892. กลับบ้าน
ชัดเจนว่าจักรพรรดิเทพฉิงหลินคิดค้นวิชาองครักษ์เทพขึ้นมาภายหลังผนึกพวกนี้ องครักษ์เทพเลียนแบบพวกเทพโบราณ ส่วนผนึกถูกใช้สำหรับควบคุมเหล่าทาส
ทั้งสองแบบมีความแตกต่างกัน องครักษ์เทพเน้นร่างกายเป็นอับดับหนึ่ง วิชามาเป็นอันดับสอง เมื่อเสร็จสมบูรณ์มันจะไม่มีวันทรยศเว้นแต่ผู้ใช้จะปลดปล่อย
วิชาการผนึกนั้นไม่สมบูรณ์แบบเมื่อมีความจงรักภักดีมาเกี่ยวข้องด้วย ตราบใดที่มันเป็นวิชาหนึ่งมันคงไม่สมบูรณ์ไปได้ พอผ่านระยะเวลาอันยาวนาน ปัญหาหลายอย่างจะทำให้วิชานั้นเสียหายขึ้น
หวังหลินเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน ยามที่ผนึกร่อนลงระหว่างคิ้วของเด็กหัวโต ร่างอีกฝ่ายสั่นเทา พลังเทพดั้งเดิมทั้งหมดในร่างกายเริ่มกระตุ้นขึ้นมา ผนึกตัวตนก่อตัวบนวิญญาณดั้งเดิม เด็กหัวโตสูดหายใจลึกพร้อมกับยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง เอ่ยกล่าวเคารพ “ขอคำนับ นายท่าน!”
หวังหลินมองเด็กหัวโตและเอ่ยออกมา “ออกไปนอกดาว ส่งพวกเซียนทุกชั้นฟ้ากลับไป ส่วนเจ้าให้อยู่ที่นี่”
เด็กหัวโตรับรู้คำสั่งอย่างรวดเร็วพลางถอนหายใจ กระโดดขึ้นกลางอากาศพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
หวังหลินมองพื้นแผ่นดินอันคุ้นเคยรอบตัวเอง สายตาเต็มไปด้วยความคิดถึง เขามีความทรงจำมากมายหลายอย่างที่นี่
หวังหลินรู้สึกเศร้าขึ้นมาภายหลังจากดาวแห่งนี้ไปหลายร้อยปี ความรู้สึกซับซ้อนจนมิอาจอธิบายได้อย่างชัดเจน
‘ไม่รู้ว่ามีสหายสักกี่คนที่ข้ายังพบเจอได้อีก…’ หวังหลินเศร้าซึม เงากระพริบวูบวาบและต้าซานก้าวออกมายืนอยู่ด้านข้าง
เพียงหวังหลินจ้องไปที่บ้านตัวเอง ความโศกเศร้ายิ่งรุนแรงมากไปอีก
หลังจากนั้นไม่นานเด็กหัวโตก็ลอยลงมาจากท้องฟ้า ยืนด้านหลังหวังหลินอย่างสงบนิ่ง
ลำแสงหลายเส้นโผล่ออกมาจากระยะไกล ในนั้นมีสองสายเร็วกว่าคนอื่นๆ ทั้งสองคือโจวหวู่ไท่และหยุนเชว่จื่อ
หวังหลินก้าวเท้า ทั้งร่างพลันหายไป ทิ้งไว้เพียงข้อความสัมผัสวิญญาณดังสะท้อนภายในจิตใจโจวหวู่ไท่และหยุนเชว่จื่อ
“ข้าต้องการเงียบสักพัก…”
วินาทีที่โจวหวู่ไท่รู้สึกถึงสัมผัวิญญาณ ร่างกายสั่นเทา จิตใจผวา แม้สัมผัสวิญญาณจะเบาบางแต่กลับทำให้เขากลัว เขาเคารพยิ่งขณะเดียวกับก็เกิดความรู้สึกซับซ้อนในใจ
‘ไม่คิดว่าเขาจะทรงพลังขนาดนี้หลังจากผ่านไปไม่กี่ร้อยปี…’ โจวหวู่ไท่คิดขึ้นมา ระงับความตกใจอย่างรวดเร็ว เขาคำนับฝ่ามือให้กับหยุนเชว่จื่อและจากไปพร้อมกับคนของตัวเอง
อารมณ์ความรู้สึกหยุนเชว่จื่อยิ่งซับซ้อนมากขึ้น สัมผัสวิญญาณของหวังหลินทำให้เขาตัวสั่น เด็กน้อยจากเมื่อตอนนั้นบรรลุระดับบ่มเพาะสูงส่งขนาดนี้ เขาถอนหายใจและรู้สึกราวกับมองเห็นร่างเด็กที่ตัวเองพึ่งดื่มเหล้าด้วยกันในร้านอาหาร
คิดเรื่องการต่อสู้ระหว่างตัวเองกับจูเชว่จื่อ การต่อสู้ระหว่างเผ่าละทิ้งอมตะและแคว้นซูซาคุ ทุกสิ่งทุกอย่างตอนนี้รู้สึกมันเล็กน้อยไปเลย…
บังเอิญว่าทั้งโจวหวู่ไท่และหยุนเชว่จื่อต่างก็เก็บเงียบข้อมูลการกลับมาของหวังหลินเอาไว้ นอกจากเซียนที่ตื่นขึ้นมาในตอนต้นๆ ไม่มีใครรู้ว่าหวังหลินกลับมา…
เหตุผลที่ทั้งสองคนทำเช่นนี้เป็นเพราะสัมผัสวิญญาณหวังหลินแฝงความเศร้าเล็กๆเอาไว้ เขาต้องการเวลาอยู่เงียบๆและไม่ต้องการให้ใครรบกวน
หลายวันต่อมาหวังหลินมองภาพอันคุ้นเคยรอบตัวเองขณะที่กำลังเดินอยู่บนถนนสายลมพัด เขาไม่ได้เคลื่อนไหวเร็วนัก ร่างกายปลดปล่อยสัมผัสแห่งความโดดเดี่ยวอ้างว้าง พระอาทิตย์ตกดินทำให้เงายืดยาวออกไปจนดูโดดเดี่ยวเป็นที่สุด
มองไกลๆแล้วหวังหลินดูไม่เหมือนเด็กหนุ่มแต่เหมือนคนชรามากกว่า คนแปลกหน้าที่จากบ้านตัวเองไปนานหลายปี
ต้าซานและเด็กหัวโตติดตามเขาอย่างเงียบๆ ต้าซานไม่เปลี่ยนสีหน้า เขามีหน้าที่เพียงปกป้องหวังหลินเท่านั้น หากมีใครแสดงเจตนาร้ายต่อเจ้านาย เขาคือคนแรกที่โจมตี
เด็กหัวโตเงียบเช่นเดียวกัน จิตใจยุ่งเหยิงและไม่อาจคิดได้อย่างแจ่มชัด
หวังหลินเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ทุกสิ่งรอบตัวแปลกหน้าแต่มีกลิ่นอายความคุ้นเคยแฝงอยู่ในนั้น ถนนแห่งนี้เป็นแค่ถนนแคว้นเล็กๆ ทว่าเมื่อผ่านกาลเวลาไปมันจึงเปลี่ยนไปอย่างมากมาย
ขณะเดินเหิน ความโศกเศร้าในจิตใจหวังหลินยิ่งมีมากขึ้น เขาเห็นปลายทางของถนนได้อย่างเลือนลาง
ตรงนั้นมีเมืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่และเต็มไปด้วยเสียงอึกทึก ยอดประตูเมืองมีแผ่นโลหะสลักตัวอักษรไว้อยู่สามตัว!
เมืองบรรพชนหวัง!
หวังหลินหยุดมองเมืองห่างไกลตรงหน้า ภาพบ้านเกิดและเสียงครอบครัวตัวเองดังสะท้อนอยู่ในความคิด
‘เปลี่ยนไปแล้ว…’ หวังหลินเผยสีหน้าเศร้า เมืองแห่งนี้แตกต่างจากความทรงจำของเขาอย่างสิ้นเชิง
เสียงกีบม้าและล้อเลื่อนดังสะท้อนด้านหลังหวังหลิน หลังจากนั้นไม่นานคาระวานรถม้าก็ค่อยๆมาถึง
รถม้าพวกนี้ธรรมดาอย่างยิ่ง มีไม่กี่คนที่กำลังขี่บนหลังม้ามุ่งหน้าเปิดเส้นทาง ด้านหลังเป็นคาราวานมากมาย ชายชราผมขาวนางหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในรถม้าพวกนั้น สายตาส่องแสงชัดเจนว่าเป็นจอมยุทธ์
ชายชราหวดแส้ในมือเป็นบางครั้ง เฆี่ยนตีเพิ่มความเร็วรถม้า
เมื่อชายชราผ่านหวังหลินไป เขาหันไปมองกลุ่มของหวังหลินอย่างลวกๆก่อนจะถอนสายตาและจากไป
หวังหลินเดินไปด้านหลังรถม้าด้วยสีหน้าอันซับซ้อน ยามรักษาการณ์ตรงประตูกำลังตรวจสอบคนเข้าเมือง เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ใครเข้าไปได้ง่ายๆ
เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหากับหวังหลินเลย กระทั่งไม่มีทหารคนไหนสังเกตว่าเขาผ่านไป หลังจากเข้าไปในเมือง ถนนหนทางเต็มไปด้วยคนเดินเท้า รอบข้างคือร้านค้าเรียงรายเป็นแถวและดูมีชีวิตชีวา
หวังหลินค่อยๆเดินด้วยความโดดเดี่ยวในใจ ทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้าเขาช่างไม่คุ้นเคยนัก
‘ทุกคนเปลี่ยนไป…’ หวังหลินยืนอยู่ร้านค้าแห่งหนึ่ง ขณะที่มองไปร้านค้าแห่งนั้นภาพวิสัยทัศน์ก็พร่ามัว
เขาจำได้ว่ามันเคยมีต้นหม่อนเก่าแก่พร้อมกับหินสีฟ้าตรงราก ตอนเยาว์วัยเขามักจะมานั่งที่นี่ร่ำเรียนม้วนคัมภีร์
เขายังจำได้ตอนที่ลุงสี่ให้โอกาสเขาได้กลายเป็นเซียน เขานั่งอยู่ที่นี่วันนั้นจ้องมองออกไปยังท้องฟ้าไกล
เขาเมื่อตอนนั้นต้องการรู้จริงๆว่าโลกข้างนอกเป็นแบบไหน…
หวังหลินขบคิดมองไปที่ร้านอย่างเงียบๆ หลายร้อยปีผ่านไปในพริบตา อาจไม่ยาวนานสำหรับเหล่าเซียนนักแต่มากพอจะเปลี่ยนผ่านคนทั่วไปอยู่หลายรุ่น
อาจเพราะเขายืนอยู่ตรงนี้นานเกินไป เสี่ยวเอ้อจึงเดินขมวดคิ้วออกมาและต้องการจะโห่ร้อง ทว่าเมื่อเขาเห็นต้าซานจึงตกใจ แถวนี้หาคนตัวใหญ่ยักษ์ได้ยากนัก เมื่อเขามองอีกครั้งเขาก็เห็นเด็กหัวโตอีกคน
เด็กหัวโตดูประหลาดและน่าหวาดกลัว เสี่ยวเอ้อเพียงชำเลืองคราเดียวเท่านั้นและสีหน้าซีดเผือด เขาก้าวถอยไปสองก้าวพลางมองหวังหลินก่อนจะสงบจิตใจตัวเองพูดออกมา “น้องชาย ร้านของเราขายหินหยก หากเจ้าอยากซื้อก็เข้ามา หากไม่ได้ซื้อก็จากไปเสียเถอะ เจ้ามายืนอยู่ที่นี่ทำไมกันเล่า?”
หวังหลินถอนหายใจ “เสี่ยวเอ้อ ต้นหม่อนเก่าแก่ตรงนี้ไปไหนเสียเล่า?”
เดิมทีเสี่ยวเอ้อไม่อยากพูดอะไรนักแต่หลังจากเห็นต้าซานและเด็กหัวโตด้านหลังหวังหลิน เขาจึงตอบออกมา “ต้นหม่อนอะไรกัน? ข้าเติบโตในเมืองบรรพชนหวังและไม่เคยเห็นต้นหม่อนแก่ที่ไหนสักต้นเลย!”
แววตาเศร้าโศกยิ่งมีมากกขึ้นไปอีก หัวใจรู้สึกขมขื่น เขาเดินท่ามกลางถนนหนทางต่อไปและเข้าไปในเมืองอีก ต้าซานและเด็กหัวโตติดตามด้านหลังไปใกล้ๆ
เมื่อเสี่ยวเอ้อเห็นหวังหลินจากไป เขาพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะกลับเข้าไปในร้าน วินาทีนั้นชายชราคนหนึ่งโผล่ออกมาจากบ้านพร้อมกับถือไม้ค้ำและมีคนรับใช้ช่วยพยุง เขาถามน้ำเสียงแหบพร่า “เกิดอะไรขึ้นข้างนอก?”
เสี้ยวเอ้อรีบเข้ามาหา “ท่านเจ้าของร้าน มันไม่มีอะไรหรอก มีคนประหลาดถามว่าตรงนี้มีต้นหม่อนเก่าแก่อยู่หรือไม่ ข้าเติบโตที่นี่และไม่เคยเห็นต้นหม่อนสักต้น ข้าคิดว่าพวกเขาจะจำผิดไป”
ชายชราตกตะลึง แววตาหม่นหมองเผยท่าทีหวนรำลึก หลังจากนั้นสักพักเขาก็เอ่ยเสียงเบา “ข้าจำได้ตอนที่ยังเป็นเด็ก ผู้อาวุโสกล่าวไว้ว่าที่ตรงนั้นเคยมีต้นหม่อนเก่าแก่อยู่ต้นหนึ่ง นั่นมันก็นานมากแล้ว”
เสี่ยวเอ้อตกตะลึงแต่เขาก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
ขณะหวังหลินเดินเหินไป ทุกสิ่งทุกอย่างแปลกประหลาดสำหรับเขา ไม่มีที่ไหนคุ้นเคย ราวกับมีบางอย่างขัดขวางจิตใจและทำให้เขารู้สึกอึดอัดยิ่ง
ขณะเดินไปหวังหลินตัวสั่นขึ้นมา ระดับบ่มเพาะนับพันปีเปราะบางยิ่งและเริ่มแตกสลายจากร่างกาย
เขาเหมือนคนที่จากบ้านไปนานมาก จากนั้นเมื่อเห็นคนประหลาดทั้งหมดพวกนี้เขาพลันรู้สึกบางสิ่งที่คุ้นเคย
หวังหลินมองตรงไปข้างหน้าพันฟุต มีพื้นที่แห่งหนึ่งห้อมล้อมด้วยกำแพงหิน ตรงนั้นมีกลุ่มทหารลาดตระเวณอยู่ ชัดเจนว่าสถานที่แห่งนี้ถูกอารักขาไว้เป็นอย่างดีและไม่มีใครอนุญาตให้เข้าไปได้
อีกทั้งมันมีกลิ่นอายหลายสิบอย่างเป็นของเหล่าเซียนรอบๆบริเวณนี้
จินตนาการว่านี่มันต้องเป็นสถานที่สำคัญที่สุดในเมือง!
สิ่งที่อยู่ในกำแพงหินนั้นไม่ต่างอะไรจากด้านนอกกำแพง มีหลายหลายหลังในนั้นที่ทำให้หวังหลินรู้สึกคุ้นเคย ทั้งยังมีหลุมฝังศพแห่งหนึ่งถูกสร้างไว้ด้านหลัง
เหล่าทหารลาดตระเวณกำแพงมักจะมองเข้าไปข้างในเป็นบางครั้ง สีหน้าแต่ละคนเผยความเคารพจากก้นบึ้งจิตใจ