812. เกราะหนังเทพโบราณ
ขณะชายชุดฟ้าตาย ประตูตรงแท่นพิธีก็ปิดลง แม้ใบหน้าหวังหลินจะสงบนิ่งแต่จิตใจสั่นไหวมองผีเสื้อห้าสีที่กำลังกระพือข้างกาย หลังขบคิดเล็กน้อยหวังหลินก็เลื่อนแขนขึ้นสร้างผนึกและประทับเข้าหามันเบาๆ
ปีกผีเสื้อหยุดชะงักและเปลี่ยนเป็นละอองแสงห้าสีค่อยๆกระจัดกระจายหายไป หลังจากนั้นมันก็เปลี่ยนกลับกลายเป็นราชรถสังหารเทพ
หวังหลินผ่อนคลายขึ้น เม็ดเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผาก หายานักที่เขาจะรู้สึกเย็นเยียบจนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาแบบนี้ ทว่าฉากเหตุการณ์ที่ร่างเซียนขั้นรูปธรรมหยางสูงสุดและวิญญาณดั้งเดิมแตกสลายเพียงกระพือปีกครั้งเดียวยังคงทำให้เขาตื่นตะลึงมหาศาล
‘ด้วยราชรถสังหารเทพและชุดเต๋าร่วงโรยนี้ ข้าสามารถต่อสู้กับเซียนขั้นส่องสวรรค์ได้แล้ว!’ ดวงตาส่องประกายมองไปรอบตัว เผ่าอมตะที่ถูกเลือกกลับคืนสู่ปกติหลังจากชายวัยกลางคนตายไป แววตาแต่ละคนเต็มไปด้วยความเสียใจและนึกคิดอยู่เงียบๆบนพื้น
ห่างออกไป ต้าซานกลับมาพร้อมกับอาการบาดเจ็บ เขาถือหม้อใหญ่ไว้ในมือซึ่งจับเจ้าอสูรหมอกที่ไล่ล่าเหล่าเด็กๆเอาไว้ ทว่าเขาบาดเจ็บสาหัส พอกลับมาเขาจึงฟุบลงไปด้วยอาการย่ำแย่
สิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว บรรพชนเผ่าเตรียมสถานที่เงียบๆให้หวังหลินพักในช่วงเวลานี้
หวังหลินไม่ทำอะไรเสียเวลา หลังจากพูดคุยรายละเอียดกับชายชรา เขารู้สึกว่าสิ่งที่คาดเดาเอาไว้ก่อนหน้านี้แม่นยำถึงแปดในสิบส่วน
ทว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา หวังหลินจึงเพ่งสมาธิหาทางออกจากที่นี่
หวังหลินได้ลองไปที่ปลายสุดขอบฟ้าแล้ว เป็นอย่างที่ต้าซานพูดเอาไว้ ปลายสุดขอบฟ้าเป็นกำแพงเนื้อไร้ขอบเขต ทว่าแสงสีฟ้าเจาะผ่านผนังเนื้อเข้ามาทำให้ดูเหมือนเป็นโลกจริงๆ
นอกจากท้องฟ้าแล้วหวังหลินยังตรวจค้นทั้งแผ่นดินแต่ก็ยังไม่พบทางออก ณ ตอนนี้หวังหลินจึงมั่นใจว่าค่ายกลในเตาหลอมหยินลี้ลับคือทางออก!
‘หากไม่คิดว่ามีจิตวิญญาณเตาหลอมหยินอยู่ด้วย แต่กลับมีชายชุดฟ้าออกมา ทั้งหมดนี่ทำให้ทั้งสถานที่แห่งนี้แปลกประหลาด ชายชุดฟ้านั่นบอกว่าตัวเองคือเทพและพลังที่เขาใช้ก็คล้ายกับปราณสวรรค์ แต่กลับบรรจุกลิ่นอายพลังดั้งเดิมเอาไว้ด้วย’
‘มันคล้ายกับขุนนางเทพฉิงชุ่ยตอนที่อยู่ในแดนสวรรค์อัสนี รวมกับปฏิกิริยาของเผ่าอมตะที่ถูกเลือกแล้ว เป็นไปได้ว่าชายชุดฟ้าคนนั้นคือเทพตัวจริง!’
หวังหลินเดินออกจากห้องพร้อมครุ่นคิดและหายตัวไป เขาปรากฏตัวอีกครั้งบนพื้นที่ราบทางด้านตะวันออกของแผ่นดิน
เพียงแค่ปรากฏตัวขึ้นพลันเกิดเสียงร้องร่าเริง อสูรยุงบินไปมาอยู่กลางท้องฟ้า หลังจากบินเป็นวงกลมสองสามรอบมันก็ลอยมาหาหวังหลิน
ร่างเจ้าคางคกสายฟ้ากำลังนอนอยู่บนหญ้าคล้ายกับภูเขาย่อมๆ มันลืมตาขึ้นมามองหวังหลินก่อนจะหลับลงอีกครั้ง
ไม่เห็นแม้แต่เงาเจ้าฉวี่ลี่กั๋ว มันออกไปหาสถานที่สนุกสนานเล่น
เมื่อเจ้ายุงเข้ามาใกล้ หวังหลินเผยรอยยิ้มและตบหัวมัน อสูรยุงเผยท่าทีสบายๆพลางบินขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง
หวังหลินก้าวเข้าหาพงหญ้า วินาทีถัดมาเขาก็ปรากฏตัวบนพื้นที่โล่งกว้างพันฟุต พื้นหญ้าที่นี่หายไปและถูกแทนที่ด้วยห้วยน้ำลึก ห้วยเหล่านี้ผสานกันก่อเป็นรูปภาพอันซับซ้อนราวกับเป็นค่ายกล
หวังหลินก้าวเข้าไปโดยไม่ได้มองพื้นดินด้านล่าง เขานั่งอยู่ตรงกลางของค่ายกล
ตั้งแต่ที่หวังหลินปลดปล่อยคางคกสายฟ้าและอสูรยุงออกมา เขาก็ไม่ได้เก็บพวกมันกลับไปและปล่อยให้อิสระอยู่รอบๆแถวนี้ ส่วนเจ้าฉวี่ลี่กั๋ว หวังหลินขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจ
ที่นี่คือสถานที่ที่หวังหลินค้นพบว่าเหมาะกับการฝึกฝน หลังจากลบล้างต้นหญ้าออกไปเขาก็วางรูปแบบกฏเกณฑ์ลงแทน พอมีเจ้าอสูรยุงและคางคกสายฟ้าคุ้มครอง ที่นี่จึงค่อนข้างปลอดภัยในระดับหนึ่ง
หวังหลินสร้างผนึกและประทับลงบนค่ายกล เกิดแสงกระพริบวูบวาบและทุกสิ่งทุกอย่างหายไป ถูกแทนที่ด้วยทุ่งหญ้า
ไม่ว่าจะอยู่ไกลอยู่ใกล้แค่ไหนก็ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าที่นี่สร้างขึ้นมาหลอก แม้จะก้าวไปข้างใน ทุกอย่างที่ปรากฏล้วนเป็นปกติ
หลังกระตุ้นค่ายกล ดวงตาส่องสว่างขึ้น การเดินทางไปแดนสวรรค์อัสนี หวังหลินเจอเรื่องอันตรายมามากมาย ทว่าเขาไม่มีเวลามาหลอมสิ่งของอันใดนับตั้งแต่ที่ออกมา
เดิมทีเขาวางแผนจะไปดาวฉิงหลิงหลังจากออกแดนสวรรค์มาได้แล้วเพื่อหลอมสมบัติ แต่ไม่คาดคิดว่าจะถูกส่งมาที่นี่
‘ตอนนี้ข้าต้องหลอมสมบัติที่ได้มาจากแดนสวรรค์อัสนีเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง ด้วยวิธีนี้เส้นทางในการออกจากที่นี่ก็จะราบรื่นขึ้น’
หวังหลินขบคิด สัมผัสกระเป๋านำชุดเกราะหนังออกมา แผ่นหนังที่ใช้ทำชุดเกราะนี้หยาบกร้านมากและมีอักขระบางส่วนอยู่ด้วย ขณะถือเกราะหนังหวังหลินใช้มือซ้ายสัมผัสเบาๆ
‘เกราะหนังเทพโบราณ…’ หวังหลินจ้องเงียบๆอยู่ชั่วครู่ก่อนจะโยนขึ้นกลางอากาศ พ่นพลังดั้งเดิมออกจากปาก
เพลิงสีขาวปรากฏขึ้นมาล้อมรอบชุดเกราะโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทว่าไม่เพียงแต่หวังหลินจะไม่หยุด เขากลับส่งพลังดั้งเดิมออกไปมากขึ้น
เจ้าของคนก่อนมีโอกาสจะเป็นปรมาจารย์อิสระมากที่สุด แม้เขาจะตายไปแล้วแต่ระดับบ่มเพาะแข็งแกร่งมาก กระทั่งตอนนี้ยังมีร่องรอยแตกหักแยกกันกับสัมผัสวิญญาณบนชุดเกราะ
‘ถ้าผ่านไปอีกหมื่นปี ข้ากลัวว่าสัมผัสวิญญาณเสียหายบนเกราะหนังคงจะตื่นขึ้นด้วยตัวเอง มันคงเกิดจิตสำนึกขึ้นมาเองและกลายเป็นจิตวิญญาณใหม่ของเกราะหนังเทพโบราณ!’ ด้วยระดับบ่มเพาะตอนนี้จึงสามารถมองทะลุแกนกลางของมันได้ แม้ไม่ใช่ว่าจิตวิญญาณสมบัติทั้งหมดจะก่อกำเนิดขึ้นแบบนี้ แต่ส่วนใหญ่แล้วนี่คือวิธีการที่มันถือกำเนิด
แก่นพลังดั้งเดิมที่เป็นเพลิงสีขาวล้อมรอบเกราะหนังเทพโบราณเอาไว้และเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ กระบวนการนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก นอกจากนั้นเจ้าของคนก่อนยังทรงพลังยิ่งและแข็งแกร่งกว่าหวังหลินในตอนนี้มากมาย
แม้สัมผัสวิญญาณจะเสียหายก็ไม่สามารถประเมินต่ำไปได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือมันผ่านการพัฒนามานานตั้งแต่อดีตกาลและเริ่มจะเปลี่ยนกลายเป็นจิตวิญญาณสมบัติแล้ว
‘แม้จิตวิญญาณสมบัติจะล้ำค่า หากมันลบล้างออกไปไม่ได้ เกราะหนังเทพโบราณจะไม่มีวันเป็นของข้าและกลายเป็นของจิตวิญญาณสมบัติแทน มันจะกลายเป็นเหมือนกระบี่สวรรค์พิรุณซึ่งเจ้าของที่แท้จริงคือวิญญาณข้างใน ยิ่งไปกว่านั้นนี่คือเศษเสี้ยวสัมผัสวิญญาณของเทพและมีความขัดแย้งกับเทพโบราณ แม้พวกเขาจะเริ่มหลอมรวมในอดีตแต่มันก็ยังไม่เพียงพอ!’
ดวงตาหวังหลินเยือกเย็น มุ่งมั่นลบล้างจิตวิญญาณสมบัติที่ยังไม่ได้รับสติปัญญา
ผ่านไปอีกหลายวัน หมอกสีฟ้าโผล่ออกมาจากเกราะหนังเทพโบราณที่หวังหลินกำลังหล่อหลอม หมอกสีฟ้าเคลื่อนไหวราวกับเจ็บปวดเหลือแสน แต่มันก็ถูกบังคับให้ออกมาจากเกราะหนัง
หมอกสีฟ้ามีเส้นสายกำลังเชื่อมต่อกันกับเกราะหนังเทพโบราณ ขณะนั้นหวังหลินลืมตาขึ้นมาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ยกแขนขึ้นและตวัดลงอย่างโหดเหี้ยม
ตัดสวรรค์ส่งออกไป ที่ถูกตัดคือการเชื่อมต่อระหว่างจิตวิญญาณสมบัติและเกราะหนังเทพโบราณ!
เส้นสายเสียหายพร้อมเกิดปะทุขึ้นมา หมอกสีฟ้าลอยขึ้นสู่อากาศ หวังหลินนำธงวิญญาณพันล้านดวงออกมาเปลี่ยนกลายเป็นหมอกทมิฬและกลืนกินหมอกฟ้า
เกราะหนังเทพโบราณลอยอยู่เบื้องหน้าหวังหลิน ดวงตาส่องสว่างและกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาใส่เกราะหนัง ทิ้งตราประทับของตัวเองเอาไว้ ตราประทับนี้แข็งแกร่งมากและเกราะหนังพลันปลดปล่อยกลิ่นอายโบราณออกมา
กลิ่นอายมหาศาลและล้อมรอบพื้นที่ในทันที วังวนแห่งหนึ่งก่อตัวขึ้นรอบกายหวังหลิน
หวังหลินอยู่ใจกลางวันวนและไม่ได้ขยับไปไหน จังหวะที่เขาทิ้งตราประทับไว้บนเกราะหนัง กลิ่นอายคุ้นเคยสายหนึ่งก็ล้อมรอบตัวเขา
กลิ่นอายคุ้นเคยนี้ออกมาจากเกราะหนังและคุ้นอย่างยิ่งเหมือน…เหมือนเด็กน้อยเร่ร่อนมานานหลายปีจนในที่สุดก็พบญาติพี่น้อง เป็นสัมผัสที่หวังหลินรู้สึกแต่ก็เป็นสัมผัสที่เกราะหนังเทพโบราณมีเช่นเดียวกัน
เป็นความรู้สึกซึ่งกันและกัน เกราะหนังเทพโบราณไม่จำเป็นต้องถูกหวังหลินอัญเชิญขึ้นมา มันลอยเข้าหาหวังหลินและเข้าไปตรงหน้าอก หวังหลินไม่ได้ปฏิเสธมันและรู้สึกถึงสัมผัสอันคุ้นเคยตอนที่เกราะหนังเข้าไปในร่างเขา
เกราะหนังเทพโบราณเข้าไปในร่างหวังหลินอย่างสมบูรณ์ จากนั้นมันก็ห่อหุ้มตัวเองรอบวิญญาณดั้งเดิมของเขา
ดวงตาหวังหลินเปล่งประกายเจิดจ้าพลางสูดหายใจลึกและชี้ตรงระหว่างคิ้ว แสงกระพริบหนึ่งคราและวิญญาณดั้งเดิมลอยออกมา ในร่างมังกรโบราณของเขาแทบมองไม่เห็นเกราะหนังเทพโบราณเลยแต่หวังหลินกลับรู้สึกได้ชัดเจนว่าการป้องกันวิญญาณดั้งเดิมเพิ่มขึ้นมาในระดับที่น่าหวาดกลัว
‘น่าเสียดายนักที่ข้าไม่สามารถทดสอบได้ว่ามันสามารถทนได้แค่ไหน แต่มันไม่น่าจะอ่อนแอ!’ ดวงวิญญาณดั้งเดิมกลับเข้าสู่ร่าง
หลังหล่อหลอมเกราะหนัง หวังหลินไม่หยุดเพียงแค่นี้ เขาอ้าปากพ่นลำแสงสีทองออกมา ลำแสงกระพริบกลางอากาศเปลี่ยนกลายเป็นกรงสีทอง
กรงนี้เป็นสีทองล้วนและส่องประกายวับวิบ หวังหลินจำได้ว่าเขาได้มาจากผู้ส่งสาส์นคนหนึ่งของอารามเทพอัสนีตอนที่พุ่งเข้าหาค่ายกลเคลื่อนย้าย
วิญญาณผู้ส่งสาส์นคนนั้นยังอยู่ในธงวิญญาณของเขาอยู่เลย ครั้งนึงอีกฝ่ายเคยพูดไว้ว่าจะยกสมบัติล้ำค่าให้เพื่อแลกเปลี่ยนกับชีวิต
ขณะที่หวังหลินมองดูเกรงสีทอง สัมผัสวิญญาณก็ล้อมรอบมันเอาไว้ หลังจากใช้เวลาปรับแต่งมันไปสักพักหวังหลินก็ลบล้างตราประทับเจ้าของคนเก่าได้ง่ายๆ
กรงทองสีหมองลงทันทีพลันตกลงจากท้องฟ้าและถูกหวังหลินรับเอาไว้
หวังหลินจ้องกรงทองในมือและพึมพำ “ของชิ้นนี้ไม่เลวนัก เทียบกับชุดเต๋าร่วงโรยมันยังขาดพลังมาเกินไป ทว่าวิชาที่สามารถผนึกวิชาคนอื่นได้นับว่าน่าสนใจยิ่ง!” หวังหลินใช้พลังดั้งเดิมเข้าบดขยี้กรงทองให้แตกกระจุย