ตอนที่ 5
เข้าวัด
ลินจิราลืมตาตื่นขึ้นมา เพราะความฝันเมื่อคืนที่ฝันว่าพ่อกับแม่อยู่กับเธอส่งเธอเข้านอนรอจนเธอหลับเหมือนเช่นทุกครั้งเมื่อท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ ทำให้เธอนอนหลับสนิทที่สุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทั้งสองจากเธอไป จำได้ถึงความอบอุ่นจากมือพ่อที่เธอชอบกอดยามนอนหลับ ดวงตาสีเขียวมรกตมองไปนอกหน้าต่างห้องพัก คลี่ยิ้มสดใส
“พ่อขาแม่ขาคอยดูหนูอยู่บนสวรรค์นะคะ หนูจะเข้มแข็งอย่างที่พ่อกับแม่สอนเอาไว้ค่ะ”
แล้วลินจิราก็ลุกจากเตียง เข้าห้องน้ำอาบน้ำแต่งตัวรวดเร็ว แล้วไปเคาะห้องคุณปู่ซึ่งอยู่ติดกัน
คุณปู่ยังหนุ่มเดินงัวเงียมาเปิดประตูห้องอ้าปากหาวหวอดๆ เอ่ยถามด้วยความแปลกใจเพราะวันนี้หลานสาวดูร่าเริงมากผิดจากทุกวัน “ลินจี้หุ้นขึ้นหรือไงลูกถึงได้ร่าเริงจัง”
“ไม่ใช่ซักหน่อย เมื่อคืนนี้หนูฝันถึงพ่อกับแม่ต่างหากล่ะคะ” ลินจิราเดินตามคุณปู่เข้าไปในห้องพร้อมกับปิดประตูห้องให้เรียบร้อย
นัทชัยยิ้มน้อยๆ ที่เห็นหลานสาวร่าเริงมากขึ้นทุกวัน “ดีแล้วล่ะลินจี้ จำไว้นะลูกว่าพ่อกับแม่หนูเค้าคอยดูเราอยู่บนสวรรค์ เราต้องทำให้เค้าเห็นว่าเรามีความสุข เค้าจะได้ไม่ทุกข์ใจนะลูก ลุงไปอาบน้ำก่อน แล้วจะได้ไปทานข้าวเช้า หลังจากนั้นจะได้ไปพบลูกความของลุงกัน เสร็จเรื่องแล้วจะได้กลับบ้านกันซะที ป่านนี้คุณย่าหนูบ่นคิดถึงแย่แล้ว”
นัทชัยตบบ่าหลานสาว แล้วก็เดินเข้าห้องนอนคว้าเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำ
ลินจิราเดินไปยังมินิบาร์ในห้องจัดแจงชงชาร้อนๆให้ตัวเอง แล้วหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟามุมห้อง หล่อนหยิบรีโมทกดทีวีเปิดดูระหว่างนั่งรอคุณปู่อาบน้ำ
ครู่ใหญ่ นัทชัยก็เดินออกจากห้องนอน แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเขียวใบไม้อ่อนกับกางเกงสเลคสีดำทับด้วยเข็มขัดหนังสีดำ เขาเดินมาหยุดด้านหลังหลานสาววางมือทั้งสองข้างลงบนบ่าเล็กบอบบาง ตามองดูทีวีที่กำลังรายงานข่าวพยากรณ์อากาศที่หลานสาวกำลังดูอยู่ “มีข่าวอะไรน่าสนใจรึเปล่าลูก”
“ไม่มีเลยค่ะ มีแต่ข่าวเรื่องเดิมๆ ไปกันดีกว่าค่ะคุณปู่ ลินจี้หิวแล้ว” ลินจิราหยิบรีโมทกดปิดทีวีแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปยืนข้างคุณปู่ คว้าแขนคุณปู่มาควงพากันเดินออกจากห้องไปทานอาหารเช้า
สาวน้อยยื่นมือไปลูบท้องคุณปู่พร้อมกับกระเซ้าเย้าแหย่ว่า “คุณปู่ขา ลินจี้ว่าท้องคุณปู่ชักจะโตแล้วนะคะ กี่เดือนแล้วคะคุณปู่”
“หนอยแน่! ริอาจล้อลุงเหรอลินจี้ นี่แน่ะ!” นัทชัยบีบจมูกโด่งสวยของสาวน้อยข้างกายเบาๆ
แล้วทั้งสองก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เมื่อทั้งสองออกจากห้องไปแล้ว นาคินทร์ก็ปรากฏกายขึ้น รู้สึกไม่พอใจที่เห็นลินจิราสนิทสนมกับชายอื่นแม้จะเป็นคุณปู่ก็เหอะ
เขาเอ่ยตำหนิด้วยสีหน้าบึ้งตึงนิดๆว่า “เดี๋ยวนี้ผู้หญิงช่างไร้ยางอายนัก ถูกเนื้อต้องตัวชายอย่างมิอายฟ้าอายดิน มิรักนวลสงวนตัวกันเลยสักนิด น่าอับอายยิ่งนัก ยุคสมัยมันเปลี่ยนถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
เขาหวนคิดถึงภาพต่างๆที่ได้เห็นนับตั้งแต่หลุดพ้นจากการกักขัง ภาพหนุ่มสาวเดินจับมือถือแขน บ้างก็เดินกอดกันกลม ไม่สนใจสายตาผู้ใด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับยุคนี้ไปแล้ว
นาคินทร์ส่ายหน้ากับศีลธรรมในจิตใจผู้คนที่ตกต่ำมากๆ ต่างจากสมัยก่อนยิ่งนัก แล้วเขาก็หายตัวไปคอยติดตามเฝ้าดูลินจิราต่อ
หลังทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว นัทชัยก็พาลินจิราไปพบกับลูกความของเขาที่บ้านของลูกความ นัทชัยคุยธุระกับลูกความนานถึง 3 ชั่วโมงโดยมีลินจิรานั่งฟังอยู่ใกล้ ๆ
เมื่อคุยธุระเสร็จแล้วก็ลาเจ้าของบ้าน
ระหว่างทางผ่านวัดเล็กๆ แห่งหนึ่ง ลินจิราก็ขอให้นัทชัยแวะที่วัดแห่งนั้น “คุณปู่ขา เลี้ยวรถกลับไปวัดที่เพิ่งจะผ่านมาได้มั้ยคะ ลินจี้อยากไปไหว้พระที่วัดนั้นค่ะ”
“อ้อ…ได้ซิลินจี้ ทำไมจะไม่ได้ล่ะลูก ลุงหาที่กลับรถก่อนนะ”
เพราะถนนคับแคบ นัทชัยจึงขับรถเลยไปอีกนิด จึงพบที่เหมาะๆ พอให้กลับรถได้ เขาเลี้ยวรถกลับ พาลินจิราไปยังวัดเล็กๆ แห่งนั้น เขาจอดรถเอาไว้ใต้ต้นพิกุลต้นใหญ่ แล้วพากันเดินเข้าไปไหว้พระในวิหาร
เมื่อไหว้พระเสร็จแล้วก็พากันออกจากวิหาร ระหว่างที่กำลังออกจากวิหารไปยังรถที่จอดอยู่ ทั้งคู่สวนทางกับพระภิกษุชรารูปหนึ่งจึงหยุดรอให้พระภิกษุรูปนั้นเดินผ่านไปก่อน แล้วนัทชัยก็เดินไปยังรถที่จอดไว้ใต้ต้นพิกุล
ลินจิรากำลังจะเดินตามคุณปู่ไป แต่ภิกษุชรารูปนั้นหันกลับมาเรียกเธอเอาไว้“สีกา อาตมาขอคุยกับสีกาซักประเดี๋ยวได้มั้ย”
“คะหลวงตา” ลินจิราหันกลับไปพร้อมกับพนมมือไหว้ภิกษุชรารูปนั้น ค้อมตัวลงต่ำเหมือนที่คุณย่าสอนยามอยู่ต่อหน้าพระสงฆ์
ส่วนนัทชัยทีแรกก็คิดจะหยุดยืนกับหลาน แต่เหมือนมีอะไรดลใจให้เขาเดินไปรอที่รถ
ภิกษุชรารูปนั้นมองตามนัทชัยไปแล้วหันกลับมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสปานระฆังแก้วไพเราะเสนาะหูกับสีกาหน้าแฉล้มว่า “เขาและสีกามีบุญกรรมต่อกัน สีการักษาความดีเอาไว้นะ ความดีเท่านั้นจะช่วยสีกาได้ แล้วซักวันความอาฆาตแค้นจะสูญสิ้นไปจากใจเขา อาตมาพูดกับสีกาเพียงเท่านี้แหละ สีกาไปได้แล้วล่ะพวกเขารอสีกาอยู่”
ลินจิราทำหน้างง แต่พอสบตากับดวงตาเหี่ยวย่นเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปราณีหล่อนจึงรับคำหนักแน่นว่า “ลินจี้จะจำเอาไว้ค่ะหลวงตา”
หล่อนไหว้พระภิกษุชรารูปนั้น รอจนท่านเดินลับตาไปหล่อนจึงเดินไปขึ้นรถ
เมื่อเห็นลินจิรานั่งลงคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย นัทชัยก็ออกรถทันที พร้อมกับเอ่ยถามกระเซ้าเล่นว่า “ลินจี้หลวงตาคุยอะไรกับหนูเหรอ ท่านให้เลขเด็ดรึเปล่า”
“แหมคุณปู่ก็…ท่านเป็นพระนะคะ ไม่ใช่อาจารย์ใบ้หวย ท่านบอกให้ลินจี้รักษาความดีค่ะ ถ้าคุณปู่อยากได้เลขเด็ดคุณปู่ต้องไปถามกับพี่แต้วนู้นเลยค่ะ ถ้าเรื่องนี้พี่แต้วรู้ดี เสียตังค์ทุกเดือนไม่เคยได้รับตังค์เลยค่ะ”
คำตอบของลินจิราทำให้นัทชัยหัวเราะลั่น หลังจากหยุดหัวเราะแล้วเขาก็เอ่ยต่อแถมท้ายว่า “ตั้งแต่เค้าอยู่กับลุงมา ยังไม่เคยได้ยินเค้าบอกเลยว่าถูกหวยเลยซักครั้งเดียว ลุงเคยถามเค้าเหมือนกันนะว่าแล้วทำไมเค้ายังเล่นหวย เค้าก็บอกว่าเค้าเล่นเพราะมันสนุกตรงได้ลุ้น อ้อ…หลวงตาท่านบอกให้รักษาความดีหนูก็รักษาเอาไว้ให้ดีล่ะลูก ขยันทำความดีเอาไว้เยอะๆ แล้วหนูก็จะมีความสุข ลุงก็มีความสุขที่เห็นหนูมีความสุข”
ลินจิรายิ้มให้คุณปู่แล้วมองวิวสองข้างทาง
นัทชัยเห็นหลานสาวมีความสุขกับการชื่นชมทิวทัศน์จึงไม่ชวนคุยอีก
จนกระทั่งถึงโรงแรมที่พัก ปู่กับหลานก็เก็บกระเป๋าจัดการเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม แล้วขับรถไปสนามบินคืนรถที่เช่ามาให้เรียบร้อย
จากนั้นก็ไปยังเคาน์เตอร์ออกบัตรโดยสารของสายการบินไทย จัดการเช็คอินกระเป๋าแล้วก็ไปทานอาหารระหว่างรอขึ้นเครื่องบิน
ภายในร้านอาหาร ทั้งสองคนนั่งทานอาหารไปคุยกันไปอย่างออกรส จนใกล้จะถึงเวลาขึ้นเครื่อง นัทชัยก็จัดการเช็คบิลแล้วชวนหลานสาวเดินไปยังเกทรอขึ้นเครื่อง
ทั้งคู่นั่งรอหน้าเกท ต่างคนต่างก็หยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองมาเปิดเล่น จนกระทั่งเสียงประกาศขึ้นเครื่องดังขึ้น ปู่กับหลานต่างสายเลือดจึงลุกขึ้นเดินไปขึ้นเครื่อง
แอร์สาวสวยยืนรอไหว้พร้อมด้วยรอยยิ้มต้อนรับผู้โดยสาร พอนัทชัยส่งบัตรโดยสารให้แอร์สาว แอร์สาวสวยก็ก้มดูเลขที่นั่งแล้วเดินนำผู้โดยสารไปยังที่นั่งที่ระบุไว้
พอปู่กับหลานนั่งเรียบร้อย ทั้งคู่ก็จัดการปิดสัญญาณโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของตัวเองตามกฎระเบียบของการโดยสารเครื่องบิน
นาคินทร์ซึ่งตามลินจิรามา ก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งโดยมีทางเดินขั้นกลาง แอร์สาวนำผู้โดยสารชายมาแล้วผายมือไปที่เก้าอี้ที่นาคินทร์นั่งอยู่ “เชิญค่ะ”
แอร์สาวยิ้มแล้วเดินเลยไปนิดนึงเพื่อเปิดทางให้ผู้โดยสารเข้าไปนั่งยังที่นั่งของตัวเอง ผู้โดยสารคนนั้นมองไปยังที่นั่งของตัวเองก็สบตากับนาคินทร์พอดี
แล้วผู้โดยสารก็หันไปมองแอร์สาวพร้อมกับท้วงว่า “คุณครับ ดูผิดหรือป่าวครับ ตรงนี้มีคนนั่งแล้วนี่ครับ”
แอร์สาวมองหน้าผู้โดยสาร “ไม่ผิดนะคะก็…” แล้วหล่อนก็ก้มลงดูเลขที่นั่งบนบัตรโดยสารอีกครั้ง
ฉับพลัน! เลขที่นั่งที่ระบุไว้ก็เปลี่ยนไปในพริบตา แอร์สาวดูแล้วก็รีบเงยหน้าขอโทษผู้โดยสารทันที “อุ๊ย! ขอโทษค่ะ ดิฉันดูผิดจริงๆด้วยค่ะ” แล้วหล่อนก็รีบเดินนำผู้โดยสารคนนั้นไปยังที่นั่งที่ระบุไว้
นาคินทร์ยิ้มพรายมองตามแอร์สาวและผู้โดยสารคนนั้นไป แล้วเขาก็เบือนหน้ากลับมามองลินจิราซึ่งนั่งเล่นเกมในสมาร์ทโฟนอย่างสนุกสนาน
ลินจิรารู้สึกเหมือนมีใครมองจ้องอยู่จึงเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางเก้าอี้ที่นาคินทร์นั่งอยู่ แต่หล่อนก็ไม่เห็นใครเลย เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามทั้งสองตัวว่างเปล่า
“อ้าว…ไม่เห็นมีใครเลย สงสัยเราคงคิดไปเองมั้ง” หล่อนพึมพำกับตัวเองแล้วก็หันไปเล่นเกมต่อ