947. คุณสมบัติ
นอกหมู่บ้านดอกท้อออกไปหลายลี้มีสุสานอยู่แห่งหนึ่ง หวังหลินปรากฏร่างอยู่ที่นั่น มองหลุมศพเบื้องหน้า หลังจากคิดอยู่นานจึงตบกระเป๋า
ขวดหยกสีขาวปรากฏขึ้นในมือ เขาถือมันพลางถอนหายใจ “ซุนไท่…ความขุ่นข้องใจของเราจบลงแล้ว ข้าพาเถ้าของท่านกลับบ้านตามสัญญาที่ให้ไว้”
ขวดเล็กๆลอยไปข้างหน้าและจมลงไปในดิน จากนั้นป้ายหลุมศพเล็กๆก่อขึ้นมาช้าๆ
หวังหลินโบกแขนและแกะสลักด้วยนิ้วมือ ตกแต่งหลุมศพด้วยคำพูดเล็กๆว่า
“หลุมฝังศพของซุนไท่”
“สำหรับเราเหล่าเซียน หนึ่งร้อยปี หนึ่งพันปีผ่านไปไวในพริบตา ญาติมิตรส่วนใหญ่จะห่างไกลกันออกไป เหลือแต่เพียงความรู้สึกแปลกหน้า…เมื่อท่านก้าวเข้าสู่เส้นทางฝึกเซียน มันคือวาระที่ยากลำบากของชีวิต”
“เมื่อไหร่ที่หันศีรษะกลับมา ท่านมิอาจเห็นได้ว่าตัวท่านมาจากที่ไหน และเมื่อมองเส้นทางข้างหน้า มันกลับห่อหุ้มอยู่ในสายหมอก”
หวังหลินถอนหายใจมองหลุมศพของซุนไท่ แววตาเศร้าเสียใจ
‘วันนี้ข้าสามารถส่งเถ้าของท่านกลับบ้านแม้ท่านจะตายในต่างแดน…หากมีวันหนึ่งที่ข้าตาย ข้าไม่รู้ว่าจะมีใครส่งข้ากลับไปที่ดาวซูซาคุหรือไม่…’ หวังหลินขบคิดก่อนจะจากไป
‘มันคือเวรกรรม’ หวังหลินค่อยๆหายตัวไปโดยฝ่าเท้าไม่หยุดชะงัก ทว่าเสียงฮึมฮำนั้นไม่ได้จากไปไหน มันเกาะกุมหัวใจเขา
‘ต้นท้อเบ่งบานดอกสีขาว…’
‘บ่มเพาะ ฝึกฝน คนธรรมดาต้องการกลายเป็นอมตะและเข้าสู่โลกแห่งการฝึกเซียน พวกเขายังไม่รู้ว่ามีเซียนสักกี่คนที่อิจฉาชีวิตเรียบง่ายของคนธรรมดา’
‘หลายคนตายในต่างแดนเหมือนซุนไท่ เถ้ากระดูกกระจัดกระจายในสายลม ไม่อาจกลับมาบ้านได้…อย่างไรเสีย หลายครอบครัวและเหล่าญาติมิตรไม่อาจได้พบเจอลูกหลานตัวเองแม้แต่ตอนกำลังตาย หากพวกเขาได้เลือกอีกครั้งก็ยังเลือกก้าวเดินบนเส้นทางแห่งการเป็นเซียน…’
‘เสียงฮึมฮำถูกสร้างขึ้นจากความขมขื่นหลายชั่วอายุคน คนนอกอาจจะไม่เข้าใจว่าเด็กร้องอะไร แต่เหล่าเซียนสัมผัสถึงความเศร้าในใจได้ ชื่อของเสียงฮึมฮำนั้นต้องเป็น…อย่าฝึกเซียน…’
ร่างหวังหลินจางลงเนื่องจากผสานเข้ากับโลก ทว่าเสียงฮึมฮำและความเศร้านั้นคงอยู่ตลอดกาล
หวังหลินก้าวเท้าผ่านดวงดาว สัมผัสความโศกเศร้ารุนแรงทั่วร่างกาย แม้การเดินทางจะเป็นช่วงเวลาอันสั้น อารมณ์เข้าเกาะกุมไปกับเขา
พื้นที่ระหว่างเขตตะวันตกละเขตเหนือกลายเป็นที่พักของเหล่าเซียนทุกชั้นฟ้า มีดาวเคราะห์เซียนดวงหนึ่งอยู่ใกล้กับสนามรบ ดาวเคราะห์เซียนดวงนี้ค่อนข้างเหมือนเดิม แม้จะไม่ได้มีพลังปราณเหลืออยู่มากนักแต่ลี่หยุนจื่อไม่สนใจ
ลี่หยุนจื่อนั่งอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่งบนดาวเคราะห์ ด้านข้างเป็นเด็กหนุ่มหน้าตามืดมัว แม้จะนั่งอยู่ที่นี่เช่นเดียวกันแต่สายตาทอดมองออกไปไกลราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
หากหวังหลินอยู่ที่นี่คงจดจำได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคือซิ่วถิง ผู้เกือบตายในการต่อสู้ครั้งใหญ่
รอบตัวลี่หยุนจื่อมีก้อนโลหิตสิบสามก้อน สิบสามก้อนนี้คือลั่วฟู่ที่เหลืออยู่
ที่นี่มีเหล่าเซียนทุกชั้นฟ้าไม่มากนัก ลี่หยุนจื่อเป็นผู้นำอยู่ที่นี่เพราะลั่วฟู่ทั้งสิบสามก้อนจะป้องกันพันธมิตรเซียนไม่ให้เริ่มโจมตีอีกครั้ง!
สัมผัสวิญญาณของเขาแพร่กระจายผ่านลั่วฟู่ซึ่งทำให้สัมผัสวิญญาณเขาแพร่กระจายได้ไกลมากกว่าปกติ ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดภายในพื้นที่จะหนีรอดสัมผัสวิญญาณเขาไปได้
หวังหลินปรากฏร่างออกมาจากระลอกคลื่น เขามาดาวดวงนี้เพื่อหาลี่หยุนจื่อ นี่คือเรื่องที่สองที่เขาต้องทำ ก่อนที่หวังหลินจะเข้าไปในมิติว่าง มีสัมผัสวิญญาณหนึ่งส่งข้อความมาหาเขา และคนที่ส่งคือลี่หยุนจื่อ
ลี่หยุนจื่อนั่งอยู่บนยอดภูเขา ค่อยๆลืมตาขึ้นมา วินาทีนั้นก้อนโลหิตสิบสามก้อนสั่นเทา ดวงตาสิบสามดวงปรากฏขึ้นบนก้อนโลหิตแต่ละก้อน
ทั้งหมดจ้องมองในทิศทางเดียว แรงกดดันแข็งแกร่งเกิดขึ้นมาก่อตัวเป็นวิชาที่สามารถทำลายดวงดาวได้
ลี่หยุนจื่อเผยรอยยิ้มเจือจาง “เจ้ามาแล้ว” ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาจึงเห็นได้ว่าหวังหลินผ่านการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแต่ไม่ได้ชี้หรือถามหวังหลินออกมา อีกทั้งเขาก็ด้อยกว่าปรมาจารย์จงเฉิน จึงไม่สามารถมองทะลุได้อย่างชัดเจน
แววตาซิ่วถิงกระพริบเย็นเยียบ พ่นลมหายใจเย็นพลางจ้องมองหวังหลินโดยไม่ได้ซ่อนจิตสังหาร
หวังหลินปรากฏร่างภายใต้สายตาสีแดงสิบสามข้าง ท่าทีเป็นธรรมชาติราวกับแรงกดดันไม่มีผลกระทบอะไรเลย เขาเมินเฉยซิ่วถิงอย่างสิ้นเชิง มองลี่หยุนจื่อและเอ่ยขึ้น “ซิ่วมู่คารวะผู้อาวุโสลี่หยุนจื่อ”
ลี่หยุนจื่อโบกแขน ดวงตาสีแดงสิบสามดวงหายไปจากก้อนโลหิต ซึ่งทำให้แรงกดดันหายไปด้วย หวังหลินร่อนลงบนยอดภูเขา ยืนอยู่ตรงข้ามซิ่วถิงด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
ซิ่วถิงตะโกน “ซิ่วมู่!! เจ้า…”
“หนวกหู!” หวังหลินมองซิ่วถิงอย่างเย็นชา สายตาดุจกระบี่แหลมคมทิ่มแทงผ่านดวงตาซิ่วถิง ซิ่วถิงรู้สึกเกิดการระเบิดขึ้นในใจ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปมหาศาล เขาตกอยู่ในอาการตกใจ ทั้งร่างรู้สึกอ่อนแอ คำพูดของหวังหลินแฝงกฏบางอย่างที่ทำให้โลหิตในร่างย้อนคืน ต้นกำเนิดเทพของเขาเกือบพังเสียหาย
ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง…
เสี้ยวพริบตานั้นเสียงทั้งหมดนอกจากเสียงหัวใจเต้นถูกแยกออกมาจากโศตประสาท หัวใจเต้นถี่รัว เม็ดเหงื่อไหลออกมาไม่มีหยุด
จากมุมมองเขา การเผชิญหน้ากับหวังหลินในตอนนี้เหมือนกับเขากำลังเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสของตระกูลและมิอาจต่อต้านได้เลย สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกลัวมากขึ้นก็คือกลิ่นอายทรงพลังที่แข็งแกร่งมากกว่าอำนาจสวรรค์หลายเท่า ร่างกายเขาสั่นเทารู้สึกเหมือนตกอยู่ใต้เท้าของยักษ์ หากยักษ์ตนนี้ร้องคำรามมันคงทำให้ร่างและวิญญาณเขาแตกสลายอย่างสมบูรณ์!
ซิ่วถิงกระอักโลหิตและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาถอยออกมาจ้องหวังหลินแต่ความคิดขาวโพลน ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น…
ลี่หยุนจื่อดวงตาส่องประกายเจิดจ้าและร้องอุทาน จากนั้นสายตามองหวังหลินเคร่งเครียดขึ้น
หวังหลินไม่ได้มองซิ่วถิงอีกแต่มองลี่หยุนจื่อและเอ่ยท่าทีสงบ “ข้าสงสัยว่าทำไมผู้อาวุโสถึงเรียกผู้น้อยมาที่นี่” หวังหลินน้ำเสียสงบนิ่งแต่กลับทำให้ลี่หยุนจื่อเคร่งเครียดขึ้นไปอีก เขาไม่ได้มองหวังหลินเป็นเหมือนผู้น้อยธรรมดาอีกต่อไปแล้ว
นี่คือผลลัพธ์ที่หวังหลินต้องการ เขาต้องการสั่นคลอนภูเขาเพื่อตักเตือนพยัคฆ์! ด้วยสติปัญญาแล้วเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าทำไมลี่หยุนจื่อถึงตามหาเขา? ตอนนั้นเขาไม่มีคุณสมบัติพอจะทำตามความต้องการ แต่ตอนนี้เขาทำได้แล้ว!
“ระหว่างการแข่งขันตำแหน่งเทพ ข้ายอมให้เจ้าดูคัมภีร์รบของตระกูลจาง! ตอนนั้นข้าสัญญากับเจ้าว่าจะให้ได้ดูม้วนคัมภีร์เล่มที่สอง! วันนี้ข้าเรียกเจ้าและซิ่วถิงมาเพื่อดูมัน!” ลี่หยุนจื่อยกแขนซ้ายขึ้นมาเข้าหาความว่างเปล่า จากนั้นเกิดเสียงฉีกขาดและปรากฏรอยแยก
ลำแสงสีดำหนึ่งสายพุ่งออกมาจากรอยแยก ม้วนคัมภีร์สีดำหุ้มด้วยแสงสีดำลอยเข้าหาฝ่ามือลี่หยุนจื่อ
“นี่คือม้วนคัมภีร์รบเล่มที่สองของตระกูลจางทั้งสามเล่ม!” ลี่หยุนจื่อใช้แขนซ้ายโยนมันออกไปข้างหน้า เขามองหวังหลินด้วยความคาดหมาย
หวังหลินใช้แขนขวาคว้าม้วนคัมภีร์รบเอาไว้แต่ไม่ได้เปิดมัน เขายิ้มให้กับลี่หยุนจื่อและเอ่ออกมา “ผู้อาวุโสลี่หยุนจื่อ ผู้น้อยไม่สามารถดูมันโดยไม่มีอะไรตอบแทนได้!”
ลี่หยุนจื่อมองหวังหลินด้วยใบหน้ามืดมน อย่างไรก็ตามเขานึกถึงเสียงคำรามชองหวังหลิน และวินาทีต่อมาพลันหัวเราะ “ซิ่วมู่ เจ้ากล้าดีแท้! พูดมาว่าเจ้าต้องการอะไร?”
หวังหลินชี้ไปที่ลั่วฟู่และเอ่ยท่าทีนิ่งๆ “ผู้น้อยต้องการลั่วฟู่หนึ่งก้อนเพื่อดูม้วนคัมภีร์เล่มที่สอง!”
ลี่หยุนจื่อขบคิดเงียบๆพลางยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม “มันคือสมบัติที่เจ้าต้องการใช่ไหม?”
หวังหลินยิ้มบางแต่ไม่ได้ตอบคำถาม เขาเอ่ยขึ้นมาแทน “ผู้น้อยนัดหมายกับศิษย์พี่เอาไว้ ในอีกไม่กี่วันเขาจะมาหาข้าเพื่อไปสถานที่แห่งหนึ่งกับเขา”
ลี่หยุนจื่อมองหวังหลินพลางหัวเราะ “ข้าจะมอบให้เจ้าเป็นของขวัญ!” เช่นนั้นแขนขวายื่นออกไปและก้อนโลหิตหนึ่งก้อนตกลงมา ควบแน่นจนมีขนาดเท่ากำปั้นลอยเข้าหาหวังหลิน
หวังหลินคว้าเอาไว้อย่างระมัดระวัง พอตรวจสอบมันเสร็จจึงเก็บใส่กระเป๋า
ลี่หยุนจื่อเอ่ย “ตอนนี้เจ้าดูมันได้แล้ว!”
“เมื่อรองเทพสายฟ้าซิ่วถิงจะดูมันเพื่อโชคลาภอันดีพร้อมกับข้า เช่นนั้นซิ่วถิงก็ควรจะได้ดูมันก่อน แล้วข้าค่อยดูต่อ” หวังหลินโยนม้วนคัมภีร์ให้ซิ่วถิง
ความคิดสั่นคลอนของซิ่วถิงยังไม่ฟื้นฟูดีแต่เขาคว้ามันไว้โดยไม่รู้ตัว พลันเปิดม้วนคัมภีร์ขึ้น จากนั้นเสียงคำรามสนั่นดังออกมา
เจตนาต่อสู้แข็งแกร่งปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าและตกลงบนซิ่วถิง!
ร่างซิ่วถิงสั่นสะท้านราวกับถูกสายลมมหึมหาพัดผ่าน ราวกับอสูรโบราณที่ถูกผนึกไว้ข้างในได้รับการปลดปล่อย อสูรร้ายปลดปล่อยกลิ่นอายท่วมถ้น ความโกรธเกรี้ยวตั้งแต่อดีตเล็ดลอดออกมาในครั้งเดียวราวกับมันกำลังกลืนกินเขา
ลี่หยุนจื่อเผยความตึงเครียด หายากที่เขาจะเผยอาการแบบนี้ด้วยทั้งระดับบ่มเพาะและอายุ เห็นได้ชัดว่าในตระกูลเขามีคนที่มีพรสวรรค์มากมายสามารถเปิดม้วนคัมภีร์แรกได้ แต่ไม่สามารถทนต้านรับเจตนาต่อสู้เหนือจินตนาการภายในม้วนคัมภีร์เล่มที่สองได้ก่อนที่มันจะเปิดได้อย่างสมบูรณ์เสียอีก
ผลแย่ที่สุดคือบาดเจ็บสาหัสและพิการ ผลแย่กว่านั้นคือ…วิญญาณดั้งเดิมแตกดับ!