิน เหตุผลที่ข้าพาเจ้าเข้าสู่เส้นทางแห่งมารนั่นก็เพราะหนทางแห่งมารร้ายเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดในการมีชีวิตรอด หลังจากเจ้าสร้างร่างอวตาร เจ้าก็เดินออกจากเส้นทางแห่งมารและสร้างเส้นทางของตัวเองขึ้น ข้าไม่สามารถอยู่รอบกายเจ้าได้เพราะข้าเป็นมารร้ายทั้งภายในและภายนอก!”

ซือถูหนานชำเลืองมองตำแหน่งที่หวังหลินจากไปและพึมพำ “สหายน้อย ลาก่อน!” เขาถอนหายใจยาวและหายลับไปเป็นลำแสงกระพริบ…

อวกาศนั้นกว้างใหญ่ไพศาลดังนั้นหากไม่มีแผนที่ดวงดาว พวกเขาจะลงหทางและเป็นไปได้ที่จะสูญชิ้นชีวิต

เทียนหยุนทิ้งแผนที่ดวงดาวที่มีรายละเอียดยิบย่อยมากให้หวังหลินและทำสัญลักษณ์วิธีการไปจากดาวซูซาคุไปถึงเทียนหยุนไว้ด้วย

หวังหลินนั่งอยู่ในท่านั่งดอกบัวบนเข็มทิศดวงดาวและเดินทางไปสู่ดาวเทียนหยุนอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางหวังหลินไม่เว้นว่าง เขาเอาเวลามาหล่อหลอมหินไม้มิติว่างและน้ำหมึกหิมะเพื่อปรับแต่งเข็มทิศดวงดาวด้วยวิชาลับของเทพโบราณ

กระบวนการไม่ได้รวดเร็ว มันจึงกินเวลาตลอดทั้งการเดินทาง

ตอนนี้เข็มทิศดวงดาวปกคลุมไปด้วยแสงสีเขียว ข้างในแสงสีเขียวจะสามารถเห็นกิ่งก้านสาขานับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวและห่อหุ้มล้อมรอบเข็มทิศดวงดาว

มันคือสสารลึกลับที่ปรับแต่งมาจากหินไม้มิติว่าง

กระบวนการนี้กินเวลาสามเดือน!

เวลาสามเดือนเพียงพอให้การรวมกันระหว่างหินไม้มิติว่างและเข็มทิศดวงดาวได้บรรลุการเสร็จสิ้นเล็กๆไปบางส่วน เหล่าเทพโบราณไม่ได้สนใจเรื่องเวลา ดังนั้นเมื่อพวกเขาหลอมสมบัติ โดยปกติจะกินเวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปี

เทพโบราณเก้าดาวคงใช้เวลาหนึ่งพันปีเพื่อหลอมสมบัติสักชิ้น ในหนึ่งพันปีคงผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับพลิกฝ่ามือ

หวังหลินคาดคำนวณและพบว่าด้วยอัตราเท่านี้มันไม่เสร็จแน่นอนแม้เขาจะไปถึงดาวเทียนหยุน ลังจากขบคิดเล็กน้อยเขาตัดสินใจล้มเลิกกระบวนการผสานอันยาวนานนี้และใช้น้ำหมึกหิมะเพื่อเริ่มกระบวนการปรับแต่งสุดท้ายของขั้นความสมบูรณ์เล็กน้อยครั้งนี้

อีกหลายเดือนผ่านไปในพริบตา

ณ วันนี้…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version