495. เขา!
เซเบิลสามตาลำตัวสีม่วงสนิทยกเว้นสามตาของมันซึ่งปลดปล่อยแสงอันชั่วร้าย มันนอนอยู่บนไหล่หวังหลิน ดวงตาของมันจ้องไปที่หวังหลินโดยไม่ไหวติง
หวังหลินจ้องมันกลับ เขารู้สึกคุ้นเคยเมื่อมองไปที่มัน
มีแสงคล้ายแสงดวงดาวออกมาจากตาที่สามของมัน ใครที่ตามที่มองจะรู้สึกมึนงง
“เซเบิลดวงดาว! มันเป็นตัวอ่อนเซเบิลดวงดาว!” ดวงตาหวังหลินเคร่งขรึมเมื่อนึกลักษณะของมันออก
มีความทรงจำที่คล้ายคลึงกันกับเซเบิลในความทรงจำที่สืบทอดมาจากเทพโบราณตู่ซือ เซเบิลเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่อาสัยอยู่ในอวกาศเมื่อมันโตเต็มวัยมันสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นสิ่งใดก็ได้ ไม่แปลกที่มันจะแปลงร่างเป็นรูปร่างมนุษย์และเป็นวัตถุดิบที่ดีที่สุดในการทำหุ่นเชิด
ช่วงระยะแรกเริ่มมันไม่มีพลังโจมตีที่แข็งแกร่งมากนักแต่ความเร็วของมันมากล้นเกินจินตนาการ นอกจากนี้เจ้าตัวเซเบิลชอบกินธาตุโลหะและค่อยๆเติบโต
มีความทรงจำหลายอย่างเรื่องของเซเบิลดวงดาวในความทรงจำของเทพโบราณตู่ซือ การสลักค่ายกลเคลื่อนย้ายไว้ในแกนกลางของตัวอ่อนเซเบิลสามารถทำให้แกนกลางของมันกลายเป็นสมบัติวิเศษที่สามารถเพิ่มความเร็วเหนือขีดจำกัด ทว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาแม้ว่าเจ้าเซเบิลไม่ได้สูญพันธุ์แต่มันก็ไม่ได้เหลือมากนัก
ตลอดช่วงอายุของเทพโบราณ เซเบิลดวงดาวเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดีที่สุด เหล่าเทพโบราณชอบความเร็วของมันโดยเฉพาะ ขณะเดียวกันเจ้าเซเบิลดวงดาวก็ชอบรัศมีของเทพโบราณวัยเด็ก ส่วนใหญ่พวกเขาไม่จำเป็นต้องจับมัน มันจะมาหาพวกเขาเอง
เซเบิลดวงดาวได้รับประโยชน์มหาศาลจากเทพโบราณวัยเด็ก ขณะที่เทพโบราณเติบโต เซเบิลดวงดาวดูดซับพลังปราณจำนวนมหาศาลมาด้วยจึงทำให้ความเร็วการเติบโตของมันเพิ่มขึ้นหลายเท่า
ดวงตาที่สามของเซเบิลตัวน้อยเต็มไปด้วยแสงดวงดาว มันยังไม่ได้บรรลุสภาวะการกลับคืนต้นกำเนิด ดังนั้นมันจึงมีอายุน้อยกว่าหมื่นปี
ขณะที่มองเจ้าเซเบิล หวังหลินจึงเกิดความคิด เขาสัมผัสกระเป๋านำหินวิญญาณระดับสูงออกมาและวางถัดจากปากเจ้าเซเบิล
เจ้าเซเบิลสีม่วงไม่ได้มองหินวิญญาณ มันแค่จ้องหวังหลินด้วยสายตางุนงง จากนั้นร่างของมันส่องประกายและหายตัวไปจากไหล่หวังหลิน
หวังหลินลูบคาง เห็นได้ชัดว่าหินวิญญาณนั้นไม่พอให้มันสนใจ ตอนที่เซเบิลจ้องมองเขา หรือมันจะสังเกตกลิ่นเทพโบราณบนตัวเขาได้?
แม้ว่าร่างหวังหลินจะมีกลิ่นอายของเทพโบราณมันก็ยังอ่อนแอมาก กลิ่นอายนี้เกิดจากตอนที่เขารวมร่างกับร่างหลัก หลังจากนั้นสักพักมันจะหายไป
เซเบิลม่วงเข้ามาเพราะกลิ่นอาย แต่มันไม่สมหวังเพราะกลิ่นอายอ่อนแอเกินไป แม้มันจะไม่รู้ว่ากลิ่นอายนี้คืออะไร เมื่อมันสัมผัสกลิ่นอายนี้ได้มันรู้สึกสุขสบาย ความรู้สึกเช่นนี้เป็นสิ่งที่มันไม่เคยเผชิญมาก่อนนับตั้งแต่เกิด
หลังจากเก็บหินวิญญาณกลับไป หวังหลินนำสิ่งอื่นออกมา คราวนี้เป็นหินหยกสวรรค์
จังหวะที่เขาดึงหยกสวรรค์ออกมา เกิดแสงสีม่วงกระพริบวาบ เมื่อหวังหลินมองไปที่มือซ้าย หินหยกสวรรค์ของเขาหายไปแล้ว
ดวงตาหวังหลินเผยรอยยิ้มและจากนั้นนำหินหยกสวรรค์อีกก้อนออกมา คราวนี้เขาเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่หินหยก แสงสีม่วงกระพริบอีกครั้ง เซเบิลตัวน้อยเคลื่อนไหวด้วยความเร็วเหนือขีดจำกัด มันงับหินหยกสรรค์ไว้ในปากโดยไม่หยุดชะงักและเหาะเหินออกไป
เมื่อเซเบิลม่วงปรากฎตัวอีกครั้งมันก็อยู่บนไหล่ผู้อาวุโสซุนและกำลังกินหินหยกสวรรค์ มันมองมาทางหวังหลินเป็นพักๆและให้ความสนใจประเป๋าของเขาเป็นพิเศษ
เมื่อผู้อาวุโสซุนสังเกตได้ เขายิ้มเล็กน้อยไปที่หวังหลินและพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
เทียนหยุนนั่งอยู่ในท่านั่งดอกบัวบนก้อนเมฆและเริ่มสั่งสอนเต๋า
“ศาสตร์แห่งสวรรค์เกี่ยวข้องกับการรู้เห็นวัฏจักรทั้ง 99 รอบจากต้นกำเนิดเดียว แม้ด้วยระดับบ่มเพาะของข้าไม่สามารถมองทะลุทุกวิชาได้ แต่ข้ารู้แจ้งแก่นแท้เบื้องหลังวิชาเหล่านั้นเล็กน้อย ฝึกฝนเต๋า ฝึกฝนเต๋า! แก่นแท้ของคำว่า ‘ฝึกฝน’ คืออะไร? แก่นแท้ของคำว่า ‘เต๋า’ คืออะไร? ”
“รวบรวมลมปราณ พื้นฐานลมปราณ แกนลมปราณ วิญญาณแรกกำเนิด ตัดวิญญาณ แปลงวิญญาณและขั้นเทวะนับว่าเป็นก้าวแรกของการฝึกฝน ผู้เฒ่าคนนี้เชื่อว่าด่านทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำว่า ‘ฝึกฝน’ ใน ‘ฝึกฝนเต๋า!’”
เมื่อหวังหลินได้ยินเรื่องนี้เขาพลันเคร่งขรึมและเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่เทียนหยุนทันที ตั้งแต่ที่เขาเริ่มฝึกเซียน เขามักจะพึ่งพาตัวเองมาเสมอ สิ่งเดียวที่เขาต้องการมากที่สุดคือความเข้าใจที่สูงขึ้น
“ขอบเขตรูปธรรมและขอบเขตนามธรรมหลังจากขั้นเทวะ รวมถึงสามขั้นทลายสวรรค์และเป็นจุดที่สหายเซียนบางคนติดอยู่ที่นี่ เป็นก้าวที่สองของการฝึกฝน!”
“ผู้เฒ่าเชื่อว่าก้าวที่สองนั้นคือสะพานเชื่อมระหว่าง ‘ฝึกฝน’ กับ ‘เต๋า’ เมื่อเคลื่อนวิญญาณจากคำว่า ‘ฝึกฝน’ สู่คำว่า ‘เต๋า’ จนเสร็จสิ้น หัวใจของมันคือก้าวที่สอง!”
“น่าเสียดายนักแม้กระทั่งข้าเองก็ไม่สามารถเข้าใจมันได้อย่างสมบูรณ์ ราวกับว่ามีพลังล่องหนอันไร้ที่สิ้นสุดมาแทรกแทรงข้าขณะที่พยายามเข้าใจมัน”
น้ำเสียงของเทียนหยุนกระจายผ่านทั่วบริเวณอย่างช้าๆขณะที่เขากล่าวเรื่องราววิธีการที่เขาฝึกฝนเต๋า
รอบด้านเงียบสนิทแม้กระทั่งผู้อาวุโสซุนของสมาพันธ์เซียนก็ยังเงียบและเผยท่าทางทำอะไรไม่ถูก
ท่ามกลางเหล่าเซียนโดยรอบมีคนผู้หนึ่งถามขึ้นมา “ผู้อาวุโสเทียนหยุน ก้าวที่สามของการบ่มเพาะเต๋าคือสิ่งใด?”
คนผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีดำและไม่มีใครอยู่ใกล้เขาในระยะร้อยฟุต อีกทั้งยังมีรัศมีโหดเหี้ยมรอบตัวเขาด้วย
บนใบหน้าเขามีแผลเป็นรุนแรงตั้งแต่ระหว่างคิ้วไปถึงคอ
เทียนหยุนมองเขาและเอ่ยขึ้น “ก้าวที่สามคือขอบเขตที่แท้จริงของคำว่า ‘เต๋า’ การฝึกฝนหลายพันปีนับไม่ถ้วนเพียงเพื่อเต๋า เมื่อบรรลุ ‘เต๋า’ ได้เมื่อนั้นการบ่มเพาะของเขาจะบรรลุขึ้นถึงระดับที่จินตนาการไม่ถึง ทว่าการฝึกฝนสู้ขั้นนั้นจะเป็นเช่นไร ข้าเองก็ไม่รู้…”
“เต๋าของผู้เฒ่าคือชะตาสวรรค์ หากชะตาสวรรค์ประสงค์มันเมื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จ หากโชคชะตาไม่มาถึงเมื่อนั้นทั้งหมดจะกลายเป็นฝุ่นผงและถูกกวาดล้างออกไป”
รอบด้านเงียบกริบอีกครั้ง หวังหลินเผยใบหน้าครุ่นคิดขณะที่พยายามเข้าใจคำพูดของเทียนหยุนอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“ฝึกฝนเต๋ามีสามขั้นตอน ข้ากระทั่งก้าวไม่ถึงขั้นแรกและขั้นถัดไปยากยิ่งขึ้นและยากมากขึ้น ผู้คนที่ฝึกเซียนถือว่าเป็นการฝืนลิขิตฟ้าและพวกเขาไม่ผิด”
หวังหลินขบคิด “ถ้าแม้กระทั่งเทียนหยุนก็ไม่รู้เส้นทางของขั้นที่สาม ฉะนั้นขั้นที่สามนี้จะมีอยู่ได้…”
สายตาเทียนหยุนกวาดผ่านหวังหลิน ชั่วขณะนั้นหวังหลินเงยศีรษะขึ้นและสายตาปะทะเข้ากับเทียนหยุน
ราวกับเขามองทะลุความคิดหวังหลิน พลันยิ้มบางมาให้และเอ่ยถาม “หวังหลิน เจ้ามีคำถามอะไรไหม?”
หลังจากเทียนหยุนกล่าวเช่นนี้ เซียนโดยรอบทั้งหมดจ้องสายตามาที่หวังหลินโดยเฉพาะศิษย์ของอีกหกกองกำลัง
กล่าวได้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ การที่อาจารย์ถามคำถามเป็นการส่วนตัวถือว่าเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดัง
หวังหลินใบหน้าสงบนิ่งขณะโค้งคำนับฝ่ามือและเอ่ยถามต่อเทียนหยุนอย่างเคารพ “ท่านอาจารย์ ศิษย์มีบางสิ่งที่ไม่เข้าใจจริงๆ”
เทียนหยุนลูบเคราสีขาวของตนขณะพยักหน้าและยิ้มขึ้น “เล่าให้ข้าฟัง”
“ศิษย์มีหนึ่งคำถามเกี่ยวกับวลี ‘ฝึกฝนเต๋า’ เหล่าเซียนอย่างพวกเรามักจะกล่าวว่า ฝึกฝนเทพ ฝึกฝนสัจธรรมและฝึกฝนเต๋า ท่านอาจารย์เพียงอธิบายเฉพาะฝึกฝนเต๋า แต่ฝึกฝนเทพคืออะไร? ฝึกฝนสัจธรรมเล่า? หรือสองสิ่งนี้ที่เกิดขึ้นมาไม่มีอยู่จริง?”
เทียนหยุนยิ้มบางและเผยใบหน้าชื่นชม แม้กระทั่งผู้อาวุโสซุนจากสมาพันธ์เซียนยังเผยรอยยิ้มและมองหวังหลินอย่างสื่อความหมาย
“เหล่าเทพสูญหายแล้ว! ฝึกฝนเทพมาจากยุคโบราณ ดินแดนสวรรค์คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าเซียนเมื่อตอนนั้น! นี่จุดกำเนิดคำว่าการฝึกเทพ! สัจธรรมคือสิ่งใดน่ะหรือ? สัจธรรมคือต้นกำเนิดของทุกสิ่ง หลังจากดินแดนสวรรค์ถูกทำลาย เหล่าเซียนคือต้นไม้ที่ไร้ราก เร่ร่อนและบังคับให้พัดพาไปอย่างไร้จุดหมาย ช่วงขณะนั้นการฝึกเทพสูญสิ้นความหมายและในเวลาเดียวกัน ‘สัจธรรม’ จึงกลายเป็นแก่นของการฝึกฝน กล่าวได้ว่าฝึกฝนสัจธรรมคือการฝึกฝนตัวเอง ”
“และตอนนี้ทั้งเทพและสัจธรรมต่างเป็นอดีตไปแล้ว สิ่งที่ไล่ตามตอนนี้คือเต๋า แต่เต๋านี้ไม่ใช่เต๋าแห่งสวรรค์!”
น้ำเสียงเทียนหยุนทุ้มต่ำและเมื่อมาถึงตรงนี้เขาก็หยุดชะงัก
เหล่าเซียนโดยรอบสูญเสียการควบคุมและเริ่มโต้เถียงกัน
ความจริงที่ผู้คนฝึกฝนเต๋ากลับกลายเป็นว่าไม่ใช่การฝึกฝนเต๋าแห่งสวรรค์ทำให้ผู้คนเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ดูเหมือนสิ่งนี้จะตรงกันข้ามกับสิ่งที่เทียนหยุนกล่าวก่อหน้านี้ ขณะนั้นเกิดหลายคำถามขึ้นมาท่ามกลางเหล่าเซียน
อย่างไรก็ตามชั่วขณะนี้ เหล่าเซียนแข็งแกร่งทั้งหมดมีใบหน้าสงบนิ่งและเผยความเสียใจ พวกเขาเข้าใจคำพูดทั้งหมดของเทียนหยุนแต่บางเรื่องไม่ควรพูดออกมาเสียงดังเพราะมันจะสร้างปัญหาขึ้น
ผู้อาวุโสซุนจากสมาพันธ์เซียนขมวดคิ้ว เขากระแอมและมองไปที่เทียนหยุน
เทียนหยุนยิ้มบางและกล่าวต่อ “เต๋าของ ‘ฝึกฝนเต๋า’ เป็นเต๋าของการเสาะหาเส้นทางสู่ขั้นที่สาม เพราะไม่มีใครรู้ทาง เราจึงต้องฝึกฝนเส้นทางของตนเองเพื่อไปบรรลุถึงจุดนั้น หวังหลิน นี่ใช่คำตอบของคำถามของเจ้าไหม?”
หวังหลินเผยสีหน้าครุ่นคิด หลังจากนั้นเขาส่ายศีรษะและเอ่ยออกมา “ศิษย์สงสัยการคงอยู่ของขั้นที่สามว่ามีจริงหรือไม่!”
เทียนหยุนถอนหายใจ ใบหน้าหวนรำลึกที่หาได้ยากยิ่ง “สามหมื่นปีก่อนข้าก็คล้ายเจ้า ข้าสงสัยว่าขั้นที่สามมีอยู่จริงหรือไม่จนเมื่อข้าได้พบเขา!”
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสซุนรู้จัก ‘เขา’ และหลังจากได้ยินประโยคนี้ใบหน้าก็บึ้งตึงเผยท่าทีรำลึกถึงแต่ดวงตาก็มีร่องรอยแห่งความหวาดกลัว
หลังจากกล่าวประโยคนั้น เซียนทุกคนต่างก็เงียบกริบ มีเพียงเซียนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่เผยแสงลึกลับในแววตา
“ผู้อาวุโสเทียนหยุน ‘เขา’ คือใคร?”
“สหายเก่าเทียนหยุน ท่านโปรดอธิบายมันให้ชัดเจนได้หรือไม่?”
“เทียนหยุน เกิดอะไรขึ้น?”
คำถามเกี่ยวกับ ‘เขา’ ที่เทียนหยุนกล่าวยิ่งออกมามากขึ้น
ผู้อาวุโสซุนมีใบหน้าบูดบึ้งและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พอแล้ว! เทียนหยุนอย่ากล่าวเรื่องนี้อีกเลย!”
เทียนหยุนมองผู้อาวุโสซุนและยิ้มแย้ม “ความจริงแล้วข้าโชคดีมากที่เขาปรากฎตัวขึ้นตอนที่ชีวิตของข้าอยู่ในช่วงสับสนที่สุด เขาคนนั้นบรรลุขั้นที่สามแล้วแน่นอน!”