912. ความผิด
ร่างใหญ่ยักษ์ของเล่ยจีปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังพร้อมกับเคลื่อนผ่านเขตตะวันตกของดาราจักรพันธมิตรเซียนอย่างรวดเร็ว ห่างออกไปไม่ไกลนักมีปราณกระบี่อยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มของเหล่าเซียนทุกชั้นฟ้า
คนที่กำลังนำอยู่เป็นหนึ่งในเหล่าตำแหน่งเทพปฐพี ตอนที่เขาเห็นร่างยักษ์ของเล่ยจีครั้งแรกจึงระมัดระวังมาก กระทั่งเหล่าเซียนด้านหลังถึงกับเตรียมเผชิญศัตรูน่ากลัวคนนี้ ต่างกระพริบวิชามากมายหลายแบบ
เพียงชั่วขณะนั้นสายตาของหัวหน้ากลุ่มพลันหรี่แคบเมื่อเห็นหวังหลินและเด็กหัวโตบนแผ่นหลังเล่ยจี เขาอ้าปากค้าง ถอยร่นไปหลายก้าวและกล่าวอย่างเคารพ “คำนับเทพสายฟ้า”
ซิ่วมู่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเหล่าทุกชั้นฟ้าและเขายังเป็นพยานเห็นการกระทำที่กล้าหาญของหวังหลินด้วยสองตา เขาชื่นชมหวังหลินมาก ความชื่นชมล้วนแต่เป็นความจริงใจ
หวังหลินพยักหน้าเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไร เล่ยจีเหาะเหินผ่านเหล่าเซียนพวกนี้ไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งหวังหลินออกห่างไปได้ไกลแล้ว จึงหันไปมองด้วยความอิจฉา “คนที่มีพาหนะเช่นนั้นช่างคู่ควรต่อตำแหน่งเทพสายฟ้าแล้วจริงๆ”
เขาไม่ใช่คนเดียวที่อิจฉาหวังหลิน เซียนคนอื่นๆทั้งหมดต่างก็ชื่นชมและอิจฉา
ขณะเล่ยจีเคลื่อนไปข้างหน้า พวกเขาเผชิญกับเหล่าเซียนทุกชั้นฟ้าอีกหลายหน เห็นได้ชัดว่าพื้นที่แถบนี้ถูกเหล่าทุกชั้นฟ้าครอบครองไว้อย่างสมบูรณ์ ยามที่เหล่าเซียนเห็นหวังหลิน ทั้งหมดต่างเคารพนบนอบ และเมื่อเห็นเล่ยจี พวกเขาจึงเต็มไปด้วยความตกตะลึงและชื่นชม
หลังซิ่วมู่ปรากฏตัว จึงเกิดข่าวลือทางฝั่งเซียนทุกชั้นฟ้าแพร่กระจายออกไป ในช่วงเวลานี้มีข่าวลือเรื่องซิ่วมู่อยู่เป็นจำนวนมาก
ส่วนใหญ่ข่าวลือพวกนั้นบอกว่าซิ่วมู่ไม่กล้าต่อสู้หรือไม่ก็ทรยศต่อพวกพ้องจนเข้าร่วมกับทางฝั่งพันธมิตรเซียน ซิ่วถิงมีความสุขที่ได้ยินเช่นนี้และลอบจุดเชื้อเพลิงให้โหมขึ้นไปอีก
เซียนรุ่นเก่าแก่ของฝั่งทุกชั้นฟ้าไม่ได้พูดอะไรเพื่อหยุดยั้งเรื่องนี้ อีกทั้งยังหวังหลินก็หายตัวไปตั้งแต่แรก ดังนั้นข่าวลือจึงเป็นกล่าวเกินจริงมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ตัวอย่างก็เช่น “ซิ่วมู่เป็นสายจากฝั่งพันธมิตรเซียน” จึงมีคนเชื่อกันมากขึ้น
การเคลื่อนไหวของเล่ยจีทำให้เซียนจำนวนมากสนใจ ส่วนใหญ่พวกเขามองหวังหลินด้วยความเคารพแต่ก็มีหลายคนมองด้วยสายตาสนุกสนานราวกับกำลังรอการแสดงอะไรดีดี
วันต่อมาเล่ยจีหยุดลงนอกดาวเคราะห์ร้างดวงหนึ่ง ดาวดวงนี้ไม่ได้มีพลังปราณเหลืออยู่มากนัก กระทั่งเซียนทุกชั้นฟ้าที่ครอบครองมันยังไม่สนใจใยดีและเหลือคนคุ้มกันไว้ไม่กี่คนเท่านั้น
หวังหลินมองดูดาวเคราะห์ร้างอย่างละเอียด สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกล แม้จะถูกเซียนทุกชั้นฟ้าครอบครองมันก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการปิดด่านบ่มเพาะของหวังหลิน
หวังหลินขบคิดเล็กน้อย พลันก้าวเท้าออกจากหลังเล่ยจี เดินไปหาดาวเคราะห์ร้าง เด็กหัวโตและต้าซานติดตามไปทันที ส่วนเล่ยจีหดร่างลงเหลือสามสิบฟุตและติดตามไปเช่นกัน
เมื่อเขาเข้าใกล้ดาวเคราะห์ พลันได้ยินเสียงคำรามออกมาจากข้างใน แม้ดาวดวงนี้จะรกร้างแต่ก็ยังมีอสูรดุร้ายจำนวนมาก อสูรพวกนี้ไม่ค่อยมีสติปัญญานักและพึ่งพาสัญชาตญาณเอาตัวรอด
มีกระทั่งอสรพิษยาวหลายสิบฟุตและพยัคฆ์ติดปีด พวกมันทั้งหมดต่างธรรมดายิ่ง
วินาทีที่หวังหลินร่อนลงบนดาว เหล่าเซียนที่ตั้งฐานไว้ที่นี่ต่างก็ตื่นจากการบ่มเพาะ พวกเขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเหาะเหินเข้ามาด้วยปราณกระบี่
หวังหลินเลือกยอดภูเขาแห่งหนึ่งเอาไว้ ภูเขาแห่งนี้แปลกมาก มันเหมือนดัชนีชี้ไปบนท้องฟ้าตรงๆราวกับกำลังแทงทะลุยอดออกไป
ขณะกำลังยืนอยู่บนภูเขาประหลาด ต้าซานชกกำปั้นออกไปเพื่อสร้างถ้ำ เขาทำโดยไม่ต้องรอให้หวังหลินออกคำสั่ง
วินาทีนั้นลำแสงหลายเส้นเหาะเหินข้ามผ่านท้องฟ้าเข้ามา เหล่าเซียนผู้ตั้งฐานที่นี่เข้ามาใกล้ พวกเขาจำนวนห้าถึงหกคนหยุดห่างออกไปพันฟุตและกล่าวอย่างนอบน้อม “คำนับท่านเทพสายฟ้า”
หวังหลินพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าต้องการบ่มเพาะฝึกฝนวิชาเทพที่นี่ อย่ารบกวนหล่ะ”
เหล่าเซียนพยักหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะคำนับฝ่ามือและแยกย้ายกันไป
หลังจากพวกเขาจากไปกันแล้ว หวังหลินสร้างผนึกขึ้นมา กฏเกณฑ์ทำล้ายล้างลอยออกไป สองแขนเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง วางกฏเกณฑ์ลงไปทุกแห่งจนกระทั่งมีร่องรอยกฏเกณฑ์ไปทั่วภูเขา
หลังจากวางกฏเกณฑ์ลงไปแล้ว ต้าซานและเด็กหัวโตนั่งลงคุ้มกันหวังหลินอยู่ห่างๆ เล่ยจีพบสถานที่นั่งเช่นกัน เขารู้สึกว่าความสามารถทางสายโลหิตมีการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกลับ ขบคิดเงียบๆและทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลง
หวังหลินหลับตาลง รอบด้านเงียบเชียบรายล้อมไปด้วยเสียงคำรามไกลเป็นครั้งคราว หลังจากหวังหลินวางกฏเกณฑ์ลงไปแล้ว เหล่าอสูรร้ายทั้งหมดจึงจากไป แม้พวกมันจะไม่ค่อยมีสติปัญญาแต่ก็รู้สึกได้ว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายมาก
จิตใจหวังหลินแจ่มชัดสัมพันธ์กับบรรยากาศเงียบๆ วิชาของจักรพรรดิเทพปรากฏขึ้นในความคิด!
อัญเชิญสายฝนและไสยเวทย์
อัญเชิญสายฝนนั้นครั้งหนึ่งตอนที่หวังหลินใช้เรียกขานสายลม เขาบังเอิญควบแน่นเป็นสายฝนขึ้นมา ทว่าเมื่อมาพยายามทีหลัง เขาก็ไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาอีกครั้งได้แล้ว
หลังจากฉิงชุ่ยมอบมรดกให้ เขาจึงตระหนักปัญหาได้ เรียกขานสายลมและอัญเชิญสายฝนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ทั้งสองสามารถเปลี่ยนสลับกันและผสมผสานด้วยกันได้
ขณะครุ่นคิด หวังหลินอ้าแขนออกและเข้าใจอัญเชิญสายฝนอย่างเงียบๆ
อัญเชิญสายฝนเกี่ยวพันกับการรวบรวมพลังดั้งเดิมในโลกจากนั้นใช้วิชาเพื่อบอกให้พลังดั้งเดิมควบแน่นเป็นสายฝน สายฝนแต่ละหยดบรรจุพลังดั้งเดิมหนาแน่นเอาไว้
กล่าวได้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของกฏอยู่แล้ว
ขณะทำความเข้าใจ ในท้องฟ้าพลันเกิดก้อนเมฆสีดำจำนวนมากควบแน่นเหนือหวังหลิน
เหตุการณ์นี้สะดุดตาเป็นอย่างมาก
เมื่อมองสายฝน หวังหลินจึงจมดิ่งไปอย่างล้ำลึก ทว่าวินาทีนี้สายฝนคล้ายจะหยุดลงและมีสองคนเดินออกมาจากความว่างเปล่า
ก่อนที่สายฝนจะตกลงมาใส่สองคนนี้ มันก็หายไปทันทีและเปลี่ยนกลายเป็นหมอกจำนวนมาก ไม่มีฝนสักเม็ดหยดลงทั้งสองคน
“ซิ่วมู่ เจ้ารู้ความผิดของตัวเองไหม?” หนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงคำรามออกมา เขาเป็นชายชราผู้หนึ่ง หวังหลินเคยเห็นเขามาก่อน หากจำไม่ผิดเขาคือผู้อาวุโสที่รับหน้าที่ลงโทษ!
ปรมาจารย์จงเฉินยืนอยู่ข้างเขาด้วยสีหน้ามืดมน จ้องหวังหลินด้วยสายตาเยือกเย็น สายฝนเปลี่ยนกลายเป็นเมฆขนาดใหญ่ราวกับเพลิงกำลังเผาไหม้และรู้สึกปลดปล่อยแรงกดดันเหนือจินตนาการออกมา ราวกับสามารถใช้ก้อนเมฆเหล่านี้ทำให้โลกแตกสลายเพียงแค่คิดเท่านั้น
“ความผิดอะไร?” หวังหลินมองชายชราด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ข้าถามว่าเจ้าอยู่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่ระหว่างสงครามในดาราจักรพันธมิตรเซียน! เจ้าเป็นเทพสายฟ้าแห่งดาราจักรทุกชั้นฟ้า ทั้งยังหายตัวไปก่อนสงครามจะเริ่มต้นขึ้นเสียอีก นี่มันไม่มีความผิดได้อย่างไร?”
ปรมาจารย์จงเฉินยังไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่สีหน้าเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม หลายวันที่ผ่านมาเขาแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณออกไปในเขตของฝั่งทุกชั้นฟ้าและไม่สามารถหาได้ว่าหวังหลินอยู่ไหน ส่วนสถานที่ไกลออกไปนั้นเขาระมัดระวังตัวเองและไม่กล้าสำรวจอย่างผลีผลาม
หวังหลินยังเอ่ยตอบด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ข้าไปฆ่ายู่เฟย นักฆ่าของดินแดนสังหารฝั่งพันธมิตรเซียน”
หลังจบประโยค ชายชราตกตะลึง ปรมาจารย์จงเฉินดวงตาส่องสว่าง