Skip to content

Reuan Si La Chapter 8

ตอนที่ 8

เจ้าต้องชดใช้!

ใต้ร่มไม้ใหญ่ ลินจิรากำลังนอนหนุนตักมารดาอยู่ ส่วนบิดากำลังนั่งทานแซนวิซอยู่ข้างมารดา หล่อนคุยจ้อถึงเรื่องเพื่อนที่มหาวิทยาลัยอย่างสนุกสนาน ทั้งสองฟังหล่อนคุยแล้วก็ยิ้มไปหัวเราะไป

ฉับพลัน! จู่ๆก็มีลมพัดแรง พัดทุกสิ่งทุกอย่างหายไป เหลือเพียงหล่อนยืนอยู่เดียวดายกลางทุ่งกว้าง

“Dad! Mom!” หล่อนตะโกนเรียกหาแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา

แล้วลมก็พัดมาอีกวูบหนึ่ง เบื้องหน้ามีพญานาคตนหนึ่งขดซ้อนกันเป็นวงสูงจนต้องแหงนหน้ามอง

หล่อนตกใจกลัวอุทานลั่น “Snake!”

แล้วจิตใต้สำนึกก็บอกหล่อนว่า Not snake. This is a naga. (ไม่ใช่งูแต่เป็นพญานาค) หล่อนเงยหน้ามองสำรวจพญานาคอย่างตะลึง!

พญานาคชูคอยื่นหน้าเข้ามาใกล้ หล่อนรีบยกแขนขึ้นป้องกันตัว ตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ “Oh no!…Don’t eat me!” (ไม่นะ!…อย่ากินฉันนะ!)

เสียงทุ้มกังวานใสกล่าวว่า “เจ้าลิน เจ้าจะต้องชดใช้สิ่งที่บรรพบุรุษของเจ้ากระทำไว้กับข้า”

“ชดใช้อะไรล่ะ ไม่เอานะ อย่ามายุ่งกับฉันนะ” แล้วลินจิราก็พุ่งตัววิ่งหนีพญานาค

พญานาคจึงไล่ตามไป “เจ้าหนีข้ามิพ้นหรอก เจ้าลิน”

“ไม่เอานะ อย่าตามมานะ ไปให้พ้นนะ” หล่อนวิ่งหนี แต่พญานาคก็ยังตามหล่อนอย่างไม่ลดละ หล่อนหันกลับไปมอง แต่พญานาคก็ยังตามมา หล่อนจึงหยุดวิ่ง แล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับพญานาคตนนั้น

“หยุดนะ! ฉันบอกว่าอย่าตามฉันมา ไม่ได้ยินรึไง!” ดวงตากลมโตวาวโรจน์อย่างเริ่มโกรธ จ้องมองดวงตาแดงเจิดจ้าเขม็ง “อย่าตามมานะ! ถ้าตามมาล่ะก็…จะจับขอดเกล็ดรูดกับใบข่อยให้เกลี้ยงเล้ย! คอยดูซิ!”

พญานาคโวยวายคำรามลั่น “จ๊ากกกกกก!!!!!! ข้าคือพญานาคนะ! ไม่ใช่ปลาไหลนะเจ้าลิน! จะได้จับขอดเกล็ดรูดกับใบข่อยอย่างที่เจ้าว่า ข้าเป็นถึงจ้าวแห่งนาคราชเชียวนะ!”

ดวงตาแดงเจิดจ้าวาววาบอย่างกรุ่นโกรธ จ้องมองร่างบางระหงอรชรดุดัน “หนอย…เห็นข้าใจดีด้วยเลยไม่กลัวกันเลยใช่มั้ย ดีล่ะ! งั้นข้าจะแสดงให้เจ้าดูว่าพญานาคเช่นข้าเป็นเช่นไร”

แล้วพญานาคก็พุ่งเข้าไปรัดตัวลินจิราเหมือนงูเหลือมรัดเหยื่อ

“กรี๊ด!…” ลินจิรากรี๊ดลั่นพยายามดิ้นรนสุดฤทธิ์

“เจ้าหนีข้ามิพ้นหรอกเจ้าลิน หึๆๆๆ” แล้วพญานาคก็ยื่นหน้าเข้าไปชิดใบหน้าสวย

“ไม่นะ ออกไปนะ ไม่!” ลินจิราดิ้นสุดแรง พลั่ก!

“โอ๊ย!” นาคินทร์กระเด็นตกเตียง

พร้อมกับลินจิราผุดลุกขึ้นนั่งเหงื่อซึมเต็มหน้า หล่อนลืมตามองไปรอบๆตัวอย่างงุนงง “ฝันเหรอ”

มือเรียวนุ่มเสยเส้นผมยาวที่ระหน้าไปไว้ข้างหลัง “ฝันบ้าอะไรก็ไม่รู้ น่ากลัวจัง” หล่อนพึมพำกับตัวเอง

วิ๊ง……………..

นาคินทร์ผุดลุกขึ้นยืนอย่างโมโห “เจ้าลิน! เจ้าเป็นอะไรถึงผลักข้าเสียตกเตียงเช่นนี้!”

“อุ้ย!” ลินจิราตกใจหันขวับไปมองทันที พอเห็นว่าเป็นคนยืนอยู่ หล่อนก็ตกใจอีกรอบ “ใครน่ะ!”

หล่อนผงะถอยไปชิดหัวเตียงทันที แล้วเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟ แสงไฟสว่างพรึ่บ! สาดส่องให้เห็นร่างนั้นชัดเจน หล่อนจ้องมองอย่างตื่นตะลึง!

นาคินทร์จ้องมองกลับอย่างดุดัน

ลินจิรารีบถลาลงจากเตียง พร้อมกับคว้านาฬิกาปลุกมาถือไว้มือหนึ่ง อีกมือก็คว้าสมาร์ทโฟนกดโทรหาตำรวจทันที

“ออกไปนะไอ้ขโมย! แกเข้ามาในนี้ได้ยังไง ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงหวานใสตวาดไล่ดังลั่น

นาคินทร์ถอนหายใจ “เฮ้อ…” แล้วนึกในใจว่า คงต้องคุยกันยาว… “เจ้าลิน ฟังข้าก่อน”

ลินจิราไม่ได้ฟังเลยแม้แต่น้อย หล่อนตวาดใส่อีกครั้ง “ออกไปนะไอ้ขโมย ถ้าแกไม่รีบออกไปตำรวจมาลากแกเข้าคุกแน่!”

นาคินทร์จึงโบกมือวูบ สมาร์ทโฟนกับนาฬิกาปลุกก็ลอยวูบมาอยู่ในมือของเขา

“เอ๊ะ!” ลินจิราตกใจก้มลงมองมือตัวเอง “โทรศัพท์…นาฬิกา…” หล่อนพึมพำอย่างงงๆ

“ข้ามิใช่ขโมย” นาคินทร์บอกหนักแน่น

ลินจิราเงยหน้ามองเขาอย่างหวาดหวั่น แล้วมองของสองสิ่งที่อยู่ในมือเขา

“แกเอาไปได้ยังไง” เสียงหวานอุทานถามเบาหวิว

นาคินทร์โบกมือวูบ ของทั้งสองอย่างก็ลอยไปวางตรงหน้าทีวี

เรือนร่างบางระหงค่อยๆสั่นเทาอย่างหวาดกลัวต่อเรื่องพิลึกพิลั่นที่เห็นเต็มสองตา ไม่ใช่มายากลแน่ๆ

“แก…ปะ…เป็น…คะ…ใคร” หล่อนถามเสียงสั่น

“ข้าคือนาคินทร์ พญานาคราช” แล้วนาคินทร์ก็กลายร่างจากรูปกายทิพย์คืนสู่ร่างนาคราช

ลินจิรามองพญานาคที่ขดร่างซ้อนกันเป็นวงเหมือนภาพบนผนังในเรือนศิลาไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่นิดเดียว หล่อนตกตะลึงเข่าอ่อนจนนั่งแปะลงกับพื้น ตาจ้องมองพญานาคตะลึงลาน!

วงหน้าสวยซีดเผือด ได้แต่จ้องมองพญานาคอยู่อย่างนั้น

นาคินทร์เห็นสาวน้อยตกใจหน้าซีดแข้งขาอ่อนแต่ไม่ถึงกับเป็นลมล้มพับ ก็เอ่ยชมว่า “เจ้าใจแข็งดีนี่”

แล้วเขาก็เปลี่ยนจากร่างนาคราชเป็นร่างทิพย์ แล้วเดินเข้าไปหาหล่อน

“เจ้าลิน ลุกไหวมั้ย” เสียงทุ้มกังวาลถามอย่างเป็นห่วง

ลินจิรามองเขาอย่างหวาดกลัว ใจสั่งให้วิ่งหนีสุดชีวิต แต่ร่างกายกลับไม่มีแรงแม้แต่จะขยับนิ้ว มีเพียงเสียงหวานสั่นเทาเบาหวิวหลุดจากปาก “ยะ…อย่า…ขะ…เข้า…มานะ”

นาคินทร์ยิ้มพรายขำๆ เขาก้มลงกระซิบข้างหูสาวน้อยว่า “อย่ากลัวไปเลยเจ้าลิน  ข้ายังมิทำอะไรเจ้าหรอก”

แล้วเขาก็ช้อนอุ้มร่างบางระหงขึ้นมามาวงแขน

ลินจิราพยายามจะผลักเขาออก แต่กลับไม่มีแรงเลยซักนิด “ยะ…อย่านะ”

นาคินทร์อุ้มลินจิราไปวางบนเตียงนอน แล้วก็ห่มผ้าให้ จากนั้นเขาก็ถอยมานอนตะแคงข้างๆสาวน้อย แล้วก็เอื้อมมือไปปัดปอยผมให้พ้นวงหน้าสวย

ทุกการกระทำอ่อนโยนนุ่มละมุนมิได้จาบจ้วงล่วงเกินแม้แต่นิดเดียว ทำให้ลินจิราค่อยๆคลายความหวาดกลัว พอเริ่มมีแรง หล่อนก็ค่อยๆเขยิบตัวออกห่าง

นาคินทร์เห็นเช่นนั้นก็นึกอยากแกล้ง เขาจึงเขยิบตัวตามไป “เจ้าจะเขยิบหนีข้าไปไหนล่ะ”

“เอ่อ…” ลินจิราเขยิบไปอีก

นาคินทร์ก็แกล้งเขยิบตามไปอีก หล่อนก็เขยิบออกห่างอีกจนเกือบจะตกเตียง

เขารีบรวบตัวสาวน้อยใต้ผ้าห่มหนาทันที

“ว๊าย!” ลินจิราพยายามผลักเขาออก

“เจ้าเขยิบหนีข้าจนเกือบจะตกเตียงแล้วรู้มั้ย” นาคินทร์บอก แล้วก็แกล้งขู่ว่า “ถ้าเจ้ายังคิดจะเขยิบหนีข้าเช่นนี้ ข้าจะกินเจ้าเสียเลย”

“อย่านะ! ไม่หนีแล้ว อย่ากินฉันนะ” ลินจิราหลับตาปี๋ กำผ้าห่มเอาไว้แน่น

“หึๆๆๆๆ” นาคินทร์หัวเราะขำท่าทางของสาวน้อย

ลินจิราลืมตามามองเขาพร้อมกับพูดขอร้องว่า “อย่ากินฉันเลยนะคะ ถ้าคุณหิวเดี๋ยวฉันหาอะไรให้คุณกินก็ได้ แต่อย่ากินฉันเลยนะคะ”

นาคินทร์ยิ้มพราย “ข้ายังไม่หิวหรอกเจ้าลิน”

ลินจิราสะดุดใจกับคำว่าเจ้าลิน จึงจ้องหน้าเขาเขม็งอย่างลืมกลัว “ทำไมคุณถึงเรียกฉันว่าเจ้าลินคะ”

นาคินทร์สบตากับดวงตากลมโต “มิรู้ซิ จู่ๆคำว่าเจ้าลินก็ผุดขึ้นมาในหัวข้าตอนที่ข้าได้ยินชื่อของเจ้า ข้าจึงเรียกเจ้าว่าเจ้าลินยังไงล่ะ เจ้ามิชอบหรือ ข้าว่าฟังแล้วไพเราะออก เจ้าลิน…เจ้าลิน…เจ้าลิน…” หางเสียงทอดหวานจนคนฟังหน้าแดง ก้มหน้าซุกผ้าห่มใจเต้นแรงตึกๆ

นาคินทร์ยิ้มละไมอย่างอ่อนโยน “เมื่อครู่เจ้าผลักข้าตกเตียง เจ้าเป็นอะไรไปหรือเจ้าลิน หรือว่าเจ้าฝันร้าย”

ลินจิรานึกถึงความฝันแล้วก็หน้าแดงกว่าเดิม ความฝันก็เป็นแค่ความฝันนั้นแหละ หล่อนบอกตัวเอง

พลัน!  ก็นึกขึ้นได้ว่า “เอ๊ะ! เมื่อกี้นี้คุณบอกว่าฉันผลักคุณตกเตียงงั้นเหรอ” ดวงตากลมโตจ้องหน้าเขาเขม็ง

นาคินทร์พยักหน้า “ใช่แล้ว เจ้าผลักข้าแรงมากจนข้าตกเตียงเลยเชียวล่ะ”

“แล้วนี่คุณเข้ามาอยู่ในห้องของฉันได้ยังไง!” เสียงหวานใสเข้มขึ้น เตรียมเอาเรื่องผู้บุกรุกอย่างลืมตัวว่าสถานการณ์ตัวเองเป็นรองเขาอยู่

“คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเข้ามายังไง เข้ามาทำไม แล้วคุณมาจากไหน  ทำไมถึงต้องเข้ามาบ้านฉันด้วย!” หล่อนถามเป็นชุดดวงตาวาววับ

นาคินทร์ยิ้มขำ ดุเป็นแม่เสือขึ้นมาเชียวนะเจ้าลิน เมื่อกี้ข้ายังเห็นเจ้ากลัวจนหน้าซีดอยู่เลย หึๆๆๆ

เขาเอานิ้วเขี่ยแก้มนุ่ม ลินจิรารีบเอียงหน้าหนีพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาบังแก้มอย่างหวงตัว

นาคินทร์จึงแกล้งเลื่อนมือไปโอบเอวแทน ร่างบางระหงตัวเกร็งทันที

แม้จะมีผ้าห่มหนากั้นไว้แต่หล่อนก็รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมา จะดิ้นแผลงฤทธิ์ก็กลัวจะถูกจับกิน จึงได้แต่นอนนิ่งไม่กล้ากระดุกกระดิกมาก แต่ตากลมโตยังคงจ้องมองเขาตาวาวอย่างเอาเรื่อง

“เจ้าเป็นผู้ปลดปล่อยข้าออกมาจากเรือนนั้นเองนะ เจ้าจำได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง” นาคินทร์ถาม ทอดหางเสียงนุ่มนวล

ลินจิราทำหน้างงๆ “ปล่อยคุณออกมาจากเรือน…เรือนอะไรคะ”

“เรือนศิลายังไงล่ะ” นาคินทร์บอก

แต่ลินจิราก็ยังทำหน้านึกไม่ออก เขาจึงรีบบอกเพิ่มว่า “ที่ดินผืนที่เจ้าเพิ่งซื้อไว้ที่เชียงรายยังไงล่ะ”

“อ๋อ…บ้านหินร้างนั่นเอง” ลินจิรานึกออกแล้ว “คุณจะบอกว่าคุณคือนากะตัวที่อยู่บนผนังนั่นน่ะเหรอคะ”

“ใช่ ข้าคือนากะตนนั้นแหละ” นาคินทร์พยักหน้ารับ

“แล้วคุณออกมาได้ยังไงคะ” ลินจิราถามเหมือนอยากรู้ แต่ในใจกลับคิดว่าถ้าออกมาได้ มันก็ต้องมีวิธีกลับไปอยู่ในนั้นได้เหมือนเดิมแหละ คอยดูนะถ้ารู้วิธีเมื่อไหร่ จะเอากลับไปขังลืมไม่ให้ออกมาได้เลยเชียว ฮึ่ม!

“เลือดของเจ้าไงที่ช่วยปล่อยข้าออกมา”

“แล้วทำไมคุณถึงไปอยู่บนผนังได้ล่ะคะ หรือว่าที่นั่นคือบ้านของคุณคะ” ลินจิราแอ๊บใสซื่อเต็มพิกัด ทำตาแบ๊วสุดฤทธิ์

“ที่นั่นคือคุก!…ที่คุมขังข้าต่างหาก” เสียงทุ้มเข้มขึ้น

ความโกรธแค้นแล่นขึ้นเป็นริ้วๆ “บรรพบุรุษ…” นาคินทร์ชะงักกึก!

แล้วเขาก็รีบพูดว่า “แม่หญิงนางหนึ่งเคยให้คำสัตย์ต่อข้าไว้ว่าจะแต่งงานกับข้า  แต่พอถึงวันสยุมพร นางกลับหนีข้าไป นางพาครอบครัวของนางหนีไปพร้อมกับนางด้วย ข้าเฝ้าตามหานางหลายปีจนพบว่านางแต่งงานแล้วกับผู้ชายชาวมนุษย์เหมือนกับนาง” น้ำเสียงของเขาเศร้าจนคนฟังสะท้านไปทั้งใจ

“เมื่อข้าได้พบกับนางอีกครั้ง นางมีบุตรธิดาหลายคน นางหวาดกลัวข้ามากเมื่อเราทั้งสองได้พบกัน ข้าเพียงต้องการจะถามถึงเหตุผลว่าเพราะเหตุใดนางจึงหนีข้าไป วันนั้นข้าจำได้ดีมิมีวันลืม นางหลอกข้าเข้าไปในเรือนนั้น แล้วนางก็กักขังข้าเอาไว้ในห้องนั้น นางขังข้าไว้ด้วยเลือดของนางเอง!”

ดวงตาแดงเจิดจ้า แดงก่ำด้วยแรงโทสะ ทั้งรัก เสียใจ เศร้าใจ และโกรธแค้นสุดจะบรรยาย

ลินจิรามองเขาอย่างเห็นใจ เศร้าใจ สงสาร จึงเอื้อมมือไปลูบใบหน้าขาวงามสง่าที่กำลังขบกรามข่มอารมณ์ตนเองไว้อย่างยิ่งยวด

“ถ้าคุณอยากจะร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะค่ะ ลินจี้จะคอยเช็ดน้ำตาให้คุณเอง” หล่อนค่อยๆโน้มใบหน้าของเขาให้เลื่อนมาซุกอกตัวเอง หล่อนปลอบเขาหมือนอย่างที่แม่เคยปลอบหล่อน

นาคินทร์ซุกหน้าแนบกับอกสาวน้อย ภาพความทรงจำต่างๆแล่นหวนมาอีกครั้งอย่างแจ่มชัด แม้จะไม่มีน้ำตารินไหล แต่ร่างสูงสง่าก็สั่นไหวสั่นสะท้านประดุจดังกำลังร้องไห้

มือเรียวสวยนุ่มนิ่มโอบกอดลูบหลังลูบไหล่เขาปลอบประโลม พลางคิดในใจว่า ฉันขอโทษนะคะที่คิดจะจับคุณไปขังอีกครั้ง หล่อนลูบหลังเขาไปมา จนเผลอหลับไป

ส่วนนาคินทร์ก็รู้สึกว่าอ้อมแขนน้อยๆที่พยายามปลอบโยนเขานั้น ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นจริงๆ

เหมือนเขาได้ปลดปล่อยความรู้สึกแย่ๆ ออกไปจนเกือบหมดสิ้น เขาเผลอหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่อาจจะรู้ได้เหมือนกัน วงแขนแกร่งโอบกอดเรือนร่างน้อยใต้ผ้าห่มหนาแนบแน่น

วิ๊ง……………………….

นิมิตรที่เกิดขึ้นในชั่ววินาทีที่นาคินทร์ถูกผลักตกเตียง ทำให้เขาหันไปมองลินจิราที่ผุดลุกขึ้นนั่งหอบหายใจเหงื่อซึมเต็มหน้า

ลินจิราหันขวับไปมอง รู้สึกได้ว่าเหมือนมีใครมองอยู่

วินาทีนั้น! ร่างสูงงามสง่าก็เลือนหายไป

ลินจิราเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟ แสงไฟสาดส่องสว่างไสวไปทั่วห้อง หล่อนมองไปรอบๆตัว พลางถอนหายใจ “เฮ้อ…ฝันไปเหรอเนี่ย  น่ากลัวชะมัด”

หล่อนเหลือบมองนาฬิกาปลุกบอกเวลาว่าตีห้าครึ่ง หล่อนจึงลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้อง

นาคินทร์ปรากฎกายขึ้นอีกครั้งเมื่อเจ้าของห้องพ้นประตูออกไป

ลินจิราเดินไปเปิดตู้เย็นพลางปิดปากหาวไปด้วย หล่อนสะบัดหัวไปมาให้คลายความง่วงแล้วรินน้ำเย็นใส่แก้ว ได้น้ำเย็นเข้าไปทำให้รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาหน่อย แล้วหล่อนก็เดินกลับเข้าไปในห้องนอน หยิบสมาร์ทโฟนมากดโทรปลุกส้มแป้น

หลังจากใส่บาตรแล้วลินจิราก็กลับไปนอนต่อ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version