758. วัตถุเก่าแก่ของเหล่าเทพ
หวังหลินมองทางเข้าของหุบเขาแห่งที่สอง จากจุดที่เขายืนอยู่มองเข้าไปมันกลับว่างเปล่า หวังหลินก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและมองรอบด้านอย่างระมัดระวัง จากนั้นฝ่ามือสร้างผนึกส่งกฏเกณฑ์ออกไป
กฏเกณฑ์แบ่งตัวเป็นสิบสี่ชิ้นในอากาศและพุ่งเข้าไปในหุบเขา ดวงตาหวังหลินเป็นประกายเฝ้าดูกฏเกณฑ์เข้าไปและเลือนหายไปอย่างเงียบๆราวกับถูกกลืนกิน ไม่มีคลื่นตอบรับอะไรเลย
หวังหลินขมวดสายตา เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะมุ่งมั่น ฝ่ามือขวาเริ่มสร้างกฏเกณฑ์ขึ้นอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ใช้เวลามากกว่าก่อเกิดกฏเกณฑ์ขึ้นมาหลายสิบแบบ พวกมันพุ่งเข้าไป แต่ละกฏเกณฑ์ต่างก็แบ่งตัวเป็นสิบสี่ส่วน
กฏเกณฑ์ก่อรูปร่างเป็นทรงดอกพลัมและลอยเข้าหาทางเข้า หวังหลินตามไปติดๆและขณะที่กฏเกณฑ์เข้าไปในหุบเขา ดวงตาที่สามก็เปิดขึ้นกระพริบแสงสีแดง หวังหลินจึงสามารถมองเห็นม่านแสงล่องหนตรงทางเข้าได้
จังหวะที่ดอกพลัมสัมผัสกับม่านแสง เงาปิศาจปรากฏขึ้นมาและกลืนกินทันที ด้วยความช่วยเหลือของตามที่สาม หวังหลินจึงสามารถมองเห็นม่านแสงและเงาปิศาจได้อย่างชัดเจนซึ่งมันถูกสร้างขึ้นมาโปร่งใสเป็นอย่างยิ่ง
หวังหลินถอยกลับทันทีและออกคำสั่งให้ดอกพลัมก็ถอนตัวไปกับเขาด้วย เงาปิศาจดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อยก่อนจะไล่ตามหลังมา
ณ ตอนนี้ม่านแสงตรงทางเข้าบางเบาลง เงาปิศาจขยายตัวออกไป หวังหลินรู้สึกถึงเส้นด้ายระหว่างคิ้วของเขาซึ่งเป็นสัญญาณว่าดวงตาที่สามมาถึงขีดจำกัดแล้ว
หวังหลินพุ่งเข้าไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล เคลื่อนไหวรวดเร็วและผ่านเงาปิศาจในพริบตา ตรงมาถึงเบื้องหน้าม่านแสงที่บางเบา ขณะที่สัมผัสกับม่านแสง หวังหลินยกนิ้วขึ้นมาหมุนวนปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮวเข้าสู่ปลายนิ้ว เขาไม่ได้ปลดปล่อยมันแต่เก็บรักษาไว้ในนิ้วและกดประทับลงบนม่านแสง
ม่านแสงสั่นเทาและก่อเกิดเป็นช่องว่างแพร่กระจายออกมา หวังหลินตรงเข้าไปข้างในโดยไม่มีอาการลังเลใดๆ
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เพียงแค่ช่วงเวลาอันสั้น เงาปิศาจล่องหนเหวี่ยงตัวเองกลับและร้องคำรามอย่างเงียบงัน จากนั้นจุดแสงทั้งหมดรวบรวมไปบนร่างกายพุ่งเข้าหาหวังหลิน
หวังหลินรู้สึกว่าหนังศีรษะเย็นเฉียบ ราวกับสายลมจากนรกพัดเข้าหาเขา ดวงตาที่สามไม่สามารถคงอยู่ไว้ได้นานและปิดตัวเองลงอัตโนมัติ ตอนนี้เขาได้เข้ามาในหุบเขาแล้ว ฉากเหตุการณ์นั้นกลับแตกต่างกับที่เขาเห็นภายนอกโดยสิ้นเชิง
พื้นดินของหุบเขาเป็นสีน้ำตาล โครงกระดูกนับไม่ถ้วนปกคลุมไปทั่วผืนดิน พวกมันมีอยู่ทุกที่ อย่างน้อยๆก็มากกว่าหมื่นตน
มีแมลงแปลกประหลาดบางตัวกำลังเจาเข้าไปในโครงกระดูกราวกับพวกมันกำลังแทะเล็มกระดูกซึ่งส่งเสียงแคร่กๆออกมา
ใจกลางหุบเขามีกระบี่สั้นแปดเล่มแทงเข้าไปในพื้น รูปร่างและกลิ่นอายของกระบี่สั้นเหล่านี้เหมือนกับที่เคยเจอมาก่อนหน้า ชัดเจนว่าพวกมันเป็นชุดเดียวกัน!
ใจกลางกระบี่ทั้งแปดเล่มมีหัวกะโหลกยักษ์ของอสูรตัวหนึ่ง มันมีกระดูกเดือยสี่จุดชี้ออกไปและปลดปล่อยกลิ่นอายน่ากลัว
หวังหลินพุ่งเข้าไปในหุบเขาและมาถึงกะโหลกอสูร ซึ่งขณะนี้กระบี่สั้นแปดเล่มพลันปลดปล่อยปราณกระบี่และยิงตรงเข้าหาหวังหิน
เบื้องหน้าหวังหลินคือปราณกระบี่ เบื้องหลังคือเงาปิศาจ ในช่วงเวลาวิกฤตนี้หวังหลินไม่ได้ตื่นตระหนก ดวงตาสงบนิ่งลึก ขณะที่ปราณกระบี่เข้ามาใกล้ หวังหลินชี้นิ้วไปข้างหน้า
วิชายับยั้ง!
วิชานี้ไม่ได้หยุดเพียงแค่ผู้คน!
กระบี่สั้นไม่ใช่สิ่งของธรรมดา แต่วิชายับยั้งก็ไม่ใช่วิชาธรรมดาเช่นกัน แม้ว่าหวังหลินไม่สามารถหยุดพวกมันได้นานเนื่องจากระดับบ่มเพาะยังต่ำต้อย เขายังสามารถหยุดได้ชั่วขณะ
จังหวะที่หยุดกระบี่สั้น หวังหลินพุ่งตรงเข้าหากระดูกอสูร เงาปิศาจล่องหนไล่ตามหลังหวังหลินทันที แม้ว่าหวังหลินจะมองไม่เห็นมันแต่สัมผัสกลิ่นอายหนาวเย็นรอบตัวเองได้
เขากำลังรอคอยเพื่อจังหวะเช่นนี้! เพราะไม่สามารถรักษาดวงตาที่สามให้คงอยู่ได้และสัมผัสวิญญาณก็ไม่สามารถค้นหามันได้ หากต้องการต่อกรกับมัน จังหวะที่มันพยายามกลืนกินเขาคือจังหวะที่สมบูรณ์แบบที่สุด
หวังหลินไม่ได้หันกลับมาแต่เงาแส้แห่งเวรกรรมกระพริบระหว่างคิ้ว แส้แห่งเวรกรรมปรากฏเบื้องหน้าและฟาดออกไปจนเกิดเสียงอู้อี้ดังออกมาจากความว่างเปล่า
ในเวลาเดียวกันหวังหลินก็สัมผัสกลิ่นอายรอบตัวที่กระจัดกระจายได้ เขาไม่ได้หยุดชะงัก ทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนไหวราบรื่นดุจสายน้ำ ฝ่ามือสร้างผนึกและวางไว้บนกระดูกอสูรก่อนที่จะเก็บมันขึ้นมาโยนเข้าไปในกระเป๋า
ทั้งหมดนี้เสร็จสิ้นในเสี้ยววินาที จังหวะนี้เองกระบี่สั้นแปดเล่มได้รับอิสรภาพกลับคืนและหวีดหวิวตามหลังหวังหลิน
หุบเขาไม่ได้ใหญ่และหวังหลินไม่สามารถเหาะสูงเกินไปได้ สถานที่แคบแบบนี้หวังหลินจึงตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่เมื่อต้องหลบเลี่ยงกระบี่สั้น ส่วนเงาปิศาจล่องหนดูเหมือนจะมีสติปัญญาและปกปิดกลิ่นอายเยือกเย็นของมันเอาไว้ มันจะเผยตัวเองก็ต่อเมื่อกำลังจะกลืนกินหวังหลินเท่านั้น นอกจากนี้มันยังขวางทางออกไม่ให้หวังหลินจากไปไหนอีกด้วย
ดวงตาหวังหลินเยือกเย็น กระบี่สั้นด้านหลังเขากระจายตัวกันออกไปและเข้ามาหาจากแปดทิศทางที่ต่างกัน ปราณกระบี่ที่กำลังออกมาจากพวกมันต่างก็บรรจุพลังปราณสวรรค์เอาไว้
พวกมันเกี่ยวพันเข้าด้วยกันเพื่อสร้างเป็นค่ายกลกระบี่ที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
หากเป็นแค่นั้นมันคงไม่ได้เป็นปัญหามากมาย ซึ่งหากมีเวลาอยู่บ้างหวังหลินก็สามารถออกไปได้ ทว่าตอนที่เขาหยิบกระดูกอสูรขึ้นมา หมอกสีเขียวเริ่มออกมาจากโครงกระดูกนับไม่ถ้วนที่ปกคลุมผืนดิน หมอกสีเขียวก่อตัวเป็นเงาเลือนลางพุ่งเข้าหาหวังหลินโดยพลัน
นอกจากสายหมอกยังมีเหล่าแมลงที่กำลังกัดแทะกระดูกด้วย พวกมันดูเหมือนจะถูกบางอย่างกระตุ้นและพุ่งเข้าหาหวังหลิน
หนังศีรษะหวังหลินด้านชา ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีทางหนีรอดแล้วเมื่อทั้งหุบเขาถูกผนึก! ดวงตาหวังหลินส่องสว่างขึ้นและเปลี่ยนเป็นดุร้าย
‘ไม่มีอะไรที่นี่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ทั้งหมดนำมาจากข้างนอก นั่นหมายความว่าภูเขาก็ไม่มีฐานราก!’ หวังหลินเคลื่อนไปด้านข้างหลบกระบี่สั้น หมอกสีเขียวและเหล่าแมลงที่เข้ามาใกล้ เขาเคลื่อนตัวไปที่หน้าผาของภูเขา
หวังหลินร้องคำราม ฝ่ามือบรรจุพลังปราณสวรรค์ทั้งหมดและสายฟ้าในร่างกาย จากนั้นทุบกำปั้นลงไป พื้นดินระเบิดสนั่นหวั่นไหวดังก้องไปทั่วหุบเขา
เศษภูเขาขนาดใหญ่หลุดลงไปและเตะเอาฝุ่นผงนับไม่ถ้วนขึ้นมากระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ลี่หยวนที่ยังอยู่ห่างออกไปห้าลี้ถึงกับตะลึงงัน เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน แต่สัมผัสพื้นดินที่สั่นไหวไ้ดชัดเจนและเห็นชิ้นส่วนภูเขานับไม่ถ้วนหลุดออกมาด้วย
องครักษ์เทพข้างกายลี่หยวนได้เชื่อมต่อกับหวังหลิน มันก้าวเท้าไปด้านข้างและชกกำปั้นใส่ภูเขาโดยไม่ลังเล นี่ก็อีกเสียงดังสนั่น
ลี่หยวนสูดหายใจหนาวเหน็บเข้าปอด เขาพอจะคาดเดาความคิดของหวังหลินได้ หัวใจเริ่มต้นรัว เผยรอยยิ้มบิดเบี้ยวและตามความคิดสหายเซียนซ่วคนนี้ซึ่งบางครั้งก็ทำเรื่องน่าตกใจเกินไป
หากเพียงแค่ความแข็งแกร่งของหวังหลิน เขาสามารถเขย่าภูเขาได้แต่ไม่สามารถทำลายมันได้ ทว่ากับองครักษ์เทพนั้นต่างกัน ร่างกายของมันแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หลังจากชำกำปั้นนั้น ภูเขาก็สั่นไหวรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ภายในหุบเขา ดวงตาหวังหลินแดงฉาน คว้าภูเขาและดึงมันขึ้นไป ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งองครักษ์เทพตกอยู่ภายใต้แรงกดดันยิ่งกว่า มันฝังแขนตัวเองเข้าไปในภูเขาและยกขึ้นมาได้สิบฟุต!
หุบเขาดังสนั่นกึกก้อง แม้กระทั่งมิติเก็บของแห่งนี้ก็เริ่มสั่นเทา องครักษ์เทพยกภูเขาขึ้นมาและไปอยู่ใต้มัน ร่างกายเรืองแสงสีทองและจับภูเขาแบกไว้บนหลัง
การสั่นสะเทือนรุนแรงส่งผลกระทบต่อหุบเขาซึ่งทำให้กระบี่แปดเล่มหยุดชะงัก หมอกสีเขียวเมินเฉยหวังหลินอย่างสิ้นเชิงและพุ่งตัวออกไปใต้ภูเขาที่ถูกยกสูงขึ้น แม้แต่พวกแมลงก็เช่นเดียวกัน
ร่างกายองครักษ์เทพเกิดเสียงประทุ มันดูเหมือนบ้าคลั่งไปแล้ว ร้องเสียงคำรามและผลักยกภูเขาให้สูงขึ้นอีกหลายสิบฟุต
ไม่ว่าจะมีรอยแยกอวกาศปรากฏมากแค่ไหน พวกมันก็ถูกบดขยี้ด้วยผลกระทบของภูเขา หลังจากยกขึ้นมาได้ถึงความสูงพอประมาณ องครักษ์เทพก็โยนภูเขาลงไป
พื้นดินสั่นไหว มิติเก็บของดูเหมือนกำลังพังเสียหาย แม้กระทั่งรอยร้าวก็เกิดขึ้นมาอีก
ภูเขาหล่นลงจากท้องฟ้าไปบนพื้นที่ซึ่งมีรอยแยกทั้งหมดอยู่ มันกระแทกเข้าใส่ หวังหลินใช้โอกาสนี้พุ่งตัวออกมาจากหุบเขา
แม้กระทั่งเงาปิศาจล่องหนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรู้ว่ามันหายไปไหน
หวังหลินคว้าจับอากาศหลังจากพุ่งออกมาจากหุบเขาและมองไปข้างหน้า เขาเห็นหุบเขาแห่งที่สามได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ตอนนี้แสงกฏเกณฑ์กระพริบนับไม่ถ้วนออกมาจากหุบเขาแห่งที่สาม เห็นได้ชัดว่ากฏเกณฑ์หลายอย่างที่พังทลายก็เนื่องมาจากหุบเขา
‘ข้ากลัวว่าเทพที่เป็นเจ้าของมิติเก็บของแห่งนี้คงไม่เคยคิดว่าจะมีคนเขย่าภูเขาเพื่อทำลายกฏเกณฑ์ที่นี่!’ หวังหลินจัดแจงร่างกายเล็กน้อยก่อนจะพุ่งเข้าหาหุบเขาแห่งที่สาม เป้าหมายของเขาคือเกราะหนังเทพโบราณ เมื่อสองหุบเขาแรกไม่มีมัน เช่นนั้นมีโอกาสมากที่จะอยู่ในหุบเขาแห่งที่สาม
ลี่หยวนสูดหายใจลึก สายตาตกตะลึงค่อยๆสงบนิ่งลง เขาไล่ตามหลังหวังหลินด้วยรอยยิ้ม
ส่วนองครักษ์เทพที่ใช้พลังงานมากเกินไป มันกลายเป็นเงามืดและผสานเข้ากับเงาหวังหลินเพื่อฟื้นฟูตัวเอง
หวังหลินและลี่หยวนพุ่งเข้าหาหุบเขาแห่งที่สาม พวกเขาเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆและหลังจากนั้นไม่นานก็มาถึงเบื้องหน้าหุบเขาแห่งที่สาม
สถานที่แห่งนี้ได้รับความเสียหายหนัก ทางเข้าแต่เดิมแคบได้ถูกเปิดออก แสงกฏเกณฑ์นับไม่ถ้วนกระพริบไม่หยุด เพียงแค่ชำเลืองมองหวังหลินก็มองเห็นอารามหนึ่งข้างในหุบเขาได้แล้ว
อารามแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มากแต่มันได้รับความเสียหายหนัก ประตูของมันถึงกับหายไป มีโครงกระดูกข้างในสองตัว และหนึ่งในนั้นสวมชุดเกราะหนังเทพโบราณ!
ส่วนโครงกระดูกอีกตัวนั้นไม่มีอะไรเลย แต่มีสีทองกระพริบออกมาจากแขนด้านขวาของมัน ซึ่งแทงแขนเข้าไปในกะโหลกของโครงกระดูกที่สวมชุดเกราะเทพโบราณ
กระดูกเต็มไปด้วยรอยร้าว แค่คว้าเอาไว้ก็คงถูกบดขยี้ไปแล้ว
แม้ว่าเขาไม่ได้เห็นการต่อสู้ หวังหลินก็สามารถจิตนาการได้เป็นการต่อสู้อันโหดร้ายของทั้งสองโครงกระดูก
หวังหลินยื่นมือขวาออกไป เกราะหนังเทพโบราณหลุดออกจากโครงกระดูกและเข้ามาบนแขนเขา ขณะที่สัมผัสกับเกราะหนัง หวังหลินรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดและเกิดความเศร้าโศก
เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ชุดเกราะหนังหยาบกร้านและปลดปล่อยกลิ่นอายโบราณออกมา แม้กระทั่งตอนนี้มันยังมีกลิ่นอายทรงพลังตกค้างเอาไว้ราวกับกำลังบอกทุกคนว่าเจ้าของทรงพลังแค่ไหน
ลี่หยวนเดินไปข้างหน้าและมาถึงโครงกระดูกอีกตัว เขาจ้องนิ้วสีทองของโครงกระดูก จากนั้นสูดหายใจลึก นั่งย่อตัวหักนิ้วกระดูกทีละนิ้ว
จากนั้นเงยศีรษะขึ้นชะเลืองมองเข้าไปในอารามที่ไร้ประตู รูม่านตาหดลงทันทีพร้อมกับตะโกน “พี่ซิ่ว ดูสิ!”
หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและมองเข้าไปในอาราม แม้จิตใจจะมีความอดทนอดกลั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจอันหนาวเหน็บเข้าไป หวังหลินตรวจสอบอารามเพื่อยืนยันว่ามันปลอดภัยก่อนที่จะเดินเข้าไป
ลี่หยวนอยู่ข้างหวังหลินและก้าวเข้าไปในอารามเช่นเดียวกัน
อารามถูกแบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นแรกไม่มีที่สำหรับบูชาและว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง มีจิตรกรรมฝาผนังมากมาย
ทั้งหมดมีจิตรกรรมอยู่เก้ารูป เมื่อมองพวกมันทีละรูป ดวงตาลี่หยวนเต็มไปด้วยแสงประหลาดและพึมพำขึ้นมา “นี่…นี่มันวิชาอะไรกัน? มีคนตัวใหญ่แบบนี้ด้วยหรือ…เป็นไปได้ว่าเรื่องราวเหล่านี้ในรูปภาพถูกแต่งขึ้นมา…”
รูปภาพเหล่านี้ได้วาดยักษ์ตนหนึ่งมีดาวแปดดวงอยู่บนหน้าผากอย่างชัดเจน มันถูกเหล่าเทพนับไม่ถ้วนล้อมรอบพร้อมกับมีสมบัติมากมายโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่ง
ร่างกายของเหล่าเทพไม่มีพิษสงอันใดเมื่อเทียบกับยักษ์ ดวงตาของมันเย็นชาไม่แยแสสิ่งใด ภาพวาดนี้ใส่ใจถึงขนาดเห็นความอ่อนเพลียภายในสายตาเย็นชาคู่นั้นได้อย่างชัดเจน
ภาพจิตรกรรมทั้งหมดเก้ารูปเป็นเช่นนี้
‘เทพโบราณ…แปดดาว…’ หวังหลินขบคิดอย่างเงียบงันมองขึ้นไปที่ชั้นสอง เขาถอนหายใจและเดินขึ้นไปทิ้งให้ลี่หยวนพึมพำกับตัวเองบนชั้นแรก
มีคนไม่มากนักที่รู้เรื่องเทพโบราณ…
ชั้นสองค่อนข้างเรียบง่าย มีโต๊ะอยู่หนึ่งตัวเท่านั้นพร้อมกับกระดาษสีเหลืองกระจายกันออกไปและมีพู่กันไม่กี่ชิ้นวางถัดไป จินตนาการได้ง่ายดายว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้ชอบการวาดภาพ
ห่างออกไปจากโต๊ะไม่ไกลมีกระถางธูปตั้งอยู่ แต่ว่าเหลือเพียงฝุ่นเท่านั้นที่อยู่ข้างใน
หวังหลินมาถึงข้างโต๊ะและเห็นกระดาษหนึ่งชิ้นถูกที่ทับกระดาษได้ทับเอาไว้ ที่ทับกระดาษนี้ปลดปล่อยคลื่นพลังปราณสวรรค์ออกมา ดังนั้นมันจึงไม่ธรรมดา ทว่าหวังหลินไม่ไ้ด้มองที่ทับกระดาษ แต่มองกระดาษแทน
“ปีที่สิบหกแห่งยุคแดนสวรรค์ที่ยี่สิบเจ็ด สงครามแรกระหว่างบัญชาโบราณและแดนสวรรค์จบลงด้วยชัยชนะ! สมบัติวิเศษของข้าพังเสียหายและจำเป็นต้องได้รับการหลอมขึ้นใหม่ที่นี่ แต่ว่าเนื่องจากข้าทำประโยชน์ไว้มากจึงได้รับรางวัลเป็นเศษหนังของมัน ข้าจึงสร้างชุดเกราะหนังขึ้นมาจากแผ่นหนังนั้น…”
“ปีที่สิบเก้าแห่งยุคแดนสวรรค์ที่ยี่สิบเจ็ด การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจได้เกิดขึ้น! จักรพรรดิเทพบ้าคลั่งและตายด้วยการชี้ไปที่ท้องฟ้า…ข้าเห็นทุกอย่างด้วยตาตนเอง ฉากเหตุการณ์นั้นไม่ควรมีอยู่ตอนที่จักรพรรดิเทพตาย…”
“ตั้งแต่ที่ข้าได้กลายเป็นเทพ ข้าไม่เคยหวาดกลัวอะไรเลยจนเมื่อมาถึงการต่อสู้กับเทพโบราณ แต่ว่าในตอนนั้นข้าขี้เขลาและขี้กลัว ข้าเห็น…ส่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน…”
“ยามที่เทพส่วนใหญ่ต่อสู้ ข้าหลบหนีและมีดวงตาคู่หนึ่งติดตามข้ามา…ข้าต้องวาดสิ่งที่ข้าเห็น…”
ลายมือลวกๆไปถึงตอนท้าย บ่งบอกได้ว่าคนที่กำลังเขียนอยู่เคร่งเครียดแค่ไหน
“ข้าวาดมัน…แต่นี่มันอะไร…ข้าวาดอะไรลงไป…” ข้อความจบลงตรงนี้
สายตาหวังหลินเคร่งเครียด หลังจากขบคิดอยู่ชั่วครู่เขาก็นั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะและหยิบพู่กันขึ้นมา เขาต้องการสัมผัสว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ตอนที่เทพวาดสิ่งนี้