Skip to content

Sword of Coming 1

บทที่ 1 แมลงตื่นจากการจำศีล

ท่ามกลางแสงสนธยา ในพื้นที่เงียบสงัดแห่งหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่าตรอกหนีผิงของเมืองเล็ก มีเด็กหนุ่มร่างผอมบางผู้หนึ่งอยู่อาศัยเพียงลำพังอย่างเดียวดาย เวลานี้ มือข้างหนึ่งของเขาถือเทียนไขส่องไฟไปตามคานบ้าน ผนัง เตียงไม้ ฯลฯ ส่วนอีก มือหนึ่งถือกิ่งต้นท้อตีๆ ตบๆ ไปตามจุดต่างๆ เหล่านั้นเพื่อขับไล่พวกงูพิษหรือไม่ก็ตะขาบตามความเคยชิน ปากก็พร่ำท่องถ้อยคำโบร่ำโบราณที่บรรพบุรุษของเมืองเล็กแห่งนี้สืบทอดต่อกันมาไปด้วยว่า ‘วันที่สองเดือนสอง ไฟส่องคาน กิ่งท้อตีผนัง งูและแมลงไม่แฝงตามบ้านเรือนคน’

เด็กหนุ่มแซ่เฉิน นามผิงอัน บิดามารดาจากไปตั้งแต่เขายังเด็ก เมืองเล็กแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องการทำเครื่องปั้นดินเผา นับตั้งแต่ที่ราชวงศ์นี้สถานปนาขึ้นมา เมืองเล็กก็ต้องรับผิดชอบหน้าที่สำคัญอย่างการ ‘ตรวจสอบและเผาภาชนะสำหรับงานพระราชพิธีให้แก่ทางราชสำนัก’ จึงมักจะมีขุนนางของราชสำนักมาประจำการอยู่ที่นี่ตลอดทั้งปี เพื่อรับผิดชอบตรวจสอบดูแลเรื่องเตาเผา เด็กหนุ่มผู้ไร้ที่พึ่งกลายไปเป็นช่างทำ เครื่องปั้นนานแล้ว ตอนแรกๆ เขาทำแค่งานใช้แรงงานทั่วไป คอยติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์ผู้หนึ่งที่มีนิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิด ต้องทำงานยากลำบากมาหลายปี เพิ่งจะได้เรียนรู้เคล็ดลับในการเผาเครื่องปั้นมานิดหน่อย ผลกลับกลายเป็นว่าโชคชะตา เล่นตลก จู่ๆ เมืองเล็กแห่งนี้ก็สูญเสียยันต์คุ้มกันกายอย่างการทำเครื่องปั้นดินเผานี้ไป เพียงแค่ค่ำคืนเดียวเตาเผารูปมังกรหมอบที่ล้อมเรียงรายอยู่ทั่วเมืองเล็กหลายสิบเตา ก็ถูกทางการสั่งปิด ไฟในเตาถูกดับจนมอดสนิท

เฉินผิงอันวางกิ่งต้นท้อที่เพิ่งหักมาใหม่ลง เป่าเทียนให้ดับ เดินออกจากในห้อง มานั่งลงบนขั้นบันได เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีดวงดาวดารดาษ

จนถึงตอนนี้เด็กหนุ่มก็ยังคงจำได้อย่างชัดเจนว่า ยามเช้าตรู่ของปลายฤดูใบไม้ร่วง ปีกลาย อาจารย์แซ่เหยาที่รับตนเป็นลูกศิษย์แค่ครึ่งตัวผู้นั้นถูกคนไปพบว่านั่งหลับตาสิ้นใจอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่เล็กๆ หน้าเตาเผา

และคนที่มีฝีมือดีอย่างตาเฒ่าเหยาผู้นี้ก็นับว่าหาได้ยากยิ่งนัก

พวกช่างฝีมือของเมืองเล็กที่ทำเป็นแค่เผาเครื่องปั้นมาทั้งชีวิตทั้งไม่กล้าละเมิดกฎไปใช้เตาเผาเครื่องบรรณาการ แล้วก็ยิ่งไม่กล้านำเครื่องปั้นที่เก็บไว้ในคลังออกมา ขายให้แก่ชาวบ้านเป็นการส่วนตัว พวกเขาจึงจำต้องพากันหาทางออกอย่างอื่น เฉินผิงอันที่อายุสิบสี่ปีจึงถูกขับออกมา พอกลับมาถึงตรอกหนีผิง เขาก็ต้องกลับมาอยู่บ้านหลังเก่าผุพังที่สภาพชวนสังเวชจนแทบจะเรียกได้ว่าเหลือเพียงผนังสี่ด้าน ต่อให้เฉินผิงอันอยากจะทำตัวเป็นลูกที่ล้างผลาญพ่อแม่มากแค่ไหน เขาก็ไม่มีโอกาสให้ได้ลงมือ

ทำตัวเป็นผีเร่ร่อนลอยไปลอยมาอยู่พักใหญ่ เด็กหนุ่มก็ยังหาช่องทางหาเงิน เลี้ยงชีพไม่เจอ อาศัยเงินออมเล็กน้อยที่มีอยู่จึงพอจะประทังให้เด็กหนุ่มอิ่มท้องไป แต่ละมื้อ เมื่อหลายวันก่อนได้ยินว่าตรอกฉีหลงที่อยู่แถบนอกเมืองมีช่างตีเหล็ก ต่างถิ่นแซ่หร่วนคนหนึ่งมาอยู่อาศัย เขาป่าวประกาศว่าต้องการรับลูกศิษย์ไปช่วย ตีเหล็กเจ็ดแปดคน ไม่มีเงินค่าจ้างให้ แต่มีข้าวให้กินทุกมื้อ เฉินผิงอันรีบไปทันที หวังลองเสี่ยงโชค คาดไม่ถึงว่าชายคนนั้นเพียงแค่ปรายตามองเขาทีเดียวก็ปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง ทำงานเป็นช่างตีเหล็ก ไม่ต้องดูที่กำลังแขน แต่ดูที่หน้าตาว่าดีหรือเลวกระนั้นหรือ?

ต้องรู้ว่าถึงแม้เฉินผิงอันจะร่างผอมบาง แต่เรี่ยวแรงของเขากลับดูถูกไม่ได้ นี่คือต้นทุนทางกายที่เด็กหนุ่มฝึกฝนมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ต้องทำเครื่องปั้นดินเผา นอกจากนี้เฉินผิงอันยังติดตามอยู่ข้างกายผู้เฒ่าเหยา คอยวิ่งวุ่นไปทั่วภูเขาแม่น้ำ ลำธารในรัศมีร้อยลี้ของเมืองเล็กเพื่อทดลองชิมรสชาติของดินชนิดต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง งานเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่เคยบ่น ไม่ว่าจะเป็นงานที่ลำบากหรืองานที่สกปรกแค่ไหนก็ยินดีทำ ไม่เคยยืดเยื้ออืดอาด น่าเสียดายที่ผู้เฒ่าเหยาไม่เคยชอบ เฉินผิงอัน เขารังเกียจที่เด็กหนุ่มไม่ฉลาดเฉลียว ทึ่มทื่อไม่รู้จักพลิกแพลง เทียบกับหลิวเสี้ยนหยางศิษย์เอกของเขาไม่ติด

ก็ไม่แปลกที่ผู้เฒ่าจะลำเอียง ครูเป็นผู้ชี้ทาง ศิษย์ต้องเดินเอง ยกตัวอย่างเช่น การขึ้นรูป หลิวเสี้ยนหยางใช้เวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปีก็ได้มาตรฐานเดียวกับเฉินผิงอันที่ฝึกฝนอย่างยากลำบากมาสามปีแล้ว

แม้ว่างานฝีมือนี้อาจจะไม่ได้นำมาใช้อีกตลอดชีวิต แต่เฉินผิงอันก็ยังคงทำเหมือนในอดีต นั่นคือหลับตาลง จินตนาการว่าด้านหน้าตัวเองมีแผ่นหินและแป้นหมุนวางอยู่ ก่อนจะเริ่มฝึกขึ้นรูปเพื่อให้เคยชิน

ทุกๆ หนึ่งเค่อ (สิบห้านาที) ที่ผ่านพ้นไป เด็กหนุ่มจะพักครู่หนึ่ง สะบัดข้อมือแล้วทำต่อเหมือนเป็นวงจรที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งเรี่ยวแรงทั้งหมดในกาย หายสิ้น เฉินผิงอันถึงได้ลุกขึ้นยืน สาวเท้าเดินเล่นในลานบ้านพลางยืดเส้นยืดสายไปด้วย ไม่เคยมีใครสอนวิธีพวกนี้ให้แก่เฉินผิงอัน นี่คือเคล็ดลับที่เขาคิดขึ้นมามั่วๆ ด้วยตัวเอง

ยามที่เสียงต่างๆ เงียบลง เฉินผิงอันพลันได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันเสียดหู เขาจึงหยุดเท้า แล้วก็เป็นดังคาด พอหันไปมองก็เห็นคนวัยเดียวกันกำลังนั่งยองอยู่ บนกำแพง แสยะปากมองเขาด้วยสีหน้าเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบัง

คนผู้นี้คือเพื่อนบ้านเก่าแก่ของเฉินผิงอัน ว่ากันว่าเขาคือลูกนอกสมรสของ อดีตใต้เท้าผู้ตรวจการงานเตาเผาคนก่อน ใต้เท้าคนนั้นเกรงคำครหา กลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงาน สุดท้ายจึงเดินทางกลับไปรายงานผลปฏิบัติการที่เมืองหลวงเพียงลำพัง แล้วยกลูกชายให้กับขุนนางที่มารับช่วงตำแหน่งต่อซึ่งมีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีต่อกันให้ช่วยดูแล ตอนนี้อยู่ดีๆ เมืองเล็กแห่งนี้ก็สูญเสียสิทธิ์ในการสร้างเครื่องปั้นดินเผาไป ใต้เท้าผู้ตรวจการที่รับผิดชอบดูแลเตาเผาของราชสำนักยังแทบจะเอาตัวเองไม่รอด แล้วจะมีเวลามาสนใจลูกนอกสมรสกับเพื่อนร่วมงานเสียที่ไหน ดังนั้นหลังจากทิ้งเงินไว้ให้ส่วนหนึ่ง เขาก็รีบเผ่นกลับเมืองหลวงเพื่อเตรียมผูกมิตรกับผู้อื่นต่อไป

ทว่าชีวิตของเด็กหนุ่มข้างบ้านที่กลายมาเป็นลูกกำพร้าโดยไม่รู้ตัวกลับยังคง สุขสบาย วันๆ เอาแต่พาสาวใช้ประจำตัวเดินเตร็ดเตร่เข้านอกออกในเมืองเล็ก ต่อให้ว่างงานไม่มีอะไรทำอยู่เป็นปีๆ ก็ไม่เคยต้องกลัดกลุ้มเรื่องเงินทองไม่มีใช้

กำแพงดินที่ล้อมบ้านของคนในตรอกหนีผิงค่อนข้างต่ำ อันที่จริงเด็กหนุ่ม ข้างบ้านผู้นี้ไม่จำเป็นต้องเขย่งปลายเท้าก็สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลานบ้านฝั่งนี้ได้อย่างชัดเจน แต่ทุกครั้งที่พูดคุยกับเฉินผิงอัน เขาจะชอบปีนขึ้นมา นั่งยองอยู่บนกำแพงเสียทุกครั้ง

เมื่อเทียบกับชื่อเฉินผิงอันที่ฟังดูธรรมดาตื้นเขินแล้ว ชื่อของเด็กหนุ่มข้างบ้านนับว่าสูงสง่ากว่ามากนัก เขามีนามว่าซ่งจี๋ซิน ขนาดสาวใช้ที่รับใช้ใกล้ชิดข้างกายเขาก็ยังมีชื่อเรียกที่สุภาพไพเราะว่า จื้อกุย

ตอนนี้ดรุณีน้อยยืนอยู่ข้างกำแพง นางมีดวงตาเหมือนผลซิ่ง (เมล็ดอัลมอนด์) สายตาขลาดเขลาขี้กลัว

มีเสียงหนึ่งตะโกนดังมาจากข้างประตูหน้าบ้าน “สาวใช้คนนี้ของเจ้า ขายหรือไม่?”

ซ่งจี๋ซินอึ้งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะหันหน้าไปมองที่มาของเสียง แล้วจึงเห็นเด็กหนุ่มสวมชุดผ้าแพรงดงามยืนอมยิ้มอยู่นอกลานบ้าน เป็นใบหน้าที่แปลกตาอย่างสิ้นเชิงข้างกายของเด็กหนุ่มชุดแพรมีผู้เฒ่าเรือนกายสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ ใบหน้าของเขาขาวซีด แต่สีหน้าดูอ่อนโยน กำลังหรี่ตามองประเมินหนุ่มสาวที่อยู่บ้านติดกัน

สายตาของผู้เฒ่ากวาดผ่านเฉินผิงอันไปอย่างไม่คิดจะหยุดชะงัก แต่เมื่อมอง ไปยังซ่งจี๋ซินและสาวใช้ผู้นั้นกลับหยุดจ้องครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะค่อยๆ สยายกว้างขึ้น

ซ่งจี๋ซินปรายตามอง “ขายสิ! ทำไมจะไม่ขาย!”

เด็กหนุ่มผู้นั้นอมยิ้มน้อยๆ “งั้นเจ้าบอกราคามาเลย”

สาวน้อยเบิกตากว้างด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ดูคล้ายกวางสาวที่ตื่นตระหนก

ซ่งจี๋ซินกลอกตาขึ้นสูง ยื่นนิ้วหนึ่งออกมาตรงหน้าแล้วส่ายไปมา “เงินขาว หนึ่งหมื่นตำลึง!”

เด็กหนุ่มชุดแพรพยักหน้ารับด้วยสีหน้าปกติ “ตกลง”

ซ่งจี๋ซินเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ล้อเล่นจึงรีบเปลี่ยนคำพูด “ทองคำสองหมื่นตำลึงต่างหาก!”

มุมปากเด็กหนุ่มชุดแพรตวัดโค้งขึ้น “ล้อเจ้าเล่นหรอกน่า”

สีหน้าของซ่งจี๋ซินมืดทะมึนทันที

เด็กหนุ่มชุดแพรไม่ได้สนใจซ่งจี๋ซินอีก แต่ย้ายสายตามามองเฉินผิงอัน “วันนี้โชคดี ที่ได้เจ้า ข้าถึงซื้อปลาหลี (ปลาคาร์ฟ) ตัวนั้นไปได้ พอซื้อกลับไป ข้ายิ่งมองมันก็ยิ่งถูกใจ คิดไว้แล้วว่าจะต้องมาพบเจ้าเพื่อขอบคุณสักครั้งให้ได้ ดังนั้นจึงให้ท่านปู่อู๋พาข้าเร่งเดินทางข้ามวันข้ามคืนมาพบเจ้า”

เขาโยนถุงเงินปักดิ้นหนักอึ้งถุงหนึ่งไปให้แก่เฉินผิงอัน ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส “นี่คือค่าตอบแทน เจ้าและข้าถือว่าหายกันแล้ว”

เฉินผิงอันคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เด็กหนุ่มชุดแพรหรูหรากลับหมุนกายเดินจากไปแล้ว

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว

ตอนกลางวันตนได้พบกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่งถือข้องใส่ปลาเดินอยู่บนถนนใหญ่โดยบังเอิญ ชายผู้นั้นจับปลาหลีสีทองตัวยาวเท่าฝ่ามือมาได้ตัวหนึ่ง มันกระโดดอยู่ ในข้องไม้ไผ่อย่างรุนแรง เฉินผิงอันเพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้สึกชอบมันมากๆ จึงเอ่ยปากถามว่าจะขอซื้อมันด้วยเงินสิบอีแปะได้หรือไม่ เดิมทีชายวัยกลางคนก็แค่จับปลามากินฉลองกับตัวเอง แต่พอเห็นว่ามีช่องทางได้ผลประโยชน์ก็ถึงกับนั่งลง ตั้งราคา แถมยังตั้งราคาแพงมาก หากไม่จ่ายสามสิบอีแปะจะไม่ขายเด็ดขาด เฉินผิงอันที่ถุงเงินแฟบแบนมีเงินมากมายขนาดนั้นเสียที่ไหน แต่กระนั้นก็ยังตัดใจจากปลาหลีสีทองอร่ามตัวนั้นไม่ลง จึงตื๊อขอชายวัยกลางคนไม่เลิก พยายามจะหั่นราคา ให้เหลือสิบห้าอีแปะ หรือจะยี่สิบอีแปะก็ยังสู้ และขณะที่ชายวัยกลางคนเริ่มเกิดความลังเลนั้นเอง เด็กหนุ่มสวมชุดแพรกับผู้เฒ่าสูงใหญ่ก็ผ่านทางมาพอดี พอมาถึงพวกเขาก็ใช้เงินห้าสิบอีแปะซื้อปลาหลีพร้อมข้องใส่ปลาไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง เฉินผิงอันจึงได้แต่มองพวกเขาเดินจากไปตาปริบๆ ด้วยความจนใจ

จ้องเขม็งไปยังแผ่นหลังของปู่หลานคู่นั้นที่เริ่มเดินจากไปไกลทุกขณะ ซ่งจี๋ซินที่พอดึงเอาสายตาแค้นเคืองกลับมาได้แล้วก็กระโดดลงจากกำแพง เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงพูดกับเฉินผิงอันว่า “เจ้ายังจำงูสี่ขา (คำเรียกอีกอย่างหนึ่งของจิ้งเหลน) ตัวที่เข้ามาบ้านข้าตอนเดือนหนึ่งได้ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

มีหรือจะจำไม่ได้ ต้องเรียกว่าจำได้ชัดเจนเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวานเลยทีเดียว

ตามประเพณีที่สืบทอดกันมานานหลายร้อยปีของเมืองเล็กแห่งนี้ หากมี สัตว์ประเภทเลื้อยคลานเข้ามาในบ้าน ถือเป็นลางดี เจ้าของบ้านห้ามขับไล่หรือฆ่าทิ้งเด็ดขาด เมื่อวันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง ขณะที่ซ่งจี๋ซินกำลังนั่งอาบแสงอาทิตย์อยู่บน ธรณีประตู มีงูสี่ขาตัวหนึ่งคลานผ่านหน้าเขาเข้าไปในบ้าน ซ่งจี๋ซินรีบคว้าหางมันไว้แล้วโยนเข้าไปในลานบ้าน คาดไม่ถึงว่ายิ่งโดนจู่โจม งูสี่ขาที่โดนจับโยนหลายครั้งจนสภาพกระเซอะกระเซิงตัวนั้นจะยิ่งกล้าหาญมากขึ้นเรื่อยๆ หลายครั้งเข้าก็ทำเอา ซ่งจี๋ซินที่ไม่เคยเชื่อเรื่องภูตผีโกรธจนควันออกหู

ด้วยความเดือดดาลเขาจึงโยนมันเข้าไปในลานบ้านของเฉินผิงอัน คาดไม่ถึงว่า วันต่อมาซ่งจี๋ซินจะเห็นงูสี่ขาตัวนั้นนอนขดตัวอยู่ใต้เตียงของตัวเอง

ซ่งจี๋ซินรู้สึกถึงแรงกระตุกตรงชายแขนเสื้อตัวเองจากดรุณีน้อย

เด็กหนุ่มและดรุณีน้อยรู้ใจกันเป็นอย่างดี เขาจึงกลืนคำพูดที่มารออยู่ตรงปากกลับลงคอไปอีกครั้ง ที่เขาอยากจะพูดก็คือ เมื่อไม่นานมานี้ตรงหน้าผากของ งูสี่ขาหน้าตาน่าเกลียดตัวนั้นปูดนูนขึ้นมาเหมือนจะมีเขางอกอย่างไรอย่างนั้น

ทว่าตอนนี้ซ่งจี๋ซินกลับเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “เดือนหน้าข้าและจื้อกุยจะต้องไปจากที่นี่”

เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งที “เดินทางปลอดภัย”

ซ่งจี๋ซินกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งจริงใจกึ่งเสแสร้ง “มีของบางอย่างที่ข้าขนย้ายไปด้วยไม่ได้ เจ้าห้ามฉวยโอกาสที่บ้านข้าไม่มีใครอยู่เข้าไปขโมยของเสียล่ะ”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

จู่ๆ ซ่งจี๋ซินก็หัวเราะร่าเสียงดัง ก่อนจะชี้หน้าเฉินผิงอัน พูดหน้าเป็นว่า “ขี้ขลาดเหมือนหนู มิน่าเล่าถึงได้เกิดมายากจนข้นแค้น อย่าว่าแต่ชาตินี้ที่ต้องตกยากถูก คนรังแกเลย ไม่แน่ว่าชาติหน้าก็อาจหนีไม่พ้นชะตากรรมเช่นนี้”

เฉินผิงอันนิ่งเงียบไม่โต้ตอบ

ต่างคนต่างกลับบ้านของใครของมัน เฉินผิงอันปิดประตูลง เดินไปทอดตัวลงบนเตียงไม้แข็งทื่อ เด็กหนุ่มผู้ยากจนหลับตาลง ปากพึมพำเบาๆ ว่า “ซุ่ยซุ่ยผิง ซุ่ยซุ่ยอัน ซุ่ยซุ่ยผิงอัน ซุ่ยซุ่ยผิงอัน[1]…”

………………

[1] ผิงอันคือชื่อของตัวละครเอกที่แปลว่าปลอดภัย สงบสุข ซุ่ยซุ่ยผิงอันแปลว่าอยู่เย็นเป็นสุขในทุกๆ ปี ทว่าซุ่ยซุ่ยในที่นี้แบ่งออกเป็นสองคำที่อ่านเหมือนกัน ซุ่ยซุ่ยคำแรกเขียนว่า 碎碎 แปลว่าแตก หากทำของแตกในวันปีใหม่ชาวจีนนิยมพูดว่า ซุ่ยซุ่ยผิงอัน (碎碎平安) เพื่อถือเคล็ดว่าจะเป็นการแตกเพื่อความสงบสุข ส่วนซุ่ยซุ่ยอีกคำเขียนว่า 岁岁 แปลว่าอายุ ขวบปี ซุ่ยซุ่ยผิงอัน (岁岁平安) ที่เขียนเช่นนี้จะแปลว่าสุขสวัสดี ร่มเย็นเป็นสุขในทุกๆ ปี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version