89. สมบัติเซียน
สายตาหวังหลินฉายแววเยือกเย็นขณะพูดขึ้น “ข้าฝึกฝนอยู่ที่นี่ดังนั้นหากไม่จำเป็นจริงๆข้าก็ไม่อยากทำอะไรเกินเลยหากเจ้าถอยไปและไม่รบกวนข้าอีกครั้งข้าจะให้เจ้าไปและลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นซะ”
ร่างแปลกเผยอาการงงงวยและพูดอะไรบางอย่างออกมา เห็นได้ว่าเขาไม่เข้าใจหวังหลินและหวังหลินไม่เข้าใจเขา
หวังหลินหรี่สายตาแคบลงและเคลื่อนร่างไปที่ผนังที่เสียหายช้าๆ ร่างประหลาดนั้นระมัดระวังอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นหวังหลินเคลื่อนไหว
หวังหลินโบกมือขวาอย่างรวดเร็วขณะที่เขาวาดบนผนังแตกร่างประหลาดได้ตกตะลึง ขณะที่จ้องไปที่นิ้วของหวังหลินเขาก็เผยเหมือนกำลังจะเข้าใจ
นิ้วหวังหลินวาดเป็นรูปภาพซากปรักหักพังอย่างรวดเร็วและจากนั้นเขาก็แบ่งเส้นบนรูปภาพออกเป็นอย่างละครึ่ง
จากนั้นหวังหลินชี้ไปที่ร่างประหลาดและชี้ไปที่ครึ่งขวาของรูปภาพเขาชี้ตัวเองไปที่ครึ่งซ้ายหลังทำเช่นนั้นหวังหลินเคลื่อนตัวเองไปทางซ้ายและวางจุดด้านขวาไว้บนกำแพงขณะที่จ้องร่างประหลาดนั้นไปด้วยสายตาเขาเต็มไปด้วยจิตสังหารอย่างชัดเจน
“ถ้าเจ้าเข้ามาฝั่งข้าอีกครั้ง ข้าจะใช้พลังจิตวิญญาณของข้าสังหารเจ้าซะ!”
ร่างประหลาดตกใจ เขาคิดชั่วครู่ขณะที่ลูบหน้าอกตัวเองด้วยความกลัวเขามองไปที่กระบี่เหินอย่างหวาดกลัวในแววตาและส่งเสียงร้องประหลาดออกมา
หวังหลินขมวดคิ้วหลังจากมันเห็นว่าหวังหลินไม่เข้าใจมันก็กลายเป็นโวยวายและเริ่มโบกมือไปมาจากนั้นก็ตีหัวตัวเองและย้ายร่างไปถัดจากผนังและชกเข้าไปขณะที่เขาชกผนังนั้นเอง สัญลักษณ์บนร่างได้สว่างขึ้นและผนังป่นปี้
ร่างประหลาดหยิบเศษผนังบางส่วนที่แตกหักขึ้นมาเขาจ้องไปที่ของพวกนั้นด้วยสายตาระลึกความหลัง จากนั้นก็วางก้อนหินลงบนพื้นจ้องไปที่หวังหลินและตะโกนออกมาไม่กี่ประโยค
ใบหน้าหวังหลินผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยเขาขยับมือบนอากาศและทันใดนั้นก้อนหินทั้งหมดก็เคลื่อนย้ายไปด้านข้างที่ร่างประหลาดคนนั้นจากนั้นผนึกบนฝ่ามือสร้างเป็นลำแสงพุ่งออกไปไม่นานนักก็ปรากฎหมอกรอบๆระยะก้อนหินพวกนั้น
หวังหลินจ้องไปที่ร่างประหลาดและถามอย่างใจเย็น “นี่คือเขตแดนที่เจ้ากำลังพูดถึงงั้นหรือ?”
ร่างประหลาดนั้นเผยอาการตื่นเต้นขณะที่โบกมือและทุบอกไปด้วยสัญลักษณ์ประหลาดชิ้นหนึ่งบนร่างได้ส่องแสงขึ้นและเขาก็อ้าแขนพื้นดินสั่นสะเทือนและเศษก้อนหินได้ก่อตัวลอยไปบนอากาศทิ้งหลุมขนาดใหญ่ไว้เบื้องล่าง
รูปแบบอันสับสนเล็กๆพวกนั้นได้ลอยไปบนอากาศราวกับภูเขาย่อมๆเหนือหัวร่างประหลาดเขาพยักหน้าไปทางหวังหลินจากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็วหลังจากเคลื่อนที่ห่างออกไปเล็กน้อยก็หยุดร่างลงและเผชิญหน้ากับหวังหลินเขาตะโกนออกมาไม่กี่ประโยคไปที่หวังหลินและทำท่าทางบางอย่างก่อนจะหายตัวห่างจากไป
หวังหลินจ้องไปที่ร่างประหลาดนั้นไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดจะสังหารร่างประหลาดคนนั้นแต่ยันต์สีเหลืองของเขาทรงพลังเกินไป เว้นแต่ว่ามันจะจำเป็นจริงๆหวังหลินไม่ต้องการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับคนประหลาดคนนั้น
ขณะที่เขากำลังคิดเรื่องนี้ ท่าทางก็ได้เปลี่ยนไปกระบี่เหินได้ลอยมาด้านข้างขณะที่สายตาเต็มไปด้วยจิตสังหารร่างประหลาดคนนั้นกลับมา!
หวังหลินจ้องไปที่ร่างที่อยู่ด้านหน้าเขาและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “เจ้ากำลังรนหาที่ตาย”
ร่างประหลาดคนนั้นหยุดลงอย่างรวดเร็ว เขาถือก้อนกลมๆชิ้นหนึ่งในมือจากนั้นขยับนิ้วและพยายามอธิบาย หลังจากเห็นสายตาหวังหลินยังเย็นชาเขาก็โยนก้อมกลมชิ้นนั้นมาที่หวังหลิน
หวังหลินก้าวออกมาช้าๆ ร่างประหลาดคนนั้นไม่ได้ใช้พลังมาก ดังนั้นก้อนวัตถุจึงหมึนเล็กน้อยและหยุดลงหน้าหวังหลิน
หลังจากเขาโยนวัตถุชิ้นนั้นก็ยิ้มให้หวังหลินและจากไป
เวลานี้ตะวันยังคงส่องแสง ดังนั้นหวังหลินจึงมองทิศทางที่ร่างนั้นจากไปหลังจากผ่านไปเวลานาน เขาก็ถอนสายตาออกมาเดินไปที่ก้อนวัตถุทรงกลมชิ้นนั้นและมองดู
ลูกปัดนี้มีขนาดเพียงหนึ่งในสิบส่วนของกำปั้นเท่านั้นมันปกคลุมไปด้วยฝุ่นและแม้แต่มีรอยแตกบนนั้น หลังจากมองลูกปัดชั่วขณะเขาก็เผยอาการตกใจออกมา หวังหลินหยิบก้อนหินบนพื้นและตีมันเบาๆลูกปัดกลิ้งถอยหลังเล็กน้อย พลังปราณอ่อนๆก็ปล่อยออกมาจากลูกปัด
“หรือนี่คือสมบัติเซียน?” เขาตกตะลึงจากนั้นขยับมือบนอากาศและลูกปัดก็ได้ลอยขึ้นมา หลังจากสังเกตเล็กน้อยเขาก็จับด้วยมือขวาโดยไม่ลังเลหวังหลินตรวจสอบมันด้วยสัมผัสวิญญาณและส่งพลังปราณเข้าไปข้างใน
ทันใดนั้นควันสีขาวก็ปล่อยออกมาจากลูกปัดควันสีขาวลอยขึ้นและก่อร่างเป็นรูปทรงของชายชราร่างนั้นมีทรงผมเหมือนกระเรียน ผิวเหมือนไก่ ปากเหมือนเหงี่ยวและหัวกระต่าย ชายชราปล่อยกลิ่นอายอันตรายออกมาเขามองหวังหลินอย่างระมัดระวังและเผยรอยยิ้มถากถาง “เจ้ากล้าที่จะสู้กับข้าคนนี้หรือ?”
หวังหลินตกตะลึงและก้าวถอยหลังหลังจากมองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็สังเกตได้ว่าคนผู้นี้เพียงอยู่ที่ขั้นรวบรวมลมปราณระดับสิบห้าเท่านั้นเขาลูบจมูกตัวเองแววตาสว่างขึ้นและส่งพลังปราณไปที่ลูกปัดหินมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยพลังปราณที่ใส่เข้าไปพลังปราณของชายชราก็พุ่งสูงขึ้นจนถึงขั้นสร้างลำต้นระดับกลางผมของชายชราเคลื่อนไหวโดยไม่มีลมและร่างกายปลดปล่อยกลิ่นอายการต่อสู้ขนาดใหญ่ร่างชายชราลอยขึ้นไปบนอากาศและพูดขึ้น “เจ้าต้องการจะต่อสู้กับข้าผู้นี้หรือ?”
หวังหลินรู้สึกประหลาดใจ เขายังไม่มีความคิดจะใช้ลูกปัดนี้และตัดสินใจเพิ่มพลังปราณเข้าใส่มากขึ้น
สายตาชายชราเปล่งปลั่งและแรงกดดันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วมือของเขาเคลื่อนไหวเป็นเสียงสายฟ้าคำรามขณะที่พลังฝึกฝนพุ่งสูงขึ้นจนถึงจุดที่หวังหลินก็ไม่อาจบอกได้ว่าระดับฝึกตนของเขาอยู่ที่เท่าไหร่ระดับการฝึกตนของชายชราได้ถึงระดับที่เพียงแค่จ้องก็เกิดอาการกลัวได้ร่างชายชราปล่อยลมหายใจออกมาและปลดปล่อยแรงกดดันที่ผู้เชี่ยวชาญยังต้องอายเขาวางแขนทั้งคู่ตัวเองไว้ด้านหลังและพูดขึ้น “ระดับต่ำกว่าขั้นแตกหน่อยังกล้ามาสู้กับข้า เหลวไหล!”
หวังหลินถอนพลังปราณของตัวเองออกมาและร่างชายชราหายไปอย่างรวดเร็วกลับกลายเป็นควันสีขาวเหมือนเดิมควันสีขาวกลับเข้าสู่ลูกปัดและส่งเสียงแตกหนึ่งครั้งเส้นรอยแตกปรากฎขึ้นบนลูกปัดหนึ่งเส้น
หวังหลินจ้องไปที่ลูกปัดหินและไม่อาจเปล่งคำพูดออกมาเขาแน่ใจกับผลลัพธ์ของลูกปัดหินแน่นอนแล้ว ลูกปัดนี้เป็นสมบัติเซียนภาพมายาและภาพมายานั้นแทบไม่ต่างกับของจริงร่างชายชรานั้นไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมาแรงกดดันที่ปล่อยออกมาถือได้ว่าสมบูรณ์แบบ แค่เพียงประโยคล่าสุด “ระดับต่ำกว่าขั้นแตกหน่อยังกล้ามาสู้กับข้า เหลวไหล!”
แรงกดดันและท่าทางได้ถึงจุดสูงสุดหวังหลินเชื่อว่าแม้แต่เขาเองก็ไม่อาจบอกได้ว่านั่นเป็นของปลอมนอกจากนั้นภาพของคนส่วนใหญ่ ชายชรามีแรงกดดันของอาจารย์เฒ่าคนหนึ่งทีเดียว
ด้วยการบ่มเพาะของเขาที่กำลังเพิ่มขึ้นเขาสามารถเพิ่มพลังปราณเข้าไปในลูกปัดเพื่อให้พลังของชายชราเพิ่มมากขึ้นได้อีกนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวอย่างแท้จริง
หวังหลินเก็บสมบัติและพึมพำกับตัวเอง “ร่างประหลาดสีฟ้าคนนั้นน่าสนใจจริงๆเขาต้องรู้สึกไม่ดีแน่ๆที่สร้างความสับสนเล็กน้อยพวกนั้นดังนั้นจึงให้สมบัติชิ้นนี้มา”
ด้วยการแลกเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆนี้หวังหลินตระหนักได้ว่าร่างประหลาดคนนั้นยังไม่ได้ใช้สมบัติเซียนใดๆเลยและซากปรักหักพังพวกนั้นจะต้องมีสมบัติมากกว่านี้แน่
ซากเมืองโบราณตอนนี้กลายเป็นขุมทรัพย์สมบัติในสายตาหวังหลินไปแล้ว
“สถานที่แห่งนี้มีแสงลึกลับที่รักษาอาการบาดเจ็บได้ สมบัติเซียนภาพมายาและร่างประหลาดคนนั้น ที่แห่งนี้จะมีความลับอะไรอื่นอีกกัน?” หวังหลินลูบคางตัวเอง ตอนนี้ยังมีแสงสว่างดังนั้นเขาจึงวางค่ายกลอีกครั้งหวังหลินนั่งลงตรงกลางและดื่มน้ำพลังหยิน จากนั้นก็เริ่มฝึกฝน
สองเดือนได้ผ่านไป
วันนี้หวังหลินนั่งทำสมาธิอยู่ในห้อง สองเดือนที่ฝึกฝนพลังหยิน เขาได้รวบรวมพลังงานได้เพียงพอที่จะทะลวงผ่านระดับแรกได้แล้ว
สายตาหวังหลินส่องแสงขึ้น ในที่สุดเขาก็ได้เรียนรู้วิถีเซียนนรกจบและรู้ดีว่าการผ่านสามขั้นตอนใหญ่จะเป็นยังไง
จุดสำคัญหลักในการผ่านระดับคือตันเถียนที่กระเพาะ ทะเลปราณบนหน้าอก และต้นกำเนิดปราณ
สามตำแหน่งสำคัญนี้ที่จะต้องผ่านไปแต่ละครั้งเพื่อสร้างแกนพลังหยินในเงื่อนไขง่ายๆสำหรับระดับแรกจุดตันเถียนต้องเปิดออกและเวลาที่จะเข้าถึงระดับสองตันเถียนที่เปิดอยู่จะต้องถูกขยี้และเปิดขึ้นอีกครั้ง
ทฤษฎีของวิถีเซียนนรกก็คือการทำลายก่อนจากนั้นก็ฟื้นฟูมันให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
หวังหลินครุ่นคิดจากนั้นเคลื่อนพลังหยินไปที่จุดตันเถียนในกระเพาะเพิ่มเริ่มการทะลวงผ่านระดับแรก
ภายใต้การควบคุมของเขา พลังหยินได้หมุนเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆทำให้เกิดความเจ็บปวดอันแหลมคมในกระเพาะ หวังหลินเข้าใจวิชานี้ดังนั้นเขาจึงรู้ว่ายิ่งเจ็บปวดมากขนาดไหน ก็ยิ่งใกล้ถึงจุดทะลวงผ่าน
ความเจ็บปวดแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถทนได้ความรู้สึกนี้ราวกับมีใครกำลังแทงกระเพาะด้วยกระบี่และปั่นมันไปรอบๆแค่เพียงผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ ร่างหวังหลินก็ปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็น
พลังหยินได้กลายเป็นเหมือนลมหมุนภายใต้การปั่นนั้นราวกับมันเริ่มจะกว้างขึ้น หากมองจากข้างนอกท้องหวังหลินเปลี่ยนเป็นสีเขียวและนำแข็งเริ่มจะก่อตัวไปทั่วร่างกาย
หวังหลินกัดฟันแน่นขณะที่ความเจ็บปวดหนักขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นพลังเย็นได้หวาดผ่านในร่างกาย
ในจุดนี้ด้วยการปั่นของพลังงานหยิน หลุมดำได้ปรากฎขึ้น ขณะนั้นพลังหยินทั้งหมดก็โดนดูดเข้าไปราวกับก้อนหินบนน้ำ
ไม่นานนัก พลังปราณทั้งหมดก็เริ่มจะโดนดูดเข้าไปด้วยขณะที่มันออกจากร่างและเข้าไปในหลุมดำนั้น
ข้างในหลุมดำมีการเปลี่ยนแปลงประหลาดได้เกิดขึ้นพลังปราณที่ปฏิเสธพลังหยินตลอดมาขณะที่มันอยู่ในร่างหวังหลินได้เริ่มสู้กับพลังหยินทั้งสองพลังงานได้ปะทะกันเพื่อต่อต้านอีกฝ่ายหนึ่ง
จากนั้นพลังหยินและพลังปราณได้เริ่มดูดเข้าด้วยกันและผสมปนเปจนกลายเป็นพลังปราณชนิดใหม่ที่หมุนช้าๆในหลุมดำ