ภาคที่ 1
ตอนที่ 1
หลัวเฟิง
บนท้องฟ้าสีครามสดใสราวกับมรกตสีน้ำเงินเม็ดมหึมา มีดวง อาทิตย์กลางคิมหันตฤดูประหนึ่งลูกบอลไฟยักษ์แขวนอยู่บนยอด มรกตเม็ดมหึมานั้น ดูจากตำแหน่งของดวงอาทิตย์ตอนนี้ ประมาณ การณ์ได้ว่าอยู่ราวๆ ช่วงบ่ายสามโมง
ณ โรงเรียนมัธยมปลายที่ 3 เขตอี๋อัน
“ตึ่งติงตึ๊ง…”
เสียงกริ่งกังวานขึ้นในบริเวณโรงเรียน พลันเกิดเสียงเซ็งแซ่ไป ทั่วทั้งโรงเรียน แต่ละอาคารคลาคล่ำไปด้วยเด็กนักเรียนที่พากันกรู ออกมา มีเสียงจับกลุ่มจ๊อกแจ๊กจอแจขณะที่พากันเดินไปที่หน้า ประตูโรงเรียน
“พี่หลัวเฟิง! พี่หลัวเฟิง!” เสียงเรียกท้าวหุ้มดังขึ้น
“อาเฟิง มีคนเรียกนายเพื่อน”
ท่ามกลางกลุ่มนักเรียน เด็กหนุ่มคนหนึ่งถือหนังสือในมือเดิน ปะปนไปกับคนอื่นๆ เขาสวมชุดพละสีน้ำเงิน สูงประมาณ 175 เซนติเมตร รูปร่างค่อนข้างผอม และในนตอนนั้นเองเขาก็หันกลับมา มองอย่างสงสัย คนที่กำลังเรียกเขานั้นสูงราวๆ 190 เซ็นติเมตร ไหล่กว้างอย่างกับเสือ และลำตัวก็ตันหนาราวกับหมี ยิ่งกว่านั้นมัด กล้ามของเขายังดูกำยำล่ำสันจนน่าเกรงขาม
“นายคือ…?” หลัวเฟิงมองผู้ที่มาอย่างงงงวยอยู่ ดูเหมือนตนจะ ไม่รู้จักคนตรงหน้า
ระหว่างสองคนนี้ คนหนึ่งกำยำล่ำสันราวกับหมีดำ ขณะที่ ‘พี่ หลัวเฟิง’ กลับดูเหมือนคนปกติทั่วไปเท่านั้น
เปรียบเทียบส่วนสูง….
สองคนนี้แตกต่างกันมากเหลือเกิน แต่อย่างไรก็ตาม เจ้ายักษ์ ปักหลั่นคนนี้กลับดูเหมือนจะมีสัมมาคารวะต่อเขานิดหน่อย หมอ นั่นมองดู ‘พี่หลัวเฟิง’ ที่เขาเคารพอย่างละเอียด แล้วแอบพูดว่า “ดู เหมือนจะจริงอย่างที่เขาว่า พี่หลัวเฟิงเข้าถึงตัวได้ง่ายทีเดียว”
“พี่หลัวเฟิง ผม…เอ่อ…ผมมีเรื่องที่อยากจะให้พี่ช่วยหน่อยน่ะ ครับ” ชายกำยำเอ่ยอย่างลังเล
“เรื่องอะไรเหรอ” หลัวเฟิงหัวเราะ
“คือว่าตอนที่ผมฝึกออกหมัด ผมรู้สักเหมือนจะมีบางอย่าง ผิดปกติในจังหวะที่ผมปล่อยหมัดออกไป ผมเลยคิดว่าอยากจะขอ เวลาให้พี่ช่วยชี้แนะแนวทางให้ผมซักหน่อยน่ะครับ”
ชายกำยำนั่นกล่าวต่ออีกว่า
“ตามที่ครูฝึกบอก ด้วยพละกำลังของผมตอนนี้ ผมควรจะ ปล่อยพลังหมัดได้เกิน 50% แล้ว แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังทำได้ ไม่สูงขนาดนั้นสักที”
ชายกำยำมองดูหลัวเฟิงอย่างเฝ้ารอ
“อ้อ…เข้าใจล่ะ” หลัวเฟิงนิ่งอยู่อึดใจ แล้วพยักหน้าเบาๆ
“เอางี้แลัวกัน ช่วงบ่ายวันศุกร์ไปหาฉันที่สำนักละกัน”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆ ครับ” ชายกำยำขอบคุณซ้ำๆ
หลัวเฟิงหัวเราะเบาๆ แล้วผละจากไปกับเพื่อนของตน
หลังจากหลัวเฟิงลับตาไป ชายกำยำนั้นก็แสดงอาการตื่นเต้น ออกมา เขากำหมัดแน่นจนเส้นเลือดที่กล้ามแขนปูดโปน แล้วก็ ตะโกนแหกปากด้วยความลิงโลด
“สำเร็จ!”
“พี่หลัวเฟิงกลับตกลงง่ายขนาดนี้เลย?!” เด็กชายคนหนึ่งใน ชุดนักเรียนโพล่งออกมา
“ที่เขาลือกันไม่ผิดเลยจริงๆ พี่หลัวเฟิงเข้าหาง่ายและนิสัยก็ดี จริงๆ” ชายกำยำยิ้มกริ่ม
“แต่…จะว่าไปมันก็ไม่ถูกต้องนะ โนโรงเรียนมัธยมที่ 3 ของ พวกเรา ในจำนวนนักเรียน 5000 คน มีแต่ 3 คนเท่านั้นที่ได้รับ ฉายาว่า ‘นักเรียนศิลปะต่อสู้ขั้นหัวกะทิ’ ในบรรดานักเรียน 3 คนนั้น อีกสองคนก็คือจางฮ่าวไป๋กับหลิวถิง แต่ว่าสองคนนั่นเป็นพวก เย่อหยิ่งมาก ไม่มีทางสละเวลามาแนะนำพวกเราแน่นอน” เด็กชาย ในชุดนักเรียนถามอย่างแคลงใจ
“ว่าแต่พี่,หลัวเฟิงใจดีขนาดนั้นเชียวเหรอเนี่ย”
ปัจจุบันนี้ ในทุกๆ ท้องถิ่นทั่วโลก นักเรียนมัธยมแทบทุกคน ขณะที่ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานก็จะได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ไป ด้วยเพื่อเป็นการปลดปล่อยพลังที่ซ่อนอยู่ภายในกายออกมา
โรงเรียนมัธยมที่ 3 เขตอี๋อัน มีสามระดับชั้นและมีนักเรียน ทั้งหมดราว 5000 คน
นักเรียนส่วนใหญ่ต่างเป็นระดับต้นของวิชาต่อสู้! มีเพียงส่วน น้อยนิดที่อยู่ในขั้น ‘ระดับกลาง’ และก็มีเพียงแค่สามคนเท่านั้นที่ สามารถสำเร็จ ‘ขั้นหัวกะทิ’ ได้!
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หึๆ ดูสิ พี่หลัวเฟิงช่างแตกต่างจากอีกสอง คนนั้นจริงๆ” ชายร่างยักษ์เบ้ปาก
“จางฮ่าวไป๋กับหลิวถิงนั่น ครอบครัวของพวกเขาต่างก็มีฐานะ ร่ำรวย ครอบครัวของพวกเซาจ่ายเงินมหาศาลเพื่อส่งเสริมและ ผลักดันการฝึกซ้อมของพวกเขาตั้งแต่เด็ก ถึงทำให้พวกเขา แข็งแกร่งแบบนี้ แต่กับพี่หลัวเฟิงแล้วมันแตกต่างกันราวฟ้ากับ เหว!”
เด็กชายในชุดนักเรียนพยักหน้าเห็นด้วย “ฉันก็ได้ยินมา เหมือนกันว่าพี่หลัวเฟิงมีพื้นเพเหมือนกับคนทั่วๆ ไป เขาอาศัยอยู่ ในบ้านเช่าถูกๆ ด้วยซ้ำ”
“ใช่แล้ว เพราะงั้นกว่าพี่หลัวเฟิงจะมาถึงจุดนี้ก็คงฝึกหนักน่าดู เขาอาศัยเพียงกำปั้นและสองเท้าฝึกฝนอย่างหนัก จะไปเหมือน พวกจางฮ่าวไป๋กับหลิวถิงได้ที่ไหน”
ชายกำยำกำหมัดแน่นและสูดหายใจเข้าลึก “เป้าหมายของ ฉันก็คือพี่หลัวเฟิง ก่อนจะจบจากมหาวิทยาลัย ภายใน 4 ปีนี้ ฉัน จะต้องผ่านบททดสอบและได้ฉายา ‘ขั้นหัวกะทิ’ ให้จงได้!”
………………….
ในขณะนี้ พี่หลัวเฟิงที่กำลังถูกพูดถึงอยู่นั้นก็กำลังไหลตามฝูง ชนมุ่งหน้าไปที่ประตูที่ 3 พร้อมกับเด็กหนุ่มอีกคนในชุดพละ
“อาเฟิง ตอนที่เจ้าหัวโตนั้นมาขอคำชี้แนะจากนายเสร็จแล้ว พอคล้อยหลังก็ชมนายกับเพื่อนเขาด้วยนะ” เด็กหนุ่มในชุดพละ หัวเราะชอบใจ
“ชมว่านายนิสัยดีแถมยังเข้าถึงตัวง่ายอีกต่างหาก”
หลัวเฟิงหัวเราะ “แล้วไง นายอิจฉางั้นสิ เว่ยเหวิน?”
“อิจฉานายงั้นเหรอ?” เว่ยเหวินถูจมูกหัวเราะก๊าก
“ฝันไปเถอะเพื่อน ฉันกำลังนึกเวทนาว่าเจ้าหัวโตนั่นช่างไม่ รู้จักตัวตนที่แท้จริงของ ‘พี่หลัวเฟิง’ ที่เขาเคารพเอาเสียเลย แต่ฉัน ก็จำได้แม่นเลยนะ…ว่าในการแข่งขันของทางสำนักตอนนั้น ‘พี่ หลัวเฟิง’ ที่เขายกย่องนักยกย่องหนา ซัดนักเรียนมัธยมคว่ำไป สามคนติดๆ กัน จนสามคนนั่นลุกขึ้นสู้ต่อไม่ได้อีก”
หลัวเฟิงหัวเราะ
อันที่จริง แมทช์นั้นเป็นแมทช์แจ้งเกิดของเขาเลยล่ะ
หลัวเฟิงตบไหล่เว่ยเหวิน “เอาล่ะกลับกันเถอะ”
หัวไหล่ของเว่ยเหวินสั่นสะท้าน “อาเฟิง เบาๆ หน่อยสิเพื่อน ตบทีไหล่แทบทรุด!”
“สำออยอีกแล้ว!” หลัวเฟิงเบ้ปาก
เว่ยเหวินเป็นเพื่อนสนิทกับหลัวเฟิงที่เล่นหัวกันมาแต่เด็กๆ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่ความสัมพันธ์ กลับไม่ต่างจากพี่น้องแท้ๆ
ประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย หากมองย้อนกลับไปดูพวกเขาก็มีความผูกพันกันมากทีเดียว
“ฮึ?”
เว่ยเหวินจ้องไปข้างหน้าทันที
“อาเฟิง ดูสิ นั่นมันคนที่นายแอบชอบนี่หว่า”
“หือ?” หลัวเฟิงมองตาม เห็นเพียงท่ามกลางกลุ่มนักเรียนตรง ประตูไกลๆ มีเด็กสาวมัดผมหางม้าในชุดกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ต โปโลสีขาวซีดเดินไปตามทาง
หัวใจของหลัวเฟิงเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย
ชื่อหนึ่งแวบเข้ามาในหัวใจเขา… สวีซิน!
เรื่องที่หลัวเฟิงแอบชอบสวีซินอยู่ ไม่ค่อยจะมีใครล่วงรู้นัก แต่ กับเว่ยเหวินย่อมรู้มานานแล้ว
ตอนที่เรียนมัธยมปีแรก หลัวเฟิงกับสวีซินเรียนห้องเดียวกัน ตอนแรกที่หลัวเฟิงเจอกับสวีซิน เขาก็รู้สึกเหมือนมีแสงสว่างเปล่ง ประกายอยู่ตรงหน้าเขา
ดังนั้น เวลาเรียน หลัวเฟิงที่นั่งอยู่หลังห้อง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาไม่อาจควบคุมตัวเองได้ มักจะแอบมองดูด้านหลังของสวีซิน โดยไม่รู้ตัว แต่ก็แค่มองเท่านั้น
และเขาก็พอใจที่ได้แค่มองด้านหลังของสวีซินไปเงียบๆ เช่นนั้น
เพราะมีการคัดเลือกห้องเรียนอีกครั้งตอนปีสอง เขากับสวีซิ นจึงไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันอีกเลย แต่อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่ หลัวเฟิงเห็นสวีซิน เขาก็ไม่อาจละสายตาจากเธอไปได้เลย…
“เหลืออีกแค่หนึ่งเดือนก็จะถึงวันสอบแล้ว” หลัวเฟิงพึมพำกับ ตัวเอง “ที่แล้วมาฉันไม่กล้าพอและก็ไม่มีเวลาให้กับเรื่องความรัก ในเดือนสุดท้ายนี้ ทุกคนคงจะง่วนอยู่กับการสอบ สวีซินก็คงเช่นกัน แล้วจะมาวอกแวกกับเรื่องความรักได้ยังไง? ฉันก็เหมือนกัน จะมัวมาวอกแวกอยู่ไม่ได้ ไม่งั้นฉันคงจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่
ช่างมัน ความรักนี้…คงจะได้แต่เก็บไว้ในใจล่ะมั้ง”
รักเอย…..
….ช่างขื่นขม ดั่งบุปผชาดที่ยังมิทันผลิบานแต่กลับต้องมาแห้ง เหี่ยวเฉาตาย…
หลัวเฟิงเพียงแค่ต้องการเก็บงำทุกๆ อย่างเอาไว้ที่ก้นบึ้งของ หัวใจเท่านั้น
“ให้นายไปจีบสวีซินนายก็ไม่ไป ตอนนี้เหลือแค่หนึ่งเดือนก็จะ สอบแล้วนะ” เว่ยเหวินส่ายหน้า “ฉันเกรงว่านายจะไม่ได้เจอเธออีก แล้ว จะมานั่งเสียใจทีหลังก็สายไปแล้วนะ”
“เว่ยเหวิน” หลัวเฟิงส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เอาเพื่อน ถ้ายังไม่ได้ ฉายา ‘นักสู้’ ฉันคงจะให้เรื่องความรักมากวนใจไม่ได้หรอก”
“เพื่อน…นายมันโหดไปแล้ว!”
เว่ยเหวินยกนิ้วให้ ‘นักสู้’ เลยเหรอ? ในบรรดานักเรียนทั้ง 5000 คนยังไม่มีใครเคยไปถึงขั้นนั้นเลยนะ นายกลับพูดว่าถ้าไม่ได้ตำแหน่ง ‘นักสู้’ นายจะไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับความรัก เจ๋ง นายเจ๋งโคตร!”
“หือ?” หลัวเฟิงชำเลืองมองห้าคนด้านนอกประตู “จางฮ่าวไป๋?”
ในกลุ่มนักเรียนที่อยู่ด้านนอกประตู มีอยู่ห้าคนที่ดูโดดเด่น สะดุดตา ตัวคนเดินนำสูงอย่างน้อย 180 เซนติเมตร สวมเสื้อเชิ้ตสี ขาว กางเกงขายาวสีขาว พร้อมแผงอกขนาดมหึมา อีกสี่คนรอบๆ ตัวเขาไม่กำยำบล้ำสัน ก็มีรอยบากที่ใบหน้า ดูแล้วน่ากลัวไม่น้อย ทีเดียว และเด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดสีขาวล้วนของโรงเรียนมัธยมที่ 3 แห่งเขตอี๋อันนั่นก็คือหนึ่งในผู้ได้รับฉายาว่า ‘หัวกะทิ’ …จางฮ่าวไป๋
“หลัวเฟิง” จางฮ่าวไป๋มองหลัวเฟิงแวบหนึ่ง อดทำเสียงหัวเราะเยาะไม่ได้
หากจะถามจางฮ่าวไป๋ว่าในบรรดานักเรียนทั้งหมดเขาเกลียด ขี้หน้าใครมากที่สุด คำตอบก็คงชัดเจนอยู่แล้วว่าคือหลัวเฟิงนี่เอง!
อย่างไรหนึ่งในผู้ที่ได้รับตำแหน่ง ‘หัวกะทิ’ เป็นผู้หญิง และก็มีผู้ชายเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่ครองตำแหน่งนี้อยู่!
อีกอย่างจางฮ่าวไป๋มาจากครอบครัวที่มีฐานะ ในขณะที่ หลัวเฟิงเป็นเพียงคนธรรมดาๆ แถมอยู่บ้านเช่าราคาถูกอีกด้วย
เรื่องของผลการเรียน…หลัวเฟิงก็นำหน้าจางฮ่าวไป๋อยู่มาก!
เรื่องความแข่งแกร่ง…จริงอยู่ที่ทั้งหลัวเฟิงและจางฮ่าวไป๋ต่างก็ได้ตำแหน่ง ‘หัวกะทิ’ เหมือนกัน แต่ตอนที่หลัวเฟิงเข้าแข่งขันชิง ตำแหน่งเขาซัดนักเรียนมัธยมคว่ำไปสามคนจนพวกนั้นลุกมาสู้ต่อ ไม่ไหว และหนึ่งในสามคนนั้นก็คือจางฮ่าวไป๋ ซึ่งเขาก็โดนอัดจน ฟันร่วงไปเลยในตอนนั้น!
ส่วนเรื่องฐานะทางบ้าน ชัดเจนว่าจางฮ่าวไป๋ร่ำรวยกว่าเห็นๆ!
ฐานะทางบ้านดีกว่าแต่ผลการเรียนและความแข็งแกร่งหลัวเฟิง เหนือกว่าหลายขุม ในโรงเรียนเวลาที่มีใครกล่าวยกย่องจางฮ่าวไป๋ ก็มักจะมีคนยกเอาหลัวเฟิงขึ้นมาเปรียบเทียบด้วยเสมอ!
คับแค้นใจนัก!
ความคับแค้นใจที่จางอ่าวไป๋มีต่อหลัวเฟิงจึงยิ่งทวีคูณมากขึ้น เรื่อยๆ
“ไปกันเถอะ” จางฮ่าวไป๋เลียฟันของเขา ซี่ที่เตือนถึงความ เจ็บปวดเมื่อครั้งที่โดนอัดจนฟันร่วงเลือดกลบปาก
“เจ้าจางอ่าวไป๋นี่ ตั้งแต่โดนอัดที่สำนักคราวนั้น ดูมันจะทำตัว ดีขึ้นนะ มันคงไม่อยากตอแยกับนายอีกสิท่า” เว่ยเหวินพูดยิ้มๆ กับ หลัวเฟิงขณะที่มองดูกลุ่มของห้าคนนั้นเดินห่างออกไป
จางฮ่าวไป๋?
ปกติหลัวเฟิง ไม่เคยเก็บคนแบบนั้นมาใส่ใจอยู่แล้ว
“ฉันไม่อยากไปวุ่นวายกับคนแบบนั้นหรอก” หลัวเฟิงเอ่ยขึ้น ขณะที่เดินกลับบ้านพร้อมเว่ยเหวิน
ระหว่างทาง….
“ปี๊บ…ปี๊บ” บนถนน เสียงแตรรถยนต์ดังขึ้นมา ในยุคนี้รถทุก คันใช้เครื่องยนต์พลังไฟฟ้า ดังนั้นจึงไม่ได้กลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิงบน ถนนเลย
“เว่ยเหวิน เหลืออีกแค่เดือนเดียวก็จะสอบแล้ว ระหว่างนี้ เราก็ พยายามทำให้ดีที่สุดแล้วกันนะ” หลัวเฟิงพูดกับเว่ยเหวินขณะย่ำ เดินไปบนถนน
“เรื่องที่สำนักฝึกเราก็พอจะผ่อนคลายไปได้ชั่วคราวอยู่ ซ้อม มือกันไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน ตอนนี้เราต้องมุ่งสมาธิกับการเรียน วัฒนธรรมศึกษาเป็นหลัก เราเรียนหนักกันมาทั้ง 12 ปี ก็เพื่อการ ทดสอบครั้งนี้เลยนะ”
“ใช่น่ะสิ.. 12 ปีแห่งการเรียนวัฒนธรรมศึกษา การสอบครั้งนี้ กำหนดชะตากรรมของพวกเราเลยล่ะ” เว่ยเหวินทอดถอนใจ “มี แต่สอบกับสอบ ผู้คนเป็นหมื่นอยากจะข้ามสะพานไม้เดียวกัน [1]จริงๆ”
“อืม” หลัวเฟิงพยักหน้าหงึกๆ
ฐานะทางบ้านของเขาไม่ค่อยจะดีนักถึงแม้เขาจะได้รับฉายา ‘หัวกะทิ’ ก็ตาม …แต่ไม่ว่าผลคะแนนวิชาวัฒนธรรมศึกษาของเขา จะแย่ยังไง เขายังสามารถจะทำงานเป็น ‘บอดี้การ์ดชั้นหัวกะทิ’ ได้ อยู่ และมีรายได้ 2 ถึง 3 แสนต่อปีเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม หลัวเฟิงพอใจจะเป็นแค่บอดี้การ์ดเท่านั้นเหรอ?
………………….
ในตอนนั้นเอง… สูงขึ้นไปประมาณหนึ่งพันเมตรเหนือเขตอี๋อัน
อินทรีมงกุฎดำตัวสีทองขนาดใหญ่กำลังบินโฉบผ่านเหนือ ตัวเมือง ลำตัวของมันยาวร่วมยี่สิบเมตรดูไม่ผิดกับเครื่องบินรบ ขนาดใหญ่ ขนของมันวาววับดั่งเหล็กเย็น ขนที่หัวเป็นสีดำโดด เด่นดูคล้ายมงกุฎ กรงเล็บขนาดใหญ่ทั้งสองข้างเป็นสีทอง
ดวงตาสีฟ้าคมกริบคู่นั้นจ้องลงมายังเมืองมนุษย์เบื้องล่าง ซ่อน แววเพชฌฆาตอยู่เต็มเปี่ยม
“บึ้ม!”
อินทรีทองมงกุฎดำซึ่งเดิมทีบินเร็วมากอยู่แล้ว อยู่ๆ มันก็เพิ่ม ความเร็วขึ้นเท่าทวีคูณจนทะลุกำแพงเสียงในชั่วพริบตา เกิดเป็น ความเร็วที่น่าตกใจ ในขณะเดียวกันมันก็แผดเสียงก้องแหลม ออกมา คลื่นกระแทกอันน่ากลัวซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แผ่รัศมีลงมาอย่างรวดเร็ว
ณ สี่แยกถนนไป๋เถียนในเขตอี๋อัน หลัวเฟิงกำลังยืนรอไฟแดง อยู่กับเว่ยเหวิน
ทันใดนั้น….
“วี้ด!!”
เสียงร้องแหลมแสบแก้วหูก็แผดก้องขึ้น มันไม่ได้เหมือนเสียง ฟ้าผ่า เสียงฟ้าผ่าดังและน่าหนวกหูก็จริง แต่เสียงนี้มันเสียดแก้วหู ยิ่งนัก หลัวเฟิงรู้สึกแสบแก้วหู เขายู่หน้าจนเกิดรอยย่นบนหน้าผาก ผู้คนบนท้องถนนต่างก็พากันเอามือปิดหูกันจ้าละหวั่น
“เสียงนกร้องนี่นา” หลัวเฟิงอดมองขึ้นไปบนฟ้าไม่ได้
“หือ?” หลัวเฟิงประหลาดใจทันที
ภายใต้คลื่นกระแทกจนแสบแก้วหู กระจกบานใหญ่ยักษ์บน ตึกระฟ้าในถนนใกล้เคียงต่างก็เกิดรอยร้าวเสียงดังลั่นเปรี๊ยะ
กระจกจำนวนมากแตกกระจายเป็นชิ้นๆ ร่วงหล่นมาจาก ท้องฟ้านับไม่ถ้วน บ้างก็หล่นกระแทกกับทางเท้า บ้างก็ถูกผู้คน บ้างก็กระแทกเข้าไฟข้างถนน
“เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!”….
เกิดเสียงดังสนั่นลั่นไปหมด
แล้วก็มีเศษกระจกชิ้นหนึ่งหล่นใส่ล่ไฟถนนด้านข้างหลัวเฟิง
พอดี
“หวา!” เว่ยเหวินหลบฉากถอยหลังไปสองก้าวอย่างรวดเร็ว หลบเศษกระจกไปได้
แต่แล้วก็มีเศษกระจกอีกชิ้นหล่นกระแทกพื้นแล้วกระดอนพุ่ง ตรงมายังหลัวเฟิงราวกับใบมีด
“หือ?” หลัวเฟิงกวาดหางตามองไป
ทว่าก็ไม่ได้มีการหลบไปไหน เขายืนสงบนิ่งอย่างเยือกเย็น และมือขวาของเขาที่เร็วปานสายฟ้าก็คว้าแผ่นกระจกที่กำลังพุ่ง ตรงมาทางเขาเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที
เศษกระจกแผ่นนั้นสะท้อนเห็นเงาของหลัวเฟิง เขาชั่งน้ำหนัก ไปทีและโยนมันทิ้งไปแบบไม่ใส่ใจ เศษกระจกแผ่นนั้นตรงดิ่งไปยัง ถังขยะและพุ่งเข้าไปข้างในอย่างแม่นยำไม่ผิดกับอาวุธลับ
บนถนน… รถยนต์ที่ได้รับผลกระทบในตอนแรกเริ่มกลับสู่ ภาวะปกติแล้ว และผู้คนบนท้องถนนก็พากันถกเถียงกันให้วุ่น หลายคนที่โชคไม่ดีก็เจ็บตัวกันไป แต่โดยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้บาดเจ็บ อะไรกันมากนัก
“พลังอะไรเนี่ย” หลัวเฟิงมองไปบนท้องฟ้า
“พลังมหาศาลเลย ทั้งที่ร้องแค่ครั้งเดียวเท่านั้น มันจะต้องเป็น สัตว์ที่ทรงพลังมากๆ แน่ เว่ยเหวิน…นายมันกูรูเรื่องสัตว์ประหลาด ไม่ใช่เหรอ? นายรู้จักสัตว์ประหลาดชนิดนี้บ้างมั้ย?”
เว่ยเหวินหรี่ตาลง…อึดใจก็เกิดประกายวาบขึ้นในแววตาเขา
“อาเฟิง มีระบบป้องกันสูงขึ้นไป 500 เมตรเหนือเมืองนี้ สัตว์ ประหลาดตัวนี้จะต้องบินอยู่เหนือขึ้นไปกว่า 500 เมตรแน่ๆ ระยะ ทางไกลขนาดนี้ เสียงร้องของมันก็ยังมีพลังมากถึงเพียงนี้ และสัตว์ ประหลาดทั่วๆ ไปก็คงไม่กล้ามาแผดร้องอยู่เหนือเมืองมนุษย์แบบนี้ แน่!
ด้วยพลังและความอาจหาญแบบนี้ ทั้งเสียงร้องแบบนี้….ถ้าเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นไอ้ตัวสยอง ‘อินทรีมงกุฎดำ’ แน่ๆ!” เว่ยเหวินพูดเคร่งขรึม
“อินทรีมงกุฎดำ?” แววตาหลัวเฟิงเปล่งประกายวาบ
แน่ล่ะก็เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์ของอินทรีมงกุฎดำมาก่อน
“อินทรีมงกุฎดำเป็นลำดับที่สามจากสัตว์ประหลาดสายพันธุ์ อินทรี” เว่ยเหวินตาเป็นประกาย
“ตัวโตเต็มวัยของมันน่าจะยาวราวๆ 21 เมตร วงปีกสยายกว้าง ราว 36 เมตร และบินได้เร็วกึง 3.9 มัค เหนือความเร็วเสียง 3.9 เท่า ซึ่งความเร็วเสียงคือ 340 เมตรต่อวินาที ก็เท่ากับว่ามันบินได้เร็ว 1326 เมตรต่อวินาที หรือประมาณ 4774 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั่นเอง”
หลัวเฟิงรู้ดีว่าอินทรีมงกุฎดำทรงพลังมาก แต่พอเขาได้ยิน ความเร็วอันสุดขั้ว 1326 เมตรต่อวินาที เขาก็ถึงกับอึ้งไป
หนึ่งวินาที ซึ่งมันก็แค่ชั่วพริบตา เจ้านกตัวนี้ก็สามารถพุ่ง ทะยานออกไปได้ถึงหนึ่งพันเมตรทีเดียว
“ขนของเจ้าอินทรีมงกุฎดำตัวนี้แข็งยิ่งกว่าเพชรเสียอีก เผลอๆ อาจจะแข็งพอๆ กับเหล็กโครห์นระดับสามด้วยซ้ำไป” เว่ย เหวินสำทับอีกอย่างตื่นเต้น
“มีคลิปในอินเตอร์เน็ตที่อินทรีมงกุฎดำเคยปะทะกับกองทัพ ทหาร แล้วมันก็ถูกกระหน่ำยิงด้วยปืนใหญ่เทพอัคคีขนาด 20 มิลลิเมตร ปืนใหญ่เทพอัคคีสามารถรัวกระสุนได้ถึง 7000 นัดต่อ วินาที แล้วไอ้ 7000 นัดต่อวินาทีเนี่ยมันห่ากระสุนชัดๆ! และ กระสุนแต่ละนัดก็สามารถเจาะทะลุแผ่นเหล็กหนา 50 มิลลิเมตร เลยเชียวล่ะ แต่ว่า…แม้ปืนใหญ่เทพอัคคีจะสาดกระสุนออกไปสัก เท่าใดก็ไม่อาจแม้แต่จะสะกิดให้ขนของอินทรีมงกุฎดำร่วงได้เลย แม้กระเบียดเดียว
แต่หลังจากนั้น ก็มีนักสู้ลึกลับคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับ ดาบจากเหล็กโครห์นในมือ เมื่อดาบเปล่งแสงวาบขึ้นเขาก็ฟันฉับ ไปที่เจ้าอินทรีมงกุฎดำตัวนั้นขาดเป็นสองท่อนเลย!” เว่ยเหวินก ล่าวอย่างชื่นชม
หลัวเฟิงใจเต้นระทึกตามไปด้วย
วิดีโอคลิปนั้นถูกเผยแพร่ไปทุกที่ และเขาเองก็เคยดูมาแล้ว
“ฉายา ‘นักสู้’ ฉันจะต้องคว้ามาให้ได้ซักวัน….ฉันจะต้องเป็น เหมือนผู้อาวุโสท่านนั้น ผู้ที่สามารถควงดาบเข้าฟาดฟันเหล่าสัตว์ ร้ายอย่างอินทรีมงกุฎดำหรือไม่ก็เจ้ากอริลล่าปีศาจจอมพลังให้ได้” หลัวเฟิงครุ่นคิดอยู่ในใจ นั่นเป็นความฝันของเด็กหนุ่มทุกคน หลัวเฟิงก็เช่นกัน!
ตามข้อมูลในอินเตอร์เน็ต นักสู้ลึกลับที่ปราบอินทรีมงกุฎดำ ท่านนั่น คือหนึ่งในท็อปร้อยของนักสู้หัวกะทิจากทั่วโลกนั่นเอง!
“อาเฟิง อาเฟิง คิดอะไรอยู่เพื่อน? จะถึงบ้านแล้วนะ” เว่ยเหวิน ตวาดมา
ด้วยเหตุนี้ หลัวเฟิงจึงสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เขามองไปยังเขต พื้นที่ที่มีตึกรูปทรงท่อตั้งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด….ย่านเล็กๆ ของ ชายฝั่งทางตอนใต้ ที่ทางรัฐบาลจัดสรรไว้ให้เช่าแบบถูกๆ และ หลัวเฟิงก็อาศัยอยู่ที่นี่มาเป็นเวลา 18 ปีแล้ว
………………….
[1] ผู้คนเป็นหมื่นอยากจะข้ามสะพานไม้เดียวกัน หมายถึงเป็นเรื่องยุ่งยาก แรงแข่งขันสูง