Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 802

Cover Renegade Immortal 1

802. อาณาเขตลี้ลับ

วินาทีที่ลำแสงหายไป ชิ้นส่วนที่อยู่ตรงนั้นก็ถูกรอยแยกรอบด้านกลืนกินไปทันทีจนไม่เหลือสิ่งใดทิ้งไว้ ทั้งแดนสวรรค์อัสนีตอนนี้ถูกทำลายด้วยสายลมเย็นยะเยือกจากรอยแยกอวกาศ

สายลมนี้หนาแน่นและเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ในไม่นานพวกมันก็เชื่อมต่อกันกวาดผ่านไปทั่วพื้นที่

แผ่นดินในแดนสวรรค์ล่มสลายอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เหลือชิ้นส่วนน้อยกว่ายี่สิบแห่ง ภายในสายลมเย็นปรากฏเศษน้ำแข็งสีดำและแพร่กระจายกันออกมา ในไม่นานน้ำแข็งสีดำก็ปกคลุมชิ้นส่วนแดนสวรรค์ทั้งยี่สิบแห่ง

มองไกลๆ เศษน้ำแข็งแห่งนี้ปลดปล่อยกลิ่นอายน่าขนลุก เพียงแค่มองมันก็ทำให้รู้สึกหนาวเย็นภายในจิตใจได้แล้ว

น้ำแข็งสีดำยังก่อตัวขึ้นบนโซ่ตรวนสายฟ้าที่เชื่อมต่อกับชิ้นส่วนทั้งยี่สิบแห่งด้วย ในไม่นานน้ำแข็งดำก็ยื่นออกปกคลุมโซ่ตรวนสายฟ้าทั้งหมด!

เหล่าเซียนที่ออกไปไม่ทันเวลาต่างถูกแช่แข็ง บางส่วนกำลังเหาะเหิน ดื้นรน ไม่ก็หลับตารอคอยความตาย

ร่างกายบางส่วนที่แตกสลายแต่ไม่ได้หายไป เลือดเนื้อต่างถูกแช่แข็ง ช่างเป็นฉากที่น่าตื่นตะลึง

บนชิ้นส่วนแดนสวรรค์หนึ่งในนั้นมีชายวัยกลางคนถูกแช่แข็งพร้อมกับกระบี่เหินก็ถูกแช่แข็งกลางอากาศเบื้องหน้า เขาไม่ใช่เพียงแค่คนเดียวที่นี่ ยังมีสมบัติของทุกคนที่พยายามหลบหนีได้ถูกแช่แข็งไปด้วย

มีแม้กระทั่งคนที่ใช้วิชาเซียนแล้วถูกสายลมเย็นตีเข้าใส่ วิชานั้นถูกแช่แข็งอยู่รอบๆและมีลำแสงจางๆออกมา

ลำแสงกระพริบพวกนี้กลายเป็นต้นตอแสงแห่งเดียวในแดนสวรรค์อัสนี พวกเขาอยู่ห่างกันเหมือนดวงดาว แม้จะสวยงาม แต่หากมองใกล้ขึ้นอีกสักนิดมันกลับต่างกันอย่างยิ่ง

หลังผ่านสายลมเย็นยะเยือก การล่มสลายของแดนสวรรค์อัสนีก็หยุดลง เหลือเพียงน้ำแข็งสีดำที่หลงเหลือไว้เพื่อบอกผู้คนว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่

เงากระบี่เล่มหนึ่งกระพริบวาบผ่านแดนสวรรค์อัสนี น้ำแข็งรอบด้านไม่มีผลอะไรต่อมันเลยขณะที่เหาะเหินผ่านแดนสวรรค์

มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนปลายกระบี่ คนผู้นี้ไร้ตัวตนเหมือนกระบี่ เขามองทางข้างหน้าด้วยรอยยิ้มสงบนิ่งก่อนจะหายไปพร้อมกระบี่ของเขา

ระลอกคลื่นมากกว่าร้อยจุดปรากฏขึ้นในตำแหน่งแตกต่างกันของดาราจักรทุกชั้นฟ้าทั้งสี่ทิศ แม้ทั้งหมดจะปรากฏตัวสถานที่แตกต่างกันแต่ก็ปรากฏในเวลาเดียวกัน

แต่ละระลอกคลื่นมีเซียนอยู่ข้างในหนึ่งคน ทุกคนที่ปรากฏขึ้นมาต่างมีความตื่นเต้นยิ่ง รู้สึกพึ่งรอดพ้นจากความตายทำให้เขาเกิดอาการมึนงงทันทีที่เห็นดวงดาว

หลังจากค้นหาทิศทางของตัวเองได้ แต่ละคนรีบกลับไปที่ตระกูลของตน ในไม่นานข่าวคราวเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนสวรรค์อัสนีก็แพร่กระจายออกมา

โดยเฉพาะชื่อที่แพร่กระจายดุจสายฟ้าในหมู่ตระกูลเซียนที่รอดชีวิตออกมาได้

ใครกันที่ต่อสู้กับชายผมขาวประหลาดคนนั้นหน้าประตูสวรรค์?

ใครกันที่ช่วยชีวิตเซียนหลายคนจากความตายในช่วงเวลาวิกฤต?

ใครกันที่ให้คนอื่นอยากมีชีวิตรอดขึ้นมาระหว่างการล่มสลายของแดนสวรรค์อัสนีและใช้ชิ้นส่วนแดนสวรรค์แห่งหนึ่งช่วยเหลือผู้คนนับไม่ถ้วน? ใครกันที่พาพวกเขาเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายของอารามเทพอัสนี? เขาทุบตีม่านพลัง ส่งเสียงคำรามให้ผู้ส่งสาส์นหวาดกลัวถอยหนี พาทุกคนไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายก่อนจะแตกสลาย!

ซิ่วมู่!

เหล่าเซียนที่รอดชีวิตมีทั้งตระกูลน้อยใหญ่มากมายหลายตระกูล ทว่าเมื่อใดที่รวมกันขึ้นมาจะกลายเป็นพลังอำนาจที่มิอาจประเมินค่าได้

ภายใต้พลังอำนาจนี้ อารามเทพอัสนีจึงไม่ได้พูดเรื่องค่ายกลเคลื่อนย้ายเลย ราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ความจริงแล้วตระกูลหลายสิบแห่งได้เผยแพร่เรื่องนี้ออกมาและทำให้ซิ่วมู่มีชื่อเสียง!

นอกจากนี้ยังมีสมาชิกตระกูลที่เสียชีวิตไปในพื้นที่ต้องห้ามของอารามเทพอัสนีและซึ่งจะทำให้เกิดหายนะทั้งตระกูล เรื่องนี้ไม่สามารถซ่อนได้และอารามเทพอัสนีต้องรู้อยู่แล้ว

แทนที่จะรอให้อารามเทพอัสนีมาฆ่า พวกเขาตัดสินใจรวมตัวกันและต่อสู้ด้วยเหตุผล! วิธีนี้มีโอกาสรอดชีวิตมากกว่า ไม่เช่นนั้นคงเหมือนเป็นการมอบตัวคนที่หลบหนีออกมาจากแดนสวรรค์ไปให้อีกฝ่าย

อย่างไรก็ตามผู้คนที่สามารถเข้าไปในแดนสวรรค์อัสนีได้คือลูกหลานสายตรงทั้งหมดและเป็นเสาหลักในอนาคตของตระกูล แล้วจะปล่อยให้พวกเขาตายได้อย่างไร?!

ผู้อาวุโสของตระกูลเหล่านี้ต่างเป็นคนเจ้าเล่ห์ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรู้เรื่องนี้ การทำเช่นนี้สำเร็จเป็นการชดเชยเรื่องการเข้าพื้นที่ต้องห้ามของอารามเทพอัสนี

ทว่าในเวลาเดียวกันพวกเขาก็แพร่กระจายชื่อ “ซิ่วมู่” ไปด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ถูกซิ่วมู่ช่วยเอาไว้ยิ่งพูดเกินจริงเกินไปอีก ท้ายที่สุดจึงไม่มีใครคาดเดาระดับบ่มเพาะของซิ่วมู่ได้เลยทีเดียว!

ผู้อาวุโสของตระกูลตั้งคำถามเรื่องผู้คนที่อยู่ที่นั่น ครั้งที่ได้ยินว่ามีวิชาหลายอย่างถูกใช้ในการต่อสู้กับชายประหลาดผมขาว พวกเขาต่างหวาดกลัว

ชื่อ “ซิ่วมู่” กลายเป็นพายุขนาดใหญ่ในดาราจักรทุกชั้นฟ้า ทว่าไม่มีใครได้เจอเขาอีกครั้ง ราวกับเขาหายตัวไปทันทีและกลายเป็นเรื่องลี้ลับ

ณ ทิศตะวันตกของดาราจักรทุกชั้นฟ้า

ที่แห่งนี้มีเขตแดนกว้างใหญ่พร้อมด้วยกลุ่มก๊าซที่ปลดปล่อยแสงมึนงง การจัดวางของดวงดาวนั้นประหลาดยิ่งและมองบ่อยๆอาจทำให้งุนงง

ท่ามกลางทั้งสี่ทิศ ทิศตะวันตกมีอสูรที่ดุร้ยาที่สุด เทียบกับเขตแดนอีกสามแห่งแล้ว ที่นี่ไม่ค่อยมีเซียนอยู่มากนัก

กล่าวได้ว่าเขตแดนทิศตะวันตกราวๆเจ็ดในสิบส่วนคือสถานที่ที่เหล่าเซียนไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้ นั่นเป็นเพราะพื้นที่เหล่านี้เป็นสถานที่อันตรายยิ่งและมีอสูรดุร้ายที่เหล่าเซียนไม่รู้ตัว

ที่แห่งนั้นมีชื่อว่า อาณาเขตลี้ลับ

มีแต่เซียนทรงพลังบางคนที่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบสำหรับการปรุงยาหรือหลอมสมบัติถึงจะเข้ามา ทว่าพวกเขาไม่ได้เข้าไปไกลเกินไปราวกับหวาดกลัวตัวตนลึกๆที่อยู่ข้างใน

ณ ตอนนี้ตรงส่วนลึกของอาณาเขตลี้ลับ มีพื้นที่ประหลาดอยู่แห่งหนึ่ง พื้นที่แห่งนี้แทบเป็นสีดำมืดมิด

ไม่มีดวงดาวหรือร่างแสงใดๆอยู่ที่นี่ มันมืดมิดจนน่ากลัว ราวกับไม่เคยมีใครมาที่นี่เลย แม้ว่าพื้นที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ตรงกลางของอาณาเขตลี้ลับ มันก็อยู่ไม่ไกลกันนัก

แสงหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาในความมืดิด คราแรกมันสลัวๆแต่ในไม่นานก็ส่องสว่างขึ้นจนถึงจุดที่ส่องสว่างรอบๆบริเวณ

เมื่อรอบด้านส่องสว่างขึ้นเผยสถานที่เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสายหมอก สายหมอกดูเหมือนจะหวาดกลัวแสงอย่างยิ่ง เพียงกระพริบตาหมอกก็ล่าถอยก่อเกิดเป็นพื้นที่กว้างไร้หมอก

แสงเติบโตจนมีขนาดกว้างกว่าร้อยฟุต ระลอกคลื่นปรากฏขึ้นมาและจากนั้นมีร่างหนึ่งค่อยๆก่อตัวข้างในระลอกคลื่น

ร่างนั้นค่อยๆก่อตัวจนกลายเป็นคนผู้หนึ่ง!

สายตาหวังหลินเต็มไปด้วยความระแวดระวัง หลังปรากฏตัวออกมา ระลอกคลื่นก็เริ่มแตกสลายและเห็นรอบด้านได้ชัดเจน หลังจากแสงหายไปหมอกก็เริ่มขยับราวกับต้องการกลืนกินพื้นที่นี้อีกครั้ง

แววตาหวังหลินมืดลงแต่เส้นผมเส้นขนบนร่างตั้งชูชัน สัมผัสถึงอันตรายปรากฏขึ้นในใจ

สายฟ้าในร่างกระตุ้นขึ้นมาโดยไม่ต้องคิด ฝ่ามือสร้างผนึกปลดปล่อยสายฟ้ากลมสองลูกรวบรวมในมือส่งเสียงอู้อี้

สายฟ้ากลมสองลูกส่องสว่างเจิดจ้า กระพริบแสงจนทำให้สายหมอกหยุดชะงัก ราวกับมันถูกโจมตีและล่าถอยออกไปมากกว่าหมื่นฟุต

หวังหลินจ้องสายหมอกเบื้องหน้า จากนั้นมองไปรอบตัวและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

‘ที่นี่มันที่ไหนกัน…’

‘หมอกนี่ประหลาดนัก ราวกับมีชีวิตอยู่ข้างในด้วย!’ ดวงตาส่องสว่างขึ้นและโยนสายฟ้ากลมในมือขวาออกไป สายฟ้าพุ่งไปข้างหน้าพร้อมส่งเสียงดังก้อง

หมอกเบื้องหน้าแยกตัวก่อเกิดเป็นเส้นทางทำให้สายฟ้าผ่านไป ร่างหวังหลินกระพริบวูบวาบและตามหลังสายฟ้าของตัวเองไปอย่างใกล้ชิด

เขาเดินไปพร้อมกับสายฟ้ากลมในมือและเคลื่อนที่ข้างหน้าต่อไป สายหมอกดูเหมือนไร้ที่สิ้นสุด แม้แต่ตอนที่สายฟ้ากลมหมองลง เขาก็ยังไม่ได้ออกไปจากสายหมอก

ระหว่างทางหวังหลินขมวดคิ้วแน่น หมอกรอบตัวค่อนข้างประหลาดเกินไป เขาจึงไม่กล้าแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาเนื่องจากรู้สึกว่าหากทำเช่นนั้นคงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในสายหมอก

แม้ความรู้สึกนี้จะไร้ตัวตน มันกลับแข็งแกร่งอย่างยิ่ง

หลังจากเหาะเหินไปสามวัน หวังหลินก็หยุดลง ยังคงมีสายหมอกไร้ที่สิ้นสุดเบื้องหน้า ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ราวกับสายหมอกไม่มีที่สิ้นสุด

หลังเงียบไปได้สักครู่เดียว หวังหลินก็ชะลอตัวลง ผ่อนคลายความคิดพร้อมกับก้าวเท้าไปข้างหน้า เกิดระลอกคลื่นขึ้นใต้ฝ่าเท้า

สายตายังคงสงบนิ่ง พยายามผสานเข้ากับโลก ก้าวเท้าอีกก้าวและคราวนี้เกิดระลอกคลื่นขึ้นอีก หวังหลินพบว่าเป็นความรู้สึกของการกำลังผสานกับโลกนี้

เขาผสานเข้ากับโลกได้เร็วขึ้นมาก ต้องขอบคุณปรมาจารย์จงเฉินคนนั้น วิญญาณและร่างกายหวังหลินปรับจูนเข้ากับโลกหลังจากพบเจอประสบการณ์ที่ผ่านมา

พอก้าวที่สาม ยามที่เท้าหวังหลินก้าวลง เขาก็หายตัวไปทันทีทิ้งไว้แต่เพียงระลอกคลื่นหนึ่งเบื้องหลัง วินาทีต่อมาหมอกรอบด้านกลืนกินพื้นที่ทันทีจนไม่เหลือแสงไฟ

ห่างออกไปไม่ทราบระยะทาง ตำแหน่งที่ดูเหมือนขอบของสายหมอก แม้ว่าจะยังมีหมอกอยู่แต่มันก็หนากว่าก่อนหน้านี้มากนัก ระลอกคลื่นพลันปรากฏทำให้สายหมอกกระเจิงไปและร่างหวังหลินโผล่ขึ้นมาในระลอกคลื่น

ขณะที่ก้าวออกมา สีหน้าพลันเปลี่ยนไป

ที่นี่คือปลายสุดของสายหมอกจริงๆ แต่สามร้อยฟุตเบื้องหน้าหวังหลินคือกำแพงเนื้อสีแดงเข้ม มันขนาดใหญ่มากและดูเหมือนจะยืดยาวออกไปไม่สิ้นสุด ตอนที่เขามองขึ้นไปมันยังปกคลุมพื้นที่ไปทั่ว

หวังหลินสีหน้ามืดมนยิ่ง ยามที่ผสานเข้ากับโลกเขากำลังคิดเรื่องดาวเคราะห์เซียนของตนเอง ทว่าเขากลับรู้สึกเหมือนชนเข้ากับกำแพงหนึ่ง จากนั้นก็ถูกบังคับให้ออกมาจากการผสานและปรากฏตัวที่นี่

ขณะที่เขาเห็นกำแพงเนื้อ หวังหลินจึงเข้าใจว่าที่เขาชนนั้นคือกำแพงเนื้อสุดลุกหูลูกตาแห่งนี้!

ที่ถูกเรียกว่ากำแพงเนื้อก็เพราะมันกำลังเคลื่อนไหว ทั้งยังมีนูนๆกำลังเคลื่อนที่บนผิวหน้า

หวังหลินขมวดคิ้ว ร่างกระพริบวูบวาบและลอยขึ้นไปด้านบน กำแพงเนื้อเริ่มเคลื่อนไหว เกิดรอยร้าวมากมายและพ่นหมอกสีดำออกมา

หวังหลินหลบหมอกสีดำและเคลื่อนไปตามกำแพงเนื้อโดยไม่มีรอยแตกร้าว เขาจ้องหมอกสีดำพลางพุ่งออกไปด้วยพลังมหาศาลและผสานเข้ากับสายหมอก

หวังหลินมองกำแพงเนื้อไร้ที่สิ้นสุดด้านบนและเผยสายตาสายตามุ่งมั่น ร่างกายเคลื่อนไหวและพุ่งเข้าสู่รอยร้าวหนึ่งข้างๆเขา หลังจากเข้าไปในรอยร้าวมันก็ปิดตัวลง

มี่ทางเดินแคบๆอยู่แห่งหนึ่ง หวังหลินพุ่งเข้าไปด้วยสายตาเยือกเย็น เคลื่อนไหวเร็วจนเกิดภาพติดตาไว้ด้านหลัง

รอยแยกปิดลงด้านหลังหวังหลินอย่างรวดเร็วราวกับกำลังไล่ตามเขา หวังหลินไม่ได้หันไปมองกลับหลังและจ้องไปข้างหน้าเท่านั้น เขาเข้าไปใกล้ขึ้นและใกล้ขึ้นจนถึงสิ่งที่อยู่ข้างหน้า

อุโมงค์นี้ไม่ได้ยาวนักตามที่หวังหลินจินตนาการไว้ วินาทีถัดมาเขาก็ออกมาจากทางออกของอุโมงค์

ขณะพุ่งออกมาพลันมีเสียงร้องเข้าไปในหู ดวงตาหวังหลินหรี่แคบ

ที่แห่งนี้ไม่ได้มืดมิด มีดวงดาวกระจัดกระจายในท้องฟ้า ข้างหน้าเขาคือผืนทวีปที่กำลังลอยตัวอยู่ ทวีปแห่งนี้ขนาดใหญ่มากจนมองไม่เห็นว่าสุดลงตรงไหน

ห่างออกไปไกลมีชายคนหนึ่งรูปลักษณ์ธรรมดายิ่งแต่มีรอยสักบนใบหน้าบิดเบี้ยวคล้ายเถาวัลย์ เขากำลังถือเครื่องดนตรีประหลาดในมือ มันเหมือนปากของกาต้มน้ำแต่มีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า สูงเกือบครึ่งคน

คนผู้นั้นอุทานออกมา เขามองหวังหลินด้วยความหวาดกลัวและรีบล่าถอย ราวกับหวังหลินคืออสูรร้าย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version