734. ต่อรองได้ดี
ชายชราพ่นลมหายใจก่อนจะล่าถอยและเอ่ยขึ้น “ข้าเพียงแค่ก้าวไปขั้นมายาหยินได้เมื่อสองปีก่อน หากมีเวลาหลายปีกว่านี้ไม่ว่าเจ้าจะมีสมบัติมากแค่ไหนก็เทียบข้าไม่ได้!”
หวังหลินถอนเศษวิญญาณภูเขาออกมาและเอ่ยสงบนิ่ง “ข้ากำลังพูดกับเจ้าเรื่องการแลกเปลี่ยนวิชานี้!”
ชายชราเยาะเย้ย “อย่าแม้แต่จะคิดเรื่องนั้น เจ้าเอาเตาหลอมอัสนีไปแล้ว ตอนนี้ก็จากไปได้!”
หวังหลินขมวดสายตา จากนั้นยกแขนขวาขึ้นพุ่งลำแสงสีดำออกมาหนึ่งสาย เมื่อลำแสงสีดำปรากฏ ชายชรากลับรู้สึกว่าพลังชีวิตของตัวเองกำลังถูกดูดออกไป
แสงสีดำพุ่งตรงออกไปเข้าหาดาวเคราะห์เซียนและเลือนหาย ทว่าสัมผัสวิญญาณของชายชราตามติดไปอย่างใกล้ชิดและเห็นแสงสีดำร่อนลงบนพื้นที่ลุ่ม พืชพันธุ์บนพื้นที่แห่งนั้นแห้งเหี่ยวทันทีก่อนจะเปลี่ยนกลายเป็นพลังชีวิตจำนวนมากลอยออกมาจากดาวเคราะห์และเข้าสู่ร่างหวังหลิน
หวังหลินเอ่ย “วิชานี้มีชื่อว่า ดัชนีแห่งความตาย!”
ชายชราพ่นลมหายใจ “หากข้าไม่ได้บรรลุขั้นมายาหยิน มันคงทำให้ข้าสนใจได้เล็กน้อย แต่ตอนนี้มันช่างไร้ค่า!” แม้จะพูดเช่นนี้แต่ในใจเขาลอบตื่นตะลึงกับความโหดร้ายของมัน เขาไม่ได้สนใจพลังอำนาจของวิชานี้แต่สนใจในความสามารถในการดูดซับพลังชีวิต
หวังหลินชี้แขนขวาออกไปอีกครั้ง กลิ่นอายปิศาจปรากฏขึ้นมารอบปลายนิ้ว พุ่งออกไปดุจลูกกระสุนและหยุดลงเบื้องหน้าชายชรา
“วิชานี้คือดัชนีมาร มันเปลี่ยนปราณสวรรค์ให้กลายเป็นปราณปิศาจ เมื่อใช้ร่วมกับดัชนีแห่งความตาย ผลลัพธ์จะดียิ่งขึ้น!”
ชายชราจ้องกลิ่นอายสีดำเบื้องหน้าเขาและเริ่มขบคิด เขางื่อนแขนขวาขึ้นมาและจับมันไว้ ก่อนจะตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ หลังจากผ่านไปสักพักจึงมองหวังหลิน “ข่าวลือว่าคนจากดาวตงหลินมีวิชากลิ่นอายปิศาจที่ดีเยี่ยม เช่นนั้นเจ้าก็มาจากดาวตงหลิน! อย่างไรเสียวิชานี้ก็ยังไร้คุณค่า!”
หวังหลินขบคิดเล็กน้อย จากนั้นก็เป็นสิ่งที่ซือถูหนานห่วงใยมากที่สุดคือดัชนีนรก
ชายชราตกตะลึงไม่เชื่อเต็มสองตา แม้ว่าวิชาจะมีข้อบกพร่องแต่มันไม่ใช่สิ่งที่หวังหลินสามารถเอามาแลกเปลี่ยนได้ ดวงตาหวังหลินส่องสว่างขึ้นมาพร้อมกับยกแขนขวาขึ้น “วิชาสุดท้ายเป็นสิ่งที่ข้าเรียนรู้มาจากผู้อาวุโสขั้นทลายสวรรค์ หากเจ้ายังไม่สนใจก็จงลืมมันเสียเถอะ!”
หวังหลินสั่งการทางความคิดให้องครักษ์เทพด้านหลังเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองพุ่งตรงเข้าหาดาวเคราะห์เซียน
การกระทำของหุ่นเชิดทำให้ท่าทางชายชราต้องลดต่ำลง
หบังจากนั้นไม่นานองครักษ์เทพก็กลับมาพร้อมกับอสูรดุร้ายตัวหนึ่งในมือ อสูรตัวนี้ดูดุร้ายยิ่งนัก ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยหนาม มันมีแขนของคนธรรมดาข้างหนึ่งอยู่ในปาก เห็นได้ชัดว่ามันกำลังกินอยู่ตอนที่องครักษ์เทพจับมันมา
สองนิ้วหวังหลินก่อรูปกระบี่ เขาไม่ได้ใช้ศาสตร์สังหารเทพมานานแล้ว พลังสังหารนับไม่ถ้วนที่เขาควบแน่นเอาไว้ตอนนั้นถูกใส่ข้างในหุ่นเชิดและถูกใช้ไปทั้งหมดในการต่อสู้
อย่างไรเสียหวังหลินยังคงเข้าใจศาสตร์สังหารเทพได้ลึกซึ้ง นอกจากนั้นเขาก็ยังฝึกฝนมันมามากกว่าร้อยปี
ขณะนี้เขาเพ่งสมาธิในชั่วขณะ รวบรวมปราณกระบี่ในนิ้วมือ ส่งออกไปเข้าหาอสูรตัวนั้นจนมันร้องโหยหวนทันที ดวงตาชายชราเบิกกว้างเมื่ออสูรตัวนั้นแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็วและกลายเป็นโครงกระดูก
ควันสีเทาหนึ่งสายออกมาจากซากศพอสูรและห่อหุ้มรอบนิ้วหวังหลิน
หวังหลินสะบัดนิ้วมือและควันสีเทาลอยออกไป จากนั้นเขาก็ชี้มันให้เปลี่ยนกลายเป็นผนึกแห่งชีวิตลอยเข้าหาชายชราทันที
“วิชานี้มีชื่อว่าศาสตร์สังหารเทพ!”
ชายชราขยับเคลื่อนไหวยื่นแขนขวาออกไปคว้าผนึก ส่งสัมผัสวิญญาณตรวจสอบอย่างละเอียด ยิ่งตรวจสอบเท่าไหร่ก็ยิ่งตกใจ ท้ายที่สุดดวงตาเขาก็เรืองแสงสว่าง
ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาจึงแทบสามารถมองทะลุศาสตร์สังหารเทพได้ในทันที เห็นได้ชัดว่าผนึกแห่งชีวิตมีธาตุองค์ประกอบการปกป้องและควันสีเทามีความสามารถในการโจมตี
ไม้ว่ามันไม่ได้ทรงพลังแต่วิชานี้สามารถใช้ได้หลายครั้งและสามารถกักเก็บเอาไว้ได้
“ผนึกชีวิตที่สร้างขึ้นจากศาสตร์สังหารเทพ! การรวบรวมให้มากขึ้นเกี่ยวเนื่องกับการเข่นฆ่าและนำพลังชีวิตมาเพื่อสร้างผนึก ยิ่งมีผนึกชีวิตมากเท่าไหร่ก็ การป้องกันก็ยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น! ตอนนั้นผู้อาวุโสที่สอนวิชานี้กับข้าได้บอกว่าหากมีผนึกชีวิตถึงล้านล้านผนึกปกป้องเอาไว้ แม้ดาวเคราะห์เซียนแตกสลายก็ยังปลอดภัยดี!” หวังหลินไม่ได้โกหกเพราะว่านี่เป็นสิ่งที่เทียนหยุนชัดเทาบอกกับเขาจริงๆ
ชายชราเผยอาการลังเลเป็นครั้งแรก ชัดเจนว่าศาสตร์สังหารเทพนี้ได้กระตุ้นความสนใจได้ดีเยี่ยม ด้วยความเข้าใจอันลึกซึ้งของเขาจึงเห็นความทรงพลังของศาสตร์สังหารเทพนี้และไม่ใช่สิ่งที่เซียนทั่วไปจะทนรับได้ ทั้งยังมีเครดิตว่าเรียนรู้จากผู้อาวุโสขั้นทลายสวรรค์อีก
อย่างไรก็ตามวิชาดวงตาที่สามเป็นมรดกตกทอดของตระกูล ดังนั้นมันจึงไม่สามารถสอนให้กับคนภายนอกได้ง่ายๆ ต้นกำเนิดของวิชานี้ไม่ทราบแน่ชัด ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสของตระกูลได้รับมาโดยบังเอิญ
หากเป็นดาราจักรพันธมิตรเซียน ตระกูลแบบเขาคงไม่สามารถเก็บวิชานี้ไว้กับตัวเองได้ อย่างไรก็ตามในดาราจักรทุกชั้นฟ้าแห่งนี้คือที่ที่ตระกูลเซียนมีพลังอำนาจ ส่วนใหญ่แต่ละตระกูลมีบางอย่างสืบทอดกันมาและสิ่งเหล่านั้นไม่ยอมให้เอาไปได้ง่ายๆ
สิ่งสำคัญกว่าก็คือเขาเป็นคนแรกที่ศึกษามันจนประสบความสำเร็จหลังจากตระกูลได้รับมันมา
หวังหลินรออยู่ชั่วครู่ หลังจากเห็นว่าชายชรายังคงลังเล เขาจึงโบกแขนเสื้อและก้าวเข้าหาอสูรสายฟ้า จากนั้นเอ่ยขึ้น “เมื่อสหายเซียนยังคงไม่ยินยอม เช่นนั้นก็ลืมเรื่องนี้ไปเถอะ!” สิ้นคำพูด อสูรสายฟ้าข้างล่างเขาพลันเปลี่ยนเป็นลำแสงสายฟ้าและลอยออกไปไกลพร้อมกับองครักษ์เทพที่ตามไปติดๆ
ผนึกชีวิตในมือชายชราแตกสลายและกลายเป็นขี้เถ้า ขณะที่มันหายไป คลื่นในใจเขาก็เกิดขึ้นมาให้ความรู้สึกว่าวิชานี้ควรจะเป็นของเขาและมันพึ่งถูกขโมยไป
เมื่อเห็นว่าหวังหลินกำลังหายตัวออกไปไกล สีหน้าท่าทางของชายชราก็เปลี่ยน เขากัดฟันแน่นและตะโกน “สหายเซียน หยุดเถอะ ข้าจะแลกเปลี่ยนมันกับศาสตร์สังหารเทพพร้อมกับดัชนีแห่งความตายและดัชนีมาร!”
หวังหลินหยุดชะงัก อสูรสายฟ้าร้องคำรามและหันกลับมา มันหยุดห่างจากชายชราไปร้อยฟุต สายฟ้าพ่นออกมาจากจมูกและส่งสายตาดูถูก
ชายชรากัดฟันและเอ่ยขึ้น “ข้ายอมรับการแลกเปลี่ยนของเจ้า แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่แพร่กระจายให้กับคนอื่น”
หวังหลินพยักหน้าโดยไม่รอให้เสียเวลา เขานำหินหยกออกมาสามชิ้น บันทึกรายละเอียดของทั้งสามวิชาแล้วจึงโยนให้โดยไม่กลัวว่าชายชราจะเอากลับคืน
ชายชรามองดูข้างใน แม้ว่าสีหน้าท่าทางจะเป็นธรรมชาติแต่เขาชื่นชมการกระทำของหวังหลินในใจ จากนั้นนำหินหยกออกมาหนึ่งก้อนและบันทึกกรรมวิธีดวงตาที่สามก่อนจะโยนให้หวังหลิน อย่างไรก็ตามเขาวางแผนปรับเปลี่ยนเล็กน้อย หากคนฝึกฝนตามบันทึกนี้จะมีอันตรายใหญ่หลวงซ่อนอยู่ในอนาคต
หวังหลินรับหินหยกและตรวจสอบ เขาลอบใช้วิชาและพยายามเปรียบเทียบกับตอนที่ดวงตาที่สามถูกใช้งาน หวังหลินสามารถมองเห็นปัญหานี้ได้แต่เขาไม่ได้ชี้จุดนั้นออกไปและพยักหน้า
เมื่อมองผู้อาวุโส หวังหลินรู้สึกค่อนข้างแย่ เขาทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนนี้ได้มากมายจึงลังเลเล็กน้อยและเอ่ยขึ้น “สหายเซียน จะดีที่สุดหากไม่ฝึกฝนมันเกินพลังสังหารหนึ่งแสนเส้น ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดอันตรายใหญ่หลวง!” หลังกล่าวเช่นนั้นหวังหลินจากไปทันทีราวกับกำลังเร่งรีบ
ชายชราตกตะลึงก่อนจะมองไปที่หินหยกในมือ หลังขบคิดอยู่ชั่วครู่เขาก็รีบกลับไปที่ดาวเซียนพร้อมกับคนอื่นๆ จากนั้นปิดด่านฝึกตนทันที เขาบ่มเพาะให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื่อที่จะเตรียมพร้อมสำหรับแดนสวรรค์ที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือน
หวังหลินนั่งบนหลังอสูรสายฟ้าด้วยสีหน้าแปลกประหลาด เขาส่ายศีรษะและเอ่ยออกมา “การแลกเปลี่ยนสามวิชาที่มีปัญหากับวิชาที่มีร่องรอยขั้นที่สามดูเหมือนจะมากเกินไปเล็กน้อย…” หวังหลินมองหินหยกในมือและเผยรอยยิ้ม
ชายชราถือว่ามันเป็นเพียงวิชาธรรมดาเท่านั้น แม้เขาจะระมัดระวังก็ยังมีขอบเขตอยู่ อย่างไรก็ตามหวังหลินรู้สึกได้ว่าวิชานี้ทรงพลังยิ่งเนื่องจากมันบรรจุร่องรอยกลับคืนสู่ต้นกำเนิด
หากหวังหลินไม่เคยเห็นขั้นที่สาม เขาคงไม่เห็นประโยชน์ของวิชานี้ หวังหลินระงับอาการตื่นเต้นไว้ในใจและตรวจสอบหินหยกอย่างละเอียด
เขาไม่ได้สนเรื่องจุดผิดพลาดที่ชายชราทิ้งไว้ ตราบใดที่มีเวลาพอหวังหลินก็สามารถซ่อมแซมจุดนั้นได้ ซึ่งง่ายดายกว่าการซ่อมจุดของสามวิชาที่เขาให้ไป
อสูรสายฟ้าพุ่งผ่านดวงดาวอย่างรวดเร็ว เป้าหมายของมันคือดาวเคราะห์เซียนของหวังหลิน ดาวฉิงหลิน!
เหล่าเซียนของฉิงหลินรู้สึกโชคดีที่ในที่สุดผู้อาวุโสประหลาดก็จากไป อย่างไรก็ตามไม่กี่เดือนต่อมาพวกเขาก็หนักใจอีกครั้งเมื่อผู้อาวุโสคนนั้นกลับมา
พื้นที่บริเวณภูเขาเหิงยุนกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามอีกครั้ง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเข้าไปข้างในแม้แต่เพียงครึ่งก้าว
หลังจากกลับมาที่ดาวเคราะห์เซียนของตนเอง หวังหลินใช้เวลาไปกับการศึกษาเรียนรู้และซ่อมแซมจุดบกพร่องวิชาดวงตาที่สาม ทั้งยังพยายามควบคุมมันอย่างช้าๆ
อีกครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ณ วันที่ดวงอาทิตย์ตั้งตระหง่าน ไร้ก้อนเมฆปกคลุมกลางท้องฟ้าสีตราม สายลมอ่อนโยนพัดพาสัมผัสความอบอุ่นมาด้วย
หวังหลินยืนอยู่ที่ยอดภูเขาเหิงหยุนด้วยเตาหลอมอัสนีในมือ เตาหลอมนี้ขนาดเท่าแขนเขาและมีสายฟ้าเคลื่อนผ่านมันอยู่รอบๆ สายฟ้าเคลื่อนไหวจนเกิดเสียงปะทุเป็นครั้งคราว
ระหว่างคิ้วหวังหลินปรากฏช่องว่างบอบบางขึ้นมาและหายไปเป็นพักๆ ทั้งยังส่องแสงสีแดง ตอนนี้เขาดูประหลาดยิ่ง ไม่มีใครเชื่อว่าเขาเป็นเซียนผู้ชอบธรรม ไม่ว่าจะดูอย่างไรเขาก็มีร่องรอยความชั่วร้ายแฝงอยู่
ทั้งหมดนั้นก็เพราะช่องว่างระหว่างคิ้ว
หลังจากนั้นไม่นานก้อนเมฆสายฟ้าหลายก้อนปรากฏขึ้นในท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆนี้ปรากฏขึ้นมาฉับพลันโดยไม่แสดงอาการมาก่อน ท้องฟ้าสีครามก่อนหน้านี้ได้เปลี่ยนไปทันทีจนถูกปกคลุมด้วยก้อนเมฆ
สายฟ้าปะทุเคลื่อนไปภายในก้อนเมฆและส่งเสียงดังสนั่น ในเวลาเดียวกันเตาหลอมอัสนีในมือหวังหลินดูเหมือนกำลังตอบสนองและก้อนเมฆบนท้องฟ้าหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ขณะนั้นสายฟ้าหนึ่งสายตกลงมาจากก้อนเมฆเข้าหาหวังหลิน!
หวังหลินจ้องสายฟ้า ดวงตาเผยแสงประหลาดลึกลับ เขารู้ว่าตราบใดที่สายฟ้านี้ปะทะกับเตาหลอมสายฟ้า เขาจะถูกชี้ทางผ่านไปในมิติว่างเพื่อเข้าสู่แดนสวรรค์อัสนี
แต่กระนั้นหวังหลินถอนเตาหลอมอัสนีกลับมา!
“นี่มันสายฟ้าสวรรค์…” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง จากนั้นแสงประหลาดในดวงตาก็ยิ่งพิลึกขึ้น การเคลื่อนไหวถัดมาของเขาเป็นส่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเปิดแดนสวรรค์อัสนีที่มีมานับครั้งไม่ถ้วน…