71. สี่ปี
ด้วยระดับฝึกตนของหวังหลินตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องหลับนอนหลังจากนอนบนเตียงของตัวเองเพียงครู่เดียวเขาก็ลุกขึ้นนั่งและมองพระจันทร์นอกหน้าต่างโบกมือขวาครานึง น้ำเต้าก็ลอยออกมาจากนั้นเขาก็ดื่มไปอึกใหญ่
หวังหลินพึมพำกับตัวเอง “จำนวนพลังปราณที่จำเป็นสำหรับทะลวงผ่านจากขั้นรวบรวมลมปราณไปถึงขั้นสร้างลำต้นนั้นมหาศาลยิ่งนักถึงเวลาที่ข้าจะเริ่มรวบรวมน้ำค้างอีกครั้ง”
ซือถูหนานถามขึ้น “นั่นก็ถูก นี่เจ้าเด็กเหลือขอ เมื่อไหร่เจ้าจะวางแผนออกไปหาธาตุไม้เพื่อช่วยให้ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าสมบูรณ์สักที?”
หวังหลินครุ่นคิดจากนั้นก็พูดขึ้น “อันดับแรกข้าต้องหาสถานที่ใกล้ๆเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับทะลวงผ่านขั้นสร้างลำต้นจากนั้นข้าถึงจะไปดูว่าโจวเผิงเป็นเช่นไรบ้างหากไม่มีไรผิดปกติข้าถึงจะออกไปจากที่นี่”
กลางดึกผ่านไปอย่างเงียบสงบหวังหลินใช้เวลาอยู่กับครอบครัวจนผ่านไปครึ่งเดือน จากนั้นหวังหลินก็ออกมาหลังจากกล่าวอำลาครอบครัวตัวเองอย่างฝืนใจ เขาก็จากไปเป็นแสงรุ้งหลากสี
หวังหลินรู้สึกเศร้าใจเมื่อออกมา เขาไม่รู้ว่าโอกาสหน้าจะได้กลับมาบ้านอีกหรือไม่ มันอาจจะไม่กี่ปี หรืออาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลย
เดิมทีแล้วสถานที่ที่เขาวางแผนเพื่อปิดประตูฝึกฝนจะเป็นถ้ำที่มีหลุมในผนังถ้ำแต่เขากลับตัดสินใจตรงกันข้ามซึ่งต่างจากผู้ฝึกเซียนคนอื่นเขาต้องการน้ำภายในถ้ำ ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่มีทางหาพลังปราณมากมายได้แน่ยิ่งใกล้ภูเขาเหิงยั่วมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น
หลังจากค้นหาพื้นที่รอบๆหวังหลินก็พบเจอถ้ำแห่งหนึ่งใกล้ภับยอดเขาว่างเปล่ามีแอ่งน้ำใต้ดินและซากสัตว์จำนวนมากภายในถ้ำดูเหมือนจะมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่ที่นี่จำนวนมากมาก่อนหลังจากตรวจสอบดูอย่างระมัดระวังในถ้ำ เขาก็แน่ใจได้ว่าไม่มีทางออกอื่นหวังหลินรีบใช้วิชาแรงโน้มถ่วงและปิดผนึกทางเข้าถ้ำด้วยหินหลายก้อน
เป็นผลทำให้ถ้ำได้ปิดผนึกอย่างสมบูรณ์และหวังหลินก็เริ่มปิดประตูฝึกฝน
หลังจากเริ่มฝึกฝนเซียน วันเวลาก็ได้ผ่านไป
หนึ่งปี…
สองปี…
สามปี…
สี่ปี…
โดยที่เขาไม่ทันได้สังเกต สี่ปีก็ได้ผ่านไปแล้ว
ส่วนผู้คนที่เหลือของสำนักเหิงยั่ว พวกเขาต่างลืมเรื่องหวังหลินทั้งสิ้นและคิดได้ว่าเขาตายไปแล้วหลิวเหวินจวี่และหญิงชราต่างเสียใจที่ปล่อยให้เขาออกไป
คนที่ดูจะมีความสุขที่สุดเมื่อคิดเรื่องนี้คือหลิวโม่ว เพราะว่าเขาจะได้กลายเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของกลุ่มเล็กๆนี้
ส่วนฮวงหลงและคนอื่นๆรุ่นเดียวกับเขาพวกเขาต่างไม่ได้พูดคุยกับหวังหลินมากนักดังนั้นจึงรู้จักหวังหลินได้แต่เหตุการณ์ครั้งล่าสุดเท่านั้นดังนั้นหลังจากผ่านไปสี่ปีพวกเขาต่างก็ลืมเลือนเรื่องราวเกี่ยวกับหวังหลินแทบทั้งสิ้น
ในปีแรกที่หวังหลินปิดประตูฝึกฝนเขายังติดต่อกับโจวเผิงและพบว่าเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ขั้นสร้างลำต้นและสูงกว่าต่างปิดประตูฝึกฝนในหลังภูเขาดังนั้นจึงไม่มีใครพบเรื่องที่เกิดขึ้นกับโจวเผิงนอกจานี้เขายังมีสถานะเป็นถึงพี่ใหญ่ของสำนักซวนต้าวจึงไม่มีใครกล้าสร้างความรำคาญให้จึงทำให้หวังหลินได้เก็บรวบรวมข้อมูลและลอบดูแลเหล่าศิษย์ที่มีเจตนาร้ายต่อหวังหลินอีกด้วยเนื่องด้วยโจวเผิงดูแลผู้คนพวกนี้หวังงหลินจึงค่อยๆหายไปจากความทรงจำของทุกคน
ทางเข้าถ้ำที่หวังหลินฝึกฝนอยู่ตอนนี้ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ ทำให้ถ้ำไม่อาจตรวจพบเจอได้
ในสี่ปีนี้ ทางเข้าถ้ำได้กลายเป็นสถานที่ที่มีแต่เหล่าสิงสาราสัตว์ บางตัวกระทั่งนั่งข้างนอกทางเข้าและฝึกฝนไปด้วย
ในวันหนึ่ง แสงรุ้งหลากสีสองเส้นได้พาดผ่านถ้ำนี้สองบุรุษและหนึ่งสตรีปรากฎตัวจากลำแสงนั้นและหยุดลงใกล้ถ้ำคนข้างหน้าเป็นชายกลางคนสวมชุดสีดำร่างกายหยุดกลางอากาศด้วยกระบี่เหินสีเขียวใต้ฝ่าเท้าเขากระบี่ปลดปล่อยบรรยากาศเย็นยะเยือกที่ทำให้คนอื่นหวาดกลัว
ถัดจากชายวัยกลางคนเป็นสตรีเยาว์วัยนางหนึ่งสตรีคนนี้มีเสน่ห์น่าสนใจและน้ำเสียงเธอดังสดใส “ศิษย์พี่สามท่านได้มาช่วยข้าหาลูกแก้ววิญญาณอสูรการประลองเพื่อเข้าไปหลังภูเขาจะเริ่มในไม่ช้านี้แล้วและข้าเพียงต้องการลูกแก้ววิญญาณอสูรธาตุไม้เท่านั้นเพื่อเสริมพลังให้กับกระบี่เหินของข้าด้วยกระบี่นี้ข้าจะกำชัยชนะได้แน่ๆ ”
หากหวังหลินเห็นสตรีนางนี้ เขาคงรู้สึกคุ้นเคยกับเธอสตรีคนนี้คือแม่นางซิ่วที่แอบรักหวังจัวตอนนี้เธอโตขึ้นจากเด็กสาววัยรุ่นน่ารักกลายเป็นสตรีสวยงาม
ชายวัยกลางคนราวกับเคลิ้มฝัน ทันใดนั้นเขาก็ตั้งสติได้และพูดขึ้น “ศิษย์น้องต่างฝึกฝนอย่างหนักและมุ่งมั่นที่จะเข้าไปหลังภูเขาให้ได้หลังจากข้าช่วยเจ้าให้ได้ลูกแก้ววิญญาณอสูร ข้าจะไปปิดประตูฝึกฝน”
ยังมีเด็กวัยรุ่นอีกคนที่ยืนถัดจากหญิงสาวคนนี้เขาดูเด็กมากและแนบชิดกับแม่นางซิ่ว “ศิษย์พี่ชายและพี่สาวท่านทั้งสองเหาะเร็วเกินไปแล้วข้ายังไม่ทันจะเปิดตาก็มาถึงที่นี่เรียบร้อยแล้ว ข้าว่าเราลงไปกันเถอะ”
แม่นางซิ่วพูดขึ้น “น้องชาย ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าตามมาสักหน่อยข้าบอกเจ้าแล้วว่าระดับฝึกตนของเจ้ายังไม่สูงพอแค่ความเร็วระดับนี้เจ้าแทบจะยืนไม่ได้แล้ว”
ชายวัยกลางคนหันหน้ามาหาทั้งสองและพูดขึ้น “น้องชายพรสวรรค์เจ้าดีนักแต่ว่าเจ้ายังไม่อาจยืนได้บนความลำบากเล็กน้อยแค่นี้แล้วอนาคตเจ้าจะฝึกฝนยังไง?”
เด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความกลัวเกรงชายวัยกลางคนและพูดขึ้น “ศิษย์พี่ลำดับสาม ข้ารู้ว่าข้าผิดพลาด”
แม่นางซิ่วเคาะไปที่หัวเด็กหนุ่ม “น้องชาย เจ้ารอสักเล็กน้อย พวกเราไปจับลูกแก้วอสูรสักครั้ง เราค่อยกลับสำนักได้”
เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างรวดเร็ซและกระซิบ “พี่สาวท่านเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งในสำนักซวนต้าวท่านสามารถฝึกฝนจากระดับสี่ถึงระดับเจ็ดได้เพียงสี่ปีเท่านั้น เวลานี้หลังจากท่านจับลูกแก้ววิญญาณอสูรและเสริมพลังวิญญาณกระบี่ได้ท่านก็จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสำนักซวนต้าวแล้วท่านต้องช่วยข้าตอนที่หลี่ชานแกล้งข้านะ”
หญิงสาวส่ายหัวและยิ้มขึ้น “พูดถึงเหล่าอัจฉริยะพี่อาวุโสหลิวเฟิงคือที่หนึ่งแน่นอนเขาได้ไล่ตามระดับฝึกตนของพี่ใหญ่และกำลังผ่านเข้าสู่ระดับสิบสามในไม่ช้านี้ยังมีพี่หลิวเหมยอีกด้วยที่ได้ถึงระดับสิบสองเรียบร้อยแล้วศิษย์สำนักซวนต้าวเดิมทั้งหมดต่างมีสิทธิ์ที่จะได้เข้าฝึกฝนในหลังภูเขาแต่เดิมข้ามาจากสำนักเหิงยั่วดังนั้นข้าจึงต้องสู่เพื่อตำแหน่งที่เหลือในหลังภูเขาข้าหวังว่าข้าจะสามารถชนะในเวลานี้”
ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาและพูดด้วยความไม่พอใจ “เพียงแค่สารเลวหลิวเฟิงนั่นที่เติบโตได้รวดเร็วเพราะว่ามันเข้าหลังภูเขาไปได้มันเพราะว่าบรรพบุรุษของเรามีสายตากว้างไกลที่สร้างสถานที่อย่างหลังภูเขาเหิงยั่วขึ้นมาถ้าหากไม่มีบรรพบุรุษของเราหลิวเฟิงจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร? แม้เขาจะมีพรสวรรค์มากมายแต่หากไม่มีพลังปราณจำนวนมากก็คงต้องใช้เวลาหลายปีกว่านี้เพื่อทะลวงระดับ”
แม่นางซิ่วยิ้มขึ้นและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่สาม ดูนั่นสิข้าจะได้ว่ามันต่างจากที่ข้าเคยเห็นคราวก่อนทำไมถึงมีสัตว์ป่ามากมายบริเวณนี้?”