483. ดัชนีมาร
ร่างอวตารระเบิด รัศมีบ้าคลั่งกระจายออกมา ฝุ่นหินดินทรายโดยรอบถูกสายลมพัดออกและแม้กระทั่งตำหนักไพรม่วงที่อยู่ใกล้บางส่วนก็พังทลาย
การระเบิดของร่างอวตารทำให้พื้นที่โดยรอบปกคลุมไปด้วยฝุ่น นางรู้สึกว่าพลังรอบๆพื้นที่กำลังลดลงและกำลังหันกลับมาเพื่อหลบหนี
แต่เพียงแค่ขณะนั้นภายในฝุ่นข้างหน้านางพลันปรากฎนิ้วมือมารขึ้น!
สายตาของนางเผยร่องรอยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง
สิ่งที่ตามมาหลังจากนิ้วโป้งคือดวงตาเย็นชาของหวังหลิน เขามองนางราวกับกำลังมองคนตาย
ชั่วขณะหนึ่งลำแสงหลายเส้นลอยออกมาไกลและเสียงคำรามโกรธเกรี้ยงดังออกมาด้วย “หยุดซะ!”
หวังหลินพ่นลมหายใจเย็น เขากำลังรอคนพวกนี้ให้มาถึง ไม่เพียงแต่นิ้วโป้งเขาไม่หยุดแต่มันกลับเคลื่อนไหวเร็วกว่าเดิม มันเร็วกว่าก่อนหลายเท่า นิ้วโป้งกดลงระหว่างคิ้วของสตรีนางนี้
ดวงตาของนางพลันสลัวลงทันที ร่างกายสั่นเทาและเริ่มตกลงจากท้องฟ้า แต่วิญญาณดั้งเดิมของนางถูกขังไว้ด้วยนิ้วมือหวังหลิน
ณ ตอนนี้ฝุ่นควันหายไป หวังหลินยังคงลอยคว้างกลางอากาศ เขาวางนิ้วโป้งถัดจากปากและสูดหายใจหนึ่งครั้งดูดเอาวิญญาณดั้งเดิมของนางเข้าไปในร่างเขาเพื่อผนึกไว้ในธงวิญญาณ
ลำแสงโค้งข้ามผ่านท้องฟ้าและร่างทั้งสี่คนปรากฎขึ้นเบื้องหน้าหวังหลินไปหนึ่งร้อยฟุต
สามคนเป็นบุรุษและอีกหนึ่งเป็นสตรี
ในหมู่บุรุษสามคนนี้หวังหลินจดจำได้สองคน หนึ่งในนั้นคือชายใบหน้าอ่อนโยน จ้าวซิงชา และอีกคนคือป๋ายเวยที่พบเจอในดาวแลกเปลี่ยน
ส่วนบุรุษคนสุดท้าย เขาเป็นชายวัยกลางคน แม้จะดูหน้าตาธรรมดาแต่ความโกรธกริ้วนั้นมหาศาล เขาจ้องหวังหลินและตะโกน “สังหารสมาชิกของสำนักตัวเอง? วันนี้ข้าจะชำระสำนักให้อาจารย์!”
ด้านหลังทั้งสามคนเป็นสตรีผู้หนึ่ง นางสวยงดงามและมีรูปร่างที่มีเสน่ห์อย่างยิ่ง เพียงแค่ยืนอยู่ที่นี่ก็ปลดปล่อยกลิ่นหอมแล้ว นางมองหวังหลินด้วยท่าทีประหลาดและดูเหมือนจะมีที่นี่เพียงแค่เฝ้าดูการแสดงเท่านั้น
ลำแสงหลายเส้นนับไม่ถ้วนมาถึงด้านหลังทั้งสี่คนด้วยเช่นกัน หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและพบว่าพวกเขาเป็นศิษย์ของกองกำลังสีม่วง พวกเขาต้องรู้สึกการต่อสู้ได้และมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกคนเหล่านี้ไม่ได้เข้ามาใกล้แต่หยุดห่างออกไปหนึ่งหมื่นฟุต
ผู้คนเข้ามามากขึ้นและมากขึ้น ในไม่ช้าทั้งท้องฟ้าก็ปกคลุมไปด้วยเหล่าศิษย์ของกองกำลังสีม่วง สายตาทั้งหมดจดจ้องบนตัวหวังหลิน
สายตาเหล่านี้มีท่าทีแตกต่างกันจำนวนมากแต่ส่วนใหญ่จะเป็นสายตาตกใจและตื่นตะลึง
ชายวัยกลางคนที่ร้องตะโกนกำลังขยับไปข้างหน้าแต่ถูกจ้าวซิงชาหยุดไว้ ชายกลางคนมองจ้าวซิงชาและเอ่ยออกมา “นี่หมายความว่าอะไรศิษย์พี่ใหญ่?!”
ใบหน้าจ้าวซิงชากลับเคร่งเครียด เขาไม่ได้ให้ความสนใจต่อชายวัยกลางคนแต่มองหวังหลินด้วยสายตาหมองหม่น พลันเอ่ยขึ้น “หวังหลิน เจ้าเป็นศิษย์คนที่เจ็ดดังนั้นจ้าจะเรียกเจ้าว่าน้องเจ็ด นี่มันมีสาเหตุจากอะไร?”
ใบหน้าหวังหลินยังคงเดิม การปรากฎตัวของคนเหล่านี้อยู่ภายในการคาดคิดของเขา หวังหลินคาดว่าเรื่องทั้งหมดนี้ถูกเทียนหยุนจัดการอย่างลับๆ แต่เขาไม่มีความคิดว่าทำไมเทียนหยุนถึงทำเรื่องเช่นนี้ แม้ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นจะไม่มร่องรอยความหวาดกลัวบนใบหน้าเขาเลย
จ้าวซิงชาอยู่ในขั้นแปลงวิญญาณระดับกลาง! ป๋ายเวยก็ระดับกลาง! ชายกลางคนก็ระดับกลางด้วยเช่นกัน! มีเพียงคนที่หวังหลินไม่มั่นใจคือสตรีคนนั้น ระดับบ่มเพาะของนางแข็งแกร่ง!
“ขั้นแปลงวิญญาณระดับปลาย…” ดวงตาหวังหลินส่องสว่าง
เพื่อตอบคถามของจ้าวซิงชา หวังหลินจึงถามออกไป “ใครคือซุนหยุน?”
ขณะที่เขาพูดออกไป ใบหน้าทุกคนเปลี่ยนทันที จ้าวซิงชาจ้องหวังหลินเล็กน้อยหลังจากนั้นก็เอ่ยออกมา “น้องเจ็ด เจ้าเป็นคนผิด ศิษย์พี่ไม่สามารถช่วยเจ้าที่นี่ได้!” เช่นนั้นเขาปล่อยชายวัยกลางคนออกไป
เพียงก้าวเดียวชายกลางคนก็ข้ามผ่านเกือบร้อยฟุตมาหยุดด้านหน้าหวังหลินสิบฟุต และเอ่ยออกมา “ขยะจากดาวเซียนไร้ค่า วันนี้ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าวิชาเซียนที่แท้จริงหน้าตาเช่นไร!”
กลิ่นอายอันตรายออกมาจากเขา หวังหลินมองไปที่คนผู้นี้และวางฝ่ามือบนกระเป๋า
ขณะที่เกิดจังหวะวิกฤต ป๋ายเวยเผยใบหน้าลังเลและเอ่ยออกมา “พี่สองกำลังใช้วิชาต้องห้ามบนศิษย์นับว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎของสำนัก!”
ชายกลางคนมองมาที่ป๋ายเวยและเอ่ยขึ้น “เขาสังหารน้องห้า เจ้าไม่เห็นกับตาหรือป๋ายเวย?”
ดวงตาป๋ายเวยเผยแสงลึกลับขณะมองไปที่ชายกลางคนและเอ่ยขึ้น “คำพูดของศิษย์พี่ไปโดนหนึ่งในข้อห้ามของข้า ข้าจะจดจำเรื่องนี้ไว้!”
ชายกลางคนพ่นลมหายใจจากนั้นหันกลับมามองหวังหลิน “โจมตี ข้าจะให้เจ้าใช้สามวิชา! เจ้าจะใช้สมบัติวิเศษก็ได้ ข้าจะให้เจ้าใช้ก่อนอันดับแรก!”
หวังหลินมองเขาด้วยท่าทีสงบ ระดับบ่มเพาะของคนผู้นี้คือขั้นแปลงวิญญาณระดับกลางและมีพลังปราณสวรรค์มากมายกว่า ทว่าหวังหลินมีสมบัติวิเศษจำนวนมากรวมถึงวิชาสังหารที่ซือถูหนานให้เขา หวังหลินมั่นใจเจ็ดในสิบส่วนในการเอาชนะเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับกลาง
“สามวิชา…” หวังหลินเผยรอยยิ้มบางขณะที่ยกนิ้วโป้งเข้าหาเขาและเอ่ยว่า “ดี!”
ในทันทีทันใด พลังปราณสวรรค์ในร่างหวังหลินเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง นิ้วโป้งปลดปล่อยแสงชั่วร้ายราวกับดึงดูดแสงทั้งหมดรอบๆตัว ในเวลาเดียวกันหวังหลินก็ก้าวไปข้างหน้าและกดนิ้วโป้งลงไป!
ชายวับกลางคนสังเกตวิชาที่หวังหลินใช้จากก่อนหน้านี้ได้แล้ว เมื่อเห็นมันอีกครั้งจากระยะไกล้จึงอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย เขาสูดหายใจลึกและปิดฝ่ามือทันที แสงสีทองเริ่มปรากฎขึ้นจากหน้าผากเขา แสงสีทองนี้พร่ามัวและปกคลุมทั้งร่างเขาทันที
พลังมหาศาลสายหนึ่งกระจายออกมาจากร่างกาย
นิ้วโป้งหวังหลินจรดลงบนแสงที่ล้อมรอบชายกลางคนอย่างรวดเร็วขณะที่ชายกลางคนร้องตะโกนขึ้น “ร่างอวตารต้องห้าม หวนคืน!”
แสงสีทองดูเหมือนมีชีวิตทันทีและเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง จังหวะที่นิ้วโป้งหวังหลินกดลงมามันก็ก่อเกิดเป็นนิ้วโป้งเหมือนกันและปะทะกับนิ้วโป้งของหวังหลิน
หวังหลินเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยขณะที่รีบถอนนิ้วโป้งกลับอย่างรวดเร็ว สัมผัสกระเป๋าพลันปรากฎแส้ฟาดวิญญาณในฝ่ามือ และเพียงฟาดหนึ่งครั้งนิ้วโป้งที่สร้างขึ้นจากแสงก็แตกสลายไป แม้กระทั่งแสงสีทองบางส่วนที่ล้อมรอบชายวัยกลางคนก็พังทะลายเช่นกัน
“นี่คือการโจมตีแรก ตอนนี้จะเป็นการโจมตีครั้งที่สอง พี่สอง ดีแล้วที่ท่านไม่หลบ!” หวังหลินเอ่ยขึ้น เขาฟาดแส้วิญญาณอีกครั้งหวดออกไปราวกับมังกรและเคลื่อนไหวด้วยพลังอันน่าหวาดกลัว
เสียงดัง “ป๊าป” แส้ฟาดเข้าใส่ชายกลางคน ใบหน้าเขาซีดเผือดขณะที่วิญญาณดั้งเดิมเกือบหลุดออกจากร่างและแสงสีทองทั้งหมดรอบตัวหายไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเห็นว่าการโจมตีครั้งที่สามกำลังเข้ามา ชายกลางคนรีบล่าถอยอย่างรวดเร็ว
หวังหลินจ้องเขาและยิ้มเบาบาง “ยังมีอีกหนึ่งการโจมตี!”
ใบหน้าชายกลางคนมัวหมองขณะพ่นลมหายใจออกมาและนำกระบี่ยาวขนาดใหญ่ออกมา เขาถือกระบี่ไว้และสั่นหนึ่งครั้ง เจตกระบี่ทรงพลังปรากฎขึ้น
“รวมเข้ากับนิ้วโป้งนั้นมันโจมตีสามครั้งแล้ว จะมีเพิ่มอีกหนึ่งได้อย่างไร? วันนี้ให้ข้าชำระล้างสำนักให้อาจารย์! หวังหลินจงยอมรับความตายซะ!” สิ้นคำเขาพลันพุ่งออกไปขณะที่โยนกระบี่ขึ้นกลางอากาศและร้องตะโกน “ค่ายกลทุกแห่งหนเพิ่มกำลัง!”
ขณะที่กระบี่ลอยออกไป มันแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่และดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนมีกระบี่นับไม่ถ้วนตกลงมาหาหวังหลิน
ในเวลาเดียวกันชายกลางคนก็นั่งลง ฝ่ามือสร้างผนึกและเริ่มร่ายมนต์ ควันสีดำสายหนึ่งออกมาจากหน้าผากเขาและลอยอยู่ข้างหน้า ยิ่งเขาร่ายมนต์นานขึ้นควันสีดำก็ออกมามากขึ้นจนเหมือนกับก้อนเมฆดำในท้องฟ้า
สายตาหวังหลินส่องสว่างและชี้ไปที่กระบี่สวรรค์ของตัวเอง กระบี่สวรรค์ลอยขึ้นสู่อากาศเข้าหากระบี่นับไม่ถ้วน ดาบครึ่งจันทราติดตามกระบี่สวรรค์ไปด้วยราวกับสายฟ้า
เสียงคำรามดังดึกก้องออกมาจากท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่นับไม่ถ้วนแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยและตกลงบนพื้น
หลังเสร็จเรื่องทั้งหมดนี้หวังหลินสะบัดแขนซ้ายปรากฎขวานในกำมืด ตอนนี้เขาคล้ายกับเทพสงครามแรกเริ่มพลันพุ่งเข้าหาชายกลางคนและสับขวานลง
ชายกลางคนลืมตาขึ้นทันทีเผยดวงตาดำขลับ เขายิ้มออกมาขณะยืนขึ้น ก้อนเมฆดำเหนือเขาเริ่มพุ่งเข้าไปในร่างผ่านรูขุมขนของตัวเอง
“วิชาต้องห้ามร่างอวตาร ร่างมารอมตะ!” ชายกลางคนร้องคำรามและก้าวไปข้างหน้าเข้าปะทะกับขวานหวังหลินด้วยร่างกาย
เสียงเหล็กสองชิ้นปะทะกันดังสนั่นไปทั่วพื้นที่ ไม่มีรอยแผลสักจุดบนร่างชายกลางคน ส่วนหวังหลินเขาพบพลังรุนแรงสายหนึ่งเข้ามาจากขวานและแขนเขาเกิดความรู้สึกชา
ชายกลางคนยิ้มแย้มจากนั้นร่างกายสั่นไหวเปลี่ยนกลับเป็นเมฆควันสีดำพุ่งเข้าหาหวังหลิน ทุกแห่งหนที่เขาผ่านไปพื้นดินจะแตกระแหงและหญ้าสีเขียวจะเหี่ยวแห้ง
หวังหลินถอยตัวกลับและดวงตาส่องสว่าง ในเวลาเดียวกันเขาสะบัดแขนและกับดักอสูรหลุดออกจากข้อมือ มันร่อนลงบนพื้นและเปลี่ยนเป็นราชรถสังหารเทพ
เจตนาสังหารเต็มดวงตาหวังหลิน คนผู้นี้เริ่มด้วยวิชาต้องห้ามร่างอวตาร วิชานี้ทรงพลังอย่างมากหากไม่ใช่ว่าหวังหลินมีสมบัติมากมายเขาคงไม่สามารถทนยืนต่อสู้ได้
หมอกสีดำที่สร้างจากชายกลางคนพุ่งเข้าหาหวังหลินอย่างบ้าคลั่ง กระบี่สวรรค์ในท้องฟ้าพุ่งเข้าหาหมอกสีดำพร้อมกับดาบครึ่งจันทราติดตามมาด้านหลัง กระบี่สวรรค์พุ่งผ่านหมอกดำในทันทีทันใด
ลมหายใจเย็นออกมาจากชายกลางคนที่อยู่ในหมอกดำ เขาไม่สนใจกระบี่หรือดาบขณะที่พุ่งตรงเข้าหาหวังหลิน
สายตาหวังหลินแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะที่ฝ่ามือขวาสร้างผนึกและเอ่ยเบาๆ “ดัชนีมาร!”
วิชาสังหารวิชาที่สองที่ซือถูหนานสอนเขาได้กระตุ้นขึ้นแล้ว!