94. สำนักซากศพ (3)
ใบหน้าหวูอวี่เผยแววตาอ้อนวอน “ข้าไม่สามารถออกจากที่นี่ได้แต่ข้าอยากขอให้เจ้าไปที่สำนักซากศพและขอร้องให้ศิษย์พี่ของข้านามว่าเย่จื่อ(夜自 Yè zì) มาที่นี่เพื่อช่วยข้า”
การแสดงออกของหวังหลินไม่ได้เปลี่ยนไป “ท่านมีหนทางให้ข้าจากไปโดยไม่ให้หุ่นเชิดท่านผิดสังเกตหรือ?”
หวูอวี่พยักหน้ารวดเร็วและพูดอย่างนอบน้อม “ข้าสามารถใช้พลังงานผลิดอกที่หลงเหลืออยู่เพื่อเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายเจ้าเข้าไปสำนักซากศพตรงๆได้”
หวังหลินจ้องไปที่หวูอวี่ เขายิ้มบางๆและพูดขึ้น “ถ้าหากท่านสามารถเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายนั่นได้ ทำไมท่านไม่กลับไปเอง?”
หวูอวี่ถอนหายใจ “หุ่นเชิดซากศพไม่สามารถห่างจากข้าได้เกินร้อยลี้และข้าก็ห่างจากเขาเกินร้อยลี้ไม่ได้เช่นเดียวกันหากหุ่นเชิดหนีห่างจากข้าเกินร้อยลี้มันจะตายทันที ถ้าข้ายังมีร่างกายอยู่วิญญาณคงได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ตอนนี้ข้าเป็นเพียงวิญญาณข้าไม่อยากจะตายกับหุ่นเชิดจริงๆ”
ความถี่การสั่นสะเทือนของรูปปั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหวูอวี่มองใบหน้าของหวังหลินที่ยังคงสีหน้าเหมือนเดิมเขาขบกรามแน่นและพูดขึ้น “ข้าหวูอวี่สาบานด้วยวิญญาณของข้าว่าเจ้าจะไม่มีอันตรายใดใดดังนั้นโปรดช่วยข้าเถิดสหายน้อย ข้าจะให้ของขวัญอาไตกับเจ้าเก้ายันต์เซียนบนร่างเขานั้น เมื่อตอนที่ข้าพบเขามันมีพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้”
“นอกจากนี้ ข้ารู้สึกได้ว่าพลังปราณของเจ้ามีคุณสมบัติพลังหยินข้าย่อมใช้การฝึกฝนเซียนวิถีพลังหยินเช่นกันข้าสันนิษฐานว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อฝึกฝนเซียนวิถีพลังหยินพลังงานหยินที่นี่เป็นเพียงพลังงานหยินนรกเท่านั้น หากเจ้าไปที่สำนักซากศพที่นั่นมีจุดพลังงานหยินปฐพีอยู่”
สายตาหวังหลินขมวดเข้าหากันและพูดขึ้น “หากสำนักซากศพมีพื้นที่ที่มีพลังงานหยินปฐพี ทำไมท่านถึงมาที่นี่เพื่อทะลวงระดับกัน?”
หวูอวี่มองหวังหลินลึกลงไป เด็กหนุ่มคนนี้ระมัดระวังมาก ไม่ว่าจะพยายามโน้มน้ามแค่ไหน สีหน้าหวังหลินก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
หลังจากได้ยินคำถามหวังหลิน เขาก็ยิ้มพูดขึ้น “สหายตัวน้อยข้าได้สาบานกับวิญญาณข้าไปแล้วหุ่นเชิดซากศพตัวนี้ไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตใดใดทุกครั้งที่มันต้องการจะทะลวงขั้น มันต้องดูดซับพลังงานหยินนรกดังนั้นข้าจึงนำมันมาที่นี่”
ขณะเดียวกัน รูปปั้นได้สั่นอย่างรุนแรงและรอยแตกปรากฎขึ้นทั่วทั้งร่างเสียงรอยแตกดังขึ้นถี่ขณะที่รอยราวเริ่มใหญ่ขึ้นและดูเหมือนรูปปั้นนี้กำลังจะทะลายลงหวูอวี่กลายเป็นร้อนรนอย่างมากและพูดขึ้น “สหายน้อยหากเจ้าต้องการฝึกฝนวิชาหยินของเจ้าที่สำนักซากศพก็แค่แกล้งทำเป็นลูกศิษย์ของข้าข้าจะเคลื่อนย้ายเจ้าตรงไปที่สำนักซากศพและพวกเขาจะไม่สงสัยเรื่องอื่นสหายน้อยโปรดพิจารณาด้วยตัวเจ้าเองเถิด”
เมื่อเขาพูดจบ รูปปั้นได้สั่นอย่างรุนแรง ขณะที่รอยแตกตอนนี้ได้คลุมทั่วทั้งรูปปั้นและบางส่วนก็เริ่มหลุดลง
ความคิดของหวังหลินหมุนติ้ว เขารู้ว่าหากเขาไม่หนีไปชีวิตของตัวเองคงจะอันตรายมากเมื่อหุ่นเชิดตัวนั้นบุกเข้ามาหวังหลินรู้ได้ทันที่ว่าหุ่นเชิดตัวนั้นเป็นมือสังหารที่เลือดเย็นแค่ไหน
พอคิดได้ดังนั้นเขาก็พยักหน้าให้กับหวูอวี่โดยไร้คำพูด
หวูอวี่สูดหายใจลึก มือทั้งสองข้างได้สร้างผนึกขึ้นขณะที่แหวนห้าเหลี่ยมปรากฎด้านหน้าเขาช้าๆ
แสงสีรุ้งปล่อยออกมาจากแหวนและรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดขนาดเล็กๆ
ขณะเดียวกัน รูปปั้นได้พังทะลายลงเสียงดังปัง น้ำเสียงเย็นเยือกดังออกมา “นายท่าน ข้าอยากจะเห็นว่าตอนนี้ท่านจะหนีไปไหนได้”
ใบหน้าหวูอวี่หวาดกลัว โดยไม่รอให้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเปิดสมบูรณ์เขาตะโกนขึ้น “สหายน้อย รีบเข้าไป! ไม่ว่าข้าจะรอดหรือไม่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!” เขาลอยไปหาก้อนหินรูปร่างเหมือนคนที่กำลังลอยอยู่บนอากาศ
ขณะเดียวกันหวังหลินก็พุ่งเข้าหาค่ายกลเคลื่อนย้ายทันที ค่ายกลนี้ไม่เสถียรนักและดูเหมือนมันจะพังทลายได้ตลอดเวลา
บุรุษสีฟ้าลังเลเล็กน้อยและติดตามหวังหลินเข้าไปค่ายกลเคลื่อนย้ายด้วย
เพียงเมื่อรูปปั้นได้พังทะลายลงสำเร็จบุรุษหนุ่มก้าวเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ยแต่ทว่าเมื่อเขาเห็นค่ายกลเคลื่อนย้าย ใบหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นดุเดือด
ส่วนหวังหลินหลังจากเข้ามาในค่ายกลเคลื่อนย้ายเขาพบว่าตัวเองอยู่ในอุโมงค์แห่งหนึ่ง รู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังยืดออกมีจุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนกระพริบอยู่ราวกับดาวบนท้องฟ้า
หวังหลินหันไปมองด้านหลัง เขาเห็นอาไตข้างหลังเขากำลังมองซ้ายมองขวาหลังจากอาไตสังเกตได้ว่าหวังหลินกำลังมองมันอยู่มันตะโกนขึ้นด้วยประโยคประหลาดมาที่หวังหลินสายตาหวังหลินไม่มีความระมัดระวังต่อไปแล้ว แต่เต็มไปด้วยความงุนงงแทน
หลังจากไม่รู้ระยะเวลา แสงหนึ่งก็ปรากฎที่ปลายอุโมงค์แสงนั้นได้ใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นจนมันครอบคลุมเกือบทั้งอุโมงค์ทั้งหวังหลินและอาไตรู้สึกมีพลังงานดึงดูดเข้าไปในแสงนั้น
สำนักซากศพเป็นสำนักมารแห่งหนึ่งในแคว้นจ้าวแม้ว่าพวกเขาจะอ่อนแอกว่าสำนักมารฟ้าที่เป็นอันดับหนึ่งสำนักซากศพดันเป็นสำนักที่มีความลึกลับมากมายพูดได้ว่าสำนักซากศพเป็นสำนักที่มีความลึกลับเป็นอันอับหนึ่งในแคว้นจ้าว
ไม่ว่าจำนวนศิษย์ที่สำนักมี ตำแหน่งที่ตั้ง หรือจำนวนเซียนขั้นผลิดอก และข้อมูลเบื้องต้นทั้งหมดต่างไม่มีปรากฎในโลกภายนอก
มีกระทั่งข่าวลือว่าสำนักซากศพได้ถูกลบออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์แล้ว
กล่าวโดยย่อ นี่เป็นสำนักที่มีข้อมูลน้อยมาก แต่ด้วยข้อมูลน้อยแบบนี้จึงเป็นบางสิ่งบางอย่างที่โลกไม่เคยลืมเลือน
นั่นก็คือเรื่องเดียวที่ผู้คนรู้เกี่ยวกับสำนักซากศพก็คือวิธีฝึกเซียน
มีเพียงลูกศิษย์สำนักซากศพเท่านั้นที่หนึ่งคนจะมีโอกาสชำระล้างศพ เมื่อชำระล้างไปแล้วหนึ่งคน จะไม่สามารถชำระล้างศพอื่นได้อีก
นี่เป็นวิชาเซียนที่เป็นปาฏิหาริย์มาก
สำหรับลูกศิษย์ของสำนักซากศพนอกจากจะมีการบ่มเพาะของตนเองการบ่มเพาะของหุ่นเชิดซากศพก็สำคัญเช่นกันเมื่อห้าร้อยปีก่อนศิษย์ขั้นสร้างลำต้นคนหนึ่งได้มีหุ่นเชิดขั้นผลิดอกนั่นจึงเป็นเหตุผลที่วิชาเซียนนี้เสมือนวิชาอัศจรรย์
แม้ว่าในตอนท้ายศิษย์คนนี้จะหายตัวไปอย่างลึกลับภาพลักษณ์ของเขายังคงอยู่ในจิตใจของผู้คนแคว้นจ้าวโดยเฉพาะเหล่าเซียนระดับต่ำที่ฝันอยากจะเข้าร่วมสำนักซากศพ
แต่ไม่ว่าคนแล้วคนเล่าจะพยายามหาแค่ไหน สำนักซากศพก็เหมือนกับก้อนเมฆที่ไม่มีทางหาเจอ
ตำแหน่งที่ไกลจากด้านทิศตะวันตกแคว้นจ้าวเป็นพื้นที่ที่รายล้อมไปด้วยพลังงานหยินตลอดทั้งปีแม้กระทั่งเหล่าผู้ฝึกเซียนก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยนัก
นอกจากความจริงที่ด้านนี้เป็นพื้นที่ที่คละคลุ้งไปด้วยพลังงานหยินยังมีพลังงานเก้าปฐพีที่แม้แต่เซียนขั้นผลิดอกก็ไม่สามารถสัมผัสได้ทุกคนที่ต่ำกว่าขั้นผลิดอกจะได้รับบาดเจ็บเมื่อสัมผัสมัน
ตามที่คาดเดาพื้นที่ที่มีข้อจำกัดหลายอย่างพวกนี้ควรจะซ่อนสมบัติชิ้นโตบางอย่างไว้นี่เป็นความคิดจากหัวหน้าเซียนหลายคนในที่สุดสำนักมารบางแห่งได้รวมตัวกันพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญและทำลายข้อห้ามเพื่อตรวจสอบพื้นที่พวกนี้
แต่เรื่องน่าตื่นตกใจสำหรับทุกคนก็คือว่าไม่มีอะไรบนพื้นที่พวกนี้ บางคนกระทั่งค้นหาไปถึงใต้ผืนดินกลับไม่พบอะไรเช่นเดียวกัน
การล่าสมบัติครั้งนั้นเป็นเรื่องตลกไปโดยปริยาย พวกเขาถูกหลอกโดยสำนักต้นคิด
จากนั้นความจริงที่ว่าสถานที่แห่งนี้มีข้อจำกัดหลายอย่างและไม่มีสมบัติอะไรเลย มันจึงค่อยๆถูกทุกคนลืมเลือนไปตามกาลเวลา
ใจกลางพื้นที่ราบนี้ปกคลุมไปด้วยหมอก
ข้างในหมอกส่วนใหญ่เป็นหนองน้ำเกือบทั่วพื้นที่และใต้หนองน้ำนี้มีถ้ำขนาดยักษ์ตั้งอยู่มีอุโมงค์ที่เชื่อมต่อกับถ้ำยักษ์นี้กับถ้ำเล็กรอบๆและอุโมงค์จากถ้ำพวกนั้นก็เชื่อมต่อกับถ้ำแห่งอื่นทั่วทั้งพื้นที่ใต้ดินบริเวณนี้ปกคลุมไปด้วยถ้ำน้อยใหญ่เชื่อมต่อเข้าหากันเต็มไปหมด
ที่นี่เป็นสถานที่ของสำนักมารที่ลึกลับที่สุดในแคว้นจ้าว สำนักซากศพได้ตั้งอยู่
ถ้ำขนาดใหญ่ที่สุดที่อยู่ตรงกลางมีขนาดใหญ่กว่าโถงหลักสำนักเหิงยั่วหลายเท่าด้านในมีเสาไม้สีม่วงแปดต้นสร้างเป็นค่ายกลแห่งหนึ่งมีคลื่นพลังงานฉายวาบจากเสาไม้นี้อันไร้ที่สิ้นสุด
มีสัญลักษณ์ประหลาดนับไม่ถ้วนและรูปแบบแกะสลักบนเสาไม้ทั้งแปดเสาแต่ละต้นมีด้ายแสงเชื่อมต่อเข้าหากันหากมองจากด้านบนจะเห็นได้ว่าแสงพวกนั้นเชื่อมกันเป็นแสงวงแหวนทั้ง 49 วง
บนเสาไม้แปดต้นนั้นมีชายหนุ่มนั่งอยู่ทั้งหมดแปดคน โลงศพอันหนึ่งลอยด้านหลังหนึ่งในพวกเขา
วงแหวน 5 วงได้ส่องสว่างขึ้น เด็กหนุ่มสวมชุดสีฟ้าและโลงศพหนึ่งปรากฎในถ้ำแห่งนั้น
หนึ่งในชายหนุ่มทั้งแปดคนบนเสาไม้ได้ลืมตาขึ้นและมองไปยังคนผู้หนึ่งที่พึ่งมาถึงเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “เจ้ามาจากที่ไหน?”
ชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีฟ้ารีบโค้งคำนับแลพูดขึ้น “สำนักซากศพหลิวแห่งแคว้นเซียนอันดับสอง ข้าหลินยี่(林弈 Lín yì)มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมทดสอบเลื่อนขั้น”
ชายหนุ่มจ้องคนผู้นั้นอย่างเยือกเย็นและพูดขึ้น “ถ้ำที่สิบแปดทางขวา ไปได้”
ผู้เยาว์ชุดฟ้าคารวะทั้งสองมือด้วยความเคารพและออกจากค่ายกลไป หลังจากนั้นเขาก็ลังเลเล็กน้อยและเข้าถ้ำแห่งหนึ่งไป
ชายหนุ่มบนเสาไม้พยักหน้าเบาๆ เขาไม่นำผู้เยาว์ชุดฟ้ามาใส่ใจและหลับตาลง
เวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง มีคนออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ออกมาทำให้วงแหวน 13 วงสว่างขึ้น ขณะที่วงแหวนทั้ง 13 วงสว่างนั้น สองคนบนเสาไม้ได้ลืมตาขึ้น
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ วงแหวนในค่ายกลส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้มันมีวงแหวนว่างขึ้น 6 วง
หนุ่มคนหนึ่งบนเสาไม้ลืมตาขึ้น ขณะเดียวกัน ทันใดนั้นมีแสงหนึ่งสว่างวาบและวงแหวนอีก 7 วงสว่างเพิ่มขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?” ขณะนั้นชายหนุ่มอีกคนที่ลืมตาขึ้น ทั้งสองมองหน้ากันเองจากนั้นตรวจสอบค่ายกลอย่างระมัดระวัง
ไม่นานจากนั้น ค่ายกลได้สว่างวาบอีกครั้งและจำนวนวงแหวนที่ส่องสว่างได้เพิ่มขึ้นจาก 13 เป็น 28 วง
“ดูเหมือนจะมีผู้อาวุโสคนหนึ่งกำลังมาที่นี่” ชายหนุ่มอีกสองคนลืมตาขึ้น ทั้งหมดสี่คนจ้องไปที่ค่ายกลด้วยสายตาที่แสบความนับถือ
ขณะที่เขาพูดนั้น มีเสียงดังกึกก้องออกมาจากค่ายกล ขณะที่จำนวนของวงแหวนแสงได้สว่างเพิ่มขึ้นทีละวง
ชายหนุ่มที่เหลือทั้งสี่คนที่ลืมตาขึ้นด้วยอาการตกตะลึงเมื่อเห็นวงแหวนสี่สิบวงส่องสว่างทั้งแปดคนยืนขึ้นคุกเข่าลงหนึ่งข้างและสร้างสัญลักษณ์ประหลาดขึ้นมาขณะที่พูดไปด้วยว่า “ยินดีต้อนรับผู้อาวุโส….”