ตอนที่ 105 ตำแหน่งเพียงคนเดียว
อูทงโค้งเล็กน้อยขณะที่เขากล่าวตอบ “ท่านทูต หลัวเฟิงเพิ่งออกลุยแดนเถื่อนไปกับทีมค้อนอัคคีของเขาตั้งแต่วันที่ 1 ที่ผ่านมาแล้ว พวกเขายังคงอยู่ในแดนเถื่อนและยังไม่ได้กลับมาเลยครับ”
“วันที่ 1 มีนาคมเหรอ?”
2 สุดยอดเทพสงคราม หยางฮุยและโจวเจิ้งหย่งต่างมองหน้ากันและเริ่มหัวเราะออกมา
หยางฮุยอดหัวเราะและด่าไม่ได้ “ตอนเรามาถึงนครเจียงหนานเจ้าหนูนั่นยังไม่ได้ออกไปแดนเถื่อนเลย เป็นเพราะนายแท้ๆ มือเหล็ก ถ้านายไม่มัวแต่พาฉันไป…”
ขณะที่เขากล่าว เขาก็หุบปากลงดื้อๆ และโบกมือไปทางอูทง “เอาล่ะๆ เสร็จธุระแล้ว”
“ครับ ท่านประธาน ท่านทูต” อูทงโค้งให้เล็กน้อย
ซ่า…
แสงสว่างนวลๆ ฟุ้งกระจายออกและภาพ 3 มิตินั้นก็เลือนหายไป
“เจ้าบ้าเอ๊ย เกือบหลุดปากแล้วเชียว ถ้าอูทงได้ยินล่ะก็ เขาคงจะหัวเราะเยาะเอาแน่” มือเหล็กโจวเจิ้งหย่งทำหน้าขึงขัง “โอเคๆ เลิกพูดเรื่องนั้นได้แล้ว มาพูดเรื่องหลัวเฟิงกันดีกว่า”
“เรื่องที่อูทงพูดเมื่อกี้ เขาคงไม่ได้โกหกใช่ไหม?” เทพสงครามหยางฮุยทำคิ้วขมวด
“แน่นอนร้อยเปอร์เซ็น” โจวเจิ้งหย่งกล่าวอย่างมั่นใจ “อูทงคนนั้นรู้ตัวดีว่าเขากำลังทำอะไร ยิ่งกว่านั้น หากเขากล้าโกหก ฉันก็ตรวจสอบความจริงตอนกลับไปได้อยู่ดี…ด้วยเหตุนี้ เขาจะกล้าโกหกได้ยังไง?”
“โอเค” เทพสงครามหยางฮุยพยักหน้าเล็กน้อย “เข้าใจล่ะ แต่ยังไงฉันก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดีล่ะว่าเจ้าหนูนั่นที่เพิ่งจะ 19 หยกๆ จะมีสมรรถภาพร่างกายเทียบถึงระดับแม่ทัพขั้นต้นได้ และยังสามารถสำเร็จขั้นที่ 3 ของวิชาดาบสายฟ้า 9 ขั้นได้ในเวลาเพียงแค่ครึ่งปี…ยาก ยากมากจริงๆ ดูเหมือนฉันคงจะต้องติดต่อไปทางเบื้องบนแล้วล่ะ”
โจวเจิ้งหย่งพยักหน้าเห็นด้วย “การฝึกพิเศษ สำหรับหลัวเฟิงแล้วอาจจะไม่เหมาะกับเขานัก เขาอาจจะแทบไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม ‘ค่ายเตรียมเทพสงคราม’ ด้วยซ้ำ”
ตามตำนานกล่าวว่า…
สำนักขีดสุดมีค่ายฝึกอยู่ 2 ค่ายใหญ่ๆ ค่ายหนึ่งคือ ‘ค่ายฝึกขั้นพื้นฐาน’ ส่วนอีกค่ายหนึ่งคือ ‘ค่ายฝึกหัวกะทิ’ ในค่ายฝึกขั้นพื้นฐาน นักสู้อัจฉริยะจากทั่วทั้งโลก หลังจากที่เซ็นสัญญาฝึกแล้วพวกเขาก็จะเข้ามาฝึกกันที่ค่ายนี้และได้รับการฝึกที่ดีที่สุด!
และ ‘ค่าฝึกหัวกะทิ’ ก็คือค่ายฝึกอันดับ 1 บนโลกนี้ มันยังถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ค่ายเตรียมเทพสงคราม’
บนโลกนี้ สำนักขีดสุดมีค่ายฝึกขั้นพื้นฐานและค่ายฝึกหัวกะทิ ในขณะเดียวกัน ทางสำนักสายฟ้าก็มีค่ายฝึกขั้นพื้นฐานและค่ายฝึกหัวกะทิเช่นกัน…แต่อย่างไรก็ตาม มันเทียบกับค่ายอันดับ 1 ของทางสำนักขีดสุดไม่ได้เลย! ถึงแม้ว่านักสู้ผู้แข็งแกร่งที่สุด อาจารย์หง จะไปสอนที่นั่นเป็นบางครั้งก็ตาม
อาจารย์หง ผู้ที่แม้แต่เทพสงครามยังยากที่จะเข้าพบ สอนที่นั่น ในค่ายหัวกะทินี้เอง จะมีโอกาสได้พบเขา!
“นายหมายถึงค่ายฝึกหัวกะทิงั้นเหรอ?” หยางฮุยคิ้วขมวด “แต่ว่าเขาเพิ่งจะ…งั้นฉันคงจะต้องเสนอชื่อกับทางเบื้องบนก่อนละกัน นายก็รู้นี่ว่าตำแหน่งฝึกในค่ายฝึกเนี่ยมันได้ยากสุดๆ เลยนะ”
“ได้ๆ” โจวเจิ้งหย่งพยักหน้า “ฉันเข้าใจ!”
โดยปกติ มีอัจฉริยะ 2-3 คนปรากฏตัวขึ้นในสำนักขีดสุดแห่งนครเจียงหนานในทุกๆ ปี พวกเขาจะถูกเลือกให้ไปเข้าร่วมฝึกในค่ายฝึกขั้นพื้นฐาน เมื่อครั้งที่สำนักสายฟ้าเคยพยายามจะดึงเอาตัวหลัวเฟิงไป พวกเขาก็ใช้เรื่องนี้เป็นตัวล่อ
แต่อย่างไรก็ตาม ‘ค่ายฝึกหัวกะทิ’ นั้นแตกต่างออกไป โดยปกติแล้ว จะมีบุคคลเพียงคนเดียวจากประชากร 200 ล้านคนในนครเจียงหนานที่จะถูกคัดเลือกให้เข้าร่วมฝึกกับ ‘ค่ายฝึกหัวกะทิ’ ในทุกๆ 5 ปี! และประเทศจีนก็มีนครใหญ่เพียงแค่ 6 นคร สามารถกล่าวได้เลยว่า ในประเทศจีนที่มีประชากรกว่าพันล้านคน มีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะถูกเลือกในทุกๆ ปี!
“ติดต่อผู้ตรวจการณ์” หยางฮุยออกคำสั่ง
ปี๊บ…ปี๊บ…
“ฮัลโหล!”
เสียงแหบทุ้มดังก้องไปทั่วทั้งห้องโสตทัศนะ
“ท่านผู้ตรวจการณ์!” หยางฮุยและโจวเจิ้งหย่งลุกขึ้นทันทีและแสดงอาการเคารพอย่างมาก
ผู้ตรวจการณ์! บุคคลผู้มีตำแหน่งในสำนักขีดสุดที่เป็นรองเพียงแค่ผู้ก่อตั้ง อาจารย์หง! ตามกฎของสำนักขีดสุดแล้ว…บรรดานักสู้ในสำนักขีดสุดที่กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือว่าเทพสงครามจะได้รับฉายา ‘ผู้ตรวจการณ์’ โดยปริยาย กล่าวคือผู้ตรวจการณ์ก็คือสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือเทพสงครามนั่นเอง!
“โอ้ หยางฮุย มีอะไรหรือ?” เสียงผู้ตรวจการณ์ส่งผ่านมา
“ท่านผู้ตรวจการณ์ครับ ผมมาที่เจียงหนานเพื่อทดสอบเด็กหนุ่มที่ชื่อหลัวเฟิง แต่ผมพบว่าเขาอายุเพียงแค่ 19 ปีและสมรรถภาพร่างกายของเขาก็เข้าถึงระดับแม่ทัพขั้นต้นแล้ว ยิ่งกว่านั้น เขายังฝึกวิชาดาบสายฟ้า 9 ขั้น สำเร็จถึงขั้นที่ 3 ได้ในเวลาเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น! ผมคิดว่าเขาน่าจะมีสิทธิ์ได้เข้าร่วมฝึกกับค่ายหัวกะทิครับ” หยางฮุยกล่าว
“โอ้?”
ผู้ตรวจการณ์เงียบไปอึดใจ ห้องบันเทิงก็พลอยเงียบลงไปด้วย หยางฮุยกับโจวเจิ้งหย่งก็ไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมา
“ตัวแทนของกองทัพรัฐบาลจีนเพิ่งจะมาเยือนสำนักงานใหญ่ของพวกเราเพื่อตกลงขอใช้พื้นที่ในค่ายฝึกหัวกะทิ ในปีนี้ทั้งปีค่ายน่าจะมีคิวแน่นเกือบตลอด โดยเทคนิคแล้วเราไม่สามารถเพิ่มใครเข้าไปได้ ฮึ่มม…โอเคๆ ลองให้โอกาสเจ้าหนูนั่นก็ได้ ให้เขาเข้าทดสอบบทสอบระดับ B ดูก็แล้วกัน ถ้าเขาผ่านได้ ก็ให้เขาเข้าร่วมฝึกกับค่ายหัวกะทิได้”
เสียงของผู้ตรวจการณ์ดังก้องขึ้นทั่วบริเวณห้อง
หยางฮุยโค้งรับด้วยความเคารพ
ปี๊บ… อีกฝึ่งหนึ่งกดวางสาย
หยางฮุยกับโจวเจิ้งหย่งต่างก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ… ถึงแม้ว่าเทพสงครามกับผู้เหนือเทพสงครามจะดูเหมือนห่างชั้นกันแค่ระดับเดียว แต่จริงๆ แล้วความแตกต่างนั้นมหาศาลมาก! สิ่งมีชีวิตที่เหนือเทพสงครามสามารถกวาดล้างเมืองทั้งเมืองที่มีคนนับล้านๆ ได้อย่างง่ายดาย และสามารถเจรจากับประเทศมหาอำนาจได้อย่างมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน
“บททดสอบระดับ B?” โจวเจิ้งหย่งขมวดคิ้ว “โดยปกติแล้วเป็นระดับ A ไม่ใช่หรอกหรือ?”
“มีค่ายไม่เพียงพอและในจีนก็มีคนเยอะมาก ดังนั้น อัจฉริยะคนหรือสองคนจะปรากฏตัวขึ้นมาค่อนข้างถี่ ค่ายหนึ่งถูกใช้งานโดยกองทัพรัฐบาลจีนไปแล้ว ดังนั้น ถ้ามีใครจะเข้าร่วมฝึกกับทางค่ายเพิ่มอีก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนๆ นั้นจะต้องผ่านบททดสอบที่ยากกว่าเพื่อให้ได้เข้าร่วมค่าย” หยางฮุยกล่าว
“โอเค” โจวเจิ้งหย่งพยักหน้า “โอ้ ใช่ ตระกูลหวังในนครเกียวโตก็เล็งจะส่งนักสู้หัวกะทิของพวกเขาเข้าค่ายฝึกเหมือนกันในปีหน้า รู้สึกว่าพวกเขาจะยอมจ่ายเงินถึง 50,000 ล้านเพื่อการนี้เลยล่ะ”
“ตระกูลหวังแห่งเกียวโต? ปีหน้า?” หยางฮุยขมวดคิ้ว “พันธมิตรใต้ดิน และสำนักขีดสุดร่วมมือกันแล้ว ณ ปัจจุบัน ดังนั้นพันธมิตรใต้ดินจึงรับประกันว่าจะได้ตำแหน่งฝึกค่ายในทุกๆ ปี ตระกูลหวังเป็นหนึ่งใน 9 ตระกูลใหญ่ของพันธมิตรใต้ดินไม่ใช่เหรอ? พวกเขายังขอเข้าร่วมฝึกด้วยตัวเองไม่ได้อีกเหรอ?”
“ถ้าพวกเขาเข้าค่ายเองได้ แล้วพวกเขาจะมาขอเข้าประตูหลังแบบนี้ทำไมล่ะ? ฮ่าๆๆ” โจวเจิ้งหย่งหัวเราะ “มีถึง 9 ตระกูลใหญ่ๆ ในพันธมิตรใต้ดิน เพราะงั้นจึงไม่แปลกเลยที่ตระกูลหวังไม่ได้ร่วมเข้าค่ายอย่างง่ายๆ อีกอย่าง ในการประชุมลับของพันธมิตรใต้ดินครอบครัวของพวกตะวันตกมักจะได้เปรียบกว่าอยู่แล้ว”
“เรื่องอย่างนี้มันค่อนข้างจะยากอยู่นะ” หยางฮุยส่ายศีรษะ “โดยปกติ มีเพียงผู้ตรวจการณ์เท่านั้นที่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้…5 หมื่นล้านเป็นเงินที่มหาศาลก็จริง แต่ก็ยากที่จะบอกว่ามันจะช่วยโน้มน้าวจิตใจของผู้ตรวจการณ์ได้”
“นายค่อนข้างสนิทกับท่านผู้ตรวจการณ์หลิวนี่นา เพราะงั้นตระกูลหวังเลยหวังพึ่งนายนี่แหละ” โจวเจิ้งหย่งหัวเราะ
“ลูกเขยของตระกูลหวังนี่ก็จริงๆ เลยนะ ขายเพื่อนเก่าซะแล้ว” หยางฮุยอดส่ายศีรษะไม่ได้ “มือเหล็ก ถือว่าเห็นแก่นายนะ ฉันจะลองคุยกับอาหลิวให้ก็แล้วกัน นายน่าจะรู้นะ…มีตำแหน่งฝึกเพียงไม่กี่ตำแหน่งในค่ายหัวกะทิแต่ละปี ทั่วทั้งประเทศและพวกตระกูลใหญ่ๆ ต่างก็คอยจ้องงับเอาตำแหน่งฝึกราวกับหมาป่า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะที่จะติดสินบนเรื่องนี้”
“เข้าใจแล้ว หลังจากคราวนี้ ตระกูลหวังก็คงจะไม่ลืมพระคุณเลยล่ะ” โจวเจิ้งหย่งกล่าว
ตระกูลหวัง…
ตระกูลอันดัน 1 ในประเทศจีน และเป็นหนึ่งใน 9 ตระกูลหลักของพันธมิตรใต้ดิน แต่อย่างไรก็ตาม ตระกูลนี้ก็ยังดูเล็กไปถนัดตาเมื่อเปรียบเทียบกับมหาอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างสำนักขีดสุดและสำนักสายฟ้า เพราะว่าทั้ง 2 ท่านผู้ก่อตั้งสำนักขีดสุดและสำนักสายฟ้า อาจารย์หง และเทพสายฟ้า ต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่แม้แต่ประเทศทั้งประเทศยังต้องยอมสยบให้
พวกเขาเป็นผู้ไร้เทียมทานก็ว่าได้!
“ช่วยเตรียมเครื่องเจ็ทให้ฉันที ฉันจะไปตามตัวหลัวเฟิงในแดนเถื่อน ไปรับตัวเขามาเข้าทดสอบบททดสอบระดับ B” หยางฮุยกล่าว
“ได้…เครื่องเจ็ทจะพร้อมในอีกไม่นาน แต่ถึงหลัวเฟิงจะค่อนข้างเก่ง แต่ความเป็นไปได้ที่จะผ่านบททดสอบ…” โจวเจิ้งหย่งส่ายศีรษะ
“โอ้ ใช่ ติดต่อหลัวเฟิงไปก่อนสิ ยืนยันตำแหน่งเขาก่อน” หยางฮุยกำชับ
“วางใจเถอะ เรื่องนี้ต้องให้นายบอกด้วยเหรอ?” โจวเจิ้งหย่งหัวเราะเสียงดัง
……..
ณ เมืองหมายเลข 023 ท้องฟ้ามืดมิด สายลมหนาวพัดโบกสะบัด
หลัวเฟิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในท่าทาง ห้าหัวใจสู่นภา ขณะที่กำลังฝึกฝนเทคนิคพลังพันธุกรรม พลังงานไร้รูปร่างไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาผ่านทาง 5 ช่องทาง เซลล์ทุกเซลล์ของหลัวเฟิงซึ่งหิวโหยมาเป็นเวลานาน ดูเหมือนพวกมันกำลังตื่นตัวพลางเริ่มเขมือบพลังงานที่กำลังไหลเวียนเข้ามา
เซลล์ต่างๆ เปลี่ยนพลังงานที่ไหลเวียนเข้ามาให้เป็นพลังพันธุกรรมอย่างรวดเร็ว
“ฟู่…!”
หลัวเฟิงผ่อนลมหายใจออกหลังจากที่รู้สึกว่าเซลล์ต่างๆ ทั้งในกระดูก กล้ามเนื้อ และส่วนอื่นๆ ถูกเติมเต็มแล้ว เขาลุกขึ้นและรู้สึกเหมือนมีพลังเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า
“หลัวเฟิง ฝึกเสร็จแล้วเหรอ? เร็วเข้า มาทานมื้อเย็น” เสียงเฉินกู่ในห้องรับแขกลอยมา
“มาแล้วครับ” หลัวเฟิงยิ้มพลางเดินออกไป
กลุ่มของเขากำลังนั่งรอกันอยู่ในห้องรับแขก หลัวเฟิงเข้าไปสมทบกับคนอื่นๆ พวกเขาดื่มเครื่องดื่ม กินลูกอมพลังงานสูง อีกทั้งขนมปังแผ่นและชิ้นเนื้อที่เตรียมมาด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน
“มีชิ้นส่วนสัตว์ประหลาดในกระเป๋าของพวกเราประมาณหนึ่งแล้ว ฉะนั้น อีกซัก 2 วันเราน่าจะกลับไปที่ฐานเติมเสบียงกันได้แล้ว” เกาเฟิงกล่าวก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม “ต้องขอบใจหลัวเฟิงจริงๆ เพราะเขาหาชิ้นส่วนมาได้ค่อนข้างมาก”
“ถ้าเปรียบเทียบพวกเรากับเจ้าบ้า พวกเราก็คงจะไม่ต่างอะไรกับคนแก่” เว่ยเถี่ยถอนหายใจอย่างละเหี่ย
เฉินกู่เองก็อดทอดถอนใจด้วยไม่ได้ “ฉันตะลุยแดนเถื่อนมาก็หลายสิบปีแล้ว ดูๆ แล้วฉันคงไม่อาจแกร่งกว่านี้ได้อีก หลังจากนี้ไม่นาน พลังของหลัวเฟิงก็จะต้องผลักดันให้เขาไปหาทีมใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้นอยู่ดี ฉันเองก็คงจะเตรียมเกษียณแล้วล่ะเมื่อถึงเวลานั้น”
“พวกเราเองก็คงจะเตรียมตัวเกษียณกันในอีกปีสองปีข้างหน้าเหมือนกันพี่ชาย” เว่ยเถี่ยและเว่ยชิงพยักหน้า
ทันใดนั้น อารมณ์ของทุกคนก็ดูเศร้าลงเล็กน้อย
“การเกษียณคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมน่า!” เกาเฟิงหัวเราะ “เมื่อถึงตอนนั้น ฉันอาจจะยังไปเข้าร่วมทีมใหม่กับหลัวเฟิงได้ หรือบางทีทีมใหม่นั้นอาจจะไม่ต้องการฉันก็เป็นได้ และฉันเองก็คงไม่มีทางเลือกได้แต่ต้องหาทีมใหม่ต่อไป มันเป็นอะไรที่พูดยาก…แต่ว่าไม่ว่ายังไงฉันก็ยังอยากจะสู้ไปอีกซัก 10 ปี และไม่แน่ ฉันอาจจะกลายเป็นเทพสงครามก็ได้!”
หลัวเฟิงกำลังจะพูดบ้าง แต่ทันใดนั้น…นาฬิกาของสมาชิกทั้ง 5 คนก็สั่นขึ้นพร้อมกัน
พวกเขาต่างก็ก้มมองดูที่ระบบ GPS ที่ปรากฎขึ้นบนหน้าปัดนาฬิกาของตัวเอง แผนที่บนนั้นมีจุดสีแดงปรากฏขึ้น
“สัญญาณฉุกเฉิน SOS?”
ทั้ง 5 คนมองหน้ากันไปมา
“แค่ 1,500 เมตรจากที่นี่?”
“เร็วเข้า! ไป!”
สมาชิกทั้ง 5 คนของทีมค้อนอัคคีเก็บของกันอย่างรวดเร็วและพุ่งออกไปในทันที