Skip to content

Sword of Coming 116

บทที่ 116 ในโลกมนุษย์มีซิ่วไฉเฒ่าอยู่คนหนึ่ง (กลาง)

หลวนจวี้จื่อเหลือบตามองผู้เฒ่าสวมกวานสูงที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของฮ่องเต้ต้าหลี ฝ่ายหลังรีบลุกขึ้นยืนทันทีแล้วเริ่มร่ายใช้เวทอภินิหารหยินหยางของตระกูลลู่ อำพรางฟ้าดิน ทำให้คนอื่นไม่อาจใช้กระแสจิตหรือเวทอาคมมาตรวจสอบสถานที่แห่งนี้ได้ง่ายๆ

แล้วหลวนจวี้จื่อถึงได้เอ่ยด้วยถ้อยคำที่เหมือนว่าหากไม่น่าตะลึงพอจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ “มีความเป็นไปได้มากว่าหายนะครั้งนี้คือหลุมพรางที่ ‘สำนักอื่น’ ขุดเอาไว้ อย่างน้อยก็ต้องคอยช่วยผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างลับๆ ไม่แน่ว่าการที่อาเหลียงปรากฎตัวโดยบังเอิญขนาดนี้ก็อาจเป็นเพราะมีคนส่งข่าวให้เขาอย่างลับๆ พอดีกับที่ฉีจิ้งชุนจากโลกนี้ไปได้ไม่นาน อาเหลียงก็บุกมาสังหารถึงต้าหลี ในบรรดาเมธีร้อยสำนักต้องมีคนที่ไม่คาดหวังให้สำนักโม่สายที่อยู่เบื้องหลังของหลวนฉางเหย่และสำนักหยินหยางสายที่มีตระกูลลู่เป็นตัวแทนช่วยให้ต้าหลีฮุบกลืนตลอดทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีปได้อย่างราบรื่นเป็นแน่!”

ฮ่องเต้ต้าหลีคลายหมัด ยกมือลูบซีกแก้ม สีหน้ำเย็นชา เอ่ยเสียงหยัน “ช่างเป็นสงครามใหญ่ที่พันปีไม่เคยพานพบ สมกับเป็นกลียุควุ่นวายซะจริง!”

หลวนจวี้จื่อเอ่ยเตือนเสียงเบา “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็ยิ่งไม่ควรท้อถอย”

ชายสวมชุดคลุมมังกรได้ยินประโยคนี้ก็ยิ้ม ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ ข้าไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่! สิบปีก็ดี สิบห้าปีก็ช่าง เรื่องที่ยังทำได้มีอีกไม่น้อย! หวนนึกถึงกษัตริย์แต่ละรุ่นของต้าหลีที่ต้องแบกรับความอัปยศอดสูจากคนทั้งแจกันสมบัติทวีป อาการบาดเจ็บภายในเพียงเล็กน้อยแค่นี้ของข้า ไม่อาจนับเป็นอะไรได้”

แม้ปากจะพูดให้ฟังดูผ่อนคลาย แต่บุรุษก็จำต้องฝืนข่มกลั้นเลือดสดที่พุ่งทะลักขึ้นมาในลำคอ ก้มหน้าลงใช้นิ้วนวดคลึงลำคอ เผยสีหน้าดุร้ายและเจ็บแค้น สีหน้าดุร้ายนั้นดำรงอยู่อย่างยาวนาน แต่เพียงครู่เดียวความเจ็บแค้นก็สลายไปสิ้น ถึงท้ายที่สุดก็หลงเหลือเพียงแค่ความจนใจเท่านั้น

ที่แท้ก่อนหน้าที่ชายผู้นั้นจะบินขึ้นไปบนฟ้าได้ใช้เวทลับไร้เทียมทานแอบตัดขั้วหัวใจของฮ่องเต้ต้าหลีอย่างเงียบเชียบ ทำให้สะพานแห่งความเป็นอมตะของเขาพังทลายลง ผู้ฝึกตนชั้นสิบที่อำพรางตนมิดชิดซึ่งเดิมทีมีพลังชีวิตเปี่ยมล้นคนหนึ่ง ตอนนี้กลับอ่อนแอจนน่าเวทนา

ไม่เพียงเท่านี้ หอป๋ายอวี้จิงยังคงดำรงอยู่ ทว่ากระบี่บินสิบสองเล่มไม่เพียงแต่พังทลายไปครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออีกหกเล่มก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน

พูดง่ายๆ ก็คือ หอป๋ายอวี้จิงที่มีพลังสังหารรุนแรงไร้ทัดเทียม ตอนนี้กลับเหลือเพียงเปลือกที่กลวงโบ๋ กลายเป็นหมอนปักลายดอกไม้ที่ได้แต่ข่มขู่ผู้คน ทว่าคิดจะสังหารนักพรตห้าขอบเขตบนกลับเป็นเพียงฝันกลางวันของคนปัญญาอ่อนเท่านั้น

ซ่งจี๋ซินที่ก่อนหน้านี้เสียกิริยาเดินมาหยุดตรงหน้าคนทั้งสามด้วยอารมณ์ที่สงบลงแล้ว แต่กระนั้นก็ยังซักไซ้ไม่เลิก “หลวนจวี้จื่อ อาจารย์ลู่ บอกข้าได้ไหมว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ทำไมข้าถึงสัมผัสถึงกระบี่บินไม่ได้แม้แต่เล่มด้วย?”

หอป๋ายอวี้จิงสิบสองชั้น กระบี่บินสิบสองเล่ม

ควันธูป เสาเอก สยบขุนเขา ภูเขาห้วงอรรณพ กิ่งท้อ เมฆาอัสนี สายฟ้าม่วง คัมภีร์ สันสกฤต จิตยิ่งใหญ่ นงคราญ ลายเมฆ

กระบี่บินสิบสองเล่มที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเงินทุนครึ่งหนึ่งของประเทศล้วนเป็นอาวุธสำคัญสยบแคว้นสมชื่อของราชวงศ์ต้าหลี

ควันธูปกระบี่บินหนึ่งในหกเล่มได้ถูกทำลายไปพร้อมกับกายธรรมร่างทองขององค์เทพทั้งหกของต้าหลีแล้ว

ตามหลักแล้วในเมื่อเทพภูเขาและแม่น้ำอีกหกองค์ที่หลีกทางให้ ไม่ได้เข้าร่วมกับการต่อต้านศัตรู ต่อให้เวลานี้กระบี่บินอีกหกเล่มไม่ได้ย้อนกลับเข้ามาในหอป๋ายอวี้จิงของเมืองหลวง แต่ก็ไม่มีทางหายไปอย่างไร้วี่แววเหมือนว่าวที่สายป่านขาด ทำให้การเชื่อมโยงทางจิตของซ่งจี๋ซินองค์ชายผู้เป็นเจ้าของกระบี่ทั้งสิบสองเล่มขาดออกเช่นนี้

หลวนจวี้จื่อหันกลับไปมองหอสูงป๋ายอวี้จิงที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้งแล้วถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เอ่ยด้วยถ้อยคำที่เป็นการเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ “กระบี่บินหกเล่มถูกคนผู้นั้นแย่งไปหมดระหว่างทางที่บินมาแล้ว แม้เขาจะไม่ได้นำขึ้นฟ้าไปด้วย แต่ก็น่าจะถูกเขาทิ้งไว้ในสถานที่บางแห่งที่ไม่มีใครรู้จัก ตอนนี้คงหาไม่เจอแน่ และต่อให้หาเจอก็ไม่แน่เสมอไปว่าพวกเราจะใช้งานพวกมันได้อีกครั้งหรือไม่?”

จะอย่างไรซะซ่งจี๋ซินก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ภายในค่ำคืนเดียวก็เปลี่ยนจากบุตรนอกสมรสตรอกหนีผิงมาเป็นองค์ชายของราชวงศ์อันดับต้นๆ ของบุรพแจกันสมบัติทวีป มาถึงเมืองหลวงอย่างมึนๆ งงๆ ก็ถูกพามาที่นี่ จากนั้นก็ต้องเผชิญกับความลำบากยากแค้นกว่าจะได้รับการยอมรับจากกระบี่บินทั้งสิบสองเล่ม กว่าจะเงยหน้าอ้าปาก สามารถหยัดเอวยืนตัวตรงอยู่ต่อหน้าชายสารเลวผู้นั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คิดไม่ถึงว่ามาถึงท้ายที่สุดกลับกลายเป็นความว่างเปล่าเหมือนใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำน่ะหรือ?

ดังนั้นหลังจากฟังถ้อยคำที่เป็นดั่งฝันร้ายจบ เด็กหนุ่มก็น้ำตาไหลพรากทันที เขากัดปากแน่น บนใบหน้ายังมีคราบเลือดที่เช็ดไม่สะอาดหลงเหลืออยู่

หลวนจวี้จื่อเองก็ไม่รู้ว่าควรจะโน้มน้าวปลอบใจเด็กหนุ่มอย่างไร

อันที่จริงผู้เฒ่าที่ผจญกับความยากลำบากมามากผู้นี้ก็ยังเคว้งคว้างไม่อยากเชื่อ เหมือนอยู่กันคนละโลก

สำนักโม่ซึ่งรวมถึงสายของจอมยุทธ์พเนจรนี้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของบรรพบุรุษผู้เป็นอริยะจวี้จื่อคนแรก หนึ่งในนั้นก็คือประคับประคองช่วยเหลือคนอ่อนแอและประเทศที่อ่อนแอไม่ให้ถูกผู้แข็งแกร่งกว่ารังแก

แต่พอมาถึงหลวนฉางเหย่ เขาเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของแต่ละราชวงศ์แต่ละยุคสมัยมาก่อน เคยเดินทางผ่านภูเขาลำธารและแว่นแคว้นมากมายนับไม่ถ้วน ได้เห็นมากับตาและได้ยินมากับหูตัวเอง สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปหนึ่งว่า หากเอาแต่ช่วยเหลือคนอ่อนแอ คอยชดเชยส่วนที่ขาดและบกพร่องอยู่ตลอดเวลาย่อมไม่มีประโยชน์ กลียุคร้อยปี กลุ่มวีรบุรุษทยอยกันช่วงชิงอำนาจ ผู้ที่ประคับประคองประเทศอ่อนแอให้ต่อต้านราชวงศ์แข็งแกร่งที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้พิชิต สุดท้ายคนที่ตายมักจะมากกว่าจำนวนคนบาดเจ็บล้มตายเวลาที่ราชวงศ์แข็งแกร่งต้องการรวบรวมประเภทให้เป็นหนึ่งเดียว

ดังนั้นหลวนฉางเหย่จึงจำเป็นต้องหาราชวงศ์หนึ่งที่เหมาะสม กษัตริย์คนหนึ่งที่เหมาะสมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของตัวเอง

สุดท้ายเขาก็พบซ่งเจิ้งฉุนฮ่องเต้ต้าหลี อีกทั้งเขายังไม่เคยผิดหวัง ต่อให้เรื่องล้อมจับอาเหลียงจะทำให้ต้าหลีที่เป็นประเทศเจริญรุ่งเรืองดุจดวงตะวันกลางฟ้าได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง แต่หลวนฉางเหย่ไม่เคยรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นความผิดพลาด หากจะผิดก็ผิดที่คนคำนวณไม่สู้ “ฟ้าลิขิต” เท่านั้น ต่อให้เมื่อเปรียบเทียบกับแผนการของพวกพี่ใหญ่บางคนที่อยู่เบื้องหลังแล้ว หลวนฉางเหย่ต้องยอมรับว่าตัวเองสู้ไม่ได้ แต่เขาก็ยังอยากจะเดิมพัน เดิมพันหมดหน้าตัก เมื่อชนะก็ได้บุกยึดใต้หล้าอย่างที่ใครก็ไม่อาจขัดขวาง!

ฮ่องเต้ต้าหลีเอ่ยยิ้มๆ “พวกเจ้าสองคนช่วยไปดูหน่อยได้หรือไม่ว่าในหอป๋ายอวี้จิงมีช่องโหว่อะไรหรือไม่ หากไอ้หมอนั่นทิ้งลูกไม้เอาไว้ ข้าก็คงเอาหัวโหม่งตายจริงๆ แน่ พอดีกับที่ข้าและซ่งมู่จะได้คุยกันตามลำพังด้วย แต่บอกไว้ก่อนนะว่า พวกเจ้าทั้งสองห้ามแอบฟัง พวกเราสองพ่อลูกจะคุยเรื่องในครอบครัวกันสักหน่อย หวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจ”

ผู้เฒ่าทั้งสองรีบลุกขึ้นยืน คนหนึ่งยิ้มบอกว่าไม่ทำอย่างนั้นแน่ คนหนึ่งบอกว่ามิกล้า

ฮ่องเต้ต้าหลีเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความดื้อดึง ตบบันไดข้างกายตน จากนั้นก็แอบบีบหยกประดับที่ห้อยตรงเอวให้แตกออกอย่างเงียบเชียบ แล้วกล่าวเสียงหนัก “นั่งลงพูดกัน นับแต่ตอนนี้ไปข้าคือซ่งเจิ้งฉุนบิดาของเจ้า เจ้าคือซ่งมู่บุตรชายของข้า…เรียกเจ้าว่าซ่งจี๋ซินเหมือนเดิมก็แล้วกัน สืบทอดท่อนฟืนเชื้อเพลิง สั่งสมรวบรวมทีละนิด เป็นลางที่ดีอย่างมาก แม้ว่าชื่อที่ซ่งอวี้จางตั้งนี้จะฟังดูบ้านๆ ไปบ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดถึงความตั้งใจ”

เด็กหนุ่มยอมนั่งลงข้างกายบุรุษแต่โดยดี

ฮ่องเต้ต้าหลีทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังก่อนหนึ่งประโยค “ไม่พูดไม่ได้ว่า สกุลเกาแห่งต้าสุยโชคดียิ่งนัก อีกอย่างก็คือปากอีกาของเด็กน้อยอย่างเจ้านี้เหม็นจริงๆ”

เวลาที่คนทั้งสองอยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัว เด็กหนุ่มกลับรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุขนัก

ต่อให้ภายนอกจะแสดงออกว่าไม่กลัวชายผู้นี้มากแค่ไหน แต่ซ่งจี๋ซินดูจากท่าทีของซ่งจ่างจิ้งอาของตน จากสาวใช้จื้อกุยและจากอาจารย์เฒ่าทั้งสองท่านก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังในการควบคุมที่บุรุษผู้นี้มีต่อราชวงศ์ต้าหลี ความใจกว้างและเอื่อยเนือยเป็นเพียงภาพลักษณ์ที่แสดงให้เห็นจากแค่ภายนอกเท่านั้น เพราะอันที่จริงแล้วในกระดูกของเขาแทบจะเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและหยิ่งทระนงในตัวเอง ค่อนข้างเหมือนท่าทีที่มือดาบที่ชื่อว่าอาเหลียงคนนั้นมีต่อบุรพแจกันสมบัติทวีป มีต่อใต้หล้าทั้งผืน

บุรุษยิ้มบางๆ “ในเมื่อกระบี่บินที่เหลืออีกหกเล่มซึ่งบินออกไปจากหอเรือนไม่ได้กลับมาก็แสดงว่าหายไปหมดแล้ว ไม่มีแล้วก็คือไม่มีแล้ว ไม่ถึงขั้นที่ฟ้าจะถล่มลงมา”

ซ่งจี๋ซินบังเกิดโทสะขึ้นมาทันใด “ไม่มีแล้วก็คือไม่มีแล้ว?! ทำไมท่านถึงพูดง่ายขนาดนี้! หลวนจวี้จื่อและอาจารย์ลู่ต่างก็เคยอธิบายให้ข้าฟังว่า กระบี่บินทั้งสิบสองเล่มนี้เป็นตัวแทนที่ต้าหลีมีต่อทิศทางการเดินไปของสถานการณ์ทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีป มีบางอย่างที่ไม่อาจเอ่ยได้…”

เพียงแต่ว่าไม่นานเด็กหนุ่มก็หมดความกล้าที่จะพดูดต่อ

และหลังจากนั้นซ่งจี๋ซินก็คืนสติ ผู้ที่สร้างป๋ายอวี้จิงและกระบี่บิน ไม่ใช่ตน แต่เป็นบุรุษที่ “ยอมรับชะตากรรม” ข้างๆ ผู้นี้ต่างหาก

บุรุษมองไปยังสันหลังคาของตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งที่ห่างไปไกล ด้านบนมีรูปปั้นสัตว์เรียงรายกันตามลำดับ เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “สำหรับกษัตริย์ของประเทศหนึ่งแล้ว ห้ามกลัวปัญหาใหญ่เทียมฟ้า หลังจากที่เกิดปัญหาขึ้น ขอแค่สามารถแก้ไขได้ก็หมายความว่าทั้งเจ้าและราชวงศ์ต่างก็แข็งแกร่งมากขึ้น หากไม่อาจแก้ไข ก็หมายความว่าความสามารถในการจัดการกับบ้านเมืองของเจ้ายังไม่มากพอ”

“ตอนนี้มีธรณีประตูขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาอย่างไม่ให้คนได้ทันตั้งตัว ข้าและต้าหลีต่างก็ยังไม่อาจข้ามผ่านมันไปได้ น่าเสียดายอย่างมาก แต่ข้าไม่เสียใจ ประโยคนี้เป็นความจริง ไม่ได้โกหกเจ้า”

ให้ตายอย่างไรซ่งจี๋ซินก็ไม่อาจเข้าใจได้ จึงเอ่ยถาม “ทำไมล่ะ?”

สายตาของชายสวมชุดคลุมคมปลาบ ไม่เหลือความจนใจและทอดอาลัยอย่างก่อนหน้านี้อีกแม้แต่นิดเดียว เขายื่นนิ้วชี้ไปทางหลังคาของตำหนักใหญ่แห่งนั้น “เพราะนี่ยิ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่านโยบายของต้าหลีที่ข้าตั้งขึ้นมากับมือตัวเองนั้น ถูกต้องแล้ว!”

“คนบนภูเขา บนเส้นทางของการฝึกบำเพ็ญตน ไม่ว่าจะดีหรือเลว ล้วนจำเป็นต้องถูกกักขังอยู่ในกรงแห่งหนึ่ง! พวกเขาที่เป็นเทพเซียนแสวงหาในชีวิตอมตะ ต้าหลีไม่มีทางยื่นมือเข้าก้าวก่าย ถึงขั้นที่ว่ายังยินดีให้ความช่วยเหลือ อยากเห็นพวกเขาทำสำเร็จด้วยซ้ำ แต่ราชวงศ์แห่งหนึ่งจำเป็นต้องมีเส้นบรรทัดฐานเป็นของตัวเอง อย่างน้อยก็ให้คนบนภูเขาเหล่านั้นทำอะไรอยู่ในกฎเกณฑ์และมีขอบเขต ไม่อาจทำทุกอย่างได้สมใจปรารถนาง่ายๆ ไม่อาจเคลื่อนย้ายภูเขาและแม่น้ำในราชวงศ์บนโลกมนุษย์ได้ตามความชื่นชอบของตน เพราะเพียงแค่การต่อสู้กันอย่างไม่ใส่ใจของเทพเซียน คนที่บาดเจ็บล้มตายมากที่สุดและน่าสังเวชที่สุดกลับเป็นชาวบ้านธรรมดาของราชวงศ์ที่ในมือไม่มีอาวุธแม้แต่ชิ้นเดียว หากจะให้ชาวบ้านธรรมดาทุกคนในเขตการปกครองของต้าหลียินยอมเคารพกราบไหว้เทพเซียน ต้องไม่ได้มาจากแค่ความหวาดกลัวอย่างเดียวเท่านั้น ต่อให้เป็นชาวบ้านร้านตลาดชั้นที่ต่ำที่สุด หากต้องมาตายไปอย่างอยุติธรรมเพราะการตีกันของเทพเซียน เมื่อถึงเวลานั้นต้าหลีของเราก็มีความมั่นใจและความสามารถที่จะทวงคืนความยุติธรรมให้กับชาวบ้านที่เป็นเพียงมดตัวเล็กๆ ในสายตาของเทพเซียนให้จงได้!”

ซ่งจี๋ซินถูกทำให้ตกตะลึงจนตะลึงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เขาอ้าปากกว้าง พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

บุรุษชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้วแล้วประกบแทบจะติดกัน เอ่ยยิ้มๆ “ตอนนี้ความยุติธรรมที่ต้าหลีของพวกเราสามารถทวงคืนกลับมาได้มีน้อยมาก แค่เท่านี้เอง ทว่าเมื่อเทียบกับราชวงศ์อื่นๆ ของบุรพแจกันสมบัติทวีป ประเทศและราชวงศ์ที่ยินยอมเป็นทาสรับใช้พวกเทพเซียนบนภูเขาเหล่านั้นแล้ว พวกเราก็เรียกได้ว่าแตกต่างราวฟ้ากับเหว”

บุรุษสะบัดข้อมืออย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็กำมือเป็นหมัดแน่นแล้วชูขึ้นสูงไปทางหลังคาตำหนักแห่งนั้นคล้ายกำลังสำแดงบารมีให้ใครดู “ข้าหวังด้วยใจจริงว่าในอนาคตต้าหลีจะสามารถทวงคืนความยุติธรรมกลับมาได้มากเท่านี้ หรือมากยิ่งกว่านี้!”

ซ่งจี๋ซินฟังจนบื้อใบ้ไปแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มรู้สสึกว่าชายข้างกายตัวเองกลายเป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อ ไม่ได้ดูไร้ชีวิตเหมือนบัลลังก์มังกรหรือชุดคลุมมังกรตัวนั้นอีกต่อไป

ชายสวมชุดคลุมหันหน้ากลับไปถาม “รู้หรือไม่ว่าประโยคไหนของอาเหลียงผู้นั้นทำให้ข้าโมโหที่สุด?”

ซ่งจี๋ซินปลุกระดมความกล้าแล้วตอบว่า “ประโยคที่เขาบอกให้ท่านออกมาโขกหัวยอมรับผิด?”

บุรุษหัวเราะเสียงดัง ส่ายหน้า “ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าของแผ่นดินต้าหลี ข้ายืนตายได้ แต่จะไม่ยอมคุกเข่ามีชีวิตอยู่เด็ดขาด หากแม้แต่ข้อนี้ก็ยังทำไม่ได้ ต้าหลียังจะคิดกรีฑาทัพลงใต้ ฮุบกลืนตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปอีกหรือ? คนเราหลอกตัวเองเพราะสวรรค์กลั่นแกล้ง คนเราแข็งแกร่งเพราะสวรรค์ประทานพลังให้ ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรจำประโยคนี้ไว้ อีกอย่างก็คือคำที่พวกเทพเซียนทั้งหลายพร่ำพูดว่าแจกันสมบัติทวีปของพวกเราเป็นทวีปที่เล็กที่สุดในใต้หล้า แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพื้นที่ของทวีปหนึ่งกว้างใหญ่มากแค่ไหน? เจ้าลองพลิกหนังสือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับใต้หล้าแห่งนี้เล่มไหนดูก็ได้ แล้วจะรู้ว่ามีใครเคยได้เป็นนายแห่งหนึ่งทวีปอย่างแท้จริงหรือไม่?”

สีหน้าซ่งจี๋ซินเด็ดเดี่ยว พยักหน้ารับ “คนเราแข็งแกร่งเพราะสวรรค์ประทานพลังให้ ข้าจำไว้แล้ว”

บุรุษกล่าวด้วยความเสียใจเล็กน้อย “ประโยคที่ทำให้ข้าโกรธอย่างแท้จริงก็คือ เขาบอกว่าต้าหลีไม่มีใครที่สู้ได้สักคน ไม่มีเลยสักคนเดียว ข้าค่อยๆ เดินทีละก้าวจนกลายมาเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่สิบ สำหรับบุรพแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้นับว่าร้ายกาจมากแล้ว ซ่งจ่างจิ้งอาของเจ้าก็ยิ่งเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตที่สิบ แต่ผลล่ะกลับเป็นอย่างไร? ในสายตาของคนอื่น พวกเรายังถือเป็นคนประเภท ‘สู้ไม่เป็น’ ก็แค่อาศัยโชคช่วย นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่…ข้ารอดมาได้”

“หากวันนี้ข้าเป็นขอบเขตสิบสอง ทำให้ไอ้หมอนั่นรู้สึกว่าข้ามีพลังมากพอที่จะต่อสู้กับเขา เกรงว่าเขาคงสังหารข้าในดาบเดียวเลยกระมัง”

จู่ๆ บุรุษก็หัวเราะเสียงดังอย่างไร้สาเหตุ มอบความรู้สึกของผู้กล้าถึงคราวไม้ใกล้ฝั่งให้แก่ผู้คน

ประโยคไหนซ่งจี๋ซินดันไม่พูด ดันพูดว่า “ดาบเดียว?”

บุรุษพยักหน้า “มั่นใจได้เลยว่าแค่ดาบเดียวข้าก็ตายแล้ว ไอ้หมอนั่นคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสามขั้นสูงสุด เพราะเป็นผู้ฝึกกระบี่ ถึงได้ไม่มีเหตุผลขนาดนั้นอย่างไรล่ะ”

ใบหน้าซ่งจี๋ซินเต็มไปด้วยอาการคิดไม่ตก เผยอปากหลายครั้ง แต่ก็กลืนคำพูดกลับไปทุกครั้ง ราวกับว่ามีคำถามหนึ่งที่กวนใจ แต่กลับไม่สะดวกจะเอ่ยออกมา

บุรุษเอนตัวไปด้านหลัง ข้อศอกสองข้างยันพื้น แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยท่วงท่าผ่อนคลายเช่นนี้ “เจ้าอยากถามใช่ไหมว่าทำไมถึงไม่ฆ่าพวกเราก่อนแล้วค่อยบินขึ้นไปยังสถานที่แห่งนั้นที่คนในโลกไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด?”

ซ่งจี๋ซินใช้หลังมือเช็ดซีกแก้มด้านข้างของตัวเองอย่างแรง อืมรับหนึ่งที

บุรุษกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก่อนหน้าที่จะบอกคำตอบแก่เจ้า จะบอกข่าวร้ายอย่างหนึ่งให้เจ้ารู้ก่อน ตำนานเล่าลือกันว่าบุคคลยิ่งใหญ่ที่ฝ่าทะลุขอบเขตสิบสามไปแล้วสามารถกลับลงมาใหม่ได้อีกครั้ง กลับมายังโลกมนุษย์ที่อยู่ใต้ฟ้าของพวกเรา แม้ว่าจำนวนครั้งจะน้อยมากๆ แต่จะอย่างไรวะก็เคยมีตัวอย่างปรากฏขึ้นมาก่อน เมธีร้อยสำนัก ตระกูลใหญ่มีอายุยาวนานนับพันปีต่างก็จงใจเลือกจะปิดเป็นความลับด้วยวัตถุประสงค์บางอย่าง

ความคิดของซ่งจี๋ซินเฉียบไว สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด

บุรุษทอดถอนใจ “ดังนั้นถึงได้บอกว่าเส้นทางสายนี้ที่ต้าหลีของพวกเราเลือกยังอีกยาวไกล ความรับผิดชอบหนักหน่วงความยากลำบากย่อมเนิ่นนาน เจ้าอย่าได้ท้อใจไป”

สุดท้ายบุรุษชี้ไปยังมุมใดมุมหนึ่งของวังหลวง กล่าวยิ้มๆ ว่า “มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกมารดาเขาสอนมาเองกับมือ ในอดีตไม่ว่าให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมไปเรียนที่สำนักศึกษาซานหยา ส่วนข้าก็คร้านจะสนใจ เจ้าเด็กน้อยผู้นี้มีนิสัยน่าสนใจมาก หากข้างทางมีหมาร้องขู่จะกัดเขา ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เด็กหนุ่มก็จะต้องฆ่าหมาตัวนั้นทิ้งแล้วเอาเนื้อมันมาตุ๋นกิน ไม่แน่ว่าอาจจะยังตามหาญาติโกโหติกาของหมาตัวนั้นออกมาฆ่าทิ้งให้หมดด้วยถึงจะสาแก่ใจ แล้วเจ้าล่ะ? ซ่งจี๋ซิน?”

ซ่งจี๋ซินกล่าวอย่างไม่ลังเล “ข้าก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน!”

บุรุษพยักหน้ารับ “ตอนยังเด็กข้าเองก็เคยเป็นแบบนี้ แต่พอนั่งบนบัลลังก์มังกรแล้วนิสัยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะจู่ๆ วันหนึ่งข้าก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา”

บุรุษหันหน้ากลับมายิ้มให้ “แต่ตอนที่ยังเป็นหนุ่มแล้วมีนิสัยแบบนี้ ถือเป็นเรื่องดี มุ่งหน้าอย่างองอาจกล้าหาญ ฉายประกายแสงแห่งความคมกริบ ใครเคารพข้าหนึ่งฉื่อ ข้าเคารพเขาหนึ่งจั้ง ใครรังแกข้าหนึ่งครั้ง ข้ารังแกเขาทั้งชาติ ชายชาตรีต้องเป็นอย่างนี้!”

ซ่งจี๋ซินเอ่ยเสียงเบา “ข้ายังนึกว่าท่านจะรู้สึกผิดหวังอย่างมาก”

บุรุษตบไหล่ของเขา “ไม่ผิดหวัง หากว่าเจ้าอายุยังน้อยแล้วไม่มีความสามารถที่เป็นจริงเป็นจังอะไร แต่เรียนรู้ที่จะอ่านสีหน้าท่าทางของข้า จากนั้นก็พูดด้วยถ้อยคำงดงาม หรือเสนอวิธีการที่ดีแต่เปลือกเหมือนที่พวกขุนนางในราชสำนักชอบทำเวลาคาดเดาใจข้า นั่นต่างหากถึงจะทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”

ซ่งจี๋ซินโน้มตัวไปด้านหน้า วางมือทั้งคู่บนหัวเข่า ทาบคางไว้บนหลังมือ “แต่ข้ารู้จักคนคนหนึ่งที่อาจจะเลือกทำในสิ่งที่ต่างจากนี้”

บุรุษนั่งตัวตรง ยื่นมือไปลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม “เชื่อสายตาข้าเถอะ ไอ้หมอนั่นจดจำความแค้นได้ดียิ่งกว่าใครทั้งนั้น เขาก็แค่ลำบากมามากตั้งแต่เด็ก อายุยังน้อยก็รู้จักที่จะเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึก หากคนแบบนี้กลายเป็นศัตรูเมื่อไหร่ นั่นต่างหากถึงจะเป็นภัยร้ายไม่จบสิ้นอย่างแท้จริง ดังนั้นข้าถึงได้เลือกที่จะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งกับเรื่องการสังหารของศาลาคลื่นมรกต”

“แต่เจ้าวางใจเถอะ เขาไม่เคยเห็นเจ้าเป็นศัตรู โดยเฉพาะหลังจากที่เจ้าอาศัยสัญชาตญาณของตัวเองทำเรื่องเล็กสองเรื่องที่มองดูเหมือนไม่มีสาระนั่น เขาก็ยิ่งไม่คิดเช่นนั้นเข้าไปใหญ่”

ใบหน้าของซ่งจี๋ซินแดงก่ำ

ชายสวมชุดคลุมมังกรกล่าวอีกว่า “แต่หากวันใดเจ้ากลายเป็นฮ่องเต้ต้าหลี นั่นก็พูดยากแล้ว”

“ฉวยโอกาสที่คนผู้นั้นเพิ่งจะบินขึ้นฟ้า ไม่มีทางย้อนกลับมาโลกมนุษย์ในเวลาสั้นๆ นี้ พวกเราควรถอนรากถอนโคนเสียให้สิ้นซากในคราวเดียว กำจัดคำว่า ‘ถ้าหาก’ นี้เสียแต่เนิ่นๆ”

หลังจากที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ซ่งจี๋ซินเพิ่งจะพูดหลุดปากก็พลันเสียใจภายหลัง ปฏิเสธความคิดตัวเองโดยการพึมพำเบาๆ ว่า “ไม่ได้ หากคนผู้นั้นกลับมาในภายหลัง ต้าหลีต้องสิ้นชาติจริงๆ แน่”

บุรุษอารมณ์ดีทันใด กล่าวปลอบใจว่า “รู้สึกว่าปัญหาข้อนี้ไม่อาจแก้ไขใช่หรือไม่? ไม่เป็นไร นั่นก็แค่เพราะว่าตำแหน่งของเจ้าซ่งจี๋ซินยังไม่สูงพอเท่านั้น”

ซ่งจี๋ซินหงุดหงิดเล็กน้อย ได้แต่ปลอบใจตัวเองอยู่ในใจเงียบๆ ว่า คนเราแข็งแกร่งเพราะสวรรค์ประทานพลังให้

บุรุษเอ่ยยิ้มๆ “ชั่วชีวิตหนึ่งของคนเราจำเป็นต้องมีมิตรหรือศัตรูสักคนสองคนอยู่ ถึงจะน่าสนใจ ข้ามีมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว เจ้าเองก็เหมือนกัน”

เงียบไปครู่หนึ่ง ซ่งจี๋ซินก็กล่าวอย่างคลางแคลงใจว่า “ท่านยังไม่ได้ตอบคำถาม”

“ค่อยๆ คิดไปเองเถอะ ข้ายังไม่ได้นิสัยดีถึงขนาดที่ถูกคนโจมตีเกือบตายแล้วยังสะกิดเปิดบาดแผลของตัวเองขึ้นมาอีก ใช่แล้ว กลายเป็นเจ้าของหอป๋ายอวี้จิงมีแต่ผลประโยชน์ ไม่มีผลเสีย เรื่องนี้ข้าหลอกแม่เจ้า เชื่อว่าหลังจากที่เจ้าสูญเสียการควบคุมกระบี่บินไปแล้วจะรู้ว่าข้าไม่ได้โกหกเจ้า ส่วนความหมายที่ซุกซ่อนอยู่ในนี้ เจ้าลองใคร่ครวญเองให้ดี ไม่ว่าเรื่องอะไรคิดให้เยอะหน่อยย่อมดีเอง”

บุรุษที่เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์เพิ่งจะขยับก้นลุกขึ้นเตรียมจะจากไป แต่กลับนั่งลงไปดังเดิม แล้วจับฝ่ามือของเด็กหนุ่มขึ้นมาพลางหัวเราะ “ข้าจะดูลายมือให้เจ้า ข้าพอจะมีความรู้อยู่บ้าง แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ วันนี้จะเอามาลองดูกับมือเจ้าแล้วกัน”

เด็กหนุ่มส่งมือไปอย่างมึนงง

บุรุษดูลายมือกลางฝ่ามือของเด็กหนุ่มพลางกล่าวไปเรื่อยเปื่อยว่า “อีกสิบปีหรือสิบห้าปีให้หลัง เจ้าสามารถสนิทสนมกับซ่งจ่างจิ้งอาของเจ้าได้ดังเดิม แต่ห้ามเกิดใจคิดพึ่งพาเด็ดขาด ส่วนจะถามว่าควรใช้วิธีใดทำให้ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์คนนี้ยอมศิโรราบต่อเจ้าที่เป็นเด็กรุ่นหลังทั้งกายและใจ ก็อย่าหวังเลยจะดีว่า น้องชายของข้าคนนี้น่ะ แม้แต่ใจทะเยอทะยานของตัวเองเขายังคร้านจะปิดบัง ต่อให้ข้าที่เป็นพี่ชายซึ่งข่มเขามาตั้งแต่เด็กๆ ก็ยังไม่กล้าวางท่าว่าอยากจะปราบสัตว์ร้ายจอมพยศอย่างเขา”

“ไม่ว่าเคียดแค้นใคร แต่ก่อนหน้าที่เจ้ายังไม่เติบโตอย่างแท้จริง สามารถคิดแก้แค้นอยู่ในใจตัวเองได้ แต่ห้ามลงมือง่ายๆ เด็ดขาด”

“แต่ก็ไม่ควรเกิดความคลางแคลงใจต่อท่านอาของเจ้าเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของข้า เขาน่ะ คือวีรบุรุษผู้แกล้วกล้าอย่างแท้จริง หาไม่แล้วก็คงไม่พูดคำจากใจจริงว่า ‘บนโลกจะมีแค่ต้าหลีที่มีเป็นวีรบุรุษเพียงหนึ่งเดียวได้อย่างไร’ ออกมา ดังนั้นในอนาคตขอแค่เจ้ามีจุดที่แข็งแกร่งกว่าเขา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยอมรับในตัวเจ้าจริงๆ ก็ได้”

ครู่หนึ่งต่อมา ฮ่องเต้ต้าหลีก็หัวเราะแล้วลุกขึ้นเดินจากไป

เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น ยังคงฟุบบนเข่าของตัวเองต่อไป

ชายผู้นี้อาจพูดประโยคบางอย่างที่ฟังแล้วเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ทว่าระหว่างนี้บุรุษกลับเขียนตัวอักษรสี่คำลงบนฝ่ามือของเขาอย่างไม่กระโตกกระตาก

อายุ สาม

ระวัง

ซ่งจี๋ซินพลันเงยหน้าขึ้นตะโกนใส่แผ่นหลังของคนผู้นั้นที่ก้าวยาวๆ จากไป “ท่านพ่อ!”

บุรุษหมุนตัวหันกลับมาส่งยิ้มให้เด็กหนุ่ม สีหน้านั้นไม่เหมือนจักรพรรดิคนหนึ่งเลย เขามองเด็กหนุ่มอยู่อย่างนั้น

และปณิธานที่แท้จริงของชายผู้นี้ก็คือต้องการพูดคุยเรื่องกฎระเบียบด้านล่างภูเขากับเทพเซียนบนภูเขาทั่วหล้า สติปัญญาและกำลังของทั้งชีวิตเหมือนจะทุ่มเทหายไปหมดดั่งกระแสน้ำที่ไหลรินอย่างเงียบเชียบ

ซ่งจี๋ซินลุกขึ้นยืน ดวงตาแดงก่ำ กัดริมฝีปากจนเลือดไหล เด็กหนุ่มต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง

ทว่าบุรุษกลับหันตัวกลับไปแล้ว ทิ้งสองประโยคที่ไม่เกี่ยวข้องกันไว้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “การเดินทางพันลี้เริ่มที่ก้าวแรก วันหน้าอาหารสามมื้อต้องกินให้ตรงเวลา”

……

ซิ่วไฉเฒ่าผู้หนึ่งที่ท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทางเดินออกมาจากภูเขาฉีตุน หลังจากเดินมาถึงตีนเขาได้ในที่สุดก็จับประคองสัมภาระด้านหลังตัวเอง ประคองเอวแล้วทอดถอนใจ “เอวแก่ๆ กระดูกแก่ๆ ของข้านี้ เวรกรรม เวรรกรรมแท้ๆ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version