ตอนที่ 4
ซื้อที่
ณ สำนักงานที่ดิน ศิริชัยและภรรยามารอคอยอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นนัทชัยและลินจิรามาถึง ทั้งคู่ก็รีบเดินไปทักทายทันที “อรุณสวัสดิ์ครับคุณนัทชัย คุณหนูลินจิรา”
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณศิริชัย คุณรัชนี” นัทชัยเอ่ยทักทายตอบ
ลินจิรายกมือไหว้เจ้าของที่ดินทั้งสองคน “สวัสดีค่ะ”
ทั้งสองคนรีบรับไหว้สาวน้อย พร้อมกับเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านในสำนักงานที่ดิน “เชิญทางนี้ครับคุณนัทชัย ผมมาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตั้งแต่เช้าแล้วครับ เค้าเตรียมเอกสารไว้ให้เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ เหลือแค่คุณนัทชัยอ่านแล้วก็เซ็นสัญญาซื้อขายเท่านั้นเองครับ”
นัทชัยเดินตามศิริชัยไปนั่งยังเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ที่ทางสำนักงานที่ดินจัดไว้ให้สำหรับผู้มาติดต่อกับทางสำนักงาน ส่วนรัชนีก็รับสัญญาซื้อขายและเอกสารต่างๆ จากเจ้าหน้าที่มาให้นัทชัยได้อ่านก่อนเซ็นสัญญา “นี่ค่ะคุณนัทชัย สัญญาซื้อขาย”
นัทชัยรับสัญญาซื้อขายจากรัชนีมาอ่านอย่างละเอียด ซึ่งชื่อผู้ซื้อที่พิมพ์ไว้ในสัญญาซื้อขายเป็นชื่อของลินจิราเด่นหรา เขาจึงเอ่ยทักท้วงว่า “เอ่อ…คุณศิริชัยครับ ทำไมชื่อผู้ซื้อถึงเป็นชื่อลินจี้ล่ะครับ”
“ก็เมื่อเช้านี้คุณนัทชัยส่งอีเมลมาให้ผมอย่างนี้นี่ครับ ผมก็ให้เจ้าหน้าที่เค้าพิมพ์ตามที่คุณนัทชัยสั่งนั่นแหละครับ มีอะไรผิดพลาดหรือครับ” ศิริชัยถามพร้อมกับขมวดคิ้วนิดๆ
นัทชัยขยับปากจะบอกว่าใส่ชื่อลินจิราเป็นผู้ซื้อไม่ได้เพราะลินจิราถือสัญชาติอเมริกัน แต่ปากของเขากลับพูดอีกอย่างว่า “อ้อ ไม่มีอะไรผิดหรอกครับ เอ้าลินจี้เซ็นซิลูก จะได้ให้เจ้าหน้าที่เค้าจัดการโอนให้เสร็จๆไป”
นัทชัยส่งสัญญาซื้อขายพร้อมปากกาให้ลินจิราเซ็น สาวน้อยรับมาเซ็นโดยดี
ศิริชัยรับสัญญาซื้อขายจากสาวน้อยมาเซ็นชื่อแล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ซึ่งนั่งรออยู่
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็นำเอกสารต่างๆ ไปจัดการตามขั้นตอนซื้อขายที่ดิน
นัทชัยคุยกับศิริชัยและรัชนีระหว่างนั่งรอเจ้าหน้าที่ดำเนินการ ลินจิราก็นั่งฟังผู้ใหญ่คุยกันอยู่เงียบๆ
“ทีแรกผมคิดว่าคุณนัทชัยจะเป็นคนซื้อซะอีก กลับกลายเป็นคุณหนูลินจิราเป็นคนซื้อซะนี่ แต่ไม่เป็นไรครับใครซื้อก็เหมือนกัน”
“โถ…อาชีพทนายความอย่างผมจะไปมีปัญญาซื้อได้ยังไงล่ะครับ พอดีว่าหลานผมเค้าเห็นที่ดินแล้วเกิดอยากจะได้เอาไว้ทำรีสอร์ท ก็เลยให้ผมมาติดต่อขอซื้อให้”
เรื่องที่ลินจิราเป็นชาวต่างชาติไม่มีใครเอ่ยถึงเลยซักคน ทุกคนถูกทำให้ลืมหมดสิ้น การดำเนินการต่างๆ รวดเร็วมากไม่มีติดขัดแม้แต่น้อย เป็นไปตามความประสงค์ของนาคินทร์ที่ต้องการให้ลินจิราได้ครอบครองเรือนศิลา จนกระทั่งเจ้าหน้าที่นำโฉนดที่ดินและเอกสารต่างๆ มายื่นให้ผู้ขายและผู้ซื้อจึงเป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนต่างๆ
ศิริชัยเก็บเช็คเงินสดใส่กระเป๋าเอกสารของตนแล้วเอ่ยล่ำลาเพื่อนำเช็คไปฝากธนาคารโดยเร็ว “ลาล่ะครับคุณนัทชัย คุณหนูลินจิรา โชคดีนะครับ”
“คุณทั้งสองคนก็เหมือนกันนะครับ ขอให้โชคดี ถ้ามีอะไรให้ผมรับใช้เรื่องกฏหมายเชิญเรียกใช้บริการได้นะครับ ผมคิดราคาพิเศษให้ครับ”
ลินจิรายกมือไหว้อดีตเจ้าของที่ แล้วมองดูโฉนดในมือก่อนจะส่งให้นัทชัยเก็บใส่แฟ้มเอกสารที่ถือมาด้วย แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “คุณปู่เอาพาสปอร์ตของลินจี้ไปก๊อปปี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ค่ะ ลินจี้ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ก็เมื่อเช้านี้ไงล่ะ ตอนที่ลินจี้เอาให้พนักงานที่ธนาคารเค้าไปถ่ายเอกสารให้ ลุงก็เลยให้เค้าก๊อปปี้ให้ด้วยเลย ไม่งั้นลุงก็ต้องหาร้านถ่ายเอกสารก่อนมาที่นี่น่ะซิลูก จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไงลูก”
สาวน้อยจึงไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก
จากนั้นทั้งคู่ก็ออกจากสำนักงานที่ดิน กลับโรงแรมนำเอกสารไปเก็บให้เรียบร้อย แล้วก็พากันไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ กันต่อ ไม่ได้รับรู้ถึงตัวตนของพญานาคที่คอยติดตามลินจิราตั้งแต่หลุดพ้นจากการจองจำไว้ในเรือนโบราณแม้แต่น้อย
ปู่กับหลานต่างสายเลือด หลังจากพากันท่องเที่ยวจนเย็นย่ำค่ำมืดจึงพากันกลับโรงแรมที่พัก แพ็คกระเป๋าแล้วอาบน้ำพักผ่อนเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯเช้าวันพรุ่งนี้
ลินจิราลากกระเป๋าเดินทางนำไปไว้ใกล้กับประตูห้อง เตรียมพร้อมกลับกรุงเทพ เตรียมเสื้อผ้าที่จะใส่ในวันพรุ่งนี้แขวนไว้ในตู้เสื้อผ้า แล้วก็ขึ้นเตียงสวดมนต์ก่อนนอน เมื่อสวดมนต์เสร็จสาวน้อยก็ซุกตัวใต้ผ้าห่มนอนหลับในเวลาอันรวดเร็ว
นาคินทร์ปรากฏกายขึ้นข้างเตียงสาวน้อยหน้าใสที่หลับใหลไม่รู้สึกตัว ทรุดกายลงนั่งบนเตียงจ้องมองใบหน้าสวยที่ผสมผสานความงามของสองชาติอย่างลงตัว ยื่นมือไปปัดปอยผมสีน้ำตาลทองที่ปรกใบหน้าให้พ้นวงหน้าสวย ปลายนิ้วไล้พวกแก้มเนียนใสชมพูระเรื่อ
“หึๆๆๆๆๆ แม่หญิงน้อยอีกมินานเจ้าก็จะได้ลิ้มรสความทุกข์ทรมานเฉกเช่นที่ข้าเคยได้รับแล้ว อีกมินานหรอก”
ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงระเรื่อเหยียดยิ้มนิดๆ แล้วต้องสะดุ้งเมื่อมือเรียวนุ่มนิ่มคว้าข้อมือที่กำลังไล้พวกแก้มเอาไว้แน่นพร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ เป็นภาษาอังกฤษว่า “Dad…Mom I missing you so much” (พ่อขา… แม่ขา หนูคิดถึงพ่อกับแม่มากนะคะ”
นาคินทร์จะชักข้อมือกลับ แต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาที่สาวน้อยพึมพำทำให้เขายอมให้เธอกุมมือของเขาเอาไว้ “Don’t leave me alone. Please take me go with you. Dad…Mom the world not have you it bad world. I feeling alone.” (อย่าทิ้งหนูไว้คนเดียว ได้โปรดพาหนูไปด้วยนะคะ พ่อขาแม่ขาาาาา…..โลกที่ไม่มีพ่อกับแม่อยู่มันไม่น่าอยู่เลย หนูเหงาจัง)
หยาดน้ำตาใสๆรินไหลออกมาจากทางหางตาคู่สวยซึ่งหลับพริ้มอยู่
เขาเอื้อมมืออีกข้างกรีดหยาดน้ำตาบนพวกแก้มเนียนใส แล้วแตะมือลงบนหน้าผากเนียนของสาวน้อยเพื่อดูภาพอดีตที่ทำให้เธอละเมอร้องไห้พึมพำออกมา เขาหลับตาลง
ครู่ต่อมาเขาลืมตาขึ้น คิ้วเข้มโค้งขมวดแน่น “เหตุไฉนข้าถึงมองมิเห็นอดีตของนาง เพราะอะไรถึงเห็นแต่แสงสีทอง เพราะอะไรกันนะ”
นิ่งคิดอยู่ครู่ แล้วนัยน์ตาสีแดงก็เบิกกว้างนิดนึงอย่างตริตรองได้ “ข้ารู้แล้วเพราะนางสวดมนต์ก่อนนอนนั่นเอง มนต์นั่นพิทักษ์นางเอาไว้ หึๆๆๆๆๆ จะต้องมีสักวันที่นางลืมสวดมนต์บ้างล่ะ ข้าจะรอวันนั่น หึๆๆๆๆๆ”
นาคินทร์แงะนิ้วมือเรียวนุ่มนิ่มพยายามจะชักมือออก แต่มือน้อยๆนั่นกลับกำแน่นขึ้นอีก แถมอีกข้างยังวาดมาเกาะกุมเอาไว้อย่างเหนียวแน่น กดท่อนแขนกำยำลงกับทรวงอกนุ่มใต้ผ้าห่ม แล้วพลิกตัวนอนตะแคงกอดแขนข้างนั้นเอาไว้ดิบดี วงหน้าสวยหวานระบายรอยยิ้มน้อยๆ ดั่งทารกอยู่ในอ้อมอกแม่
ทำให้เขาเลิกล้มที่จะดึงแขนออกมา เพราะหากเขาใช้แรงมากกว่านี้ สาวน้อยที่หลับอย่างเป็นสุขต้องรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแน่ๆ เขาจึงต้องนั่งอยู่เช่นนั้นจนถึงเช้า มือน้อยนุ่มนิ่มจึงคลายออก
นาคินทร์ค่อยๆ ดึงมือของตนออกจากอ้อมแขนของสาวน้อยพร้อมกับหายตัวไปทันทีเมื่อเห็นว่าสาวน้อยบนเตียงเริ่มรู้สึกตัวตื่นรับรุ่งอรุณแล้ว