บทที่ 12
จู๋จือ
หลังจากฟื้น เสิ่นชิงชิวลืมตามอง ด้านบนเป็นผ้าโปร่งสีขาวผืนหนึ่ง มีคนผลักประตูเปิดออกแล้วเดินเข้ามา ก่อนปิดประตูเบา ๆ “ตื่นแล้วหรือ”
เสิ่นชิงชิวเอี้ยวคอมอง
แสงไฟชวนให้คนดูอบอุ่นมีชีวิตชีวามากกว่าแสงจันทร์ ชายหนุ่มคนนั้นหน้าตาดีอย่างที่คาดไว้จริงๆ มุมปากมีร้อยยิ้ม หน้าตาหล่อเหลาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะดวงตาที่ฉายแววสุกใสอ่อนโยนคู่นั้น
เขาเคยเห็นดวงตาคู่นี้มาก่อน ดวงตาสุกใสที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยทะเลสาบน้ำค้าง
เสิ่นชิงชิวพรวดพราดลุกขึ้นนั่งถุงน้ำแข็งเลยหล่นจากหน้าผาก ชายหนุ่มก้มตัวลงเก็บเอามาวางบนโต๊ะแล้วเปลี่ยนอันใหม่ให้เขา
ด้วยเหตุนี้ คำถามอย่าง ‘เจ้าเป็นใคร’ ‘มีจุดประสงค์ใด’ ที่เดิมทีคาอยู่ในปาก เสิ่นชิงชิวจึงเหนียมอายไม่กล่ากล่าวออกมา เขาไอแห้งๆทีหนึ่งกล่าวอย่างสำรวมว่า “ขอบพระคุณมากที่ช่วยข้าออกมาจากวังฮ่วนฮวา”
ชายหนุ่มที่ดูเยาว์วัยคนนั้นยืนอยู่ข้างโต๊ะ ยิ้มพลางกล่าว “มนุษย์มีคำพูดว่าน้ำหนึ่งหยดตอบแทนพระคุณด้วยน้ำพุทั้งบ่อ อีกทั้งบุญคุณของเสิ่นเซียนซือที่มีต่อข้านั้น เกินกว่าน้ำหนึ่งหยดมากนัก”
ข้อหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้ความจริงแล้วเป็นชายร่างงูที่ป่าน้ำค้างขาว
ข้อสอง ชายหนู่ผู้นี้รู้ว่าผู้ที่อยู่ภายใต้เปลือกนี้คือเสิ่นชิงชิว
เสิ่นชิงชิวลองถามเป็นการหยั่งเชิง “…เทียนหลางจวิน?”
ส่วนเหตุผลว่าทำไมถึงมีคำว่า ‘ฟ้า’ อยู่ใน ‘มารฟ้าแห่งบรรพกาล’ ก็เพราะว่ากันว่าสายโลหิตนี้สืบทอดมาจากคนของเผ่าสวรรค์ที่ตกต่ำแปรเปลี่ยนเป็นมาร สายเลือดต้องบริสุทธิ์ยิ่งกว่าลั่วปิงเหอถึงจะสามารถสะกดข่มโลหิตมารฟ้าในกายเสิ่นชิงชิวได้ ซึ่งแบบนี้ก็มีปัญหาแล้ว สายเลือดของมารฟ้าที่นิยายดั้งเดิมเขียนเอาไว้นั้น เท่าที่เสิ่นชิงชิวรู้มีอยู่สองคนคือ ลั่วปิงเหอ แล้วก็พ่อของลั่วปิงเหอ เขาเลยได้แต่เดาว่าน่าจะเป็นใคร
โบราณว่าคนเราพลาดกันได้แต่อย่าให้เกินสามครั้ง จนกระทั่งถึงตอนนี้เสิ่นชิงชิวเดาทุกปริศนาออกอย่างราบรื่นมาตลอด ในที่สุดก็มาเจอกำแพงเข้าให้แล้ว
ชายหนุ่มส่ายหน้า “เสิ่นเซียนซือเข้าใจว่าข้าเป็นจวินซั่ง ยกย่องเกินไปแล้วจริงๆ”
พอได้ยินคำว่า ‘จวินซั่ง’ เพียงสองพยางค์ ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็รู้แล้วว่านี่คือตัวละครไหน
ตอนที่นิยายดั้งเดิมเปิดฉากมา เทียนหลางจวินก็ถูกสะกดไว้ใต้ภูเขาสูงแล้ว ส่วนศึกครั้งใหญ่หลายปีก่อนเพราะมันไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับความเป็นหนุ่มนักรักของพระเอกเท่าไหร่ เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีเลยบรรยายแค่ว่า ‘สู้ยอดฝีมือของโลกผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนที่นัดกันมารุมโจมตีไม่ได้ ถูกสะกดไว้ใต้บรรพตxx ไม่อาจหลุดพ้นออกมาชั่วชีวิต ขุนพลคนสนิทมีทั้งบาดเจ็บ ล้มตายและสูญหาย’
แล้วตกลงไอ้บรรพตxx นี่มันภูเขาอะไร เสิ่นชิงชิวเคยขบคิดปัญหานี้อย่างละเอียดมาก่อน แต่หลังจากถูกระตุ้นให้คิด ในที่สุดเขาก็นึกออกแล้วว่า xx มันคือที่ไหน
บรรพตน้ำค้างขาว
ป่าน้ำค้างขาวบนบรรพตน้ำค้างขาว
เสิ่นชิงชิวมองชายหนุ่มขึ้นๆลงๆอย่างประเมิน นี่ก็คือ ‘ขุนพลคนสนิท’ ของท่านพ่อลั่วปิงเหอนั่นเอง
ทว่าเขาดูไม่มีเค้าของชายร่างงูตนนั้นเลยสักนิด เสิ่นชิงชิวกลืนน้ำลาย “รบกวนถาม…นามอันสูงส่งได้หรือไม่”
ชายหนุ่มตอบอย่างเกรงอกเกรงใจ “จู๋จือหลาง ในสังกัดเทียนหลางจวิน”
ฝ่ายนั้นพูดยังไม่ทันจบ ระบบก็ส่งเสียงแจ้งข้อมูล [ปรับปรุงเนื้อเรื่องและตัวละครซ่อนเร้นให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ค่า B เพิ่ม 300 คะแนน เริ่มโปรเจคกลบหลุม ค่า B เพิ่ม 100 คะแนน]
ทำเอาเสิ่นชิงชิวดีใจจนแทบสะกดไม่อยู่
‘กลบหลุม’ หมายถึงการปิดบรรดาคดีสังหารบ้าบอคอแตกซึ่งไร้ที่มาที่ไปและ Bug ที่ใส่ไว้ในนิยายดั้งเดิมซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไม่เคยเฉลยปริศนาว่าตกลงแล้วมือสังหารที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร นี่ก็คือ(หนึ่งใน)ประเด็นที่เสิ่นหยวนก่นด่าเอาไว้มากที่สุดใน ‘เทพมารอหังการ’ และพออ่านนิยายจบก็ทำเอาเขาแค้นใจจนแทบตีอกชกหัว กัดฟันกรอด
ตอนนี้เขาได้ชักนำให้ตัวละครที่ไม่เคยปรากฏโฉมมาก่อนให้ออกมา อีกทั้งระบบก็เริ่มโปรเจคกลบหลุมแล้ว หรือว่าต่อจากนี้ไปจะเป็นการเปิดเผยความจริงของปริศนาเหล่านั้นแล้ว?
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ข้าเคยช่วยเจ้าไว้ครั้งหนึ่ง เจ้าก็ช่วยข้าไว้ครั้งหนึ่ง ถือว่าหายกันแล้ว”
ที่เขาพูดว่า ‘เคยช่วยเจ้าไว้ครั้งหนึ่ง’ หมายถึงตอนนั้นที่เขาห้ามกงอี้เซียวไม่ให้ฆ่าชายร่างงู
จู๋จือหลางกลับส่ายหน้า “ไม่ใช่แค่นั้น หากมิใช่เพราะเสิ่นเซียนซือ เกรงว่าอีกหลายปีผู้น้อยก็ยังไม่อาจเข้าใกล้หญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทรา จะนับว่าหายกันแล้วได้อย่างไร”
เสิ่นชิงชิวได้ฟังก็สบใจพอดี จึงถามว่า “เช่นนั้นขอปรึกษาหน่อยเถอะ เจ้าไม่สามารถเอาไอ้สองตัวที่อยู่ในเลือดข้าออกมาได้เลยหรือ หรือจำต้องปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น?”
แบบ…เหมือนในร่างคุณมีพยาธิอยู่ แต่หมอบอกว่าวิธรการรักษาพยาธิตัวนี้ก็ถือใส่พยาธิอีกตัวเข้าไปสู่กับมัน คิดแล้วแบบไหนก็แย่พอกัน!
จู๋จือหลางกล่าวว่า “อืม นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้น้อยเอาโลหิตมารฟ้ามาใช้งาน ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินว่ามีวิธีอะไรขับโลหิตมารฟ้าออกจากร่างได้”
ถึงจะผิดหวัง แต่เสิ่นชิงชิวก็ทำท่าบอกให้รู้ว่าเขาเข้าใจ เมื่อโลหิตเข้าสู่ร่างกาย หลอมเป็นหนึ่งเดียวกับเลือดในร่างกายคนจนไม่เหลือร่องรอย จะแยกมันออกมาก็เป็นไปได้ยากจริงๆ
จู๋จือหลางกล่าวว่า “แม้ไม่อาจขับ ทว่าขอเพียงเลือดของผู้น้อยยังอยู่ในร่างของเสิ่นเซียนซือ โลหิตมารฟ้าของท่านผู้นั้นก็ทำอะไรท่านไม่ได้ ประเดี๋ยวพอไปที่ภพมาร ยิ่งไม่อาจใช้สืบสาวร่องรอย และสั่งให้มันทรมานท่านได้อีก”
เดี๋ยวนะ
เสิ่นชิงชิว “เดี๋ยวๆ ข้าเคยบอกตอนไหนว่าจะไปภพมาร”
จู๋จือหลางกล่าวว่า “ใกล้จะไปเร็วๆนี้แล้วขอรับ”
เสิ่นชิงชิวสังเกตสีหน้าเขา “คำว่า ‘ตอบแทน’ ที่เจ้าพูด คงไม่ใช่ว่าจะพาข้าไปที่ภพมารหรอกกระมัง”
จะไปภพมารทำแป๊ะอะไร ทรัพยากรทางวัตถุก็ขาดแคลน วัฒนธรรมประเพณีก็ขัดกัน ไหนจะไม่ถูกกับดินฟ้าอากาศ อีกทั้งตอนนี้มีเรื่องให้กังวลอีกเป็นกระบุง ก่อนหน้านี้เจอลั่วปิงเหอนอนกกกอดศพชนิดเกือบจะเข้าขั้นพวกเนโครฟีเลีย ก็ทำเอาตกใจจนไข้ขึ้นสมองไปทีหนึ่งแล้ว
(เนโครฟีเลีย หมายถึง อาการทางจิตที่ชอบมีอะไรกับศพ)
แถมตนยังให้หลิ่วชิงเกอนำร่างเดิมก่อนหน้านี้ของตนไปด้วย ป่านนี้ลั่วปิงเหอจะโกรธจนไปกวาดกล้างชางฉยงซานจนราบเป็นหน้ากลองแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้
เขาต้องกลับไปชี้แจงเรื่องราวกับสหายร่วมสำนักทุกคนก่อน เสิ่นชิงชิวเลิกผ้าห่มเดี๋ยวนั้น ปรารถนาวิ่งหนีไปดื้อๆ แต่ใครจะรู้ว่าแค่ขยับตัวทีเดียวก็รู้สึกเหมือนมีตัวอะไรนุ่มนิ่มที่ทั้งเหนียบหนึบทั้งเย็นเฉียบไต่ขึ้นมาตามขา
งูสีเขียวอื๋อตัวหนึ่งโผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม แลบลิ้นสีแดงแจ๋ใส่เสิ่นชิงชิวแผล๊บๆ
งูตัวนี้ลำตัวอวบหนาประมาณสามนิ้ว มองผิวเผินทีแรกคล้ายงูเขียวหางไหม้ของภพมนุษย์ แต่เปลือกตาบนโปนหนา ขณะที่ลูกนัยน์ตาตี่เล็ก เทียบสัดส่วนกันแล้วเลยชวนให้ดูน่าสยดสยอง
กระนั้นเสิ่นชิงชิวกลับไม่กลัวสัตว์ที่ลำตัวนุ่มนิ่มจำพวกนี้สักนิด เขามองดูมันด้วยสายตานิ่งเฉย ลอบโคจรพลังไว้ที่ฝ่ามือ ขณะรอจังหวะที่มันไม่ทันระวังเพื่อหาโอกาสคว้าที่จุดเจ็ดชุ่นของมัน เจ้างูเขียวกลับขัดตัวไปข้างหลัง อ้าปากแดงโร่
(จุดเจ็ดชุ่น คือ ตำแหน่งที่เลยจากหัวงูไปเจ็ดนิ้ว ซึ่งว่ากันว่าหากตีงูที่จุดนี้จะสยบมันได้)
เห็นๆอยู่ว่าเป็นแค่งูตัวหนึ่ง แต่ดันส่งเสียงกรีดร้องบาดแก้วหูคล้ายกับเสียงคน ขณะเดียวกันหงอนแหลมคมสีเขียวนับไม่ถ้วนก็งอกพึ่บขึ้นทั่วหัวมันถี่ยิบราวกับดอกไม้บาน หงอนแหลมคมสีแดงฉาน เห็นแล้วก็รู้ทันทีว่ามีพิษร้ายแรง ส่วนลำตัวงูพลันพองขยายขึ้นหลายเท่าตัว เมื่อกี้ยังดูเป็นงูน้อยน่ารักเหมาะสำหรับเลี้ยงไว้ดูเล่นอยู่เลย ทว่าตอนนี้ดันเป็นปีศาจดีๆนี่เอง
ความหลากหลายทางชีวภาพของภพมารนี่มันร้ายกาจจริงๆ เสิ่นชิงชิวล้มเลิกความคิดที่จะใช้มือบีบคองูทันที
จู๋จือหลางรินชาถ้วยหนึ่งวางลงบนโต๊ะ กล่าวอย่างนอบน้อมจริงใจ “เสิ่นเซียนซือไฉนไม่ฟังข้ากล่าวให้จบก็จะไปแล้วเล่า ผู้น้อยอยากตอบแทนพระคุณที่มิได้ฆ่า ทั้งยังช่วยเหลือผู้น้อยที่ป่าน้ำค้างขาวจริงๆนะขอรับ”
เสิ่นชิงชิวปากกระตุก “จะให้ข้าไปภพมาร ถ้าไม่ไปก็ปล่อยเจ้าตัวพวกนี้ไว้บนเตียงข้า นี่นับเป็นการ ‘ตอบแทน’ หรือ”
จู๋จือหลางยิ้ม “ไม่ใช่แค่บนเตียงหรอกขอรับ”
งูน้อยอีกตัวหนึ่ง อวบขนาดหัวแม่โป้งมุดออกมาจากเสื้อของเสิ่นชิงชิว
งูตัวนี้นอนขดอยู่ในอกเสื้อเขามาตลอด ซุกไออุ่นเขาอย่างสบายอกสบายใจ เมื่อกี้มันไม่ขยับเลยไม่รู้ตัวสักนิดว่ามีมันอยู่ ท่ามกลางเสียงฟ่อๆไม่หยุด งูเขียวตัวน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนพากันคลานออกมาจากใต้เตียงราวกับสายน้ำไหล เลื้อยยั้วเยี้ยเต็มพื้นห้องนอนไปหมด
เสิ่นชิงชิวอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนถาม “เผ่างูหรือ”
จู๋จือหลางกล่าวหน้าตาเฉย “ท่านพ่อข้ามาจากแถบทางใต้”
มิน่าเขาถึงใช้ชื่อนี้
เผ่ามารให้ความสำคัญกับลำดับชนชั้นและสายเลือดอย่างมาก ประชากรเผ่ามารที่เป็นสามัญชนธรรมดาทั่วไปหรือมีสายเลือดชั้นต่ำจะไม่อนุญาตให้ใช้ชื่อที่มีคำว่า ‘จวิน’ ต่อท้าย
เสิ่นชิงชิวตรึกตรอง คำต่อท้ายว่า ‘จวิน’ นี้บ่งบอกถึงสถานะและลำดับชนชั้น เช่นเดียวกับพระนามต้องห้ามของเชื้อพระวงศ์ที่ชาวบ้านไม่อาจเรียกขานได้ตรงๆนั่นเอง
สาเหตุที่หนทางในการขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำของลั่วปิงเหอไม่ราบรื่นในช่วงแรกๆ ก็เพราะความเป็นเลือดผสมของเขาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ผู้นำของเผ่ามารนี่แหละ ส่วนพวกตัวละครที่ชื่อ ‘xxหลาง’ ก็ถูกลั่วปิงเหอฆ่าตายไปไม่น้อยตอนตะลุยด่านภพมารใหม่ๆ เสิ่นชิงชิวเลยได้ข้อสรุปว่าคนที่ในชื่อมีคำว่าหลางอยู่ข้างหลัง คงไม่ถึงกับต๊อกต๋อย แต่อย่างน้อยชาติกำเนิดน่าจะไม่บริสุทธิ์เท่าไหร่นัก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจู๋จือหลางนั้นมีสายเลือดของมารฟ้า แต่กลับไม่อาจใช้คำว่าจวินได้ ปัญหาจะต้องอยู่ที่ความเป็นเลือดผสมในตัวเขาแน่
เผ่างูนั้นอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่แถบทางใต้ของภพมาร พูดกันอย่างจริงจังก็นับว่าเป็นเผ่ามารนั่นแหละ แต่เผ่านี้มีรูปร่างเป็นงูยักษ์ ถือกำเนิดมามีรูปลักษณ์เป็นงู เมื่อเติบใหญ่ ถึงพลังฝึกปรือจะสูงขึ้นตามวัย ทว่าน้อยนักที่อวัยวะจะค่อยๆพัฒนาจนมีรูปร่างเหมือนคน แล้วเกร็ดหายไปอะไรทำนองนั้น ส่วนใหญ่จะมีรูปร่างเป็นงูไปตลอดชีวิต
เสิ่นชิงชิวถามต่อ “มารดาของเจ้าคือ?”
จู๋จือหลางกล่าวว่า “น้องสาวของเทียนหลางจวิน”
น้องสาวของเทียนหลางจวินอย่างน้อยๆก็นับว่าเป็นบุคคลระดับองค์หญิงของเผ่ามาร ไม่รู้ว่าสิ้นคิดเบอร์ไหนถึงได้มีลูกกับใครไม่มี ดันมามีลูกกับงูเนี่ยนะ รสนิยมฮาร์ดคอร์ดีแท้
เสิ่นชิงชิวยอมให้งูสองตัวถูไถยึกยักอยู่ที่ขาและน่องของตัวเองอย่างอดทนอดกลั้น “พูดเช่นนี้ เจ้าก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของลั่วปิงเหอน่ะซิ…ว่าแต่เจ้าช่วยห้ามพวกมันอย่าให้เลื้อยเข้ามาในเสื้อผ้าข้าจะได้หรือไม่”
จู๋จือหลางกล่าว “หากว่ากันตามลำดับอาวุโสแล้ว ก็พอจะกล่าวได้ว่าเป็นเช่นนั้น ส่วนเจ้าพวกนี้ดูเหมือนว่าพวกมันจะชอบเสิ่นเซียนซือเป็นอย่างมาก ผู้น้อยก็จนปัญญา
ผีซิ! ถึงจะเชื่อว่านายจนปัญญา!
เสิ่นชิงชิวได้แต่ข่มกลั้นเอาไว้ ถามว่า “เจ้าไปวังฮ่วนฮวาทำไมกัน”
จู๋จือหลางตอบอย่างใจเย็น “เดิมทีไปจัดการธุระสำคัญ แต่นึกไม่ถึงวว่าจะเจอเสิ่นเซียนซือเข้า”
เสิ่นชิงชิวใจไหววูบ “ธุระสำคัญ? ธุระสำคัญที่เจ้าว่า เกี่ยวกับลั่วปิงเหอหรือไม่”
สมคบกันครองความเป็นใหญ่? เผ่ามารแตกคอกัน? หรือว่า ฟ้าดินตื้นตัน ญาติพี่น้องกอดคอกันร้องห่มร้องไห้หลังจากพลัดพรากจากกันไปหลายปีก่อนได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
คราวนี้จู๋จือหลางกลับเพียงแค่ยิ้ม ไม่ยอมตอบคำถาม
เสิ่นชิงชิวถามอีก “เกรงว่าคงมิใช่ธุระอย่างการรวมญาติอันน่าซาบซึ้งตรึงใจกระมัง”
จู๋จือหลางตอบง่ายๆ “ผู้น้อยเพียงเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของจวินซั่งเท่านั้น”
เสิ่นชิงชิวถาม “ร่างนี้ของเจ้าสร้างขึ้นจากหญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทราหรือ”
ถ้าเอาไว้ใช้เองก็ยังดี แต่หากไม่ได้เอาหญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทราไว้ใช้เอง ก็เป็นไปได้ว่าจะเอาไปให้เทียนหลางจวินใช้ เทียนหลางจวินถูกภูเขากดทับ เหลือแต่ลมหายใจร่อแร่มานานปี มีแนวโน้มว่าสังขารได้เสียหายไปนานแล้ว ถ้าสามารถใช้กลยุทธ์จักจั่นทองลอกคราบ ไม่รู้ว่าจะก่อมรสุมอะไรขึ้นมาบ้าง
เสิ่นชิงชิวรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา ผีเสื้ออย่างเขาแค่ขยับปีกโดยไม่ตั้งใจก็คล้ายจะก่อเรื่องที่น่ากลัวขึ้นมาเสียแล้ว เมื่อไม่ได้คำตอบก็ยิ่งใจคอไม่ดี จึงถามต่อ “ที่จะให้ข้าไปภพมาร ก็เป็นคำสั่งจวินซั่งของเจ้าหรือ”
ขอเพียงเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับเทียนหลางจวิน จู๋จือหลางจะปิดปากเงียบไม่ยอมตอบ แค่ยิ้มน้อยๆอย่างสุภาพ ทำเอาเห็นแล้วของขึ้นเป็นที่สุด
จู๋จือหลางรอจนกระทั่งเสิ่นชิงชิวหมดอารมณ์ ยอมล่าถอยจึงค่อยเอ่ยปาก โดยยังคงความสุภาพและมีมารยาทอยู่ “เสิ่นเซียนซือโปรดพักผ่อนให้สบาย หากต้องการสิ่งใดโปรดบอกมาได้เต็มที่ ผู้น้อยจะจัดการให้ท่านเอง อย่างช้าพรุ่งนี้พวกเราก็น่าจะสามารถออกเดินทางไปยังพื้นที่ชายแดนได้”
เสิ่นชิงชิวปากคอแห้ง ถามว่า “เจ้ามีเงินไหม”
จู๋จือหลางกล่าว “มีขอรับ”
เสิ่นชิงชิวบอก “ขอเอาไปใช้หน่อยได้ไหม”
จู๋จือหลางตอบ “เชิญขอรับ”
เสิ่นชิงชิวเรียกร้อง “ข้าต้องการผู้หญิง”
จู๋จือหลางอึ้ง
เสิ่นชิงชิวกล่าวย้ำ “เจ้าบอกไว้ไม่ใช่หรือว่าต้องการอะไรก็เอ่ยปากได้เต็มที่ ข้าต้องการผู้หญิง แล้วก็เอางูออกไปเสีย”
ใบหน้ายิ้มแย้มของจู๋จือหลางในที่สุดก็ปริเป็นรอยร้าวเล็กๆ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงยอมรับปาก
เสิ่นชิงชิวหัวเราะหึๆ พลางพลิกกายลงจากเตียง สวมเสื้อตัวนอก จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
จู๋จือหลางทำท่าเหมือนลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะต้องตามไปด้วยหรือไม่ แต่พอเสิ่นชิงชิวเดินออกจากห้องเขาก็ก้าวเท้าตามไปด้วยทันที
เมื่อก่อนในฐานะเจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิง ต้องคอยคำนึงถึงสถานะ แม้จะอยากรู้อยากเห็นจนคันคะเยอก็ต้องอดทนอดกลั้นไม่ไปเที่ยวหอคณิกา ตอนนี้มีโอกาสแล้ว
เสิ่นชิงชิวทำราวกับจู๋จือหลางเป็นอากาศธาตุ เดินเตร่ไปตามถนน เลือกหอบุปผาแห่งหนึ่งที่ดูสบายๆ เป็นกันเอง ชื่อ ‘หอหน่วนหง’ ก่อนทำหน้านิ่งแล้วเดินเข้าไป
ต่อมาไม่นานเสิ่นชิงชิวก็นั่งอยู่กลางดงบุปผางดงามละลานตา สูดกลิ่นแห้งชาดเต็มจมูก จู๋จือหลางนั่งอยู่ที่โต๊ะกลม แน่วแน่ไม่ขยับราวกับเขาไท่ซาน
เสิ่นชิงชิวถาม “ทำไมเจ้าทำหน้าแบบนั้น”
จู๋จือหลางเบนสายตาไปทางอื่น “ก็แค่นึกประหลาดใจที่เสิ่นเซียนซือมีความสนใจต่อสถานเริงรมย์พวกนี้ด้วย”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เจ้ารออีกเดี๋ยวก็จะรู้ว่าข้าสนใจอะไร”
ขณะกำลังพูดอยู่ นางขับร้องหญิงคนใหม่ก็เดินเยื้องกรายเข้ามา นางอายุค่อนข้างมากแล้ว แต่พอแต่งหน้าแล้วก็ยังคงดูสวยงามอยู่ นางโอบประคองผีผา มานั่งที่เก้าอี้กลม เมื่อสบตากับเสิ่นชิงชิวก็ตะลึงลานไปครู่หนึ่ง
(ผีผา คือเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย)
เสิ่นชิงชิวไม่รู้สาเหตุจึงผงกศีรษะให้ “แม่นาง?”
นางขับร้องผู้นั้นพลันได้สติกลับคืน กล่าวยิ้มๆอย่างโล่งอก “ยกโทษให้หนูเจียเถอะนะเจ้าคะ ท่านหน้าตาดียิ่งนัก หนูเจียเลยนึกถึงสหายเก่าท่านหนึ่งขึ้นมา จึงมองจนเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง”
(หนูเจีย คือ คำเรียกแทนตัวเองของหญิงในยุคโบราณ)
พูดจบก็ก้มหน้าไม่กล่าวอะไรอีก ดีดผีผาเคร้งคร้างลองเสียงสองสามทีแล้วเริ่มร้องเพลงเจื้อยแจ้ว
เสิ่นชิงชิวเดิมทีมัวแต่กระซิบกระซาบกับบรรดาสาวๆรอบกาย ไม่ได้ตั้งใจฟังเพลงนัก แต่พอได้ยินไปสองท่อนก็รู้สึกว่ากำลังได้ฟังอะไรที่เหลือจะรับเป็นอย่างยิ่ง จึงรีบตะโกนให้หยุด “แม่นาง เจ้ากำลังร้องเพลงอะไรอยู่น่ะ”
หญิงสาวผู้นั้นตอบเสียงหวาน “เพลงที่หนูเจียร้องเป็นเพลงที่แพร่หลายกันอยู่ในเวลานี้ ชื่อเพลง ‘แค้นซุนซาน’ เจ้าค่ะ”
บนหน้าผากเสิ่นชิงชิวมีขีดสีดำขึ้นเรียงเป็นแถว “ไม่ถูกต้อง เมื่อกี้ข้าได้ยินเจ้าร้องสองชื่อออกมา ทวนอีกรอบได้หรือไม่”
แม่นางผีผาเอามือปิดปากหัวเราะ “มีอะไรไม่ถูกต้องหรือเจ้าคะ หรือว่านายท่านไม่เคยได้ยินมาก่อน ตัวเอกในเพลง ‘แค้นซุนซาน’ ก็คือเสิ่นชิงชิวกับลั่วปิงเหออย่างไรเล่าเจ้าคะ”
…..
…..
…..
เขาถูกคนเอาไปแต่งเพลงฮิตตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
จู๋จือหลางที่ตอนแรกปฏิเสธไม่ยอมรับการปรนนิบัติอะไรสักอย่างเอาแต่นั่งเงียบทำตัวเป็นอากาศธาตุ แต่เสียดายที่อาการไหล่สั่นกระเพื่อมเบาๆเปิดโปงเขา
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เอ่อ…ขอถามหน่อยได้ไหม ไอ้เพลงซุนๆซานๆอะไรนี่มันว่าด้วยนิทานเรื่องอะไรหรือ”
บรรดาหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขาแย่งกันพูดราวกับนกกระจอก “นายท่านไม่รู้เรื่องเลยหรือเจ้าคะ เพลง ‘แค้นซุนซาน’ นี่ ว่ากันว่าเป็นความรักต้องห้ามอันซาบซึ้งสะเทือนใจระหว่างเสิ่นชิงชิวกับศิษย์รักลั่วปิงเหอเจ้าค่ะ…”
เสิ่นชิงชิวตัวแข็งเป็นหิน อดทนฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
หลังจากจับใจความอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ความดังนี้ นี่คือเรื่องของศิษย์อาจารย์ไร้ยางอายคู่หนึ่ง วันทั้งสันไม่ทำเรื่องสำคัญ เอาแต่ปั๊บๆๆกันที่ภูเขาอะไรก็ไม่รู้แห่งหนึ่ง ลงเขาไปปราบปีศาจก็ปั๊บๆๆ เกิดเรื่องเข้าใจผิดกันขึ้นมาก็ปั๊บๆๆ แก้ปัญหา ก่อนตายก็ยังอยากจะปั๊บๆๆ ตายไปแล้วก็ยังปั๊บๆๆกันต่อ เกิดใหม่ก็ยังจะปั๊บๆๆไปเรื่อยๆ…
แม่นางผีผาถอนใจเบาๆ กรีดนิ้วลงบนเครื่องสาย “ก่อนตายไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย ตายไปแล้วนอนกอดศพ ความรู้สึกที่ลึกซึ้งปานนี้ในโลกหล้าหาที่ใดไม่ได้อีกแล้ว”
แต่ละคนพากันถอนสะอื้นไปตามๆกัน บางคนซาบซึ้งจนถึงกับหลั่งน้ำตา
เสิ่นชิงชิวเอามือกุมศีรษะ
อะไรกันวะนี่ แม่งนี่มันเพลงลามกไม่ใช่เรอะ
ใครแต่งเพลงนี้ เขาซุนซาน นี่มันเขาไหน
(ซุนซาน 高山 มีความหมายตามตัวอักษรคือ ภูเขาแห่งฤดูวสันต์ ขณะเดียวกันคำว่า ซุน 高 หรือวสันต์นี้มีความหมายว่า อารมณ์รักใคร่ กามารมณ์ได้ด้วย)
ชิงจิ้งเฟิงหรือ
หรือว่าชางฉยงซาน?
ไอ้คนแต่เพลง! ซานฉยงซานไปฟันฉับเดียวก็ฆ่าพวกแกยกครัวมาใช่ไหม!
ตกลงมันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ไม่ใช่แค่เม้าท์กันไปถึงพื้นที่ชายแดนอย่างเดียว แม้แต่กลอนลามกและเพลงรักที่ร้องทั่วทุกตรอกซอกซอยก็ยังเป็นเรื่องราวของพวกเขา นี่มันเหมือนเขากับลั่วปิงเหอมีอะไรกัน แล้วโดนจับได้คาเตียงท่ามกลางสายตาของคนทั้งแผ่นดินยังไงยังงั้น
จู๋จือหลางหัวเราะพรืด หันกายมากล่าวว่า “เสิ่นเซียนซือ…ที่แท้…สนใจเพลง…นี้…นี่เองหรอกหรือ”
เสิ่นชิงชิวมองเขาด้วยสายตาเย็นยะเยือก
จู๋จือหลางปรับสีหน้า ทว่ายังกลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก “ผู้น้อย…หรือว่าผู้น้อยหลยไปสักครู่ดีกว่า…”
แต่แล้วขณะที่เขากำลังจะลุก ร่างก็พลันแข็งทื่ออยู่กับเก้าอี้ไม่ขยับ
เสิ่นชิงชิวแอบมองสีหน้าเขา กล่าวกลั้วหัวเราะ “เป็นอย่างไร ในที่สุดก็รู้สึกว่าร่างกายไม่สบายแล้วหรือ”
เขาลุกขึ้นยืน สะบัดเสื้อผ้า พวกงูเขียวที่ซุกตัวอยู่ในอกเสื้อเขามาตลอดก็ร่วงลงไปดิ้นกระแด่วๆกับพื้น หงานท้องแหงแก๋
สาวๆในห้องร้องกรี๊ด แม่นางผีผาเหวี่ยงผีผาทิ้งโครมแล้วหนีออกไป
จู๋จือหลางเอามือกุมหน้าผาก มือข้างหนึ่งเกาะโต๊ะลุกขึ้นยืนโงนเงนจ้องมองเสิ่นชิงชิว ก่อนยกมือขวาขึ้นคว้างูน้อยตัวหนึ่งที่มุดออกมาจากแขนเสื้อ แต่มันกลับพันขดอยู่รอบนิ้วเขา ไม่มีเรี่ยวแรงโจมตีแม้แต่น้อย
จู๋จือหลางสะบัดศีรษะ กล่าวเสียงแผ่วระโหย “…สยงหวง”
หอบุปผาทั้งหออบอวลไปด้วยกลิ่นสุราสยงหวงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
เสิ่นชิงชิวกล่าวชมเชย “สุราสยงหวงชั้นเยี่ยม แล้วก็นะ ใช้เงินเจ้าทั้งนั้นเลยด้วย”
ผู้ช่วยของเขาไม่จำเป็นจะต้องเหินฟ้าดำดินได้ เพียงแค่กระซิบคำเดียว หญิงสาวในหอก็รับเงินจากเขา แล้วย่องออกไปเหมาซื้อสุราสยงหวงจนหมดตลาด เอาไปตั้งไปต้มรอบๆหอหน่วนหง จากนั้นก็เอาพัดกระพือต้มทั้งคืนหมายรมให้เมา หากไม่เมาก็ไม่ใช่งูแล้ว
จู๋จือหลางไม่ใช่ไม่ระวัง แต่ที่เขาเฝ้าระวังคือกลัวว่าเสิ่นชิงชิวจะมีโอกาสติดต่อกับซิวซื่อคนอื่นๆ แต่กลับไม่ระวังแม่นางในหอบุปผาเหล่านี้ สุดท้ายเลยผิดพลาดใหญ่หลวง
จู๋จือหลางเงยหน้าขึ้น ตาขาวเปลี่ยนเป็นสีทอง ตาดำหรี่แคบในแนวตั้งอย่างรวดเร็วจนมองเห็นด้วยตาเปล่า ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวเปลี่ยนทรง
เสิ่นชิงชิวรีบผลักประตูเปิดออก ตะโกนบอกเหล่าแม่นางที่ยืนเบียดกันตัวสั่นอยู่ทางหนึ่งว่า “ยังไม่รีบไปอีก”
พวกสาวๆแย่งกันวิ่งออกไปทันที แม่นางผีผาถึงจะวิ่งรั้งท้ายแต่ไม่งุ่มง่ามเลยสักนิด
เสิ่นชิงชิวยัดถุงเงินใส่สายรัดเอวนาง ถือเป็นค่าเสียหายสำหรับผีผา จากนั้นจึงปิดประตู ตอนหันไปยังตำแหน่งที่จู๋จือหลางยืนอยู่ในตอนแรกอีกครั้ง ก็เห็นว่ามีงูเขียวตัวใหญ่ยักษ์ขนาดสามคนโอบนอนขดอยู่
งูยักษ์ตัวนี้มีหัวใหญ่มหึมาทรงสามเหลี่ยม เบ้าตาใหญ่โปนสีเหลือง ลูกตาดำเป็นขีดบางๆ ดูจะง่วงงุนอย่างมาก คอเล็กเรียวพยุงหัวงูซึ่งหนักอึ้งแทบไม่ไหว คอยแต่จะฟุบลงมา
ฤทธิ์ของสุราสยงหวงร้ายกาจอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ ทำเอาร่างที่แท้จริงของจู๋จือหลางสำแดงออกมา
คราวนี้เสิ่นชิงชิวรู้สึกปวดหัวขึ้นมานิดๆ เขาเก็บพัดด้ามจิ้วของใครก็ไม่รู้ที่เจ้าของโยนทิ้งไว้ขึ้นมากางออก
งูยักษ์เลื้อยมาหาเขา ขดอ้อมสองรอบเหมือนอยากพัดรัดเขาไว้ ทว่าเสิ่นชิงชิวกระโจนหนีออกมาได้อย่างสบายๆ
ลำตัวงูบิดเร่า ทลายตึกออกมาเหมือนคนเมา ตกลงไปกลางถนน ทำเอาคนเดินผ่านไปผ่านมาตกใจจนกรีดร้องลั่นแตกฮือไปคนละทิศละทาง
เสิ่นชิงชิวกระโดดลงจากชั้นสองตามลงไปด้วยเช่นกัน เขาตะโกน “ออกมาก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งเมืองมีแต่กลิ่นสุราสยงหวงหมดแล้ว”
งูยักษ์ส่งเสียงแหลมสูงออกมาจากในปาก ฟาดหัวฟาดหางไปตามทาง
เสิ่นชิงชิวตัดสินใจล่องูออกไปให้พ้นจากฝูงชน เขากระโจนขึ้นไปเหยียบบนหัวมัน ขอเพียงทิศทางที่มันมุ่งหน้าไปไม่ถูกต้องหรือทำท่าจะไปชนเอาผู้คนหรือบ้านเรือนเข้าก็จะใช้พัดทิ่มหัวมัน งูตัวนี้มีเกล็ดหนาราวกับเกราะ ยามที่มันเลื้อยไปตามพื้นจะเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
เสิ่นชิงชิวต้องคอยถ่ายพลังทิพย์ปริมาณมหาศาลใส่พัด ถึงค่อยสามารถทำให้มันหันเหทิศทางได้ แม้จะทุลักทุเลไปบ้าง แต่ในที่สุดก็ชักนำมันให้ออกนอกเมืองได้สำเร็ง
สาวๆในหอบุปผารับเงินไปแล้วก็ทำงานอย่างสุดฝีมือ ไม่รู้ว่าต้มสุราสยงหวงไปแค่ไหน เพราะกลิ่นฟุ้งกระจายตามลมมาแต่ไกล ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะชักนำงูมาจนถึงตีนเขา ทว่ากลิ่นนี้ยังลอยลงมาจากบนเนินเขาเรื่อยๆไม่หยุด
งูยักษ์ถูกกลิ่นนี้รมจนทนไม่ไหว มิหนำซ้ำยังถูกเสิ่นชิงชิวขี่หัวเอาพัดคอยทิ่มมาตลอดทาง เหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจ ในที่สุดก็เลื้อยต่อไปไม่ไหว
เสิ่นชิงชิวเห็นว่าออกจากเมืองมาไกลพอแล้วจึงค่อยกระโดดลงมา
งูยักษ์อ่อนแรงเต็มที ฟุบหัวกับพื้น นอนขดอยู่ที่ตีนเขาราวกับบันไดสิบแปดโค้ง
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ถึงแม้ข้าต้องการกลบหลุม แต่ไม่นึกอยากอพยพไปเป็นประชากรเผ่ามาร อีกทั้งสถานการณ์ตอนนี้วุ่นวายเสียจนปวดหัว ในเมื่อเจ้าไม่อาจขับโลหิตมารฟ้าให้ข้าได้ เรื่องตอบแทนบุญคุณก็ไม่จำเป็นแล้ว สี่จือหลาง ลาก่อน”
(สี่จือหลาง มีนัยหมายถึงไปให้พ้น และเป็นชื่อยี่ห้องขนมเจลลี่ของจีน เพลงโฆษณาของขนมยี่ห้องนี้มีท่อนหนึ่งบอกว่า กิน ‘สี่จือหลาง’ แล้วจะได้เป็นนักบิดอวกาศ เลยเอามาล้อว่า รีบกินแล้วรีบไสหัวออกนอกอวกาศไปเลย)
เขากลัวว่าพอกลิ่นสุราสลายไปแล้ว จู๋จือหลางจะเปลี่ยนกลับเป็นสภาพเดิมแล้วปล่อยงูเป็นฝูกออกมาพัวพัน เขาจึงรีบหนีไว้ก่อน เขาเสาะหาร้านตีเหล็กแฟรนไชส์ที่ขนาดค่อนข้างใหญ่ในเมืองร้านหนึ่ง เพื่อเจ้ากระบี่เหินสักเล่ม
ใช่แล้ว อ่านไม่ผิดหรอก เช่ากระบี่จริงๆ กระบี่เซียนก็เช่ากันได้เหมือนเช่ารถแท็กซี่นั่นแหละ อีกทั้งราคาก็ถือว่ายุติธรรมทีเดียว
สรุปแล้วก็ยังใช้เงินของจู๋จือหลางอยู่ดี
เสิ่นชิงชิวประสานมือทำท่าคารวะพี่ชายผู้แสนประเสริฐคนนี้ จากนั้นท่องกระบี่มุ่งหน้าไปยังชางฉยงซานด้วยความเร็วสูง
ผ่านไปประมาณครึ่งวัน ยอดเขาสิบสองยอดสูงต่ำลดหลั่นกันก็ปรากฏให้เห็นท่ามกลางหมู่เมฆทะเลหมอก
จากไปนานเหลือเกิน ชางฉยงซาน
เสิ่นชิงชิวโยนคำว่า ‘ซุนซาน’ ที่ผุดขึ้นในสมองทิ้งไปทันที