บทที่ 137 แบกภูเขาเงินลูกหนึ่ง
ขยับเข้าใกล้ศาลเทพอภิบาลเมือง บนถนนส่วนใหญ่จึงชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่จะมาจุดธูปกราบไหว้ สองฝากถนนมีร้านค้าแผงลอยหลากหลายสีสัน มีทั้งขายของกินขึ้นชื่อของเมืองและขายของเล่นสำหรับเด็ก เฉินผิงอันซื้อพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลให้หลี่เป่าผิงและหลี่ไหวคนละไม้ จากนั้นเด็กทั้งสองก็เริ่มแข่งกันว่าพุทราเชื่อมของใครลูกใหญ่กว่า และความเป็นจริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่าหลี่ไหวดวงดีกว่าเล็กน้อย พุทราเชื่อมของเขามีลูกใหญ่ทั้งหมดหกลูก ชนะหลี่เป่าผิงไปสี่ครั้ง จากนั้นหลี่ไหวก็เริ่มกระโดดโลดเต้น ชูพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลไม้นั้นขึ้นสูงแล้วกระโดดวนไปรอบร่างเฉินผิงอันและหลินโส่วอีหนึ่งรอบ
หลี่เป่าผิงกินพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลของตัวเองเงียบๆ จากนั้นก็แอบยื่นขาออกไป หลี่ไหวไม่ทันระวังจึงสะดุดล้มหน้าทิ่ม พุทราเชื่อมในมือกลิ้งหลุนๆ ไปไกล โชคดีที่หีบหนังสือใบเล็กยังรัดไว้ค่อนข้างแน่นหนา หลี่ไหวนั่งลงบนพื้นแล้วแผดเสียงร้องไห้อย่างร้าวรานใจ
แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงแสร้งยืดคอขึ้นมองซ้ายมองขวา เฉินผิงอันที่ทั้งโมโหทั้งขำฟาดนางแรงๆ หนึ่งที เดินไปประคองหลี่ไหวที่ดีดขาสองข้างชักดิ้นชักงอให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงซื้อพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลให้เด็กน้อยที่เสียใจใหม่อีกหนึ่งไม้ หลี่ไหวยิ้มทั้งน้ำมูกน้ำตานองหน้า รับพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลที่สะอาดเอี่ยมไม้ใหม่ไป แล้วจึงไปเป็นพุทราเชื่อมไม้ที่เปรอะเปื้อนดินขึ้นมาถือข้างละไม้ คราวนี้หลบห่างหลี่เป่าผิงไปค่อนข้างไกล แล้วส่ายพุทราเชื่อมในมือซ้ายขวาอย่างร่าเริง
หลี่เป่าผิงค้อนขวับ “บ้องตื้น!”
เป็นเรื่องประหลาดมาก ไม่ว่าหลี่ไหวจะถูกหลี่เป่าผิงรังแกอย่างไรก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยเคียดแค้นแม่นางน้อยที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนนี้ ซ้ำยังไม่แม้แต่จะโกรธอีกฝ่าย อย่างมากสุดก็แค่น้อยใจ เสียใจอยู่กับตัวเองเท่านั้น
ข้อนี้ทั้งเฉินผิงอันและหลินโส่วอีต่างก็ไม่เข้าใจ หลินโส่วอีได้แต่อธิบายว่าเป็นเพราะวัตถุอย่างหนึ่งมักจะสยบวัตถุอีกอย่างหนึ่งได้เสมอ หลี่ไหวจึงจำเป็นต้องให้หลี่เป่าผิงจัดการ
เด็กหนุ่มชุยฉานเดินออกจากกลุ่มไปนานแล้ว เขาไปหยุดเท้าอยู่เบื้องหน้าร้านขายของจิปาถะแห่งหนึ่งแล้วก็ไม่เดินต่ออีก อวี๋ลู่คิดจะจอดรถม้ารออีกฝ่าย แต่เด็กหนุ่มชุดขาวกลับไม่รับน้ำใจ เพียงโบกมือให้อวี๋ลู่ตามพวกเฉินผิงอันไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองอีกฝ่าย เขามองซ้ายมองขวากวาดตาดูนั่นนี่ด้วยความรังเกียจเล็กน้อย แล้วก็ทำท่าจะจากไป ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ
เจ้าของร้านคือชายหนุ่มสีหน้าเกียจคร้านคนหนึ่ง เดิมทีมีลูกค้าที่เดินทางมากราบไหว้ศาลแวะเข้ามาถามราคาสินค้าในร้าน เขาไม่สนใจจะตอบ กิจการจึงยิ่งซบเซา พอเห็นราศีคนมีเงินของเด็กหนุ่มชุดขาวคล้ายเป็นลูกหลานชนชั้นสูงของในเมือง โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่มีท่าทีจะสนใจสินค้าในร้าน เขาก็พลันหน้าเปลี่ยนสี รีบลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน ค้อมตัวสาธยายว่าวัตถุเก่าแก่หลายสิบชิ้นพวกนี้ล้วนเป็นสมบัติที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของทางร้าน อย่างน้อยมีอายุนานถึงสองสามร้อยปีแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ตระกูลพบเจอกับความยากลำบากครั้งใหญ่ ร้อนเงินอย่างมาก หาไม่แล้วตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางเอาออกมาขาย
แค่มองดูก็รู้ว่าร่างกายของชายหนุ่มผู้นี้ทรุดโทรมด้วยสุรานารี เมื่อเห็นว่าไม่ว่าตนจะพูดชักจูงอย่างไรเด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ยอมอ้าปากพูด ชายหนุ่มจึงนั่งแปะกลับไปบนม้านั่งดังเดิม เขาหรือจะกล้าบังคับให้อีกฝ่ายซื้อ นายท่านนายน้อยที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ของเมือง มีคนใดบ้างที่ไม่ใช่แค่ถ่มน้ำลายก็ทำให้พวกเขาจมน้ำลายตายได้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังได้ยินมาด้วยว่าในจวนของคนเหล่านี้ แต่ละปีล้วนต้องมีเซียนบนภูเขาเดินเข้าออก ทุกครั้งต้องเปิดประตูใหญ่ต้อนรับอย่างอลังการ ดูเกินจริงยิ่งกว่าเวลาฉลองเทศกาลปีใหม่เสียอีก อีกทั้งยังจุดประทัดดังสนั่นไปยันชั้นฟ้า คงอยากจะให้คนทั้งเมืองรับรู้กันถ้วนทั่วว่าตระกูลพวกเขาได้ต้อนรับแขกสูงศักดิ์อย่างเทพเซียนเข้าประตูบ้าน
จู่ๆ เด็กหนุ่มชุยฉานก็ถามขึ้นว่า “ของบนโต๊ะนี้ทั้งหมด สิบตำลึงเงินพอหรือไม่?”
ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างแรง กล่าวด้วยสีหน้าห่อเหี่ยวว่า “คุณชายท่านนี้ ไม่ใช่ว่าข้าน้อยโลภมากคิดขูดรีดท่าน สมบัติจากบรรพบุรุษเหล่านี้ล้วนเป็นของดีที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นของตระกูลข้าน้อยจริงๆ ในทำเนียบตระกูลของข้าบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าบรรพบุรุษเคยเป็นพระอาจารย์น้อยของรัชทายาทราชวงศ์จี๋ชิ่งแคว้นโฮ่วสู่ด้วย ของที่บรรพบุรุษที่เป็นเช่นนี้ทิ้งเอาไว้ ต่อให้ขายชิ้นล่ะเจ็ดสิบแปดสิบตำลึงเงินก็ไม่มากเกินไปกระมัง?”
ใบหน้าของชายหนุ่มแดงงปลั่ง หยิบรูปปั้นคนที่ทำจากแก้วยาวประมาณครึ่งชุ่นขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เสียดายก็แต่สีสันของมันหม่นหมอง รูปลักษณ์ภายนอกไม่ถือว่าสวยงามนัก ชายหนุ่มโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยแล้วยื่นมันส่งให้กับเด็กหนุ่มชุดขาวอย่างระมัดระวัง “คุณชาย ท่านลองดูสาวงามกระจกแก้วชิ้นดีๆ นี้ หากสายตาดีหน่อยจะมองเห็นชัดเจนแม้แต่ขนคิ้วของมัน รวมไปถึงรอยยับย่นบนสาบเสื้อ เรียกได้ว่าละเอียดอ่อนอย่างเห็นได้ชัด ถอยไปพูดหมื่นก้าว วัตถุกระจกแก้วที่หายากระดับนี้ ต่อให้คุณภาพของแก้วจะไม่ได้สูงมาก แต่สาวงามร่างแก้วชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ขายสามสี่ตำลึงก็ไม่ถือว่าไร้คุณธรรมหรอกกระมัง? บวกกับสมบัติน้อยใหญ่ชิ้นอื่นๆ ราคาสิบตำลึงที่คุณชายเสนอมาจึงน้อยเกินไปจริงๆ คุณชายท่านโปรดเห็นใจเพิ่มราคาให้อีกสักหน่อยจะได้ไหม?”
เด็กหนุ่มชุยฉานนิ่งคิดหน้าเคร่งอยู่ชั่วครู่ “ถ้าอย่างนั้นก็สิบเอ็ดตำลึง?”
ชายหนุ่มเกือบจะสำลักลมหายใจตาย เขายืนอึ้งไปไก่ไม้ มองเด็กหนุ่มชุดขาวที่ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเทพเซียนด้วยสายตาเลื่อนลอย สุดท้ายจึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “คุณชายท่านอย่าได้ล้อข้าเล่นอีกเลย”
เด็กหนุ่มชุยฉานหัวเราะร่าเสียงดัง “รู้จักเงินลายเกล็ดหิมะหรือไม่?”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างมึนงง ยิ้มจืดเจื่อน “ย่อมต้องรู้จักอยู่แล้ว ยุคของบิดาข้าน้อยตระกูลพวกเราก็ถือว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยรุ่งเริง ถนนที่อยู่ติดกับถนนใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมืองก็มีร้านหลายสิบร้านที่เคยเป็นกิจการของครอบครัวข้าน้อย”
ชุยฉานหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ตบลงบนโต๊ะ “เงินทางการต้าหลียี่สิบตำลึง เมื่อเอามาคิดเป็นเงินชั้นเลวของแคว้นหวงถิงพวกเจ้า จะอย่างไรก็น่าจะได้ถึงยี่สิบห้าตำลึง แถมยังเหลือด้วยซ้ำ แค่นี้พอจะซื้อของผุๆ พังๆ บนโต๊ะนี่ทั้งหมดได้หรือยัง?”
ชายหนุ่มที่ขโมยสมบัติเหล่านี้ของตระกูลออกมาขายตั้งราคาต้นทุนในใจไว้ประมาณยี่สิบตำลึงเงิน พอเห็นเงินจำนวนนี้จึงยิ้มหน้าบาน รีบหยิบเงินก้อนนั้นมากำไว้ในมือแน่น ลองชั่งน้ำหนักเงียบๆ จากนั้นชายเล็บกรีดลงไปเบาๆ ไม่ผิดแน่ เป็นเงินทองคำขาวคุณภาพเยี่ยมอย่างแท้จริง ด้วยกลัวว่าเด็กหนุ่มจะเปลี่ยนใจ หลังจากเก็บซ่อนเงินก้อนอย่างดีแล้ว สองมือก็รีบยื่นไปจับชายผ้าที่ห้อยอยู่ตรงขอบโต๊ะ ตลบขึ้นมาห่อสองสามทีก็กลายเป็นห่อผ้าหนึ่งใบ ของด้านในกระทบกันดังเคร้งคร้าง หลังจากมัดเป็นปมแน่นแล้วก็ผลักไปด้านหน้าเด็กหนุ่ม ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง “คุณชายท่านนี้ ทั้งหมดเป็นของท่านแล้ว”
เด็กหนุ่มชุยฉานหิ้วห่อผ้าขึ้นมา เอ่ยหยอกเย้า “หากขายของปลอมให้ข้า ข้าจะกลับมาเล่นงานเจ้า เอาให้เจ้าต้องกินมันลงท้องจนครบทุกชิ้นเลยทีเดียว”
ชายหนุ่มยิ้มประจบ “ข้าน้อยคือคนซื่อสัตย์ที่ขึ้นชื่อของเมืองเรา ทำการค้าไม่เคยรังแกหลอกลวงลูกค้า คุณชายวางใจได้เต็มร้อย รับรองว่าการซื้อขายครั้งนี้คุณชายมีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน”
เด็กหนุ่มชุยฉานหิ้วห่อผ้าไว้ในมือข้างหนึ่ง สาวเท้าเร็วๆ ไล่ตามพวกเฉินผิงอันที่มุ่งหน้าไปทางศาลเทพอภิบาลเมือง พอขยับเข้ามาใกล้รถม้าก็โยนห่อผ้าให้เซี่ยเซี่ยอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นจึงมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ชี้ไปยังหลังคาสะดุดตาของศาลเทพอภิบาลเมืองที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลพลางเอ่ยแนะนำ “เล่าลือกันว่าในช่วงปลายรัชสมัยของแคว้นซีสู่ ศาลเทพอภิบาลเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นหวงถิงแห่งนี้ได้ปกครองเทพอภิบาลเมืองของหลายทวีป ดังนั้นกระเบื้องแก้วสีเขียวที่นำมาทำเป็นหลังคาจึงมีมาตรฐานสูงมาก ศาลเทพอภิบาลเมืองทั่วไปไม่มีทางกล้าใช้กระเบื้องที่มีราคาแพงขนาดนี้ ที่ตั้งเดิมไม่ใช่ที่นี่ แต่พอเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ สกุลหงเป็นผู้ปกครองประเทศถึงได้ย้ายมาสร้างตรงสถานที่ปัจจุบันนี้ อันที่จริงที่ตั้งเดิมของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ไม่เลว มีบ่อน้ำเก่าอยู่แห่งหนึ่ง เป็นบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้ถูกสำนักบนภูเขาแห่งหนึ่งของแคว้นหวงถิงเปลี่ยนมาเป็นโรงเตี๊ยมที่ไว้ใช้รับรองผู้ฝึกตนและคนจากตระกูลสูงศักดิ์ในราชสำนักโดยเฉพาะ ปราณวิญญาณที่ลอยออกมาจากบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ช่วยในการฝึกตน สถานที่เช่นนี้เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขาก็ได้แต่ปรารถนา แต่ไม่อาจได้มาครอบครอง”
เฉินผิงอันถาม “แพงหรือไม่?”
ชุยฉานคิดแล้วก็ตอบว่า “สำหรับเจ้าแล้วแพงหูฉี่เลยล่ะ”
เฉินผิงอันปรายตามองหลินโส่วอีที่กำลังจ้องนิ่งไปยังรูปปั้นสัตว์ตรงชายคาที่โค้งงอนของศาลเทพอภิบาลเมือง ถามเบาๆ “แพงแค่ไหน?”
ชุยฉานตอบยิ้มๆ “หนึ่งคนหนึ่งคืน อย่างน้อยก็ต้องร้อยตำลึงเงินกระมัง ห้องที่อยู่ติดกับลานกว้างซึ่งใกล้บ่อน้ำนั่นมากที่สุด คาดว่าน่าจะราคาพุ่งสูงอีกเกินเท่าตัว”
ในฐานะที่เป็นราชครูต้าหลี สายลับส่วนหนึ่งแห่งราชวงศ์ที่ชุยฉานได้ครอบครองในอดีตมีไว้เพื่อใช้กับกองกำลังบนภูเขาที่อยู่ในต้าหลีและแคว้นรอบๆ โดยเฉพาะ อย่างเรื่องภายในไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ หรือประวัติศาสตร์การวิวัฒนาการของศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองในแคว้นหวงถิงแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในเนื้อหาของรายลับที่จำเป็นต้องอ่าน ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงรู้รายละเอียดของราคาโรงเตี๊ยมอันเป็นสถานที่ตั้งเดิมของศาลเทพอภิบาลเมืองนั้น ก็เพียงแค่เพราะราชครูชุยฉานใช้อำนาจของตัวเองสืบหาเพื่อฆ่าเวลาว่างที่น่าเบื่อหน่ายเท่านั้น อีกทั้งไม่แน่ว่าเวลาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวังหลวงก็อาจจะนำไปเป็นหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจระหว่างกษัตริย์และขุนนางก็ยังได้
เฉินผิงอันกดเสียงต่ำถาม “หากข้ามีเหรียญแก่นทองอยู่หนึ่งเหรียญ หากเอาไปแลกเป็นเงินจะได้กี่ตำลึง?”
เด็กหนุ่มชุดขาวยื่นนิ้วชี้ไปยังศาลเทพอภิบาลเมืองที่ขยับเข้ามาใกล้ทุกที ไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร?”
ชุยฉานเอ่ยยิ้มๆ “ความหมายของข้าก็คือมีค่ามากเท่ากับภูเขาเงินลูกนี้”
เฉินผิงอันอ้าปากค้าง มองศาลเทพอภิบาลเมืองที่เป็นสิ่งปลูกสร้างทอดยาวกินอาณาบริเวณกว้างขวางแล้วแอบยื่นมือไปจับประคองตะกร้าไม้ไผ่ด้านหลังตัวเอง
เมื่อเด็กหนุ่มรองเท้าแตะค้นพบว่าตัวเองแบกภูเขาเงินไว้ลูกหนึ่ง เขาก็พลันรู้สึกหนักขึ้นมาเล็กน้อย
ชุยฉานเห็นรายละเอียดเล็กน้อยนี้อยู่ในสายตา แต่กลับไม่กระโตกกระตาก
เฉินผิงอันลังเลอยู่พักใหญ่ ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปในศาลเทพอภิบาลเมืองก็หยุดเท้าแล้วเอ่ยว่า “ชุยตงซาน ข้าขอยืมเงินเจ้าหน่อยได้ไหม?”
ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มชุดขาวจะรอประโยคนี้ของเฉินผิงอันอยู่นานแล้ว เขาสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ พยักหน้ารับยิ้มตาหยี “ได้แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าจะมองข้าเป็นกุมารร้อยสมบัติเลยก็ได้ ต้องการเงินก็มีเงิน ต้องการสมบัติอาคมก็มีสมบัติอาคม มีเพียงสิ่งที่เจ้าคิดไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าต้องการแล้วไม่ได้ครอบครอง”
เฉินผิงอันตัดสินใจเด็ดขาด พูดช้าๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้พวกเราไปนอนที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น ไม่ว่าต้องอยู่นานเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เจ้าเป็นคนออกก่อนชั่วคราว หลังจบเรื่องเจ้าก็บอกจำนวนเงินกับข้า ดอกเบี้ยเจ้าคิดมาได้เลย วันหน้าเมื่อกลับไปถึงอำเภอหลงเฉวียน ข้าจะคืนให้เจ้าครบทั้งต้นทั้งดอก ตกลงไหม?”
ชุยฉานยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วยกขึ้นโบก “ดอกเบี้ยก็ช่างเถอะ ถึงเวลานั้นเจ้าคืนแค่เงินต้นให้ข้าก็พอ ให้ความสะดวกคนอื่น ตัวเองก็สะดวกสบายไปด้วยอย่างไรล่ะ”
และเวลานี้เอง หลี่ไหวที่พุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลในมือเหลืออยู่ครึ่งไม้ก็พลันย่อตัวลงนั่งยอง เบิกตากว้างจ้องมองไปยังรองเท้าหุ้มเข่าของเด็กหนุ่มชุดขาว
ที่แท้ด้านบนรองเท้าหุ้มเข่าของชุยฉานก็มีตั๊กแตนน้อยลำตัวเป็นสีขาวหิมะตลอดร่างตัวหนึ่งยืนอยู่ พอถูกหลี่ไหวจับจ้องไม่ละสายตา ตั๊กแตนประหลาดที่เดิมทีกำลังไต่สูงขึ้นไปบนชุดคลุมก็พลันทำตัวแข็งไม่กระดุกกระดิก หลี่ไหวมองสัตว์ตัวน้อยนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น กำลังจะยื่นมือไปจับมัน ตั๊กแตนน้อยสีเงินยวงพลันตกใจไม่กล้าแกล้งตายอีกต่อไป แต่รีบกระโดดเด้งอย่างว่องไว ขาหน้าเกี่ยวเส้นด้ายบางถี่นอกชุดคลุมของชุยฉานเอาไว้แน่นแล้วเผ่นพรวดขึ้นไปถึงช่วงเอวของชุยฉานอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกระโดดดึ๋งหนึ่งทีก็ไปเกาะอยู่ใต้ชายแขนเสื้อ ร่างแกว่งไกวเบาๆ
เด็กหนุ่มชุดขาวยังคงแย้มยิ้มเป็นปกติ ใช้สองนิ้วคีบจับตั๊กแตนแล้วกำมันไว้กลางฝ่ามือหลวมๆ ก่อนจับยัดเข้าไปในชายแขนเสื้อฝั่งซ้ายมือ
ภาพเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าเดิมพลันปรากฏขึ้น ตั๊กแตนสีขาวหิมะที่มีชีวิตชีวาตัวนั้นกลับเป็นเหมือนเกล็ดหิมะที่ละลายอยู่กลางฝ่ามือของเด็กหนุ่ม พริบตาเดียวก็กลายมาเป็นก้อนเงินก้อนหนึ่ง เพียงแต่ว่าเงินก้อนนี้กลับยังสามารถเคลื่อนไหวกระดุบกระดิบได้
หลังจากเก็บเงินก้อนหรือจะพูดให้ถูกคือตั๊กแตนตัวนั้นไว้ในชายแขนเสื้อแล้ว เด็กหนุ่มชุดขาวก็กวาดตามองไปรอบด้าน สีหน้าของอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยเด็กหนุ่มเด็กสาวสองคนที่มาจากราชวงศ์สกุลหลูเรียบเฉยเป็นปกติ ทว่าพวกเด็กบ้านนอกที่มาจากถ้ำสวรรค์หลีจูอย่างพวกเฉินผิงอันกลับทำสีหน้าแตกตื่นตกตะลึงกันทุกคน
เห็นได้ชัดว่าชุยฉานไม่ต้องการจะอธิบายจึงหันหน้าไปพูดกับอวี๋ลู่ว่า “เจ้ากับแม่นางเซี่ยเซี่ยไปเชิญธูปมาหน่อย อีกเดี๋ยวเมื่อพวกเราเข้าไปในศาลเทพอภิบาลเมืองจะต้องใช้ ทางที่ดีที่สุดซื้อกระบอกใส่ธูปมาด้วย แน่นอนอย่าลืมว่าต้องซื้ออันที่มีรูปแบบสง่างามสักหน่อย หาไม่แล้วข้าจะไม่จ่ายเงินค่ากระบอกธูปให้เจ้า”
เด็กหนุ่มสูงใหญ่พาเด็กสาวผิวดำไปเชิญธูปด้วยกัน
เฉินผิงอันพูดโพล่งเปิดเผยความลับสวรรค์ด้วยประโยคเดียว “ชุยตงซาน เงินก้อนนี้คือเงินที่เจ้าใช้ซื้อของในห่อผ้าก่อนหน้านี้ใช่ไหม? ทำไมมันถึงกลายเป็นตั๊กแตนวิ่งกลับมาแล้วล่ะ?”
เด็กหนุ่มชุดขาวทำหน้าไร้เดียงสา “เห็นๆ กันอยู่ว่าข้าจ่ายเงินไปแล้ว จ่ายเงินก็ได้ของมา แต่ในเมื่อเงินมันมีขาเป็นของตัวเอง อยากจะวิ่งกลับมาหาข้า ข้าเองก็ลำบากใจมากเหมือนกัน”
หลี่ไหวยังนั่งยองอยู่บนพื้น จุ๊ปากพูดด้วยสีหน้าอิจฉา “เป็นของดีจริงๆ หากข้ามีเงินก้อนแบบนี้บ้าง ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็ไม่ต้องลำบากแล้ว”
เด็กหนุ่มชุดขาวก้มหน้าถามยิ้มๆ “เจ้าชอบหรือ? อยากได้หรือไม่? เจ้าตัวน้อยนี่เรียกว่าแมลงเงิน ไม่มีประโยชน์อะไร แค่สร้างความบันเทิงเท่านั้น สาเหตุการถือกำเนิดของภูตประหลาดชนิดนี้ไม่เป็นที่ล่วงรู้ รู้เพียงว่าในคลังเงินขนาดใหญ่ของราชวงศ์มากมาย ต่อให้เวลาผ่านไปร้อยปีก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีแมลงเงินสักตัวปรากฏขึ้น อีกทั้งต่อให้มีปรากฎขึ้นจริงก็ตัวไม่ใหญ่ เวลาที่จำแลงร่างกลายเป็นเงิน อย่างมากก็ได้แค่เศษเม็ดเงินที่มีขนาดใหญ่หน่อยเท่านั้น ตัวใหญ่เท่าของข้านี้มีให้ได้เห็นน้อยมากๆ ดังนั้นข้าถึงได้ยอมพกติดตัวมาด้วย อีกอย่างมันไม่จมน้ำ โดนไฟก็ไม่ไหม้ ต่อให้ต้องแบกรับน้ำหนักนับหมื่นชั่งก็ยังไม่เกิดความเสียหายแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าเจ้าจะหั่นมันออกเป็นกี่สิบชิ้น ขอแค่วางไว้ด้วยกัน มันก็สามารถกลับคืนมาเป็นสภาพเดิมได้อย่างรวดเร็ว หลี่ไหว หากเจ้าต้องการ ข้ายกให้เจ้าเอาไหมล่ะ?”
หลี่ไหวลุกขึ้นยืน ตอบกลับอย่างจริงจัง “ข้ามีพี่สาวคนเดียว ชื่อว่าหลี่หลิ่ว แต่ตอนนี้นางยังเป็นภรรยาของอาเหลียงชั่วคราว”
เด็กหนุ่มชุดขาวเข้าใจวิธีการพูดของเจ้าลูกหมาคนนี้ดี “ยกให้ฟรีๆ เอาไหม? ข้าไม่คิดอะไรกับพี่สาวเจ้าหรอก”
หลี่ไหวถาม “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเวลาข้าจ่ายเงินหลังพาพวกเฉินผิงอันกินอาหารอร่อยแพงๆ ทุกมื้อ มันจะวิ่งกลับมาหาข้าเองทุกครั้งเลยหรือไม่?”
ชุยฉานยิ้มตาหยี สะบัดชายแขนเสื้อเขย่าเงินก้อนนั้นออกมายื่นส่งให้หลี่ไหว
หลี่ไหวเตรียมจะรับเงินก้อนนั้นมา แต่กลับหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหันหน้าไปมองเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “กินข้าวต้องจ่ายเงิน ไม่อาจเปลี่ยนวิธีไปชักดาบกินฟรีได้ ชุยตงซานเป็นอย่างไร ข้าไม่สน แต่เจ้าหลี่ไหวคือลูกศิษย์ของอาจารย์ฉี…”
หลี่ไหวรีบหุบมือสองข้างไปวางแนบไว้กับก้น ส่ายหน้าพูดกับเด็กหนุ่มชุดขาวว่า “เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ”
เฉินผิงอันกล่าวต่อว่า “หลี่ไหว ข้ายังพูดไม่จบ แต่แมลงเงินนี้สามารถรับไว้ได้ คนเขาอุตส่าห์หวังดีมอบของดีๆ ให้เจ้า เจ้ารับไว้ก่อนค่อยว่ากัน ส่วนหลังจากนี้จะเอาไปใช้อย่างไรก็ค่อยตั้งกฎเกณฑ์กันใหม่”
หลี่ไหวดวงตาเป็นประกาย รีบแย่งก้อนเงินในมือเด็กหนุ่มชุดขาวมาแล้วเตรียมจะยัดเข้าไปในสาบเสื้อของตัวเอง แต่พอคิดดูแล้วก็รีบหมุนตัวกลับ หันหลังให้ทุกคน เปิดหีบหนังสือใบเล็กแล้วโยนก้อนเงินลงไปข้างใน
เด็กหนุ่มชุยฉานหดมือกลับอย่างขุ่นเคือง กล่าวน้ำเสียงระอาใจ “ทุบตีอินทรีมานานปี ถูกอินทรีแว้งกลับมาจิกตาจริงๆ”
อวี๋ลู่ซื่อกระธูปไม้หวงหยางที่ทำอย่างประณีตมาได้อันหนึ่ง ด้านในบรรจุธูปไว้จนเต็ม มากพอจะให้ทุกคนเข้าไปจุดธูปในศาลได้พร้อมกันหลายครั้ง
นอกจากเซี่ยเซี่ยที่ต้องเฝ้าอยู่ข้างรถม้าแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเดินเข้าไปในศาลเทพอภิบาลเมือง หลังจากต่างคนต่างจุดธูปไหว้เสร็จแล้วก็มองไปยังคำกลอนที่ติดอยู่บนเสาเอกของศาลหลัก
ก่อนตายเหลือเพียงตัวคนเดียวเดียวดาย ถามยมบาลว่าลูกหลานสบายดีหรือไม่ สุดท้ายแล้วทิ้งไว้เพียงชื่อเสียงฉาวโฉ่พันปี มาเยือนปรโลกถึงได้รู้ว่าทุกอย่างล้วนล้มเหลว
เทพอภิบาลเมืองอยู่ในตำแหน่งสูงตรงกลาง สองข้างคือผู้ใต้บังคับบัญชาเรียงแถวกันตามลำดับ เปี่ยมไปด้วยบารมีน่าเกรงขาม ลำพังเพียงแค่เทวรูปดินเผาที่มีตำแหน่งเป็นแม่ทัพก็มีมากถึงแปดรูป แบ่งออกเป็นขุนนางหลักแปดกองซึ่งรวมกองหยินหยาง กองรายงานข่าวด่วน กองจดอายุเอาไว้ด้วย เด็กหนุ่มชุยฉานยังบอกด้วยว่าศาลเทพอภิบาลเมืองที่มีมาตรฐานสูงที่สุดของแจกันสมบัติทวีปก็หยุดอยู่แค่ตรงนี้ แต่ศาลเทพอภิบาลเมืองของทวีปบางแห่งที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้ากลับมีมากถึงยี่สิบสี่กอง แม้แต่กองตรวจบัญชี กองควบคุมโรคและกองการศึกษาก็ล้วนมีหมด แทบจะสามารถเรียกว่าเป็นราชสำนักของแคว้นเล็กๆ แห่งหนึ่งเลยทีเดียว
หลินโส่วอีไล่สายตามองอย่างตั้งใจ หลี่เป่าผิงกลับไม่ค่อยจะสนใจนัก หลี่ไหวขี้ขลาดที่สุดจึงเอาแต่ตามติดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน
มองภาพวาดนรกภูมิสิบแปดชั้นบนฝาผนังที่มีชื่อเสียงในห้องโถงหลักทำให้คนรู้สึกว่าไม่เสียเที่ยวที่เดินทางมา หลังเดินออกจากห้องโถงหลักแล้ว วิหารด้านหลังคือห้องโถงขนาดใหญ่ที่คล้ายคลึงกับศาลพิจารณาคดีประจำอำเภอ เทพอภิบาลเมืองนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะพิจารณาคดีตัวใหญ่ ซ้ายขวามีขุนนางผู้พิพากษายืนขนาบ ทว่ากลอนที่ติดบนเสาเอกกลับเหลือแค่ครึ่งเดียว เป็นประโยคว่า “แค่จิตใจซื่อสัตย์ก็ได้รับพรศักดิ์สิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าโขกหัวคำนับ จงรีบถอยออกไป” ประโยคท่อนล่างกลับว่างเปล่า
คราวนี้หลี่เป่าผิงพลันเกิดความสนใจเริ่มใคร่ครวญเนื้อหาของกลอนประโยคถัดไป แต่ไม่ว่าอย่างไรก็หาประโยคที่ถูกใจตัวเองไม่ได้ จึงขมวดคิ้วแน่น ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
เด็กหนุ่มชุยฉานและอวี๋ลู่ก็ยืนอยู่เบื้องใต้กลอนที่ว่างเปล่าเช่นกัน
ส่วนเฉินผิงอันกลับพาหลินโส่วอีและหลี่ไหวยืนมองด้านในห้องโถงใหญ่อยู่หน้าประตู ด้านในมีรูปปั้นดินเผาที่คล้ายคนกำลังหมอบกราบโขกศีรษะ บางรูปปั้นก็ถูกสวมตรวจ บางรูปปั้นกลับนั่งคุกเข่าก้มหน้าลงต่ำ
มีผู้เฒ่าชุดเขียวคนหนึ่งที่ไม่ได้พาคนในครอบครัวมาด้วย พอเห็นหีบหนังสือไผ่เขียวที่สะดุดตาของพวกหลี่เป่าผิงก็ยิ้มอย่างเข้าใจ เดินมาหยุดอยู่ใกล้เด็กหนุ่มชุยฉาน เงยหน้ามองกลอนบนเสาเอกที่ว่างเปล่า ถามยิ้มๆ ว่า “อาจารย์น้อยทั้งหลาย คิดกลอนประโยคถัดไปออกหรือยัง?”
ชุยฉานแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ส่วนหลี่เป่าผิงที่พอตั้งใจขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะมีสมาธิอย่างมาก นางจึงไม่ได้ยินจริงๆ
มีเพียงอวี๋ลู่ที่ตอบด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “พอคิดได้บ้าง แต่ตัวเองกลับไม่พอใจ เหมือนเอาหางหมามาแซมขนหมีเกินไป (เปรียบเทียบถึงการเอาของที่ไม่ดีมาแซมเข้ากับของดี ทำให้ยากที่จะตัดสินว่าของสิ่งนั้นดีหรือไม่ดี) จึงไม่คิดจะขายหน้าต่อหน้าท่านผู้เฒ่าแล้ว”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดัง ยกนิ้วชี้ไปยังกลอนคู่นั้น “เกี่ยวกับกลอนคู่นี้ ในเมืองมีกฎเกณฑ์อย่างหนึ่งที่ไม่ได้ถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งสืบทอดต่อกันมา นั่นคือไม่ว่าจะเป็นคนหรือผี เป็นภูตผีหรือสัตว์ประหลาด ใครก็ตามที่สามารถเขียนกลอนท่อนล่างที่สามารทำให้ผู้คนยอมรับได้ก็จะได้กลายมาเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของท่านเทพอภิบาลเมืองในศาลแห่งนี้”
อวี๋ลู่ถามอย่างสงสัย “ท่านผู้เฒ่า แล้วแบบไหนถึงจะสยบผู้คนได้ล่ะ?”
เด็กหนุ่มชุยฉานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ถามใจตัวเองดู”
ปัญหาข้อหนึ่งที่หลี่เป่าผิงขบคิดกำลังมาถึงทางตันพอดี พอได้ยินคำถามคำตอบนี้ แม่นางน้อยก็เอ่ยเสริมขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก “กลางดึกผู้คนเงียบสงัด มโนธรรมแจ่มกระจ่าง พอถามใจตัวเองก็หลุดปากพูดออกมา”
ผู้เฒ่าชุดเขียวผมขาวโพลนพยักหน้ารับช้าๆ
แม้ว่าสุดท้ายแล้วแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงจะนึกกลอนท่อนล่างที่เหมาะสมไม่ออก แต่ผู้เฒ่าคนนั้นก็ยังยืนกรานจะเดินส่งพวกเขาออกไปจากศาลเทพอภิบาลเมือง ตัวเขายืนอยู่ด้านในธรณีประตู บอกลาทุกคนด้วยรอยยิ้มบางๆ
พอออกจากมาศาลเทพอภิบาลเมืองเก่าแก่แห่งนี้ เฉินผิงอันก็ถามถึงโรงเตี๊ยมแห่งนั้นจากชาวบ้านใกล้เคียง ผลกลับกลายเป็นว่าทุกคนงงงันไม่มีใครรู้เรื่อง ราวกับว่าในเมืองแห่งนี้ไม่เคยมีสถานที่ว่านี้อยู่ เขาจึงได้แต่มองไปยังเด็กหนุ่มชุดขาว
เด็กหนุ่มชุยฉานถามยิ้มๆ ว่า “ถ้าไม่อย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ? ข้าเองก็แค่ได้ยินข่าวเล็กๆ น้อยๆ มาเท่านั้น ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นความจริง อีกอย่างหากไม่มีสถานที่ถลุงเงินเช่นนี้อยู่จริง เจ้าก็ไม่ต้องยืมเงินข้าอย่างไรล่ะ”
เฉินผิงอันมองไปทางหลินโส่วอี อีกฝ่ายไม่รู้เรื่องอะไรด้วย เฉินผิงอันยังคงดึงดัน “พวกเจ้าเดินเล่นในตลาดกันไปก่อน ข้าจะลองไปถามคนอื่นดูอีกครั้ง”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่สะพายตะกร้าไม้ไผ่วิ่งเหยาะๆ ไปเบื้องหน้าเพียงลำพัง สอบถามคนแล้วคนเล่าออกห่างจากกลุ่มไปเรื่อยๆ
เด็กหนุ่มชุยฉานเดินไปยังรถม้าด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย อดนินทาในใจไม่ได้ว่า ต่อให้เจ้าเฉินผิงอันแบกภูเขาเงินภูเขาทองอยู่บนหลัง แต่หากต้องใช้จ่ายเงินเหมือนสายน้ำไหล สุดท้ายแล้วยังได้แค่ตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น จำเป็นต้องพยายามขนาดนี้เชียวหรือ?
ตอนที่เด็กหนุ่มชุดขาวค้อมตัวเลิกผ้าม่านรถขึ้นก็หันหน้าไปมองหลินโส่วอีที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว เด็กหนุ่มที่สีหน้ามืดทะมึน บัดนี้กลับรู้สึกอิจฉากะทันหัน