Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 486

Cover Renegade Immortal 1

486. เจ็ดศิษย์ที่แท้จริงของเทียนหยุน

หวังหลินลอบถอนหายใจและเดินออกไปจากตำหนัก ป๋ายเวยยืนอยู่ด้านนอกสวมชุดคลุมสีม่วงปักษ์ด้วยดอกไม้บางส่วน ป๋ายเวยเป็นชายหล่อเหลาอย่างมั่นเหมาะแต่ภายใต้แสงอาทิตย์เขาให้ความรู้สึกราวกับสตรีงดงามเสียจริงๆ

หวังหลินรักษาระยะห่างจากเขาอยู่ประมาณนึงและเอ่ยขึ้น “ข้าสงสัยว่าพี่สามมีธุรอันใด”

ป๋ายเวยยิ้มออกมาอย่างงดงาม กัดริมฝีปากเล็กน้อย “แน่นอนว่าข้ามีธุระ น้องเจ็ด เจ้ายังไม่ได้รับป้ายสิทธิ์หรือชุดของเจ้าเลย ข้าเอามันมาให้เจ้า” เช่นนั้นเขาสะบัดแขนขวาและกระเป๋าใบหนึ่งลอยเข้าหาหวังหลิน

หวังหลินรับมาและตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ กระเป๋าใบนี้บรรจุชุดสีม่วงและป้ายสิทธิ์สีม่วงไว้จริงๆ

หวังหลินคำนับฝ่ามือ “ขอบคุณท่านมาก!”

ป๋ายเวยยิ้มแย้ม “ไม่มีปัญหา เจ้ายังไม่คุ้นเคยกับกองกำลังสีม่วงแห่งนี้ ให้ศิษย์พี่พาเจ้าไปชมรอบๆจะว่าอย่างไร?”

ดวงตาหวังหลินเป็นประกายแสงลึกลับและปฏิเสธโดยฉับพลัน “ขอบคุณท่านศิษย์พี่ในความหวังดีของท่าน แต่ข้ายังยุ่งกับการบ่มเพาะ เช่นนั้นขอเป็นวันอื่นเถิด”

หวังหลินกล่าวพลางก้าวถอยหลังไปสองก้าว เขารู้สึกประหลาดกับป๋ายเวยและการพูดคุยกับเขาทำให้หวังหลินรู้สึกไม่สบายใจ

ป๋ายเวยมองหวังหลินด้วยใบหน้าหมองลงและเอ่ยอย่างนุ่มนวล “น้องเจ็ด ข้าหมายถึงไม่มีอันตรายใดๆ แต่กองกำลังสีม่วงลึกลับซับซ้อน ข้าใช้เวลาทั้งคืนเพื่อหาข้อมูลนี้มาให้เจ้า เจ้าไม่ต้องการจะฟังหรือ?”

หวังหลินขบคิดเล็กน้อยจากนั้นตบกระเป๋าเกิดเป็นลำแสงกระพริบสีขาว โต๊ะและเก้าอี้สองตัวปรากฎขึ้นพร้อมกับชุดชาวางไว้บนโต๊ะ

หวังหลินนั่งลงและเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาแจ่มชัด “พี่สาม โปรดนั่ง!”

ป่ายเวยยิ้มบางขณะนั่งลง เขารินชาให้หวังหลินก่อนและค่อยรินชาให้ตัวเอง หลังจากวางกาน้ำชาลงจึงเอ่ยขึ้น “ตอนที่ข้าพบเจ้าคราแรกข้าไม่เคยคาดคิดว่าเจ้าจะเป็นศิษย์สายนอกของอาจารย์จนทำให้เรามาคุยกันอีกครั้ง”

หวังหลินเพียงยิ้มแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับ

ป๋ายเวยหยิบถ้วยชาและดื่มไปหนึ่งจิบ ดวงตาสว่างขึ้น “หวังหลิน จงระวังศิษย์พี่ให้ดี!”

ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่ง เงยศีรษะขึ้นมองป๋ายเวย รอคอยส่วนที่เหลือ

ป๋ายเวยวางถ้วยชาลง “ศิษย์พี่เป็นหนึ่งในกองกำลังสีม่วงที่ติดตามท่านอาจารย์มายาวนานที่สุด เขารู้หลายอย่างที่เราไม่รู้เช่นว่าทำไมอาจารย์ถึงอยู่บนดาวดวงนี้มาหลายหมื่นปี เซียนส่วนใหญ่บนดาวเทียนหยุนบ่มเพาะได้แค่ไม่กี่พันปีเท่านั้นและมีน้อยคนที่อายุขัยมากกว่าหมื่นปี ศิษย์พี่รู้เรื่องราวความจริงนี้แน่นอน”

ดวงตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เขาครุ่นคิดพิจารณาคำถามนีมาก่อนแต่เพราะเราไม่ได้รู้มากนักจึงไม่ได้คิดให้ลึกขึ้น ตอนนี้เขาได้ยินเรื่องที่ป๋ายเวยกล่าวถึงจึงเริ่มคิดมันอีกครั้ง

“ศิษย์ทั้งหมดของอาจารย์ก่อนหน้านี้ไปที่ไหน? ไม่ใช่เพียงท่านและข้า แต่ไม่มีคนอื่นสามารถระบุออกมาได้เลยหรือ”

“มีอีกคนที่อาจจะรู้ความลับนี้นอกจากศิษย์พี่ใหญ่ก็คือน้องเจ็ดคนก่อน ซุนหยุน! ข้าสงสัยว่าเหตุผลที่เขาทรยศสำนักเมื่อตอนนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!”

หวังหลินขบคิด หลังจากนั้นไม่นานก็เอ่ยขึ้น “พี่สาม เมื่อไม่มีหลักฐานสรุปชัดเจน ไม่เดาสุ่มๆจะดีกว่า”

แสงลึกลับแล่นประกายผ่านดวงตาป๋ายเวย เขาขบคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมา “กองกำลังสีม่วงเป็นกองกำลังที่อ่อนแอที่สุดในทุกหมู่เหล่า แม้แต่การแข่งขันที่นี่ก็ยังสูงส่ง ศิษย์พี่ใหญ่เล็งตำแหน่งศิษย์สายตรงมานานแล้ว”

“อย่าประเมินศิษย์พี่ใหญ่ต่ำไป ก่อนหน้านี้ระดับบ่มเพาะของเขาไม่เหมือนตอนนี้ เมื่อตอนนั้นเขาต่อสู้พ่ายแพ้ในการประลองกับน้องหกเพื่อตำแหน่งศิษย์สายตรงและได้รับบาดเจ็บหนักทำให้ระดับบ่มเพาะของเขาตกไปมากมาย แต่ว่าเขาเป็นคนมุ่งมั่นมากจึงปิดด่านฝึกตนหลายร้อยปีเพื่อเตรียมการฟื้นฟูตนเอง”

“โชคร้ายนักที่ซุนหยุนปรากฎตัวขึ้นและเขาเอาชนะน้องหกและศิษย์พี่ใหญ่ไปได้จนได้รับตำแหน่งศิษย์สายตรงของอาจารย์”

“ในการเฉลิมฉลองวันเกิดของอาจารย์อีกสามเดือน ศิษย์สายตรงคนใหม่ของกองกำลังสีม่วงจะถูกเลือก จนกว่าน้องหกจะกลับมา เจ้าจะกลายเป็นคนที่ศิษย์พี่ใหญ่ต้องกำจัด!”

หวังหลินขมวดคิ้วบาง “ตำแหน่งเจ็ดศิษย์สายตรงของเทียนหยุนเป็นแค่ชื่อแท้ๆ ทำไมถึงต่อสู้แย่งชิงขนาดนั้น?”

ป๋ายเวยตกตะลึง เขามองหวังหลินอยู่นานก่อนจะหัวเราะเสียงดัง “แค่ชื่อ? น้องเจ็ด เจ้าเข้าใจไหมว่าเมื่อเจ้ากลายเป็นหนึ่งในเจ็ดศิษย์สายตรงของท่านอาจารย์ เขาเป็นรองเพียงไม่กี่คนแต่อยู่เหนือคนหลายหมื่น เแคว้นเซียนทุกแห่งจะต้องเคารพเชื่อฟังเจ้า และเจ้าจะมีคนนับไม่ถ้วนต้องการกลายเป็นผู้ติดตามของเจ้า”

“นอกเหนือจากนี้ศิษย์สายตรงแต่ละคนสามารถมีหนึ่งแคว้นเซียนครอบครองเพื่อการฝึกฝน เจ้าอาจจะเลือกแคว้นสักแห่งบนดาวเทียนหยุนหรือไม่ก็แคว้นสักแห่งบนดาวรอบๆก็ได้!”

“และนั่นไมใช่ส่วนที่สำคัญที่สุด เจ้าและข้าต่างก็เป็นเซียนขั้นแปลงวิญญาณ มีสิ่งหนึ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือการบรรลุขั้นเทวะ! การบรรลุขั้นเทวะหมายถึงการเสาะหาเต๋าหรือพยายามฆ่าตัวตาย เจ้าควรจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ขณะที่เซียนคนหนึ่งบรรลุขั้นเทวะนับว่าเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งจนอาจไม่มีโอกาสในการบ่มเพาะอีกครั้ง โอกาสรอดชีวิตมีอยู่ราวหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น!”

“แต่เมื่อเจ้ากลายเป็นหนึ่งเจ็ดศิษย์สายตรง อาจารย์จะสั่งสอนด้วยตัวเอง แม้มันจะไม่เต็มสิบส่วนแต่ท่านสามารถเพิ่มโอกาสได้ถึงสามส่วน!”

“เจ้าบอกข้าสิว่าใครจะไม่สนใจ?”

หวังหลินสูดหายใจลึกและดวงตาสว่างวาบ

“นี่มันยังไม่หมด หินหยกสวรรค์นับไม่ถ้วนในระดับบ่มเพาะเช่นพวกเรานั้นต้องการมากมายมหาศาล แม้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์จะได้รับเบี้ยเลี้ยงต่อเดือนแต่ขณะที่ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นมันจะไปพอได้อย่างไร แต่เมื่อเจ้ากลายเป็นหนึ่งในเจ็ดศิษย์สายตรง เจ้าจะมีโอกาสได้เข้าไปในคลังหินหยกสวรรค์อันไร้ที่สิ้นสุดของสำนักชะตาสวรรค์!”

“ยังไม่ล่อตาล่อใจเจ้าอีกหรือ?”

รูม่านตาหวังหลินหดเล็กลง!

“อีกทั้งถ้าหากเจ้าไม่สนใจเรื่องตำแหน่ง ไม่สนใจเรื่องการบรรลุขั้นเทวะและไม่สนใจเรื่องหินหยกสวรรค์ เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อเจ้ากลายเป็นหนึ่งในเจ็ดศิษย์สายตรง เจ้าจะได้รับสืบทอดมรดกแห่งเต๋าของท่านอาจารย์?!”

“มรดกของท่านอาจารย์ไม่ใช่เต๋าที่กว้างใหญ่แต่เป็นวิชาเทพของจริง! เป็นศิษย์สายตรงหนึ่งร้อยปี เจ้าสามารถได้รับวิชาเทพระดับต่ำได้ นี่สมบูรณ์แบบ วิชาเทพระดับต่ำ!”

“เป็นศิษย์สายตรงได้หนึ่งพันปีจะได้รับวิชาเทพระดับต่ำอีกหนึ่งวิชา เจ้าจะได้ถูกส่งตัวไปที่สมาพันธ์เซียนเพื่อศึกษาเพิ่มเติมและกลายเป็นผู้ทรงอำนาจในโลกแห่งเซียนที่แท้จริง!”

ดวงตาหวังหลินกลายเป็นเคร่งขรึมและถามขึ้นทีละคำ “หากข้าเป็นศิษย์สายตรงเป็นเวลาหนึ่งพันปี ข้าจะได้รับวิชาเทพที่สมบูรณ์ เรื่องจริงใช่ไหม?!”

ป๋ายเวยพยักหน้า “มันเป็นเรื่องแน่นอน! ศิษย์สายตรงของกองกำลังสีเขียว ลี่เฉิงหนาน ได้เป็นศิษย์สายตรงมากกว่าพันปี ร้อยปีก่อนเขาได้รับวิชาเทพระดับต่ำที่สมบูรณ์จากท่านอาจารย์ ตอนนี้เขายังปิดด่านฝึกตนเพื่อเรียนรู้อยู่เลย เมื่อเขาออกมาความแข็งแกร่งของเขาจะมีระดับเหนือจินตนาการ!”

หวังหลินเผยประกายแสงลึกลับในดวงตา หลังครุ่นคิดเงียบๆสักพักเขาพยักหน้าและยืนขึ้น หวังหลินคำนับฝ่ามือให้ป๋ายเวย “พี่สามข้าเหนื่อยแล้ว ข้าจะคุยกับท่านวันอื่น ข้าจะออกไปเยี่ยมท่านเอง”

ป๋ายเวยยิ้มแย้มขณะยืนขึ้น “ไม่มีปัญหา เช่นนั้นข้าจะไม่รบกวนเจ้าอีกต่อไป น้องเจ็ดหากเจ้ามีปัญหาอะไรเจ้าสามารถเข้ามาหาข้าได้ทุกเมื่อ” สิ้นคำป๋ายเวยคำนับฝ่ามือและหันตัวกลับ

ขณะที่เขาหันกลับไป รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปอย่างไร้ร่องรอยและถูกแทนที่ด้วยใบหน้ามืดมัว

“พี่ใหญ่ ท่านต้องการกลายเป็นหนึ่งเจ็ดศิษย์สายตรง แต่ตราบใดที่ป๋ายเวยมีชีวิต ข้าจะไม่ยอมให้ท่านได้สำเร็จ! ข้าจะให้ท่านล้มเหลวทุกครั้ง! นี่เป็นหนทางที่ข้าจะแก้แค้นสิ่งที่ท่านทำไว้เมื่อตอนนั้น!”

หวังหลินกลับไปที่ตำหนักไพรม่วงและดวงตาส่องสว่าง

ก่อนหน้านี้หวังหลินไม่รู้มูลค่าของวิชาเทพระดับต่ำที่สมบูรณ์ แต่หลังจากอยู่กับซือถูหนานมาหนึ่งเดือนและเรียนรู้สามวิชาสังหาร หวังหลินเข้าใจวิชาเทพอย่างลึกซึ้ง

สามวิชาสังหารที่ซือถูหนานได้มาจากวิชาเทพแตกหักนั้นกลับครอบครองพลังที่แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงสมมติได้ว่าพลังของวิชาเทพอันสมบูรณ์นับว่าเหนือจินตนาการ

เหล่าเทพที่ทรงพลังได้มีอยู่สองเหตุปัจจัย หนึ่งคือสมบัติสวรรค์และสองคือวิชาเทพ!

เทพที่มีสมบัติสวรรค์ระดับสูงและรู้วิชาเทพระดับสูงด้วยนั้นนับว่าทรงพลังเกินกว่าจิตนาการถึง ยิ่งระดับบ่มเพาะสูงอีกก็ยิ่งน่าหวาดกลัว

อาจจะมีวิชาอื่นที่สามารถชิงชัยกับวิชาเทพได้ แต่เท่าที่หวังหลินรู้ตอนนี้วิชาของเทพโบราณถือว่าสามารถเปรียบกันได้

หวังหลินมีวิชาของเทพโบราณจำนวนมากซึ่งมาจากความทรงจำของตู่ซือ ทว่าทั้งหมดนั้นมีความต้องการที่เข้มงวด และด้วยระดับบ่มเพาะของร่างหลักเขาตอนนี้หวังหลินไม่สามารถใช้ได้เลยสักวิชา

“เจ็ดศิษย์สายตรงของเทียนหยุน น่าสนใจ!” ดวงตาหวังหลินสว่างวาบขึ้นจากนั้นใส่เสื้อสำนักและเดินออกจากตำหนัก

เวลานี้เป็นยามบ่ายแก่ๆ พระอาทิตย์ตั้งตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้าขณะที่หวังหลินเดินออกมาด้วยเสื้อคลุมยาว เสื้อคลุมพริ้วสบัดไปตามสายลมทำให้ภาพลักษณ์เขาดูสง่า

ขณะที่เดินออกมาผ่านกองกำลังสีม่วง เมื่อไหร่ก็ตามที่มีศิษย์คนหนึ่งเห็นเขา พวกเขาจะหยุดโค้งคำนับด้วยความเคารพและเรียกเขาว่า “ท่านบรรพชนเจ็ด”

ระหว่างทางหวังหลินจึงค่อยๆตะหนักบางอย่างได้ สำนักชะตาสวรรค์ไม่เหมือนกับสำนักบนดาวซูซาคุที่ความแข็งแกร่งเป็นที่เคารพ

ที่นี่ใช้วิธีนับตามผู้อาวุโสกว่าเป็นที่เคารพและตำแหน่งในสำนักขึ้นอยู่กับตอนที่พวกเขาเข้ามาในสำนักได้

เป็นผลให้นอกจากคนอื่นเช่นหวังหลินที่จู่ๆก็ปรากฎตัวขึ้น อันดับที่นี่มั่นคงจากรุ่นสู่รุ่นโดยไม่มีปัญหาอะไร

นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงแม้ซุนหยุนจะกลายเป็นหนึ่งในเจ็ดศิษย์สายตรงไปแล้ว เขายังคงต้องเรียกจ้าวซิงชาว่า “ศิษย์พี่ใหญ่” ตอนที่พบหน้ากัน

กองกำลังสีม่วงมีขนาดใหญ่มาก เขาตรวจสอบพื้นที่บริเวณนี้หลายครั้งดังนั้นจึงไม่ค่อยคุ้นตากับถนนหนทาง เป้าหมายของหวังหลินครานี้คือตำหนักสมบัติของกองกำลังสีม่วง!

ตำหนักแห่งนี้คือจุดที่เหล่าศิษย์มารับเม็ดยาและหินวิญญาณ ที่นี่ยังเป็นจุดที่ป๋ายเวยมารับป้ายสิทธิ์และเสื้อผ้าให้หวังหลินอีกด้วย

สำหรับศิษย์ของเทียนหยุนแล้วจะได้รับสิทธิพิเศษเช่นหินหยกสวรรค์แต่ละเดือน เขาตัดสินใจมาที่นี่หลังจากได้ยินมันจากป๋ายเวย

“หากข้าต้องการแข่งขันตำแหน่งหนึ่งในเจ็ดศิษย์สายตรง ระดับบ่มเพาะของข้าต้องบรรลุขั้นแปลงวิญญาณระดับกลาง! บนดาวเทียนหยุน ข้าหวังหลินจะเป็นคนครองอำนาจ! ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ซ่อนความแข็งแกร่ง หากข้าเผยจุดอ่อนข้าจะอยู่ใต้เท้าคนอื่นทันที แม้แต่เทียนหยุนก็ยอมรับเรื่องนี้ไม่เช่นนั้นการต่อสู้ครั้งก่อนคงไม่เกิดขึ้น!”

“เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าอยากเห็นว่าข้าสามารถปีนไปได้ไกลแค่ไหนในสำนักชะตาสวรรค์! ตราบใดที่ข้าไม่ได้ข้ามเส้นของอาจารย์ ข้าสามารถทำทุกอย่างที่ข้าต้องการได้!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version