662. หยกแสนกล
ณ ดาราจักรทุกชั้นฟ้า ดาวรานหยุน
ขณะที่หวังหลินปรากฏตัว สัมผัสวิญญาณอันทรงพลังสามจุดก็พุ่งออกมา เมื่อพวกเขามาถึง หวังหลินก็หายตัวไปและไร้กลิ่นอาย สองในนั้นดูเหมือนจะหวาดกลัวกันเอง ดังนั้นหลังจากที่ค้นไปทั่วพื้นที่แล้ว จึงถอนออกไป
สัมผัสวิญญาณอีกหนึ่งที่กวาดผ่านไปทั่วทั้งดาวแต่ไม่พบสิ่งใด มันถอนหายใจและจึงหายตัวไป
ลมหายใจอันหนาวเหน็บของคนผู้นี้แผ่กระจายทั่วทั้งดวงดาวและเข้าไปในหูของหวังหลิน
ร่างหวังหลินปรากฏบนพื้นที่ราบทางตอนเหนือของดวงดาว เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและคิดออกมา ‘ขั้นเทวะระดับกลางหนึ่งคนอีกสองคนขั้นเทวะระดับต้น ดาราจักรทุกชั้นฟ้าแห่งนี้ช่างน่าสนใจนัก เต็มไปด้วยพลังปราณ แต่ดาวดวงนี้มีแค่สามอำนาจเท่านั้นและแต่ละคนก็เป็นเพียงขั้นเทวะ’
“หากดาวรานหยุนอยู่ในพันธมิตรเซียน ข้ากลัวว่ามันจะถูกปล้นแน่นอน และถูกพวกเซียนเฒ่าในขั้นที่สองยึดครอง ไม่ก็ถูกแคว้นเซียนระดับหกควบรวม ดาวที่มีเพียงเซียนขั้นเทวะสามคนไม่มีทางจะอยู่รอดในดาราจักรพันธมิตรเซียนได้
ขณะที่หวังหลินครุ่นคิด กลิ่นอายของเขาก็แผ่ออกมา ในชั่วพริบตานั้นกลิ่นอายเทวะหวังหลินก็หายไปและแสดงเฉพาะกลิ่นอายเซียนขั้นแกนลมปราณ
หวังหลินฝึกเซียนมาถึงขั้นเทวะระดับต้นแล้วและวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็น่าประหลาดอย่างยิ่ง คนอื่นไม่สามารถมองทะลุเขาออกได้เพียงแค่กวาดสัมผัสวิญญาณ เว้นแต่จะมีคนที่มีระดับบ่มเพาะสูงกว่าเข้ามาใกล้เท่านั้น
แน่นอนว่านี้ไม่ใช่สำหรับเซียนเฒ่าที่ก้าวไปในขั้นที่สองแล้ว
“หากข้าซ่อนตัวที่นี่ไม่น่าจะมีใครหาเจอ แม้ว่าเทียนหยุนและพรรคพวกจะตามล่าข้าถึงดาราจักรทุกชั้นฟ้า พวกมันคงไม่คิดว่าข้าจะซ่อนตัวอยู่ในดาวเซียนแห่งนี้” สายตาหวังหลินพลันสว่างขึ้นและค่อยๆลดความอำมหิตลง แม้ว่าดวงตายังคงใสสว่างแต่ความน่าดึงดูดเลือนหายไปสิ้น
“จากสีหน้าของทั้งสี่คนนั้น ดาวตงหลินทรงพลังอย่างยิ่ง ก่อนข้าจะแข็งแกร่งเพียงพอ ข้าจะไม่ไปดาวดวงนั้น!”
หวังหลินเผยรอยยิ้มออกมา สายลมอ่อนโยนพัดผ่านออกมา ใบหน้าเย็นชาของหวังหลินเลือนหายไป เขาดึงกระบี่หินดูธรรมดาออกมาและเหาะออกไป
ขณะเหาะเหิน รูปร่างหวังหลินเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ หลังจากนั้นไม่นานนัก รูปร่างหน้าตาของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแม้แต่คนที่คุ้นเคยก็คงจำไม่ได้
เซียนระดับสูงเกือบทุกคนต่างมีวิชาเปลี่ยนรูปลักษณ์นี้ อย่างไรก็ตามยิ่งมีระดับบ่มเพาะสูงขึ้นวิชานี้ก็มีจุดอ่อนมากเกินไป เซียนระดับสูงทุกคนเพียงแค่มองผ่านๆก็จะพบร่องรอย และเมื่อต้องเผชิญกับคนที่มีวิชาเกี่ยวกับการมองเห็น เพียงแค่ชะเลืองก็สามารถมองทะลุวิชานี้ได้แล้ว
แต่กับหวังหลินนั้นต่างกันออกไป เขาไม่ได้ใช้วิชากับตัวเอง แต่ใช้กับองครักษ์เทพให้ซ่อนตัวอยู่ในเงาของเขา มีคนไม่มากนักที่สามารถมองทะลุมันได้
หลังจากเหาะเหินมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เมืองก็ปรากฏเบื้องหน้า เมืองแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงที่สร้างจากหินสีฟ้าขนาดใหญ่และแสดงถึงความบ้าอำนาจ บนกำแพงมีอักษรใหญ่อยู่สองตัว
“ตระกูลซุน”
หวังหลินเก็บกระบี่เหินและร่อนลงนอกเมือง พลันปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าและเดินเข้าเมืองอย่างใจเย็น
อาจเป็นเพราะพวกเขาสังเกตเห็นว่าหวังหลินเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลาย แต่ยามรักษาการณ์ในเมืองไม่ตรวจสอบเข้มงวดเกินไปนัก พวกเขาบอกเพียงว่ามีถ้ำฝึกฝนที่เตรียมไว้โดยเฉพาะสำหรับเซียนต่างถิ่น หวังหลินจ่ายหินวิญญาณสำหรับที่พักชั่วคราวและได้รับป้ายสิทธิ์กลับมา จากนั้นก็เดินเข้าไปในเมืองที่ควบคุมโดยตระกูลซุน
มีคนธรรมดาจำนวนมากในเมืองแต่ก็มีเซียนจำนวนมากเช่นกัน ร้านค้าทุกประเภทเต็มไปด้วยสิ่งที่เหล่าเซียนพบเห็นได้ทั่วไปเรียงรายอยู่ข้างถนน แน่นอนว่ามีบางร้านสำหรับคนทั่วไปเช่นกัน
หวังหลินรู้สึกไม่อึดอัดนักในขณะที่เดินอยู่บนถนน ราวกับเขาเป็นคนของเมืองนี้ ตั้งแต่ที่ตัดสินใจจะตั้งรกรากอยู่ที่นี่หวังหลินจึงอยากหาสถานที่เอาไว้
หลังจากเข้าสู่ฝั่งเหนือของเมือง หวังหลินรู้สึกได้ทันทีว่าที่นี่เงียบสงบและมีพลังปราณมากมายที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีบ้านโดดเดี่ยวแยกห่างกันอยู่จำนวนมากพร้อมกับกฏเกณฑ์ป้องกันอีกด้วย
มีกฏเกณฑ์อยู่ตรงทางเข้าเพื่อป้องกันไม่ให้คนธรรมดาเข้ามาได้ ทั้งยังมีก้อนหินสูงกว่าสามร้อยฟุตพร้อมกับป้ายสิทธิ์สีดำประมาณเจ็ดถึงแปดอันแขวนเอาไว้
มีวิญญาณแรกกำเนิดของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ใต้ก้อนหิน ดวงตาปิดสนิทพร้อมกับพ่นลมหายใจร้อนๆออกมาจากจมูก
หวังหลินยืนอยู่นอกทางเข้าและมองเข้าไปด้านใน กฏเกณฑ์ป้องกันนี้ช่างง่ายดายในสายตาหวังหลิน หวังหลินสามารถเดินเข้าไปข้างในได้โดยที่ไม่ให้กฏเกณฑ์ตอบสนองและไม่จำเป็นต้องทำลายมันก็ยังได้
ขณะที่กำลังมองกฏเกณฑ์ ชายหนุ่มที่อยู่ใต้ก้อนหินพลันลืมตาขึ้นมา เขามองตรงมายังหวังหลินและพลางกล่าว “มีห้องที่เปิดแปดห้องเท่านั้น เจ้าต้องการห้องไหน”
หวังหลินถามกลับไปโดยสีหน้าเหมือนเดิม “พวกมันมีอะไรแตกต่างกันหรือไม่?”
เด็กหนุ่มดูราวกับหมดความอดทนและกล่าวขึ้นมา “ห้องพักชั้นบนราคาหินวิญญาณระดับสูงพันก้อน ชั้นล่างเพียงแค่หนึ่งร้อยหินวิญญาณ”
หวังหลินคิดสักครู่ก่อนหยิบหินวิญญาณหนึ่งร้อยก้อนวางลง ชายหนุ่มเผยท่าทีดูถูกพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อรวบรวมหินวิญญาณไป เขาหยิบเหรียญตราออกจากก้อนหินและโยนให้แก่หวังหลิน “บ้านหลังที่ห้าจากทิศตะวันออก ไปซะ!” หลังจากนั้นชายหนุ่มก็หลับตาลงและสนใจเพียงการบ่มเพาะของตัวเอง
หวังหลินรับเหรียญตราขึ้นมามอง มีกฏเกณฑ์สองอย่างในเหรียญตราซึ่งหนึ่งในนั้นคือสิทธิ์การผ่านทางเข้า หวังหลินถอนสายตาออกมาแล้วเริ่มเดินเข้าไปด้านใน
ในขณะที่เขาเข้าไป ชายหนุ่มผู้อยู่ใต้ก้อนหินลืมตาขึ้นและพึมพำกับตัวเองด้วยคำพูดดูถูก “เซียนต่างถิ่นที่อยากจะยืมพลังปราณของตระกูลซุนของข้าเพื่อสร้างวิญญาณแรกกำเนิด ฮึ่มมมม! การสร้างวิญญาณแรกกำเนิดจะง่ายดายเพียงนั้นได้อย่างไร? พรสวรรค์ของเขาก็อยู่ระดับกลางๆ แม้แต่การบรรลุขั้นแกนลมปราณอาจจะพึ่งเม็ดยา!”
หวังหลินได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม เขาหันกลับมามองด้านหลังก่อนจะเดินหน้าต่อไป ไม่นานนักก็มาถึงบ้านหลังที่ห้าในทิศตะวันตก
บ้านหลังนี้ดูเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยพลังปราณ หลังจากมองไปรอบ ๆ ห้องแล้วหวังหลินรู้สึกพอใจ
มีหนึ่งเตียงและเสื่อนั่งสมาธิหนึ่งผืนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเตาหลอมยาและห้องกึ่งปิดด่านฝึกตน แม้ว่ามันจะมีขนาดเล็กแต่ก็ดูดีมาก
ด้านนอกห้อง หวังหลินโบกฝ่ามือ กฏเกณฑ์ในห้องถูกปรับปรุงเพื่อสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ กฏเกณฑ์ที่สร้างขึ้นนี้ทรงพลังกว่าของเดิมนับสิบเท่า เขานั่งทำสมาธิภายในห้องและสูดลมปราณหนาแน่นเข้าไป
เมื่อร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังปราณสีหน้าจึงผ่อนคลายขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน หวังหลินปล่อยลมหายใจออกมาจากปากและแฝงความเสียใจ
“นี่ก็นานมากแล้วที่ข้าบ่มเพาะพลังปราณ น่าเสียดายนัก ไม่ว่าพลังปราณจะหนาแน่นแค่ไหน มันก็ไม่อาจยกระดับการบ่มเพาะของข้าได้” หินหยกสวรรค์เกือบทั้งหมดถูกใช้ไปในการบุกทะลวงขั้นเทวะซึ่งมันมีไม่เพียงพอให้หวังหลินฝึกฝนทุกวัน
“มีน้ำทิพย์สวรรค์เพียงห้าหยด ข้าใช้ไปสี่หยดขณะที่อยู่ภายใต้พลังของผลไม้ทะยานสวรรค์เพื่อให้ร่างกายมีปราณสวรรค์ไม่มีวันหมด แต่เห็นได้ชัดว่ามันอยู่ได้ไม่นานนักอีกไม่กี่ปีน้ำทิพย์สวรรค์ในร่างกายของข้าจะถูกใช้ไปจนหมด ซึ่งข้าจะไม่มีปราณสวรรค์ที่ไม่มีวันหมดอีกต่อไป”
นอกจากนี้ น้ำทิพย์สวรรค์อีกหยดทำให้ข้าทะลวงสู่ขั้นเทวะไปแล้ว แต่หลังจากนี้ยังต้องการปราณสวรรค์มากขึ้นอีกมหาศาล การดูดซับตอนนี้จะไม่มีผลเหมือนเดิมเช่นก่อนอีกแล้ว แทนที่จะใช้มันอย่างสิ้นเปลือง ข้าเก็บมันไว้ใช้ตอนที่ได้รับบาดเจ็บหรือจำเป็นต้องใช้พลังปราณสวรรค์จำนวนมากในเวลาอันสั้นจะดีกว่า! ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ สิ่งแรกเลยคือข้าต้องได้รับหินหยกสวรรค์เพียงพอต่อการบ่มเพาะในแต่ละวัน”
ท้องฟ้าข้างนอกค่อยๆมืดลงทำให้ห้องมืดลงไปด้วย หวังหลินสะบัดฝ่ามือและเทียนพลันสว่างขึ้นพร้อมกับเปลวไฟ บ้านจึงสว่างด้วยแสงไฟจากเชิงเทียนทันที
มีลูกปัดสีฟ้าขนาดเท่ากำปั้นติดอยู่บนเพดาน ควันจากเทียนลอยขึ้นและถูกลูกปัดดูดซับเอาไว้ ในไม่นานนักลูกปัดก็เต็มไปด้วยควันและเริ่มส่องสว่างขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นดึงดูดความสนใจของหวังหลิน เขาไม่เคยเห็นการออกแบบที่ชาญฉลาดเช่นนี้มาก่อน หวังหลินมองไปที่ลูกปัดสีฟ้าซึ่งกำลังส่องสว่างสดใสดุจพระจันทร์
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป ภายในลูกปัดก็ส่องแสงสว่างเจิดจ้าเกิดแสงสีฟ้าอ่อนออกมาแต่ทำให้เทียนมอดดับไปด้วย ภายในห้องตอนนี้มีสิ่งเดียวที่ทำให้เกิดแสงคือลูกปัด
“ภายในลูกปัดมีกฏเกณฑ์ข้างในอยู่สามอย่าง ซึ่งทั้งสามกฎเกณฑ์ทำหน้าที่รวบรวมควัน เปลี่ยนควันให้กลายเป็นความร้อนและใช้ความร้อนผลิตแสดงสว่าง ด้วยสิ่งนี้ดาราจักรทุกชั้นฟ้าจึงเป็นสถานที่ที่ดียิ่ง”
กลิ่นไม้จันทน์จางๆ ออกมาจากลูกปัด กลิ่นนี้ทำให้จิตใจของผู้คนไม่ฟุ้งซ่าน
“ค่ายกลที่สามก่อให้เกิดกลิ่นไม้จันทน์นี้” ดวงตาหวังหลินพลันสว่างขึ้นมา ไม่เพียงแต่ในกลิ่นไม่ก่อผลเสียใดๆ มันยังช่วยเร่งความเร็วในการบ่มเพาะอีกด้วย มันเป็นวัตถุดิบที่ไม่ได้หาได้ทั่วไป
ขณะนั่งอยู่ภายในห้อง ด้านนอกเงียบสนิท หวังหลินขบคิดอยู่นานและมีความคิดหนึ่งเกิดในใจ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ลบความคิดนั้นทิ้งไป
“ขโมยมาเป็นของข้า และหลังจากนั้นข้ายังต้องการหินหยกสวรรค์จำนวนมากที่จำเป็นสำหรับเซียนขั้นเทวะเท่านั้น บางทีตระกูลใหญ่ๆที่นี่น่าจะมีเพียงพอ”
“แต่หากข้าทำเช่นนี้ ข้าคงต้องออกไปจากดาวรานหยุนและไปที่อื่น ซึ่งนั่นไม่ใช่แผนการที่ดี”
หลังจากขบคิดสักพักหวังหลินเงยหน้าขึ้นและตัดสินใจ พลันตบกระเป๋าและนำวัตถุดิบหล่อหลอมบางส่วนออกมา
หวังหลินปล่อยพลังดั้งเดิมออกมาห่อหุ้มวัตถุดิบนั้น มันละลายอย่างรวดเร็วและกลายเป็นแม่พิมพ์สามอย่างตามแบบสัมผัสวิญญาณของหวังหลินต้องการ
กระบี่เหิน กระจกเงินและปิ่นปักผม
หวังหลินสร้างผนึกขึ้นมาและวางกฏเกณฑ์ใส่ของทั้งสามเป็นจำนวนมาก สมบัติทั้งสามเริ่มปลดปล่อยแรงกดดันออกมาทีละน้อย เนื่องจากพวกมันถูกวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินปรับแต่ง บางครั้งมันจึงปรากฏสายฟ้าออกมาด้วย
หลังจากวางกฏเกณฑ์ลงไป หวังหลินก็ขบคิดสักพัก เขานึกถึงเซียนบนดาวซูซาคุที่มีเขตแดนแห่งกาลเวลา ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลินตอนนี้และเนื่องจากการที่มีเต๋าของตนเอง หวังหลินจึงสามารถเลียนแบบมันได้อย่างแนบเนียน
เพียงสะบัดฝ่ามืออีกครั้ง กระจกสีเงินตกลงมาและใส่เขตแดนแห่งกาลเวลาเข้าไปข้างใน
จากนั้นหวังหลินนึกย้อนไปอีกครั้ง คราวนี้คือเขตแดนพันมายาไร้ปราณีของหลิวเหมย ภาพมายานับไม่ถ้วนแล่นผ่านในจิตใจของเขาจนกระทั่งพวกมันกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในปิ่นปักผม
ส่วนกระบี่เหิน หวังหลินไม่ได้ใส่เขตแดนอะไรเข้าไป เขาเพียงประทับค่ายกลเคลื่อนย้ายไว้ในกระบี่