759. แม่นยำและพร้อมใช้
หวังหลินถือพู่กันและค่อยๆหลับตาลง ผ่านไปพักใหญ่จึงลืมตาขึ้นมาเริ่มเขียนตามตัวหนังสือ เขาค่อยๆพบเบาะแสว่าเทพคนนั้นรู้สึกอะไร
ขณะที่เขียนไปความคิดก็ค่อยๆร้อนรน เป็นความรู้สึกลังเลและสับสนผสมเข้าด้วยกัน กลิ่นอายแบบนี้หลงเหลืออยู่ในห้องจนกระทั่งมาวันนี้
ในที่สุดแขนหวังหลินก็หยุดชะงักกลางอากาศ เขามองออกไปด้านนอกผ่านหน้าต่างของชั้นสอง
‘เทพตนนี้พึ่งวาดภาพเสร็จสิ้นแต่เขายิ่งสับสนกว่าเดิม หลังจากเขียนประโยคนี้วางเอาไว้ มันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ต้องมีใครสักคนมาถึงที่นี่!’ หวังหลินวางพู่กันและมองออกไปข้างนอก
เขาพบเบาะแสบางอย่างไม่มากไม่น้อย หลังจากมองกระดาษ หวังหลินก็โบกแขนเผาไหม้กระดาษให้เป็นเถ้าถ่าน
หวังหลินเก็บที่ทับกระดาษกลับไป จากนั้นลงจากชั้นสองเห็นลี่หยวนกำลังหยิบภาพวาดจากชั้นแรกออกมาและเก็บใส่กระเป๋า
หวังหลินลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้นมา “น้องลี่ ท่านต้องระมัดระวังจุดที่เก็บภาพวาดไว้ให้ดี ท่านต้องไม่ปล่อยให้คนภายนอกได้เห็น ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นชนวนให้เกิดหายนะใหญ่หลวง!”
หลีหยวนดูเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างได้และพยักหน้า
ลี่หยวนถามขึ้นมา “น่าจะมีสมบัติวิเศษหรือหินหยกในมิติเก็บของแห่งนี้อีก พี่ซิ่วจะไม่ออกไปหาอีกสักหน่อยหรือ?”
หวังหลินส่ายศีรษะ “น้องลี่หามันเถอะ” หลังจากเห็นเนื้อหาของกระดาษ จิตใจเขาก็เต็มไปด้วยความลึกลับว่าทำไมแดนสวรรค์ถึงล่มสลาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเห็นหุบเขาที่สอง แม้หวังหลินจะรู้สึกว่ามีสมบัติเหลืออยู่แต่ก็คงมีน้อยมาก นั่นก็เพราะสมบัติที่สำคัญที่สุดคือกระดูกอสูรได้ถูกเขาเอาไปแล้ว!
กระดูกอสูรชิ้นนี้แน่ชัดแล้วว่าเป็นสมบัติที่เสียหายตามข้อความนั้นกล่าวถึงซึ่งกำลังปรับแต่งอยู่
“ก็ได้ เมื่อข้าวางกฏเกณฑ์พังทลาย ข้าจะค้นหารอบๆไปด้วยและข้ายังจำเป็นต้องหาทางออกจากที่นี่อีก หากไม่มีทางออกมันคงต้องใช้เวลาพักนึงเพื่อเชื่อมต่อกับอีกที่” ลี่หยวนคำนับฝ่ามือให้หวังหลินและมองไปบนชั้นสอง เขาไม่ได้เดินขึ้นไปแต่เดินออกมาจาอาราม
หวังหลินนั่งลงนอกอาราม นำกระดูกอสูรเก้าชิ้นออกมาและเริ่มศึกษาพวกมัน วันเวลาผ่านเลยไปและหนึ่งเดือนก็ผ่านในพริบตา
ในเดือนนี้ลี่หยวนไม่ได้เก็บเกี่ยวสมบัติได้มากนัก ดังนั้นผ่านไปสักพักเขาจึงหยุดค้นหา ทว่าสิ่งที่คุ้มค่าต่อการกล่าวถึงคือกระบี่สั้นแปดเล่มที่โจมตีหวังหลิน ลี่หยวนใช้วิธีการไม่ทราบบางอย่างและจัดการควบคุมพวกมันได้
หวังหลินรู้สึกตกตะลึงกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อพิจารณากฏเกณฑ์ของลี่หยวนแล้ว เขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจ
ในเดือนที่ผ่านมาลี่หยวนวางกฏเกณฑ์จุดสำคัญที่คำนวณไว้ว่าจะล่มสลายภายในมิติเก็บของแห่งนี้ ลี่หยวนกระทั่งแสดงอาการสนใจวางแผนต่อสู้กับบรรพชนโลหิตมากกว่าหวังหลินเสียอีก
ทุกครั้งที่เขาคิดเรื่องความเป็นไปได้ว่ากฏเกณฑ์ของเขาจะช่วยสังหารเทพยังไง ลี่หยวนก็เริ่มหายใจถี่ แม้เขาจะระมัดระวังเป็นอย่างมากแต่ก็มีจุดอ่อนอยู่หนึ่งอย่างนั่นคือการที่เขามั่นใจในกฏเกณฑ์ของตระกูลจนหน้ามืดตามัว
นอกจากนี้เขายังพิจารณาว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากบรรพชนโลหิตไม่ได้ตาย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเป็นตัวช่วยในเรื่องนี้อย่างลับๆแต่ไม่ได้เข้าร่วม หลังจากจัดการอะไรเสร็จเรียบร้อย ขเาตัดสินใจว่าจะแยกตัวจากหวังหลินเพราะเรื่องนี้ใหญ่เกินไปแม้จะเห็นหนี้บุญคุณหวังหลินก็ตาม
ความจริงการช่วยของเขาอย่างลับๆถือเป็นขีดจำกัดแล้วเช่นกัน ยากมากที่เขาจะช่วยมาถึงจุดนี้ได้
ณ วันนี้ลี่หยวนกลับมาที่อารามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เขามองหวังหลินด้วยสายตาซับซ้อนและถอนหายใจหนัก จากนั้นสะบัดแขนนำทรงกลมผลึกกฏเกณฑ์ลอยออกมาเบื้องหน้าหวังหลิน
“พี่ซิ่ว ข้าได้ใช้กฏเกณฑ์ทำลายล้างวางจุดล่มสลายจำนวน 1,465 จุด ที่ท่านต้องทำคือการกระตุ้นทรงกลมกฏเกณฑ์นี้ด้วยพลังปราณสวรรค์ จากนั้นมิติเก็บของแห่งนี้จะล่มสลายเป็นจุล!”
หวังหลินถือทรงกลมกฏเกณฑ์เอาไว้และตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีปัญหาเขาจึงคำนับฝ่ามือและเอ่ยขึ้น “ขอบคุณมาก!”
ลี่หยวนใบหน้ามืดมนและกล่าวด้วยความลังเล “พี่ซิ่ว ความจริงข้ามีวิธีหนึ่งหากท่านไม่อยากถูกบรรพชนโลหิตตรวจพบ ท่านแค่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำและไม่ออกไปไหน…จนกว่าบรรพชนโลหิตจะลืมเลือนความโกรธ…”
หวังหลินยิ้มสงบนิ่งและเอ่ยขึ้นมา “ข้าจะจดจำความเมตตาของน้องลี่ หากไม่มีทางต่อกรกับบรรพชนโลหิต ข้าอาจจะต้องรบกวนน้องลี่แล้วจริงๆ”
ลี่หยวนครุ่นคิดเงียบๆ หลังจากนั้นสักพักก็หยิบหินหยกออกมาหนึ่งก้อนยื่นส่งให้หวังหลิน “พี่ซิ่ว นี่คือบันทึกของกฏเกณฑ์ทำลายล้างแห่งตระกูลลี่ของข้า แม้ว่าข้าไม่สามารถส่งเสสี้ยวหัวใจแห่งกฏเกณฑ์โดยไม่ได้อยู่ที่อารามบรรพชนได้ การศึกมันจะช่วยท่านได้ มีอีกหลายวิธีที่เอาไว้ซ่อนกลิ่นอายของท่าน!”
หวังหลินรับมันไปและพยักหน้าอย่างเงียบงัน
ลี่หยวนถอนหายใจ สองมือสร้างผนึกขึ้นมาและก่อเกิดค่ายกลเคลื่อนย้ายเบื้องหน้า ค่ายกลนี้ไม่เสถียรนักราวกับสามารถล่มสลายได้ตลอดเวลา
“พี่ซิ่ว ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้สามารถเปิดขึ้นได้สามครั้งเท่านั้น ท่าน…ท่านระมัดระวังตัวเองด้วย!” หลี่หยวนมองหวังหลินอีกครั้งพร้อมกับก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย เขาไม่ได้หันกลับมามองแต่เอ่ยเสียงเบา “หากข้าไม่ได้มีหน้าที่อันใดรับผิดชอบ ข้าคงพักอยู่ต่อแน่นอนและเป็นพยานรู้เห็นว่ากฏเกณฑ์ของตระกูลลี่ต่อกรกับเซียนขั้นชำระสวรรค์!”
“พี่ซิ่ว โปรดดูแลตัวเอง!” เสียงถอนหายใจของลี่หยวนดังสะท้อน ร่างกายเลือนหายไปพร้อมกับค่ายกลเคลื่อนย้ายกระพริบวาบ
หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมา สายตาเยือกเย็นและพึมพำกับตัวเอง “บรรพชนโลหิต…เหยาวีเชว่…แม้ทั้งคู่จะมีเม็ดยาวิญญาณโลหิต ข้าจะขอเดิมพันครั้งนี้เพื่อดูว่าพวกท่านจะรอดชีวิตภายใต้พลังทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างจากมิติล่มสลายได้หรือไม่!”
หวังหลินมีกระเป๋าอยู่กับตัว กระเป๋าใบนี้เป็นของเหยาซีเชว่แต่เขาไม่สามารถเปิดมันได้ เขาสามารถวางกฏเกณฑ์เอาไว้เท่านั้นเพื่อให้มั่นใจว่ากลิ่นอายไม่แพร่กระจายออกไกลเกินไป
นอกจากกระเป๋าใบนี้ เดิมทีหวังหลินก็มีเม็ดยาวิญญาณโลหิตของจริงอยู่หนึ่งเม็ด แต่มันถูกใช้ไปในการต่อสู้กับเจ้าเศษมาร เข้ารู้ว่าอย่างน้อยๆก็มีเม็ดยาวิญญาณโลหิตอีกเม็ดนึงแต่ไม่สามารถเปิดกระเป๋าได้
‘เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเม็ดยาฝืนลิขิตสวรรค์มากมาย แม้แต่บรรพชนโลหิตเองก็คงกินไปหลายเม็ด ข้ากลัวว่ามีเพิ่มอีกหนึ่งหรือสองเม็ดก็ถือเป็นขีดจำกัดของบรรพชนโลหิตแล้ว’
ขณะที่เขาเยาะเย้ย หวังหลินนำทรงกลมกฏเกณฑ์ที่มีเหยาซีชเว่ออกมา เขาไม่สนใจที่จะถามคำถามอันใดอีกแล้ว ดังนั้นจึงโยนทรงกลมกฏเกณฑ์ออกลอยไปฝังอยู่ส่วนลึกข้างในภูเขาห่างออกไปไกล
หลังจากเสร็จเรื่องทั้งหมด หวังหลินก้าวเท้าและเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย แสงกระพริบวูบวาบและหวังหลินพลันเลือนหายไป
‘บรรพชนโลหิต…เมื่อท่านไม่ยอมปล่อยข้าไป ข้าจะทำตามที่ลี่หยวนบอก ลองสังหารเทพดูสักครั้ง!’