Skip to content

Sword of Coming 206

บทที่ 206 พระจันทร์เสี้ยว พระจันทร์กลม

นกที่ตื่นเช้ามักจะมีแมลงให้กิน ม้าที่ไม่ได้กินหญ้ากลางคืนย่อมไม่อ้วน

เหตุผลคือเหตุผลนี้ พูดก็พูดเช่นนี้ แต่ถึงแม้ว่านักพรตหนุ่มที่ตื่นเช้ากลับดึกจะตั้งแผงเร็วกว่า และเก็บแผงช้ากว่าเพื่อนร่วมอาชีพที่ตั้งแผงอยู่ติดกันมาก แต่ก็ยังคงไม่มีอะไรให้กิน และยิ่งอ้วนไม่ไหว

เพราะตอนนี้ชาวบ้านในเมืองเล็กเชื่อว่านักพรตผู้เฒ่าที่สวมกวานหางปลาต่างหากถึงจะเป็นเทพเซียนที่แท้จริง ทำนายดวงชะตาได้แม่นยำ แถมยังไม่คอยฉวยโอกาสไปขอกินขอดื่มที่บ้านคนอื่นเปล่าๆ และไม่ว่าคนที่มาเสี่ยงเซียมซีขอดูดวงจะเป็นดรุณีน้อยหรือสตรีวัยแต่งงานแล้วที่หน้าตางดงาม สายตาของผู้เฒ่าเจินเหรินก็ไม่เคยหลุกหลิก มีกลิ่นอายของความซื่อสัตย์เที่ยงธรรมเต็มเปี่ยม ไม่เหมือนใครบางคนที่มักจะสรรหาวิธีการมาหลอกกินขนมจากเด็ก

คนทำการค้าย่อมต้องกลัวเรื่องการถูกเปรียบเทียบมากที่สุด

ดังนั้นช่วงที่ผ่านมานี้ต้องเรียกว่านักพรตหนุ่มเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของใจคนมาอย่างอิ่มหนำ อย่าหวังว่าจะร่ำรวยเลย แค่ข้าวสารจะกรอกหม้อยังแทบไม่มี แม้แต่พวกแม่นางน้อยที่ก่อนหน้านี้พูดคุยกันถูกคอ ตอนนี้ไม่เพียงแต่ไม่ให้ดูลายมือ ทุกครั้งที่เดินผ่านแผงยังแสร้งทำเป็นไม่รู้จักด้วย

นักพรตหนุ่มได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ถึงแม้ภายนอกแม่นางน้อยน่ารักที่มีกลิ่นอายของต้นหญ้าบ้านป่าเหล่านี้จะทำตัวห่างเหินกับตน แต่สาเหตุนั้นก็เพราะพวกนางเขินอาย ไม่กล้าทักทายตนก็เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วพวกนางยังรักและอาลัย หาไม่แล้วทำไมทุกครั้งที่เดินผ่านถึงต้องสวมเสื้อผ้าตัวใหม่งดงามที่ไม่ซ้ำแบบกันด้วยเล่า? นักพรตหนุ่มไม่กล้าทรยศต่อความรักที่เด็กสาวเหล่านี้มอบให้ เขาที่สายตาแหลมคมจึงมักจะเอ่ยเรียกชื่อแซ่ของพวกนางและชื่นชมว่าปิ่นปักผมสวยจังเลย เสื้อผ้าชุดนี้ใส่แล้วเหมาะมาก…พอได้ยินคำชมฝีเท้าของแม่นางหลายคนมักจะสับสน เดินสาวเท้าเร็วๆ จากไป ส่วนสตรีแต่งงานแล้วบางส่วนที่ใจกล้าสักหน่อย หากไม่ทิ้งสายตามาให้ ก็ต้องด่าเขาว่าคนบ้า เสียดายก็แต่ไม่มีใครสนใจกิจการแผงดูดวงของเขาบ้างเลย

นี่ทำให้นักพรตหนุ่มรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ทุกวันเขาจะต้องนั่งเบื่ออยู่หลังแผง หากไม่ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดก็เป่าลมร้อนๆ ใส่กระบอกเซียมซี หรือไม่ก็เอามือหนุนท้ายทอยโยกตัวไปข้างหน้าข้างหลัง ไม่อย่างนั้นก็นอนฟุบคว่ำลงไปบนโต๊ะ ผินหน้ามองบรรยากาศครึกครื้นของแผงดูดวงข้างๆ คนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นอาจโมโหตายได้จริงๆ

ยังดีที่แม้นักพรตหนุ่มจะนั่งแกร่วอยู่บนม้านั่งตั้งแต่เท้าจรดเย็นทั้งวัน เขาก็ไม่ได้อับอายจนพานเป็นโมโห บางครั้งยังเป็นฝ่ายหันไปชวนนักพรตเฒ่าคุยสองสามคำ นี่ทำให้ผู้เฒ่าที่ครุ่นคิดว่าควรจะเปลี่ยนสถานที่ใหม่ดีหรือไม่พอจะวางใจลงได้บ้าง สุดท้ายแม้แต่นักพรตเฒ่าก็ยังอดไม่ได้ เขาค่อนข้างจะสงสารเด็กรุ่นหลังที่ขาดไหวพริบคนนี้อยู่มาก คิดว่าการเดินทางมาเมืองเล็กในครั้งนี้ ตัวเองได้รับผลเก็บเกี่ยวที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ มากพอสำหรับค่าใช้จ่ายเกินครึ่งปี จึงอยากจะพูดเตือนอีกฝ่ายสักสองสามคำ จะได้ไม่มีช่องว่างระหว่างการทำธุรกิจกันอีก เขากวักมือเรียกนักพรตกวานดอกบัวให้ไปนั่งข้างๆ นักพรตหนุ่มจึงวิ่งไปหา สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและคาดหวัง “ท่านเซียนผู้เฒ่ามีอะไรจะชี้แนะข้าหรือ? มีอุบายแยบยลอะไรดีๆ จะช่วยเหลือข้าหรือเปล่า?”

นักพรตเฒ่าหิ้วกาน้ำชาใบเล็กข้างมือขึ้นมาดื่มชาเย็นชืดหนึ่งคำ ถอนหายใจแล้วถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าเพิ่งทำอาชีพนี้ได้ไม่นานใช่ไหม?”

นักพรตหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด “ก็ทำมานานพอสมควรแล้ว แค่กิจการไม่ดีเท่าคนอื่น”

ระบบของลัทธิเต๋าแบ่งออกเป็นอีกสามลัทธิ ลูกศิษย์สามคนของมรรคาจารย์เต๋าต่างก็เป็นเจ้าลัทธิของลัทธิหนึ่ง ต้นกำเนิดเดียวกันแต่ประเภทต่างกัน ไม่เพียงแต่แตกกิ่งก้านสาขา ขยายอำนาจอิทธิพลไปในใต้หล้าที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นต่อให้เป็นใต้หล้าไพศาลของราชวงศ์ต้าหลีที่ยกยอเพียงลัทธิขงจื๊อ สำนักใหญ่แห่งต่างๆ ที่วิวัฒนาการมาจากสามลัทธิของลัทธิเต๋าก็มีรากฐานที่ลึกล้ำมั่นคง อารามเต๋าที่อยู่ในใต้หล้ามีมากมายดุจผืนป่า ควันธูปรุ่งโรจน์ แต่ละทวีปล้วนมีถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่เจ้าลัทธิเต๋า เทียนจวินและเจินเหรินเป็นผู้ครอบครอง

นักพรตเฒ่าชี้หน้า ‘เด็กรุ่นหลัง’ ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความซวย จากนั้นก็ชี้ไปที่ศีรษะของตัวเอง “ยังจะบอกว่าเจ้าทำอาชีพนี้มานานแล้ว? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ดวงแข็งจริงๆ ถึงยังได้ไม่ถูกทางการจับไปกินข้าวแดงในคุก! ข้าผู้เป็นนักพรตถามเจ้าหน่อย เจ้าสวมกวานดอกบัวนี้ไว้ทำไม? เจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักอารามเต๋าในแจกันสมบัติทวีปของพวกเราที่มีคุณสมบัติได้สวมกวานเต๋าเช่นนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้! ผู้นำก็คือสำนักโองการเทพแห่งแคว้นหนันเจี้ยน เจินเหรินเจ้าสำนักก็คือเทพเซียนฉีซึ่งเป็นเจ้าลัทธิเต๋าของหนึ่งทวีป คือนายท่านผู้เฒ่าที่เมื่อปีก่อนเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นเทียนจวิน! อารามเต๋าแห่งอื่นในแจกันสมบัติทวีปมีที่ไหนบ้างที่ไม่ใช่ตระกูลเซียนอันดับหนึ่งของหนึ่งพื้นที่ ไหนเลยจะต้องลดตัวมาเป็นหมอดู จัดตั้งแผงดูดวงเน่าๆ คลุกคลีอยู่กับชาวบ้านร้านตลาดที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยคาวดินกลิ่นสาบ? ทำไม หรือเจ้าคือเทพเซียนในแผนภูมิหยกของสำนักโองการเทพ หรือว่าเป็นนักพรตเต๋าในบัญชีของอารามเต๋าขนาดใหญ่?”

นักพรตหนุ่มโบกมือ “ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”

เขาที่มีนามว่าลู่เฉินย่อมไม่ใช่บุคคลเช่นนั้น

โทสะของผู้เฒ่าไม่รู้ว่าผุดมาจากไหน เขาเตรียมจะสั่งสอนเจ้าเด็กมุทะลุผู้นี้ แต่จู่ๆ กลับร้องเอ๊ะหนึ่งที สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ที่แท้ตรงร้านด้านข้างมีหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กหนุ่มยืนอยู่ แม้สีหน้าของชายวัยกลางคนจะดูเหมือนคนป่วยไข้ แต่พลังอำนาจกลับเปี่ยมล้น มองแล้วเหมือนคนเป็นขุนนาง มีบารมีของขุนนางเต็มเปี่ยม! เด็กหนุ่มสวมชุดขาวรัดเข็มขัดหยก ใบหน้าหล่อเหลา แค่มองก็รู้ว่าเป็นคุณชายที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงร่ำรวย

คนทั้งสองยืนอยู่ข้างแผงดูดวงนั้นเงียบๆ ราวกับว่ากำลังรอนักพรตหนุ่มด้วยความอดทน

ความสงสารเวทนาที่มีอยู่น้อยนิดของนักพรตเฒ่าหายวับไปทันที พอหันมามองมองนักพรตหนุ่มที่มีโชคขี้หมาอีกครั้งก็พลันรู้สึกขัดหูขัดตามากขึ้นเป็นเท่าตัว

นักพรตหนุ่มเอ่ยขอบคุณและกล่าวลาด้วยรอยยิ้ม เดินกลับไปนั่งที่แผงของตัวเอง “ทำไม จะมาเสี่ยงเซียมซีหรือมาดูดวง?”

บุรุษนั่งลงบนม้านั่ง ส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ “ไม่เสี่ยงเซียมซีแล้วก็ไม่ดูดวงด้วย จะอย่างไรเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่จำเป็นหรอก”

บุรุษมองมาทางนักพรตหนุ่ม ลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ยังยกมือทำท่าคารวะคนอื่นเป็นครั้งแรกในชีวิต เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ข้าคือกษัตริย์ในโลกมนุษย์ ตามหลักมารยาทของใต้หล้าไพศาลแล้ว ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้กับเทพเซียนคนใด เจินเหรินเจ้าลัทธิมาเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนของต้าหลีเรา ข้าทั้งไม่จำเป็นต้องคุกเข่าคำนับ แล้วก็ไม่ต้องกุมมือคารวะตามหลักของลัทธิขงจื๊อ เพียงแค่มองเป็นการพบปะกันอย่างผิวเผินในยุทธภพครั้งหนึ่งเท่านั้น ข้าบังอาจใช้วิธีของคนในยุทธภพมาคำนับเจ้าลัทธิลู่ ก็หวังว่าเจ้าลัทธิลู่จะไม่ถือสา”

ลู่เฉินถามยิ้มๆ “แปลกใจจริง เจ้าเป็นฮ่องเต้ ทำไมถึงไม่เรียกแทนตัวเองว่าเราหรือกว่าเหริน?”

บุรุษยิ้มเจื่อน “เจินเหรินอยู่ตรงหน้า ข้ามิกล้าจริงๆ”

ลู่เฉินเอ่ยเย้า “ข้าผู้เป็นนักพรตยังนึกว่าฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีคือชายชาตรีที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน ตอนนั้นที่อาเหลียงบุกไปสังหารถึงหน้าหอป๋ายอวี้ในวังหลวงพวกเจ้า เจ้าก็ใจกล้าไม่น้อย ถึงขนาดไม่ยอมคุกเข่าให้เขา ตอนนั้นข้าผู้เป็นนักพรตชมงิ้วอยู่ไกลๆ จากในแคว้นหนันเจี้ยนยังอดเสียวสันหลังแทนเจ้าไม่ได้”

ฮ่องเต้ต้าหลีเอ่ยหยันตัวเอง “หากคุกเข่า พลังทั้งหมดที่บรรพบุรุษสกุลซ่งต้าหลีสั่งสมมาย่อมพังครืนลง ข้าจะคุกเข่าได้อย่างไร? ดังนั้นต่อให้ตายก็คุกเข่าไม่ได้”

ลู่เฉินพยักหน้ารับ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะ “เจ้ามากระดิกหางประจบเอาใจข้าผู้เป็นนักพรตด้วยเรื่องที่สร้างหอป๋ายอวี้โดยพลการ หรือว่ามาซักไซ้เอาผิดเรื่องที่นักพรตตระกูลลู่เล่นงานเจ้า?”

ฮ่องเต้ต้าหลีกล่าวยิ้มๆ “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง อย่างแรกไม่คิดจะทำ อย่างที่สองไม่มีความกล้าจะทำ เดิมทีข้าก็จำเป็นต้องมาปรากฎตัวที่นี่ด้วยตัวเองเรื่องแต่งตั้งขุนเขาเหนือของต้าหลีอยู่แล้ว อันที่จริงระหว่างที่เดินทางมาสวี่รั่วแห่งสำนักโม่ได้ใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตส่งข่าวไปเกลี้ยกล่อมข้าว่า ทางที่ดีที่สุดอย่ามาปรากฎตัวต่อหน้าเจินเหรินเจ้าลัทธิ ท่านราชครูเองก็คิดแบบเดียวกัน คนทั้งสองพูดตรงอย่างมาก ไม่มีความเกรงใจเลยสักนิดเดียว โดยเฉพาะราชครูต้าหลีของพวกเราท่านนั้นที่รู้นิสัยข้าดีที่สุด เขากลัวว่าเมื่อไหแตกแล้วข้าจะทุบมันให้ละเอียด จนสุดท้ายกลายเป็นว่าล่วงเกินเจินเหรินเจ้าลัทธิ”

ลู่เฉินมองประเมินฮ่องเต้ต้าหลีที่มีสภาพเหมือนคนป่วยเกินเยียวยาแล้วจุ๊ปากพูด “ข้าผู้เป็นนักพรตสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง หมัดนั้นของอาเหลียงต่อยสะพานแห่งความเป็นอมตะของเจ้าหัก แม้จะช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากชะตากรรมของหุ่นเชิด แต่กลับทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เจ้าซาบซึ้งใจหรือเกลียดแค้นเขากันแน่?”

ฮ่องเต้ต้าหลีตอบตามสัตย์จริง “รู้สึกทั้งสองอย่าง ถึงขั้นที่บอกไม่ได้ด้วยว่าซาบซึ้งใจหรือเคียดแค้นมากกว่ากัน ใต้หล้าไพศาลแห่งนี้มีกฎเกณฑ์อย่างหนึ่งที่พันธนาการกษัตริย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางไม่อาจรับหน้าที่เป็นกษัตริย์ของหนึ่งแคว้นได้ ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างก็ไม่อาจนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเกินหกสิบปี บวกกับที่คนเป็นฮ่องเต้ไม่เหมาะจะฝึกตนมาตั้งแต่เกิดแล้ว ดังนั้นข้าในเวลานั้นจึงทนต่อคำล่อลวงไม่ได้ พอถูกอาจารย์สกุลลู่ที่ช่วยสร้างหอป๋ายอวี้ปลุกปั่นจึงเดินไปบนเส้นทางลัดนอกรีต แอบฝึกตนจนถึงขอบเขตสิบ เดิมทีนี่ก็เป็นความผิดมหันต์อยู่แล้ว เพราะข้าอยากได้ยินเสียงกีบม้าของต้าหลีควบตะบึงอยู่บนชายหาดทะเลทักษิณนอกนครมังกรเฒ่ากับหูตัวเองมากเกินไป”

ฮ่องเต้ต้าหลีกล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนมามีชีวิตชีวา เหมือนคนป่วยใกล้ตายที่มีสีหน้าสดใสเป็นครั้งสุดท้าย “หากมีวันนั้นจริงๆ ข้าเชื่อว่าเสียงนั้นต้องดังยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิแน่นอน!”

ลู่เฉินไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ “เจ้าสามารถจัดการเรื่องในบ้านของตัวเองในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ อีกทั้งยังมีกำลังใจปฏิเสธสกุลลู่จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ถือว่าไม่ง่ายเลย แน่นอนว่านี่เกี่ยวข้องกับการที่สายหลักสำนักโม่เลือกผูกติดกับราชวงศ์ต้าหลีของพวกเจ้าด้วย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ชีวิตฮ่องเต้ของเจ้าก็ช่าง…ลุ่มๆ ดอนๆ ยิ่งนัก”

ฮ่องเต้ต้าหลีไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร แม้ว่าเมื่อใดที่เซียนลงมาเยือนโลกมนุษย์ก็ยังต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ซับซ้อนที่หลี่เซิ่งตั้งเอาไว้ แต่นักพรตหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้านี้ไม่ใช่เซียนตามความหมายทั่วไป

การที่ฮ่องเต้ต้าหลียืนกรานจะมาเมืองเล็กเพื่อพบหน้านักพรต ‘หนุ่ม’ ด้วยตัวเองสักครั้ง ก็เพราะความเคารพยำเกรงและเลื่อมใสที่มีอยู่ในใจ นี่เป็นความรู้สึกที่เรียบง่ายและบริสุทธิ์ที่สุด

เงยหน้ามองภูเขาสูง เจริญรอยตามคุณธรรมความประพฤติของนักปราชญ์ แม้จะปฏิบัติตามไม่ได้ทั้งหมด แต่ใจก็ฝันใฝ่ว่าจะไปให้ถึง

หากสามารถเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าและได้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง นั่นก็ถือเป็นความโชคดีใหญ่หลวงในชีวิต

ฮ่องเต้ต้าหลีพลันเผยสีหน้าคาดหวังและกระวนกระวาย “เจินเหรินเจ้าลัทธิอยู่ที่นี่ ขอถามว่า ข้าจะรอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้หรือไม่?”

ลู่เฉินส่ายหน้ายิ้มๆ “ท่ามกลางทางช้างเผือกที่มีดวงดาวดารดาษซึ่งไหลผ่านโลกมนุษย์ เดิมทีเจ้าก็เป็นดวงดาวที่ค่อนข้างสุกสกาวอยู่แล้ว แน่นอนว่าข้าผู้เป็นนักพรตสามารถยืดอายุขัยให้เจ้าได้ อย่าว่าแต่สิบปีร้อยปีเลย พันปีก็ยังไม่ยาก แต่ขอแค่ข้าผู้เป็นนักพรตลงมือเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต เกรงว่าเจ้าคงต้องละทิ้งงานใหญ่ของบรรพบุรุษ ติดตามข้าผู้เป็นนักพรตไปอยู่ที่ใต้หล้าแห่งอื่นถึงจะมีชีวิตรอด หาไม่แล้วเจ้าคิดจริงๆ หรือว่ากฎของหลี่เซิ่งตั้งเอาไว้เฉยๆ และพวกรูปปั้นองค์เทพที่อยู่ในศาลเจ้าบุ๋นเหล่านั้นก็ตายกันไปหมดแล้ว?”

ฮ่องเต้ต้าหลีถอนหายใจแล้วเงียบไปนาน

ลู่เฉินปรายตามองประเมินเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ซ่งจี๋ซิน หรือควรจะเรียกเจ้าว่าซ่งมู่ดี? บังเอิญจริง พวกเราได้พบกันอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าฉีจิ้งชุนให้ความสำคัญกับเจ้ามาก? ตอนนั้นบุคคลสำคัญที่จะได้รับสืบทอดควันธูปสายบุ๋นของเขาก็มีเจ้ารวมอยู่ด้วย? แต่มันไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เพราะฉีจิ้งชุนร่ายเวทอำพรางตาข้าผู้เป็นนักพรตเท่านั้น หาไม่แล้วนกขมิ้นน้อยของข้าก็ไม่มีทางคาบเหรียบทองแดงที่เจ้าโยนมาให้ไปเด็ดขาด เสียดายก็แต่ชะตาของเจ้าไม่เลว ขาดแค่โชคไปเล็กน้อยเท่านั้น แค่เล็กน้อยจริงๆ”

ลู่เฉินยื่นนิ้วโป้งและนิ้วชี้ออกมาวางขนานให้เหลือช่องว่างระหว่างกันเพียงแค่เสี้ยวเดียว ปากก็เอ่ยเสียดสีต่อว่า “ตำราทั้งหลายที่ฉีจิ้งชุนมอบให้เจ้าคือจุดศูนย์รวมของโชคชะตาสายบุ๋นที่แท้จริง แต่เจ้ากลับไม่ยอมเอาไปด้วยแม้แต่เล่มเดียว เจ้าควรต้องรู้ไว้ว่า ระหว่างฟ้าดินนั้นมีปราณแห่งความเที่ยงธรรมอยู่ ปราณแห่งความเที่ยงธรรมที่ว่านี้เป็นเพียงมายาเลื่อนลอย แต่มันมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง ของที่คนอื่นมอบให้เจ้า เจ้าไม่ยื่นสองมือออกมารับก็โทษใครไม่ได้แล้ว”

สภาพจิตใจของซ่งจี๋ซินพลันวุ่นวายอย่างหนัก เหงื่อเย็นๆ กลิ้งไหลมาตามสันหลัง

ฮ่องเต้ต้าหลีตวาดเบาๆ “ซ่งมู่!”

ในที่สุดซ่งจี๋ซินก็พอจะคืนสติกลับมาได้บ้าง แต่ร่างของเขายังคงสั่นเทิ้ม ยืนโอนเอนจะล้มมิล้มแหล่

ลู่เฉินเอ่ยเย้าต่อไปว่า “ไอ้หนู แค่นี้ก็ลนลานแล้วหรือ? เสียใจจนไส้เขียวเลยสินะ? ซ่งจี๋ซิน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า สองมือของเจ้ารับของดีเอาไว้แล้ว แต่สุดท้ายเจ้าจะรับผลลัพธ์ที่ตามมาได้หรือไม่? เรื่องของถ้ำสวรรค์หลีจู ทำไมฉีจิ้งชุนถึงต้องตาย หากไม่พูดถึงเรื่องที่อาจารย์ฉีของเจ้ารนหาที่ตายเอง เพราะไม่ยอมเข้าไปหลบในถ้ำสวรรค์ที่ซิ่วไฉเฒ่าทิ้งไว้ให้เขา เรื่องหลักที่สำคัญที่สุดก็คือการโดนวิถีสวรรค์กระโจนเข้าเล่นงาน หากเจ้ามีส่วนเอี่ยวด้วยแม้เพียงนิดก็หมายความว่าในกาลเวลาอันยาวนานหลังจากนี้ เจ้าจะไม่มีวันได้อยู่อย่างเป็นสุข ต่อให้เจ้าได้เป็นฮ่องเต้ต้าหลีแล้วจะอย่างไร? ต่อให้เสียงกีบม้าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเหยียบย่ำชายหาดทักษิณจนเละเทะ แล้วจะอย่างไร?”

ฮ่องเต้ต้าหลีใช้มือข้างหนึ่งกดไหล่ของเด็กหนุ่มแรงๆ เอ่ยเสียงหนัก “ไม่ต้องคิดอะไรมาก!”

ลู่เฉินไม่คิดจะพูดจาบีบบังคับคนอื่นอีก เพียงพูดน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “คนบนโลกมักจะชอบเสียใจและเจ็บแค้นที่เรื่องดีเลยผ่านตัวเองไป เอาแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการอิจฉาโชควาสนาและโอกาสของคนอื่น ฮ่าๆ ทั้งน่าตลกและน่าสนุกจริงๆ”

ฮ่องเต้ต้าหลีดึงมือกลับมา ฝ่ามือของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อนานแล้ว สีหน้ายิ่งเปลี่ยนมาเป็นซีดขาว “เจ้าลัทธิลู่ จะปล่อยต้าหลีไปสักครั้งได้หรือไม่?”

ลู่เฉินตะลึง แล้วพลันตบโต๊ะดังปัง หัวเราะเสียงดัง “พูดเหมือนคำพยากรณ์เลย!”

ลู่เฉินหันไปกวาดตามองรอบด้านก่อน สุดท้ายหรี่ตาลงมองไปยังทิศสูง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เป็นอย่างไร? ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ได้บังคับคนอื่นนะ วางใจได้ วันหน้าจะเป็นอย่างไรก็ต้องอาศัยคำว่า ‘ปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติ’ แล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตไม่มีเวลาให้มัวมาผลาญอยู่ที่นี่ พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย หากไม่เป็นเพราะฉีจิ้งชุน ข้าผู้เป็นนักพรตก็ไม่อยากจะมาอาศัยใต้ชายคาคนอื่นอยู่ในถิ่นของพวกเจ้าหรอก”

นักพรตเฒ่าที่อยู่ร้านติดกันรู้สึกมึนๆ งงๆ นับตั้งแต่ที่นักพรตหนุ่มกลับไปที่ร้านตัวเอง นักพรตเฒ่าก็ง่วงหงาวหาวนอน อีกทั้งยังไม่มีการค้ามาเยือน ดังนั้นผู้เฒ่าจึงนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง เพียงแต่นักพรตเฒ่าไม่รู้เลยว่าลายมือของตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบเชียบ เมื่อเส้นลายมือเส้นหนึ่งยืดขยายยาวออกไป อายุขัยของเขาก็เพิ่มมากขึ้น นี่คือวาสนาที่มาเยือนโดยที่เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย

เพราะถูกคนตระกูลลู่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวมาโดยตลอด ทว่าในที่สุดวันนี้นักพรตหนุ่มก็อารมณ์ดีขึ้นได้เสียที จึงทำการ ‘แหกกฎประทานความเมตตา’ ไปหนึ่งครั้ง

ฮ่องเต้ต้าหลีพาซ่งจี๋ซินบอกลาจากไป ความคิดมากมายประดังประเดกันเข้ามาในหัวของบุรุษจนเขาไม่กล้าหันกลับไปมอง

จู่ๆ ลู่เฉินก็ถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง “โชควาสนาของฟ้าดิน มหัศจรรย์จนไร้คำบรรยาย”

อันที่จริงเหล่าอริยะของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนัก รวมไปถึงวีรบุรุษผู้แกร่งกล้าที่ตระกูลคงอยู่มานานนับพันปีต่างก็ยุ่งวุ่นวายกันมาก เพื่อกลียุคที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ พวกเขาต่างคนต่างก็มีการวางแผนจัดการเป็นของตัวเอง

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ประหนึ่งลมฤดูใบไม้ผลิที่กลายเป็นสายฝน และเหล่าอาณาประชาราษฎร์บนโลกต่างก็อาบแช่อยู่ท่ามกลางสายฝนนี้ ใครทำดีทำเลวย่อมได้รับผลบุญผลกรรมตอบแทน วาสนาหรือหายนะล้วนเป็นคนที่เรียกหามันมาเอง

นักพรตหนุ่มดีดนิ้วหนึ่งที ฟ้าดินพลันสว่างไสว เขาหันหน้าไปยังทิศทางของภูเขาใหญ่ฝั่งตะวันตก “ไปเถอะๆ ทุกอย่างหลังจากนี้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าอีกแล้ว”

นักพรตเฒ่าสะดุ้งโหยง เช็ดคราบน้ำลายตรงมุมปาก มองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่ก แต่ก็ไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติจึงบ่นกับตัวเองว่ายังไงตนก็อายุมากแล้ว ไม่ยอมแก่คงไม่ได้ ร่างกายทนรับลมหนาวของฤดูใบไม้ผลินี่ไม่ไหวแล้ว จากนั้นผู้เฒ่าก็ค้นพบว่านักพรตหนุ่มคนนั้นมานั่งอยู่บนม้านั่งยาวหน้าแผงของตัวเองด้วยรอยยิ้มตาหยี ท่าทางล้างหูเตรียมรอฟังมองแล้วน่าเตะ นักพรตเฒ่านึกขึ้นมาได้ว่าการค้าครั้งใหญ่เพิ่งจะถูกสุนัขคาบไปกิน ไหนเลยจะยังเต็มใจอยากถ่ายทอดความรู้ให้แก่เด็กรุ่นหลังคนนี้อีก นั่นไม่เท่ากับตนขุดหลุมฝังตัวเองหรอกหรือ วันหน้าถ้าถูกแย่งอาชีพจะไปร้องไห้ฟ้องใครได้ จึงสะบัดชายแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์ “ไปๆๆ เจ้าหัวทึบขนาดนี้ ข้าผู้เป็นนักพรตสอนเจ้าไม่ไหวหรอก รีบถอยไปซะ อย่ามาขวางทางการหาเลี้ยงชีพของข้า!”

ลู่เฉินกดมือสองข้างลงบนแผง ทำหน้าหนาพูดว่า “ไม่นะ ท่านเซียนผู้เฒ่าพูดให้ข้าฟังหน่อยเถอะ วันหน้านักพรตน้อยอย่างข้าจะได้ไปร้องคำรามที่ถิ่นของตัวเองในบ้านเกิดได้เสียที”

ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว แต่จากนั้นก็คลายออก ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ทองพันชั่งยากจะซื้อคำจากผู้เฒ่า กฎเกณฑ์นี้เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

“หา?”

ลู่เฉินร้องอุทานตกใจ “ถ้าอย่างนั้นติดไว้ก่อนได้หรือไม่?”

นักพรตเฒ่าเห็นว่ารอบด้านไม่มีใครจึงถลึงตาตวาดอย่างไม่คิดจะรักษามาดเทพเซียนของตนอีกต่อไป “ไสหัวไป!”

ลู่เฉินควักเศษเงินเม็ดหนึ่งออกมาด้วยสีหน้าเสียดาย แล้ววางลงบนโต๊ะ “ท่านเซียนผู้เฒ่า ท่านทำตัวไม่เหมือนคนเป็นเทพเซียนเอาซะเลย ทำไมถึงยังชอบกลิ่นเงินอยู่อีกเล่า?”

นักพรตเฒ่าคว้าเศษเงินก้อนนั้นยัดเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อ กระแอมหนึ่งครั้งแล้วเริ่มพูดจ้อถึงประสบการณ์ในยุทธภพของตน เรื่องที่เอามาพูดล้วนหาแก่นสารอะไรไม่ได้ ฟังแล้วก็ไร้ประโยชน์ ทั้งยังยืนหยัดที่จะไม่เอ่ยประโยคเป็นการเป็นงานซึ่งจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคล้ายจะไม่เข้าใจอะไรเสียเลย ได้ยินผู้เฒ่าพูดเป็นน้ำไหลไฟดับยังทำท่าตกตะลึง ใบหน้าเต็มไปด้วยความนับถือ เห็นด้วยกับทุกเรื่องที่อีกฝ่ายพูดมา บางครั้งนักพรตหนุ่มยังตบเข่าฉาด ทำท่ากระจ่างแจ้งเหมือนได้รับผลประโยชน์มหาศาล ทำเอาผู้เฒ่าตกใจไม่น้อย

โดยไม่ทันรู้ตัว เส้นลายมือของผู้เฒ่าที่เดิมทีเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ย้อนกลับไปเป็นสภาพเดิม ไม่แตกต่างไปจากเดิมแม้แต่นิดเดียว

บนโลกใบนี้ บางครั้งคนเราก็ไม่ทันรู้ตัวว่าได้รับอะไรมาและต้องเสียอะไรไป

เทศกาลโคมไฟเมืองหลวงต้าสุย ทั่วทั้งเมืองประดับประดาไปด้วยโคมไฟ ทุกพื้นที่สว่างไสวราวกับตอนกลางวัน

หลายคืนนั้นเหล่าบัณฑิตที่มาศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษาซานหยาต่างก็พากันลงจากภูเขามาร่วมงานครึกครื้น พวกนักปราชญ์และอาจารย์ของสำนักศึกษาต่างก็ไม่คัดค้านในเรื่องนี้ คนหนุ่มสาวหากเอาแต่หมกตัวท่องตำราอยู่ในห้องหนังสือย่อมหมดสิ้นซึ่งความมีชีวิตชีวา การถ่ายทอดความรู้ไม่ควรทำเช่นนี้ หากเข้มงวดกวดขันมากเกินไป เมล็ดพันธ์บัณฑิตที่อยู่ในที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ย่อมไม่สามารถแตกหน่อเติบโตกลายมาเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงเทียมฟ้าได้

หลี่ไหวอยากจะไปเที่ยว สุดท้ายกลายเป็นว่าชวนคนนู้นคนนี้กลับชวนได้แค่อวี๋ลู่คนเดียว หลี่เป่าผิงบอกว่านางไปเดินมาทั่วทุกตรอกซอกซอยของเมืองหลวงต้าสุยแล้ว ลงจากภูเขาไปตอนนี้ไม่ใช่ไปดูโคมไฟหรอก เห็นชัดๆ ว่าไปดูคน น่าเบื่อ อีกอย่างนางติดค้างบทความที่อาจารย์สั่งลงโทษอยู่หลายบท นางต้องเปิดศึกทำการบ้านหามรุ่งหามค่ำ!

หลินโส่วอีบอกว่าเขาจะไปอ่านหนังสือในหอเก็บหนังสือต่อ ตอนนี้เซี่ยเซี่ยกลายเป็นเซี่ยหลิงเยว่แล้ว แถมยังกลายมาเป็นศิษย์ลูกศิษย์หลานของชุยตงซานเต็มตัว กลายเป็นว่ามีโชควาสนาสูงส่ง ได้ครอบครองสมบัติอาคมกองใหญ่ซึ่งมีเพียงเทพเซียนเท่านั้นถึงจะใช้ได้ หลี่ไหวตอแยไม่เลิก เซี่ยเซี่ยจึงต้องเอาออกมาให้เขาได้เห็น หลี่ไหวได้เห็นแล้วก็รู้สึกว่าแล้วยังไงล่ะ ยังน่ารักสู้หุ่นไม้หลากสีของตนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เขาไม่เห็นจะอิจฉาเลยสักนิด เซี่ยเซี่ยบอกว่าคืนนั้นต้องฝึกตน ไม่อาจไปร่วมงานโคมไฟเป็นเพื่อนหลี่ไหวได้

มาถึงท้ายที่สุดก็มีเพียงอวี๋ลู่ที่พูดง่ายที่สุดและว่างงานมากที่สุดเท่านั้นที่ลงจากภูเขาไปเป็นเพื่อนหลี่ไหว

ผลกลับกลายเป็นว่าไปเจอเกาเซวียนองค์ชายต้าสุยที่ตีนเขา คนทั้งสามจึงจับกลุ่มไปด้วยกัน ก่อนหน้านี้เกาเซวียนก็มักจะมาเดินเล่นที่สำนักศึกษาซานหยาเป็นประจำอยู่แล้ว คุยกันไปคุยกันมา เกาเซวียนตามความคิดของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงไม่ทันจริงๆ ส่วนหลินโส่วอีก็มีนิสัยเย็นชา ฝ่ายเซี่ยเซี่ยมักจะถูก ‘บรรพบุรุษตระกูลไช่’ ผู้นั้นเรียกตัวไปยกชาส่งน้ำ ซักผ้ากวาดพื้นให้เป็นประจำ ไม่เหมือนสิ่งที่ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนสมควรได้รับแม้แต่น้อย นางยังเทียบกับสาวใช้คนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นเกาเซวียนจึงสนิทกับอวี๋ลู่มากที่สุด และมักจะไปตกปลากับอวี๋ลู่ที่ริมทะเลสาบอยู่บ่อยครั้ง

เทศกาลโคมไฟของต้าสุยนี้ ทั้งกษัตริย์และขุนนางต่างก็ร่วมกันเฉลิมฉลอง ผู้คนทั่วหล้ามีความสุขร่วมกัน

เพื่อเทศกาลครั้งนี้หลี่ไหวยังปักปิ่นหยกดำที่สลักคำว่า ‘ไหวอิน’ เป็นพิเศษด้วย เวลาเดินก็ยืดอกสูง เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

อวี๋ลู่และเกาเซวียนเดินประกบซ้ายขวาข้างกายหลี่ไหว ไม่ได้กลัวว่าจะมีใครกล้ามารังแกหลี่ไหวอีก แต่เป็นเพราะเจ้าลูกหมาน้อยหลี่ไหวผู้นี้เหมือนจะเกิดมาพร้อมกับลักษณะเฉพาะที่ประหลาดอย่างยิ่ง บ้านนอกก็ส่วนบ้านนอก แต่กลับโชคดีอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่สามารถทำให้คนหนึ่งซึ่งเป็นอดีตรัชทายาทสกุลหลู และอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นองค์ชายสกุลหงของต้าสุยในปัจจุบันมาเป็นผู้คุ้มกันให้เขาได้

การมาเที่ยวงานโคมไฟของหลี่ไหวในครั้งนี้นับว่าคุ้มแล้ว

ในหอหนังสือของสำนักศึกษาซานหยา หลินโส่วอีที่จุดตะเกียงอ่านหนังสือยามค่ำพลันรู้สึกจิตใจไม่สงบ เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง วางหนังสือลง เดินไปที่หน้าต่าง คิดถึงดรุณีน้อยผู้อ่อนโยนน่าประทับใจดุจกิ่งหยางกิ่งหลิวที่พลิ้วไหวไปตามสายลม

หลินโส่วอีบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่าต้องตั้งใจเล่าเรียน ตั้งใจฝึกตน วันหน้า…

พอนึกถึงภาพที่งดงามบางอย่าง หลินโส่วอีที่เวลาปกติไม่ชอบยิ้ม ทั้งยังสุขุมพูดน้อยกลับคลี่ยิ้มอบอุ่น

เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลายิ่งดูหล่อเหลามากกว่าเดิม

ในหอพักของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงก็มีแสงตะเกียงส่องสว่างเช่นกัน เพียงแต่ว่านอกจากจะอ่านหนังสือแล้ว นางยังต้องคัดหนังสือด้วย หลังจากเอาพู่กันจุ่มหมึกจนชุ่ม หลี่เป่าผิงที่สีหน้าเคร่งเครียดก็ชูแขนข้างที่ถือพู่กันขึ้นสูง ร้องตวาดเบาๆ หนึ่งครั้งก็เริ่มลงมืออย่างรวดเร็วดุดันดุจสายฟ้าที่แลบปลาบ! ฟั่บๆๆ สามารถเขียนตัวอักษรแบบบรรจงได้เร็วดุจสายฟ้าขนาดนี้ก็ถือว่ามีฝีมือแล้ว แค่มองก็รู้ว่าคัดบ่อยจนเกิดเป็นความเคยชิน หลังเขียนจนเต็มหนึ่งหน้ากระดาษ นางก็โยนไปไว้ด้านข้าง พูดในใจตัวเองว่า “เจ้าถอยไป”

อาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่รับผิดชอบเดินตรวจตราสำนักศึกษาในคืนนี้มายืนอยู่ตรงหน้าต่าง พอเห็นภาพนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี ทั้งระอาใจทั้งสงสาร อาจารย์ผู้เฒ่าคือหนึ่งในอาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับแม่นางน้อย เขาหมุนกายจากไปอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้รบกวนเวลาคัดหนังสือทำการบ้านของแม่นางน้อย เพียงแต่ผู้เฒ่าคิดว่าหลังจากนี้ควรให้เป่าผิงน้อยคัดหนังสือให้น้อยลงหน่อยดีหรือไม่?

เหมาเสี่ยวตงรองเจ้าขุนเขากำลังศึกษาศิลปะการเล่นหมากล้อมอยู่ในห้องของตัวเองเงียบๆ อันที่จริงใช้ชีวิตระหกระเหินมานานหลายปีขนาดนี้ หนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ทำให้ผู้เฒ่าเกลียดตัวเองมากที่สุดก็คือตัดใจละทิ้งงานอดิเรกนี้ไม่ลง มีหลายครั้งที่พยายามจะเลิกอาการเสพติดหมากล้อม แต่ทุกครั้งหากเห็นใครเล่นหมากล้อมโดยบังเอิญก็มักจะขยับเท้าหนีไม่ได้ ต้องยืนชมศึกอยู่ข้างๆ และยิ่งดูก็จะยิ่งไม่สบอารมณ์ แอบด่าอยู่ในใจว่าฝีมือห่วยแตกซะจริง และหากได้เห็นคนมีฝีมือก็จะยิ่งคันยิบๆ อยู่ในใจ มีครั้งหนึ่งอดไม่ไหวถึงขนาดกลับมาเล่นทวนกับตัวเองใหม่ทั้งกระดาน จากนั้นก็ด่าตัวเองว่าไม่หนักแน่นมากพอพลางวางหมากอย่างอารมณ์ดีไปด้วย สหายที่เล่นหมากล้อมด้วยกันมาหลายปีมักจะเอาเรื่องนี้มาล้อเขา เรียกการพยายามเลิกเล่นหมากล้อมของเหมาเสี่ยวตงว่า ‘ปิดด่าน’ พอเขากลับมาเล่นใหม่อีกครั้งก็เรียกว่า ‘ออกจากด่าน’

คืนนี้เหมาเสี่ยวตงปฏิเสธคำเชิญจากฮ่องเต้ ไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงชมโคมไฟต้นไม้เพลิงบุปผาเงินที่วังหลวง แต่นั่งเล่นหมากล้อมอยู่กับตัวเองเงียบๆ

การเล่นหมากล้อมของผู้เฒ่าได้เจ้าสารเลวแซ่ชุยบางคนเป็นผู้สอน ที่น่าโมโหยิ่งไปกว่านั้นก็คือไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน ตามหาสุดยอดตำราหมากล้อม ประลองฝีมือกับนักเล่นหมากล้อมระดับชาติ ศึกษาหลักการเล่นหมากล้อมของแต่ละพรรคแต่ละฝ่าย อะไรที่ทำได้ก็ล้วนทำหมดแล้ว ทว่าพัฒนาการในการเล่นหมากล้อมของเขาก็ยังเป็นไปอย่างเชื่องช้า ไม่ว่าอย่างไรก็เอาชนะชุยฉานไม่ได้สักที

ผู้เฒ่าเก็บตำราหมากล้อมและกระดานหมากล้อม ปลดไม้บรรทัดตรงเอวมาถูไว้ในมืออย่างเชื่องช้า

ก่อนหน้านี้ชุยฉานแห่งสำนักศึกษาที่ปรากฏตัวด้วยเรือนกายของเด็กหนุ่มได้มาพูดคุยกับเขาแล้วหนึ่งรอบ จากนั้นก็ไปคุยกับฮ่องเต้ต้าหลีมาหนึ่งรอบ สุดท้ายไปคุยกับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบเอ็ดที่เป็นนักเล่านิทานมาหนึ่งรอบ ตอนที่มาหาเหมาเสี่ยวตง ผู้เฒ่าโน้มน้าวเขาว่าอย่าได้คิดหวังเพ้อเจ้อ เปิดเผยตัวตนเร็วขนาดนี้ระวังจะตายอยู่ในเมืองหลวงต้าสุย ถึงเวลานั้นจะลากเอาสำนักศึกษาซานหยาติดร่างแหไปด้วย เหมาเสี่ยวตงพูดตรงมาก หากต้าสุยเข้าใจผิดนึกว่าสำนักศึกษาซานหยามีเอี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเหมาเสี่ยวตงจะเป็นคนแรกที่ลงมือฆ่าคน บดขยี้ราชครูต้าหลีผู้นี้ให้เละอยู่ในต้าสุย

เหมาสี่ยวตงถอนหายใจ “เหตุใดบัณฑิตถึงกลายเป็นพ่อค้าไปได้นะ?”

ในเรือนที่เงียบสงบหลังหนึ่ง ชุยตงซานเด็กหนุ่มชุดขาวนั่งอยู่ใต้ชายคา ฟังเสียงม้าเหล็กพวงหนึ่งที่เพิ่งเอาไปแขวนไว้ใต้ชายคาส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งอยู่ใต้ม่านรัตติกาลสุขสงบที่มีลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชย

ชุยตงซานหันขวับไปมองเซี่ยเซี่ยเด็กสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง “เจ้ามีปู่ไหม?”

เด็กสาวตะลึงงัน คำถามนี้นางควรจะตอบอย่างไร? หรือว่ามีความลี้ลับซ่อนอยู่? หาไม่แล้วใต้หล้านี้ใครบ้างที่ไม่มีปู่?

นางรู้สึกว่านี่ต้องเป็นหลุมพรางที่ทดสอบจิตใจของนางอย่างแน่นอน และในขณะที่เด็กสาวกำลังใคร่ครวญหาคำพูดที่เหมาะสม ชุยตงซานก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ที่แท้เจ้าเองก็มีปู่เหมือนกันหรือ?”

เซี่ยเซี่ยพูดไม่ออก

เป็นมุขตลกที่แป้กมากเหลือเกิน

สุดท้ายคนทั้งสองก็เงยหน้ามองท้องฟ้าราตรีด้วยกัน

ดวงจันทร์ของเทศกาลไหว้พระจันทร์สุกสกาว คนรวยก็มองเห็น คนยากจนก็มองเห็น

ปลอบประโลมจิตใจคนได้ดียิ่ง

……

ในฐานะประมุขหญิงตระกูลหลี่ ภรรยาของหลี่หงเจ้าประมุข หรือก็คือมารดาของสามพี่น้องหลี่ซีเซิ่ง นางไม่ถือว่าเป็นคนที่พูดง่าย แต่มีการลงโทษและให้รางวัลอย่างชัดเจน เมื่ออยู่ในบ้านจึงมีบารมีมาก บุรพาจารย์สกุลหลี่ที่ตอนนี้เป็นเทพเซียนขอบเขตสิบไม่เคยวางท่าใส่ลูกสะใภ้ที่จัดการธุระในบ้านได้อย่างเป็นระเบียบ และหาข้อตำหนิจากนางไม่ได้แม้แต่น้อย

ในจวนใหญ่ตระกูลหลี่ที่ร่ำรวยแต่ถ่อมตนมีบ่าวรับใช้มากมาย ลูกบ่าวที่เกิดในบ้านก็มีหลากแซ่หลายสกุล บรรพบุรุษแต่ละรุ่นล้วนเป็นคนรู้ใจของตระกูลหลี่ อีกทั้งประมุขตระกูลหลี่แต่ละรุ่นต่างก็ให้การดูแลเอาใจใส่ข้ารับใช้เป็นอย่างดี คู่พ่อลูกจูเหอจูลู่ก็คือตัวอย่าง คนเก่าคนแก่ในจวนถึงขั้นเคยหยอกเย้าว่าจูลู่มีสถานะเป็นสาวใช้ แต่มีชะตาเป็นคุณหนู

หลี่หงประมุขตระกูลคือคนที่ไม่เคยเก็บเรื่องใดมาใส่ใจ เขาชอบเก็บสะสมแผ่นกระเบื้องและบันทึกตำรับตำราต่างๆ นอกจากจะพูดคุยกับหลี่ซีเซิ่งบุตรชายคนโตเป็นบางครั้งแล้วก็ไม่ค่อยจะเผยตัวนัก คนที่ดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านจึงเป็นประมุขหญิง นางได้เรียนหนังสือมาไม่มาก รู้จักตัวอักษรได้ก็เพราะต้องตรวจสอบบัญชี ตระกูลหลี่มีธรรมเนียมที่สืบทอดกันมายาวนานก็คือ ทุกครั้งที่ถึงช่วงปีใหม่ เด็กที่อายุน้อยต้องท่องจำตัวอักษรบางตัวให้ขึ้นใจแล้วหาคำสุภาษิตที่มีตัวอักษรนี้มาเตรียมรอไว้ หากผู้อาวุโสในตระกูลหลี่ถามเข้า แล้วพวกเด็กๆ สามารถตอบได้อย่างราบรื่นก็จะได้รับเงินอั่งเปาหนึ่งซอง คืนวันก่อนปีใหม่ของปีก่อนคืออักษรตัวเจีย (嘉 งดงาม/ยกย่อง/ชมเชย) เทศกาลหยวนเซียวของปีนี้คือคำว่าเถา (桃 ต้นท้อ/ลูกท้อ)

เทศกาลหยวนเซียววันนี้ประมุขหญิงให้สาวใช้คนสนิทหยิบอั่งเปาสีแดงมาปึกใหญ่ เมื่อเจอกับเด็กๆ ที่ ‘เฝ้าตอรอกระต่าย’ (อุปมาว่าอยากได้ผลประโยชน์ที่ได้มาโดยไม่นึกไม่ฝัน ไม่ต้องอาศัยความพยายามของตัวเอง) ก็จะถามยิ้มๆ จากนั้นก็จะได้รับคำตอบที่พวกเด็กๆ เตรียมมาไว้นานแล้ว เสียงอ่อนเยาว์ดังกังวานเสนาะหูของเด็กๆ ทำให้สตรีแต่งงานแล้วที่มีมาดสง่างามมีรอยยิ้มบางๆ ประดับริมฝีปากตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่นสำนวนว่ามนุษย์เราขอแค่มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ ไม่ต้องป่าวประกาศบอกใครก็ได้รับความนิยมยกย่องจากผู้อื่น หรือดอกท้อนับหมื่นบานสะพรั่ง หรือสาวงามแก้มผลท้อหน้าผลซิ่ง ฯลฯ (ประโยคเหล่านี้ล้วนมีอักษร 桃 ประกอบอยู่ทั้งสิ้น) ประโยคเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดที่งดงามน่าประทับใจคน ต่อให้มีเด็กคนหนึ่งหลุดปากพูดคำว่า ‘ท้อธรรมดาหลี่สามัญ’ ที่เป็นคำในความหมายเชิงลบซึ่งไม่รู้ว่าเขาไปเอามาจากไหน สตรีแต่งงานแล้วก็ไม่โกรธ ยังคงแจกเงินอั่งเปาให้ด้วยรอยยิ้ม

เพียงแต่พอสตรีแต่งงานแล้วได้ยินคำว่าเขาให้ลูกท้อเรา เราให้ลูกหลีเขา (เปรียบเปรยถึงการตอบแทนน้ำใจกันและกัน) รอยยิ้มของนางคล้ายจะฝืนใจเล็กน้อย พอได้ยินคำว่าหลี่ตายแทนเถา (สละต้นหลีเลือกต้นท้อ เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก) ซึ่งถึงแม้จะเป็นคำที่ค่อนข้างไปในทางลบ ความหมายที่ซ่อนแฝงก็ไม่ได้งดงามสมบูรณ์แบบสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเทียบกับท้อธรรมดาหลี่สามัญแล้วถือว่าดีกว่าพอสมควร ใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้วกลับเต็มไปด้วยความเดือดดาล ทำเอาเด็กคนนั้นตกใจจนทำตัวไม่ถูก หลังจากถามแซ่ของเด็กคนนั้นด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างจึงรู้ว่าอีกฝ่ายแซ่เฉิน และถึงแม้สุดท้ายสตรีแต่งงานแล้วจะยังบอกให้สาวใช้มอบเงินอั่งเปาแก่เด็กคนนั้น ทว่าตอนที่จากไปสีหน้าของนางกลับเย็นชาดุจน้ำค้างแข็งอย่างที่หาได้ยาก

คนทั่วทั้งตระกูลหลี่ต่างก็รู้ว่าหลี่หงประมุขตระกูลรักบุตรสาวคนเล็กอย่างหลี่เป่าผิงมากที่สุด ฮ่องเต้อาจจะรักบุตรชายคนโต แต่คนธรรมดามักจะรักบุตรชายคนเล็กเสมอ

สำหรับหลี่ซีเซิ่งบุตรชายคนโตและหลี่เป่าเจินบุตรชายคนรอง พวกข้ารับใช้มองไม่ออกว่าเขารักใครมากกว่ากัน เพราะหลี่หงทั้งไปอ่านหนังสือกับหลี่ซีเซิ่ง แล้วก็มักจะดื่มเหล้ากับหลี่เป่าเจินอย่างไม่แบ่งแยกเด็กหรือผู้ใหญ่ แต่อาจเป็นเพราะหลี่เป่าเจินคือลูกชายคนเล็ก บวกกับที่หลี่เป่าเจินมีนิสัยช่างอ้อนเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน ไม่ว่ากับใครก็รู้จักเข้าหาให้ความสนิทสนม หันกลับมามองหลี่ซีเซิ่ง เขามักจะเงียบขรึมหัวโบราณกว่ามาก แล้วก็ไม่ชอบพูดไม่ชอบคุยมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นภรรยาของหลี่หงจึงใกล้ชิดกับหลี่เป่าเจินมากกว่า

นับตั้งแต่หลี่เป่าเจินออกจากบ้านเดินทางไปอยู่เมืองหลวง สตรีแต่งงานแล้วก็มักจะส่งจดหมายไปที่เมืองหลวงเป็นประจำ ถามเขาว่าเมื่อไหร่จะกลับบ้าน จดหมายที่ถูกส่งกลับมามีหลายฉบับ ทุกครั้งที่หลี่เป่าเจินพูดถึงเรื่องน่าสนใจในเมืองหลวง สตรีแต่งงานแล้วที่ถือจดหมายไว้ในมือก็มักจะหลุดหัวเราะ เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่วางจดหมายลงจะต้องรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นกังวลเสมอ นางมักจะเป็นห่วงว่าบุตรชายคนเล็กที่อยู่ในสถานที่กว้างใหญ่อย่างเมืองหลวงต้าหลีจะถูกคนรังแก จดหมายแต่ละฉบับที่ถูกส่งกลับมาที่บ้านล้วนถูกทับวางกันอย่างเป็นระเบียบในกล่องสีชาดใบเล็ก หลี่หงยังเคยหยอกเย้าภรรยาว่าเด็กที่ฉลาดอย่างเป่าเจิน ต่อให้ออกไปอยู่นอกบ้านก็ไม่มีทางเสียเปรียบใครเด็ดขาด เจ้าควรเป็นห่วงคนอื่นถึงจะถูก

ตอนนี้หลี่ซีเซิ่งกลับจากโรงเรียนมาที่เรือนของตัวเอง พบว่าท่านปู่ยืนอยู่ข้างบ่อน้ำบ่อเล็กคล้ายมารอได้พักหนึ่งแล้ว จึงรีบสาวเท้าก้าวเร็วๆ เข้าไปหา

ผู้เฒ่าเดินนำเขาเข้าไปในห้อง “ไปพูดกันในห้องหนังสือของเจ้า”

มาถึงห้องหนังสือขนาดเล็กที่ชื่อว่า ‘เจี๋ยหลู’ ซึ่งสะอาดเรียบง่าย ผู้เฒ่าก็บอกเป็นนัยให้หลี่ซีเซิ่งนั่งลงพร้อมกัน จากนั้นจึงเอ่ยยิ้มๆ “นิสัยของเป่าเจินเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป อยู่ห่างจากบ้านเกิดไปไกลขนาดนั้น แถมยังเป็นลูกชายคนเล็ก มารดาเจ้าจะเป็นห่วงก็เป็นเรื่องปกติ เจ้าอย่าได้รู้สึกว่านางลำเอียงแล้วเสียใจด้วยเรื่องนี้”

หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ “ข้าไม่มีทางรู้สึกอย่างนั้นอยู่แล้ว”

ผู้เฒ่าเอ่ยเนิบช้า “สามคนที่เซี่ยสือต้องการตัวมีเจ้ารวมอยู่ด้วย ข้าไม่แปลกใจเท่าไหร่ บิดาเจ้าไม่รู้พรสวรรค์ของเจ้าก็เพราะเขามันตาบอด ข้าถึงขั้นรู้สึกว่าเจ้าไม่ได้แย่ไปกว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพเลยแม้แต่น้อย กุมารีหยกแห่งระบบเต๋าในหนึ่งทวีปแล้วอย่างไร ร้ายกาจมากนักหรือ? ก็เพราะหลานชายข้าไม่มีสำนักให้การอบรมปลูกฝัง ไม่อย่างนั้นก็อาจจะเป็นกุมารทองของเจ้าไปแล้วก็ได้ ถึงเวลานั้นจับคู่กันเป็นคู่รักเทพเซียน เฮอะๆ แบบนี้ก็ไม่เลว…”

กล่าวมาถึงช่วงสุดท้าย ผู้เฒ่าก็หัวเราะอารมณ์ดีอยู่กับตัวเอง

หลี่ซีเซิ่งระอาใจเล็กน้อย นิสัยชอบแข่งขันกับคนอื่นของท่านปู่นี่ แก้อย่างไรก็แก้ไม่หาย เพื่อให้กลายเป็นนักพรตขอบเขตสิบคนแรกในบรรดาสี่แซ่สิบตระกูลของถ้ำสวรรค์หลีจู อันที่จริงการฝ่าทะลุขอบเขตครั้งนี้ของเขาอันตรายอย่างมาก แต่ไม่ว่าใครจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ หลี่ซีเซิ่งเองก็โน้มน้าวเขาไม่ได้ หากไม่เป็นเพราะแอบทำนายดวงชะตาแล้วได้ระดับกลางค่อนไปทางดี หลี่ซีเซิ่งก็คงไม่กล้าปล่อยให้ท่านปู่ปิดด่านเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย

ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงเย็น “ส่วนเจ้าเด็กหม่าขู่เสวียนผู้นั้น ไม่ใช่ว่าข้านินทาว่าร้ายคนอื่นลับหลังหรอกนะ เดิมทีตระกูลเขาก็เป็นพวกคนเลวต่ำช้าอยู่แล้ว หึ ข้าไม่คิดว่าเขาจะได้ดิบได้ดีอะไรหรอก อุดมธรรมดุจดั่งน้ำ คนที่แข็งไปย่อมหักง่าย เป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่โบราณกาล นี่เล่นฉายประกายแหลมคมออกมาจนหมดสิ้น ไม่รู้จักอำพรางไว้บ้างเสียเลย หนึ่งปีทะลุสามขอบเขตแล้วอย่างไร แน่จริงพอถึงขอบเขตชมมหาสมุทรก็ฝ่าทะลุให้ได้อีกสามขอบเขตในรวดเดียวสิ!”

หลี่ซีเซิ่งไม่เอ่ยต่อคำ

จู่ๆ ผู้เฒ่าก็ถามว่า “เจ้ามอบ ‘เหล็กหมาดลมหิมะ’ และกระดาษยันต์ปึกนั้นให้กับเฉินผิงอันไปทั้งหมดได้อย่างไร?”

ผู้เฒ่าโมโหจนกลายเป็นขำ “เจ้าควรจะเหลือไว้ให้ตัวเองสักครึ่งหนึ่งสิ! เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเจ้าเด็กนั่นไม่รู้ถึงความล้ำค่าของกระดาษยันต์เหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ?”

หลี่ซีเซิ่งเอ่ยยิ้มๆ “ดูท่าอันที่จริงแล้วท่านปู่ไม่ได้รักเป่าผิงสักเท่าไหร่”

ผู้เฒ่าสะอึก อับอายจนพานเป็นความโกรธ “พูดอะไรของเจ้า?! ข้าไม่รักเป่าผิงแล้วจะรักใคร? เอาเถอะ ให้แล้วก็แล้วไป ข้าก็แค่พูดถึงไปอย่างนั้นเอง ข้าจะให้เจ้าไปทวงของกลับคืนมาด้วยหรือไง?”

หลี่ซีเซิ่งยิ้มอย่างรู้ใจ

ผู้เฒ่ามองรอยยิ้มของหลานชายคนโตแล้วชี้นิ้วไปในความว่างเปล่าสองที “สมบัติของตระกูลคิดจะยกให้คนอื่นก็ยกให้ ปู่ไม่ขวางเจ้า แล้วก็ไม่บีบให้เจ้าต้องรู้สึกเสียใจภายหลังด้วย แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ข้าจะด่าเจ้าว่าไอ้เด็กล้างผลาญ”

หลี่ซีเซิ่งคลี่ยิ้มเต็มปาก

ผู้เฒ่าวางสองมือไว้บนที่เท้าแขนเก้าอี้ กล่าวปลงอนิจจังด้วยท่าทางเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ปู่มีความสามารถเพียงเท่านี้ ตอนนั้นต้องเสี่ยงชีวิตแก่ๆ อย่างไม่กลัวตายถึงจะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบได้อย่างฉิวเฉียด ห้าขอบเขตบนนั้นไม่ต้องเพ้อฝันเลย ซีเซิ่ง หลังจากนี้ปู่คงทำอะไรเพื่อเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”

หลี่ซีเซิ่งรีบลุกขึ้นยืน เอ่ยเบาๆ “ท่านปู่ ท่านอย่าได้คิดเช่นนี้ ท่านทำดีมากจนดีไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”

ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะมาช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าให้กับหลานชายคนโต “ไม่ว่าจะไปอุตรกุรุทวีปหรือไม่ ไม่ว่าหลังจากนี้เจ้าจะทอดทิ้งขงจื๊อหันไปเลือกเต๋าหรือไม่ เจ้าก็ยังคงเป็นหลานชายคนดีของปู่ หลักการการเป็นคนในใต้หล้าแห่งนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน แต่ข้าเชื่อว่าหลานชายของข้าเป็นคนที่ซื่อตรงอย่างมาก และจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป!”

กระบอกดวงตาของหลี่ซีเซิ่งแสบร้อนเล็กน้อย เขาพยักหน้ารับอย่างแรง ถอยหลังไปสองก้าว กุมมือคารวะโค้งตัวลงต่ำอย่างถึงที่สุด เอ่ยเสียงดังกังวาน “ทำเป็นตัวอย่างทั้งคำพูดและการกระทำ เที่ยงธรรมจริงใจ ตระกูลหลี่ของพวกเราจะไม่มีทางพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใด!”

ผู้เฒ่าพูดพึมพำ “เจ้าย่อมใช่ แจกันน้อยก็ใช่” (แจกันน้อยในที่นี้หมายถึงหลี่เป่าผิง ชื่อเป่าผิงแปลว่าแจกันสมบัติ)

คนเดียวที่ไม่เอ่ยถึงมีเพียงหลี่เป่าเจินที่ได้รับการยอมรับจากทุกคนว่าฉลาดหลักแหลมที่สุด

ตำหนักฉางชุนของต้าหลีคือพรรคอันดับต้นที่มีผู้ฝึกตนหญิงมากที่สุดเพียงหนึ่งเดียวแห่งราชวงศ์ต้าหลี

ดังนั้นเหนียงเนียงที่เคยกุมอำนาจใหญ่ผู้นั้นจึงเลือกจะมาฝึกตนอยู่ที่นี่ เก็บตัวอย่างสันโดษ มีองค์ชายซ่งเหออยู่ข้างกาย

จำนวนของลูกหลานฮ่องเต้ต้าหลีมีไม่มาก ชายหญิงรวมกันแล้วสิบกว่าคน ทว่าแม้จะมีไม่มาก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องควันธูป นับตั้งแต่ฮองเฮาของต้าหลีประชวรและสวรรคตไป ฮ่องเต้ก็ปล่อยตำแหน่งฮองเฮาว่างไว้มาโดยตลอด สำหรับเรื่องนี้ใช่ว่าขุนนางทั้งราชสำนักไม่มีความเห็นต่าง โดยเฉพาะขุนนางกรมพิธีการที่เคยถวายฎีกาทัดทานเป็นการส่วนตัวอยู่หลายครั้ง ทว่าทุกครั้งฎีกาเหล่านั้นล้วนถูกฮ่องเต้วางทิ้งไว้บนโต๊ะ บวกกับหลายปีมานี้กองทัพชายแดนของต้าหลีกรีฑาทัพบุกเหนือล่องใต้อย่างไร้เทียมทาน จึงดึงดูดความสนใจส่วนใหญ่ของขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วทั้งราชสำนักไปได้ ดังนั้นนอกจากคำวิพากษ์วิจารณ์เล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ยังไม่มีการปรึกษาเรื่องตัวเลือกฮองเฮาและรัชทายาทของต้าหลีอย่างเป็นทางการ

ทว่าเมื่อการยกทัพลงใต้ถูกกำหนดไว้อย่างแน่นอนแล้ว ขุนนางบุ๋นบู๊ของต้าหลีไม่กล้าพูดว่าเพียงเอื้อมมือคว้าพวกเขาก็จะได้แผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปมาครอง แต่พวกเขากลับมีคุณสมบัติมากพอให้คิดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นการคัดเลือกฮองเฮาและแต่งตั้งรัชทายาทจึงเป็นเรื่องที่ทำให้ใจทุกคนตุ้มๆ ต่อมๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่เป็นทั้งการคิดพิจารณาเพื่อแผ่นดินของต้าหลี แล้วก็เป็นการเดิมพันที่ใหญ่มากครั้งหนึ่ง สายตาของใครแม่นยำกว่ากัน ยิ่งลงเดิมพันถูกข้างไว้นานเท่าไหร่ คนผู้นั้นก็ยิ่งมีสิทธิ์จะยึดครองตำแหน่งที่สำคัญในราชสำนักต้าหลีมากเท่านั้น

ทว่าเรื่องในบ้านของสกุลซ่งต้าหลีทุกวันนี้ค่อนข้างจะซับซ้อนเกินแยกแยะ เป็นเหตุให้แม้แต่จิ้งจอกเฒ่าที่ปราดเปรื่องโชกโชนประสบการณ์มากที่สุดในราชสำนักก็ยังไม่กล้าลงมือง่ายๆ

เดิมทีซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นก็มีชื่อเสียงและบารมีในกองทัพสูงสุดอยู่แล้ว ตอนนี้ยังได้รับตำแหน่ง ‘ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน’ อย่างเปิดเผยด้วย อีกทั้งนี่ยังเป็นความต้องการของฮ่องเต้เอง นับว่าเป็นเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก

หรือว่าฮ่องเต้คิดจะยกบัลลังก์ให้แก่น้องชาย ไม่ได้ยกให้แก่องค์ชายคนใด?

แม้หลายปีมานี้จะไม่ถือว่าฮ่องเต้ต้องลงมือทำทุกเรื่องด้วยตัวเอง ไม่ได้มุมานะขยันบริหารบ้านเมือง กิจการและงานด้านกองทัพที่สำคัญส่วนใหญ่ก็ยินดีแบ่งอำนาจให้คนอื่นดูแล แต่นี่ไม่ใช่เพราะเขาเกียจคร้านหรือเป็นกษัตริย์ทรราชอย่างแน่นอน ใครกล้าคิดอย่างนี้ หากไม่ใช่คนบ้าก็คือคนโง่ และในราชสำนักต้าหลีซึ่งเป็นที่ที่ดวงดาวจรัสแสงรวมตัวกันก็ไม่มีคนโง่หรือคนวิปลาสสักคน

ทว่าวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งซึ่งกลิ่นอายของเทศกาลปีใหม่ยังคงเข้มข้น หรือก็คือคืนวันเทศกาลหยวนเซียว เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองที่ผู้คนพากันออกไปชมโคมไฟนั้นเอง เมืองหลวงต้าหลีก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่มีลางบอกเหตุครั้งหนึ่ง ตำหนักใน วังหลวง ในเมือง นอกเมือง ทั่วทั้งเมืองหลวงต้าหลี ไม่ว่าจะเป็นนอกจวนโอ่อ่าสวยงามของเหล่าเศรษฐี บ้านของชาวบ้านร้านตลาดที่ไม่สะดุดตา โรงเตี๊ยมเก่าแก่ ร้านค้าและอารามเต๋าหลายแห่งล้วนมีทหารกล้า เลขาธิการฝ่ายบู๊ระดับสูงที่เชี่ยวชาญการต่อสู้แบบประชิดตัว นักรบเดนตายที่กรมพิธีการแอบเลี้ยงไว้อย่างลับๆ รวมไปถึงผู้ฝึกลมปราณจำนวนมากซึ่งอยู่ในกองโหราศาสตร์ล้วนกรูกันมาปรากฎตัว พวกเขาร่วมมือกันบุกเข้าไปในสถานที่ทั้งหลาย หากมีคนกล้าขัดขวางก็ฆ่าได้ไม่ต้องละเว้น หากไม่มีใครปรากฏตัว ขุนนางของกองโหราศาสตร์ก็จะชี้นำให้ไปรื้อถอนวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นซุ้มป้ายสูงตระหง่าน ยันต์ไม้ท้อที่แขวนไว้หน้าประตู สิงโตหินหน้าบ้าน กรอบป้ายหน้าโถงบรรพชน ป้ายวิญญาณด้านใน ฯลฯ มีครบหมดทุกอย่างสารพัดรูปแบบ

คืนนั้นซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นนั่งหลับตาทำสมาธิบัญชาการณ์อยู่บนทางเดินม้านอกเมืองด้วยตัวเองตั้งแต่ค่ำมืดจรดฟ้าสางอย่างน่าเกรงขาม

จวี้จื่อสำนักโม่ที่ออกมาจากหอป๋ายอวี้ก็ยืนอยู่ข้างกายซ่งจ่างจิ้ง

คืนนั้นซ่งจ่างจิ้งลงมือเพียงครั้งเดียว นั่นคือตอนที่ไล่ฆ่าแสงสายรุ้งเส้นหนึ่งซึ่งพยายามจะหลบหนีไป อ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีปล่อยหนึ่งหมัดต่อยรุ้งสีขาวเส้นนั้นให้แหลกสลาย

หลังจากนั้นซ่งจ่างจิ้งกับเงาร่างนั้นก็เปิดฉากต่อสู้กันที่แถบตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง พายุหมัดพัดกระหน่ำรุนแรง ก่อให้เกิดริ้วแสงเป็นระลอกสาดไปสี่ทิศ ส่องสว่างม่านราตรี ถึงขั้นสว่างกว่าเอาโคมนับหมื่นมารวมกันด้วยซ้ำ หลังศึกนั้นผ่านไป บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างพังยับไปกว่าพันหลัง คนบาดเจ็บและล้มตายไปร่วมหมื่นคน เสียงร้องโหยหวนดังระงมไปทั่ว

หลังศึกใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินครั้งนี้ผ่านไป บรรยากาศของเมืองหลวงหลังจากที่ฮ่องเต้ไปเยือนภูเขาพีอวิ๋นก็เปลี่ยนมาเป็นซับซ้อนยากจะคาดการณ์ เกรงว่าต่อให้วันนั้นอ๋องเจ้าแคว้นส่งคนไปป่าวประกาศแก่คนทั้งเมืองว่านับแต่วันนี้ไปข้าซ่งจ่างจิ้งคือฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าหลี ก็คงไม่มีขุนนางสำคัญคนใดในราชสำนักแปลกใจสักเท่าไหร่

ผู้คนในเมืองหลวงรู้สึกเหมือนตกอยู่ในอันตราย

ตำหนักฉางชุนที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าหลีไม่ไกล ผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่มีศักดิ์อาวุโสค่อนข้างมากทยอยกันกลับจากเมืองหลวงเข้ามาในตำหนัก แม้ว่าทั่วร่างจะเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นอายดุดัน แต่สีหน้าของทุกคนกลับยังคงผ่อนคลาย ดังนั้นโดยรวมแล้วสถานการณ์ของตำหนักฉางชุนจึงสุขสงบดั่งในเวลาปกติ ในกระท่อมหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขาสูง สตรีแต่งงานแล้วที่ถอดชุดชาววังอันหรูหรางดงามมองไปยังเงาร่างมากมายที่ทยอยกันหายไปตามมุมต่างๆ ของตำหนักฉางชุนด้วยความรู้สึกหงุดหงิดและเจ็บแค้น นางเจ็บแค้นที่ตัวเองต้องเปลี่ยนจากสภาพของคนเดินหมากมาเป็นเพียงผู้เฝ้าดู อีกทั้งยังเป็นผู้ดูที่น่าสงสารเพราะได้แต่มองกระดานหมากอยู่ไกลๆ อีกด้วย ที่น่าหงุดหงิดยิ่งไปกว่านั้นก็คือตนถึงกลับพลาดเหตุการณ์สำคัญซึ่งถูกกำหนดมาว่าจะต้องถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ไป

สตรีแต่งงานแล้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เด็กหนุ่มท่วงท่าสง่างามคนหนึ่งยิ้มกว้างเดินมาหยุดอยู่ข้างกายนาง กุมมือของนางไว้เบาๆ แล้วเอ่ยปลอบใจว่า “เสด็จแม่ ลมข้างนอกแรงขนาดนี้ อยู่ในห้องถึงจะอุ่น รอให้ลมพัดเบาลงแล้วค่อยออกมามองก็ยังไม่สาย”

สตรีแต่งงานแล้วพลิกมือกลับมากุมมือของบุตรชาย หรี่ดวงตางดงามที่เต็มไปด้วยประกายเฉียบคมคู่นั้นลง เอ่ยเบาๆ ว่า “เหอเอ๋อร์ แม่จะต้องทวงคืนของที่สมควรเป็นของเจ้ากลับคืนมาให้เจ้าเป็นเท่าตัวให้จงได้!”

เด็กหนุ่มมีใบหน้าอ่อนเยาว์มาตั้งแต่เกิด มองดูแล้วจึงดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างมาก “แต่ว่าเสด็จแม่ เสด็จพ่อเคยบอกพวกเราแล้วไม่ใช่หรือว่า สิ่งของไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ มีเพียงเขาอยากให้หรือไม่อยากให้ ไม่มีส่วนที่ว่าพวกเราอยากได้หรือไม่อยากได้?”

ริมฝีปากของสตรีแต่งงานแล้วสั่นระริกคล้ายกำลังเจ็บปวดอยากร้องไห้ แต่คิ้วยาวของนางเลิกขึ้นสูงจึงดูคล้ายกำลังปิติยินดี

……

ณ ตำหนักฉางชุน ในหอเรือนสูงบนภูเขาอีกลูกหนึ่ง เด็กสาวต่ำต้อยที่มีชาติกำเนิดมาจากหญิงชาวเรือกำลังรับฟังอาจารย์บรรยายถึงสถานการณ์ศึกอันดุเดือดที่เพิ่งเกิดขึ้นในเมืองหลวงต้าหลีหมาดๆ

เด็กสาวนั่งเท้าคาง ฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ ตั้งใจฟังอย่างมีสมาธิ บนโต๊ะวางขวดกระเบื้องไว้ขวดหนึ่ง ด้านในบรรจุกิ่งดอกท้อสองสามกิ่งที่เด็กสาวเพิ่งไปตัดมาจากต้น

ทว่าสุดท้ายแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเด็กสาวถึงคิดถึงบัณฑิตสวมชุดเขียวที่พบเจอกันที่บ้านเกิดขึ้นมาอีก ลักษณะของเขาสะอาดสะอ้านเหมือนเสียงขลุ่ยแผ่วพลิ้วยามราตรี เหมือนใบไม้สีเขียวใบหนึ่งที่ลอยผ่านบ่อน้ำขนาดใหญ่ของเมืองหงจู๋ที่เต็มไปด้วยหอโคมเขียวโคมแดง

แต่นางเองก็หวนนึกไปถึงบุรุษชุดขาวที่เดินสวนไหล่กับตนบนทางภูเขาเล็กๆ ของภูเขาฉีตุนด้วย จำได้แค่ว่าดูเหมือนตอนนั้นเขาจะเศร้าสร้อยอย่างมาก

เด็กสาวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงถูกผู้อาวุโสไท่ซ่างของตำหนักฉางชุนคนนั้นเคาะหน้าผากเบาๆ หนึ่งที สตรีวัยผู้ใหญ่เต็มตัวที่ยังคงรักษาความงามเอาไว้ได้เป็นอย่างดียิ้มบางๆ “คิดถึงบ้านเกิดรึ?”

เด็กสาวหน้าแดงก่ำอย่างคนร้อนตัว

ใบหน้าแม่นางแดงปลั่งดุจดอกท้อ

……

เหนือมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่กั้นขวางระหว่างแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีปมีปลาตัวใหญ่กำลังแหวกว่ายขึ้นไปทางทิศเหนือ

หนึ่งครอบครัวสามคนเดิมทีเป็นเพียงชาวบ้านร้านตลาดที่ไม่สะดุดตามากที่สุด ตอนนี้เมื่อมาอยู่บนปลาใหญ่ข้ามมหาสมุทรที่มีเทพเซียนบนภูเขารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ต่อให้พักอยู่ในโรงเตี๊ยมระดับล่างที่เรียบง่ายมากที่สุดก็ยังคงเป็นที่ดึงดูดสายตา บวกกับที่มารดาและลูกสาวคนหนึ่งมีเรือนกายอวบอิ่ม เป็นหุ่นของสตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ในวัยสุกงอมอย่างเต็มที่ ส่วนบุตรสาวก็มีเรือนกายอรชรอ้อนแอ้น ดวงตาฉายประกายเฉลียวฉลาด ต่อให้ยกเป็นคู่รักเทพเซียนที่ต้องผ่านการลงนามแห่งขุนเขาและมหาสมุทร หรือผ่านการสู่ขออย่างถูกต้องตามธรรมเนียมไม่ได้ แต่จะให้ไปเป็นสาวใช้คนหนึ่งในสำนักย่อมมากเหลือแหล่

ดังนั้นบนพื้นที่หลังปลาใหญ่ที่กว้างขวางราวกับเมืองเล็กแห่งหนึ่ง ต่อให้ครอบครัวสามคนนี้แทบจะไม่เคยออกจากห้องมาชมทิวทัศน์ด้านนอกก็ยังคงมีผู้ฝึกตนอิสระดับต่ำบางส่วนที่เกิดความคิดชั่วร้าย ระยะทางข้ามผ่านสองทวีปยาวไกลมาก หากสามารถหาเรื่องสนุกทำได้ จะไม่เต็มใจทำได้อย่างไร?

ยังดีที่มากคนก็มากสายตาคอยจับจ้อง เพราะปลาใหญ่ข้ามทวีปตัวนี้บรรทุกสินค้าจำนวนนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีเซียนซือขอบเขตเก้าคนหนึ่งและผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดอีกคนหนึ่งนั่งบัญชาการณ์ ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณที่เป็นหนุ่มฉกรรจ์บางคนซึ่งคันไม้คันมืออยากลงมือเต็มที่จึงไม่กล้าแสดงตัวเด่นชัดเกินไปนัก แรกเริ่มเป็นเพราะเงินทองก่อให้เกิดความละโมบ ไม่ว่าจะมองอย่างไรครอบครัวสามคนนั้นก็ไม่เหมือนคนมีภูมิหลัง ต่อให้มีญาติเป็นเซียนซือ อย่างมากก็คงมาจากสำนักเล็กๆ ระดับล่าง หาไม่แล้วคงไม่เช่าห้องพักที่ราคาถูกที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงมีคนฉวยโอกาสมาเคาะห้องเรียกเพื่อทักทายปราศรัย พอได้เข้าไปนั่งดื่มชาก็เผยอาการบางอย่างออกมาให้เห็น ผลกลับกลายเป็นว่าสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นตกใจจนหน้าซีดขาว กลับเป็นบุตรสาวของสตรีนางนั้นที่ยิ้มเย็นชา บอกว่ารอให้บิดานางกลับมาก่อนค่อยว่ากัน

ตอนนั้นบนระเบียงนอกประตูยังมีพวกเดียวกับคนผู้นั้นยืนอยู่อีกหลายคน หนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางที่มากประสบการณ์คนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ห้อยกระบี่ไว้ตรงเอวด้วย! เรื่องแบบนี้แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องให้เขาออกหน้าเอง เพราะจะลดคุณค่าตัวเองมากเกินไป แต่คำแรกของอาหารป่าสองจานนี้ต้องให้เขาเป็นคนชิมก่อน ส่วนหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรก็ต้องดูที่อารมณ์ของเขาว่าอยากจะให้รางวัลพวกลูกสมุนข้างกายหรือไม่

ผลกลับกลายเป็นว่าพอชายฉกรรจ์ท่าทางซื่อตรงคนหนึ่งที่ไปซื้ออาหารกลับมาและได้ยินว่ามีเรื่องนี้ เขาทั้งไม่มีท่าทางขลาดกลัว แล้วก็ไม่ได้ตบโต๊ะถลึงตา เพียงวางกล่องอาหารที่บรรจุอาหารเที่ยงที่เรียบง่ายที่สุดลงบนโต๊ะ แล้วบอกว่าออกไปคุยกันข้างนอก

สตรีแต่งงานแล้วอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา เด็กสาวจับมือมารดาของนาง บอกว่าไม่เป็นไร ยังมีบิดาอยู่

สตรีแต่งงานแล้วพลันร้องไห้โฮ เอ่ยประโยคที่ทำให้เด็กสาวรู้สึกปวดใจ “ข้ากลัวว่าพ่อเจ้าจะถูกคนอื่นทุบตี”

หลังเดินข้ามธรณีประตูออกไป ชายฉกรรจ์ก็ปิดประตูลงเบาๆ มือข้างหนึ่งคว้าลำคอของคนผู้นั้นหิ้วตัวลอยอยู่กลางอากาศคล้ายหิ้วลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง เดินทีละก้าวเข้าหาผู้ฝึกลมปราณของอุตรกุรุทวีปที่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ข้างกายของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหกที่สงบสติอารมณ์ได้มากที่สุดมีคนกำลังจะเอ่ยคำพูดข่มขู่ แต่กลับค้นพบว่าลูกกระเดือกของตนเองแสบร้อนคล้ายถูกยัดถ่านร้อนๆ ก้อนหนึ่งเข้าไป ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ยกสองมือกุมลำคอร้องอึกๆ อักๆ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

ชายฉกรรจ์โยนผู้ฝึกลมปราณในมือที่ลมหายใจรวยรินทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ หันไปถามผู้ฝึกกระบี่คนนั้นว่า “บรรพบุรุษของเจ้าชื่อแซ่อะไร ชื่อสำนักคืออะไร?”

ผู้ฝึกกระบี่หัวเราะหยัน “พวกเรายังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่เจ้ากลับท้าตีท้าต่อยขึ้นมาก่อน ตามกฎของเรือข้ามทวีปลำนี้ เจ้าต้องถูกโยนลงทะเล”

ชายฉกรรจ์คร้านจะพูดให้มากความ เหวี่ยงหมัดต่อยสะพานอมตะของผู้ฝึกกระบี่คนนั้นให้ขาดครึ่ง บังคับกระชากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ไม่ทันได้ออกกระบวนท่าออกมาจากช่องโพรงลมปราณ ‘ทั้งรากทั้งโคน’ กำไว้ในมือตัวเองเบาๆ เพียงพริบตาก็บีบมันจนแหลกละเอียด

ผู้ฝึกกระบี่ที่เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดนอนกองอยู่บนพื้น

นักพรตคนอื่นๆ ลงไปนั่งคุกเข่าร้องวิงวอนแทบจะเวลาเดียวกัน

ทว่าความเคลื่อนไหวทั้งหมดของที่แห่งนี้ได้ถูกชายฉกรรจ์ใช้วิชาอภินิหารของวิถีวรยุทธ์สกัดกั้นให้อยู่เพียงแค่นอกประตูห้องนั้นทั้งหมดแล้ว

ชายฉกรรจ์เอ่ยเรียบๆ ว่า “บอกที่มาของผู้ฝึกกระบี่คนนี้ พร้อมกับชื่อแซ่และสำนักของพวกเจ้าทุกคนมาให้ครบ กินหมัดข้าไปหนึ่งทีแล้ว วันหน้าข้าจะไปจัดการกับบรรพบุรุษของพวกเจ้าเอง”

มีบางคนเกิดความคิดเจ้าเล่ห์ จงใจพูดชื่อสำนักแห่งหนึ่งขึ้นมามั่วๆ ตบะของชายฉกรรจ์แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าไร้เทียมทาน เขาเห็นริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจของผู้ฝึกลมปราณชัดเจนดุจส่องไฟในถ้ำ จึงเหวี่ยงหมัดหนึ่งต่อยไปที่รากฐานแห่งการพิสูจน์ความเป็นอมตะของผู้ฝึกลมปราณคนนั้น แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ในเมื่อข้าสามารถต่อยให้เจ้าตายด้วยหมัดเดียว แต่ยังยินดีพูดกับเจ้าดีๆ พวกเจ้าก็ควรตั้งใจฟังให้ดี”

คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็ได้รับบทเรียนเป็นตัวอย่าง

นักพรตขอบเขตเก้าและผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดที่ควบคุมดูแลเรือลำนี้รีบมาทันทีที่ได้รับข่าว

นักพรตคือผู้เฒ่าที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเก้าโอสถทองคำ ประโยค ‘ผู้ที่สร้างโอสถทองคำได้สำเร็จ คือคนรุ่นเดียวกับข้า’ ที่พูดกันติดปากบนภูเขาหมายถึงลูกรักแห่งสวรรค์ที่ฝ่าขอบเขตที่แปดประตูมังกรได้สำเร็จ ดังนั้นขอบเขตโอสถทองคำจึงถูกขนานนามให้เป็นการ ‘แต้มนัยน์ตา’ ที่แปรเปลี่ยนสิ่งผุพังให้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์หลังจากเป็นปลาหลีที่กระโดดข้ามประตูมังกรมาแล้ว ตลอดทั้งมหาสมุทรลมปราณของพวกเขาจะหดตัวกลายมาเป็นโอสถทองเม็ดหนึ่งที่หมุนคว้างไปตามช่องโพรงลมปราณแห่งต่างๆ สภาพการณ์ในร่างกายของนักพรตแต่ละคนที่ลมปราณก่อตัวเป็นเม็ดยานั้นจะแตกต่างกันออกไป นักพรตที่มีพรสวรรค์บางคน สภาพการณ์เวลาลมปราณก่อตัวเป็นเม็ดยาจะยิ่งใหญ่อลังการถึงขั้นชักนำให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นในฟ้าดิน

‘ห้องโอสถ’ ของนักพรตใหญ่ขอบเขตโอสถทองคำแต่ละคนจะมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน ซึ่งข้อดีและข้อเสียก็ต่างกันราวก้อนเมฆกับดินโคลนด้วย แต่ก็มีสถานการณ์ที่พิเศษที่เรียกว่า ‘ใหญ่แต่ว่างเปล่า’ ‘เล็กแต่มหัศจรรย์’ อยู่ด้วย สมกับคำว่าเจตนารมณ์สวรรค์ยากจะคาดเดาอย่างแท้จริง

ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดคือผู้เฒ่าร่างกำยำที่สูงถึงแปดฉื่อคนหนึ่ง ตรงเอวพกดาบหนึ่งเล่ม

ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองคำเห็นสภาพอเนจอนาถของคนบนระเบียงก็พลันเดือดดาล เตรียมจะยกกฎเกณฑ์ขึ้นมาข่ม

ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดกลับเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “หงเหล่า คนผู้นี้อย่างน้อยก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด”

ผู้เฒ่าร่างกำยำยังไม่ลืมเพิ่มระดับน้ำเสียงเน้นย้ำสองคำเดิม “อย่างน้อย!”

นักพรตเฒ่าคนนั้นจึงรีบตรวจสอบระยะห่างระหว่างตนกับชายฉกรรจ์ผู้นั้นอย่างรวดเร็ว เห็นว่าห่างกันไม่เกินสิบจั้ง นี่ทำให้เขารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

ประมือกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่อย่างน้อยคือขอบเขตแปดในระยะสิบจั้ง ไม่น่าสนุกเลยแม้แต่น้อย

ยังดีที่ชายฉกรรจ์ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้ใคร เพียงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ

จากนั้นก็มีคนผู้หนึ่งที่ตาไม่มีแววแต่มีความมั่นใจตะโกนขึ้นมาเสียงดังอย่างเดือดดาล “เทพเซียนหงเหล่า ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่บนพื้นคือถังซิวเฟิงแห่งชิงเหมียวเจียน กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาถูกเจ้าคนบ้าผู้นั้นกระชากออกมาจากในร่างและบีบจนแหลกเละไปแล้ว! ความแค้นใหญ่หลวงครั้งนี้ ชิงเหมียวเจียนไม่มีทางปล่อยเขาไว้แน่นอน!”

หากไม่มีคำเตือนนี้ นักพรตเฒ่าขอบเขตโอสถทองอาจจะยังตัดสินใจไม่ได้เฉียบขาดนัก แต่พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็รีบประเมินสภาพของผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่บนพื้นทันที แล้วนักพรตเฒ่าก็ต้องกลืนน้ำลาย ในที่สุดก็สามารถตัดสินใจได้ ชายฉกรรจ์ที่ลงมืออย่างเหี้ยมโหดคนนั้น ไม่เพียงแต่อย่างน้อยต้องเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล อีกทั้งอย่างน้อยยังอาจจะอยู่ในขอบเขตแปดขั้นสูงสุด มีความเป็นไปได้สูงว่าจะสัมผัสกับธรณีประตูของเขตยอดเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นจะทำลายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางคนหนึ่งได้อย่างไร

นักพรตเฒ่าจึงเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “วางใจเถอะ เรื่องนี้พวกเราจะตัดสินอย่างยุติธรรม จะต้องคืนความเป็นธรรมให้กับท่านผู้อาวุโสแน่นอน”

ชายฉกรรจ์พยักหน้า ครุ่นคิดแล้วก็พูดกับพวกคนที่อึ้งงันเป็นไก่ไม้ว่า “หมัดนั้นติดค้างไว้ก่อน หลังจากนี้ข้าค่อยไปคิดบัญชีกับบรรพบุรุษของพวกเจ้า”

ชายฉกรรจ์มองมาทางนักพรตเฒ่าและผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน ขมวดคิ้วกล่าวว่า “พวกเจ้าห้ามฆ่าคนปิดปากเด็ดขาด เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”

นักพรตเฒ่ายิ้มอย่างจนใจ “พวกเราไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอก”

ชายฉกรรจ์ไม่พูดอะไรอีก เขาเดินกลับไปที่หน้าประตูห้องของตัวเอง เคาะประตูห้องที่บุตรสาวจงใจลงกลอนเพื่อปลอบใจมารดา “หลิ่วเอ๋อร์ พ่อเอง”

เด็กสาวเดินมาเปิดประตูด้วยฝีเท้าแผ่วเบา ชายฉกรรจ์เดินเข้าไปในห้องแล้วก็งับประตูปิด สตรีแต่งงานแล้วปรี่เข้ามาหา บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตา “หลี่เอ้อร์ เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้ถูกคนรังแกใช่ไหม? โดนตีตรงไหนหรือเปล่า? ต้องทายาไหม?”

ชายฉกรรจ์เกาหัว ยิ้มซื่อๆ “ไม่เลย คนดูแลบนเรือผ่านมาพอดี ข้าเลยรีบเล่าให้เขาฟัง หึ เจ้าเดาสิว่าเป็นอย่างไร เขามีเหตุผลมากเลยล่ะ รีบไล่คนพวกนั้นไป แถมยังบอกพวกเขาว่าวันหน้าห้ามเข้าใกล้พวกเราสามคนอีก เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรแล้ว ข้าเคยบอกแล้วไง ออกมานอกบ้านก็ยังมีคนดีให้เห็นอยู่มาก”

เด็กสาวหลี่หลิ่วข่มกลั้นรอยยิ้มเอาไว้

เดินทางไกลคราวนี้ไม่เสียเที่ยว บิดานางรู้จักพูดปดบ้างแล้ว

สตรีแต่งงานแล้วถึงวางใจลงได้ นางตบหน้าอกตัวเองแรงๆ พูดเสียงสั่น “โชคดีไปๆ”

ชายฉกรรจ์แค่คลี่ยิ้มมองภรรยาของตัวเองเงียบๆ

สตรีแต่งงานแล้วคิดไปไกล บิดเนื้อแข็งๆ ตรงเอวชายฉกรรจ์อย่างแรง ตำหนิเสียงเบา “ลูกยังอยู่นะ ไม่รู้จักเก็บสายตาสุนัขของเจ้าบ้าง!”

ชายฉกรรจ์ยังคงเกาหัวอย่างทึ่มทื่อ

ยามค่ำคืน ดวงจันทร์ลอยตัวสูงอยู่เหนือผืนทะเล

เด็กสาวหลี่หลิ่วยืนอยู่ข้างราวระเบียง ทอดสายตามองดวงจันทร์กลมโตที่อยู่ห่างไปไกล

หยางเหล่าโถวเคยบอกว่า พรสวรรค์ของนางดี ส่วนหลี่ไหวนั้นมีโชควาสนา

พรสวรรค์ดีอย่างไร?

นี่เป็นเรื่องที่หลี่หลิ่วรู้มาตั้งแต่เกิด

ตอนนั้นที่นางทำท่าท้าทายราชครูต้าหลีที่สำนักศึกษาซานหยา ไม่ใช่ว่าเด็กสาวไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่เป็นเพราะเด็กสาวรู้ดีที่สุดว่าฟ้าสูงแค่ไหน แผ่นดินต่ำเท่าไหร่

ห้องข้างๆ ห้องพักของเด็กสาว

สตรีแต่งงานแล้วเป็นคนใจกว้าง ในเมื่อเรื่องผ่านไปแล้วนางก็ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไรอีก ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน ตอนนี้กำลังนอนกรนเสียงดัง

หลี่เอ้อร์นอนอยู่ข้างกายนาง ฟังเสียงกรนดังสนั่นราวฟ้าผ่าของสตรีแต่งงานแล้ว เขาก็เอื้อมมือไปกุมมือของนางไว้เบาๆ

ชายฉกรรจ์หลับตาลงช้าๆ เขาไม่เคยพูดคำหวานเลี่ยนอะไร แล้วก็พูดไม่ออกด้วย ยังดีที่ภรรยาของเขาเองก็ไม่ชอบฟังคำเหล่านั้น

ภรรยาสบายดี บุตรชายสบายดี บุตรสาวสบายดี คนเป็นบิดาอย่างเขาก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ชายฉกรรจ์หลับตาลงแล้วคลี่ยิ้มอย่างสุขใจ

ทะเลสาบซูเจี่ยนที่ขึ้นชื่อว่ามีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นมากที่สุด น้ำในทะเลสาบเป็นสีมรกตกว้างไกลนับพันลี้ ทัศนียภาพงดงาม ในทะเลสาบมีเกาะพันกว่าแห่ง กระจายตัวราวดวงดาวดารดาษบนท้องนภา เกาะครึ่งหนึ่งมีผู้ฝึกลมปราณที่ระดับสูงต่ำแตกต่างกันยึดครองหรือไม่ก็เช่าพื้นที่ ส่วนเกาะชิงเสียที่ใหญ่ที่สุดคือที่ตั้งจวนของหลิวจื้อเม่า สกัดคงคาเจินจวิน

หลิวจื้อเม่าฝึกวิชานอกรีต แม้ว่าตำแหน่งเจินจวินของเขาจะไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากราชสำนัก เป็นเพียงคำเรียกขานอย่างประจบสอพลอของสหายบนภูเขา แต่คาถาอาคมของหลิวจื้อเม่าลึกล้ำสูงส่ง ซึ่งได้รับการพิสูจน์จากศึกใหญ่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาหลายครั้ง เนื่องด้วยชื่อเสียงของหลิวจื้อเม่าไม่ดีนัก แม้ว่าจะมีสหายมาก แต่ส่วนใหญ่กลับสนิทกันเพียงผิวเผิน ส่วนลูกศิษย์ในสำนักก็มีทั้งคนดีคนชั่วปะปนกัน ทว่าไม่มีคนหนุ่มสาวที่โดดเด่นจนสามารถทำหน้าที่เป็นเสาหลักได้ แต่ถึงกระนั้นหลิวจื้อเม่าก็ยังได้ครอบครองเกาะชิงเสียของทะเลสาบซูเจี่ยน สามารถพูดได้ว่าเขาอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวยืนหยัดไม่ล้มลงอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่าและเสือร้ายที่รายล้อมได้อย่างแท้จริง

และหลังจากที่หลิวจื้อเม่าเดินทางขึ้นเหนือไปครั้งนั้นก็ผลักดันให้เขาประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น

เพราะเขาพาเด็กน้อยคนหนึ่งที่ป่าวประกาศกับคนอื่นว่าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายกลับมาด้วย เด็กที่ตัวสูงยังไม่ถึงก้น แต่กลับมีร่างกายแข็งแรงเปี่ยมชีวิตชีวา ตอนแรกใครก็มองว่าเขาเป็นเด็กบ้านนอกที่เหยียบโชคขี้หมา และเด็กชายก็ยังสนุกสนานอารมณ์ดี ไม่ได้รับรู้ถึงสายตาดูแคลนและประสงค์ร้ายเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะลูกศิษย์ใหญ่บุกเบิกสำนักของหลิวจื้อเม่าที่เกลียดขี้หน้าลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์มากที่สุด

ภายหลังเมื่ออยู่กับเด็กน้อยนานวันเข้า คนทั่วทั้งเกาะชิงเสียถึงได้รู้ว่าที่แท้นี่คือเจ้าวายร้ายน้อยที่มีความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มหัว อายุน้อยๆ ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญการแสดงแสร้งทำตัวโง่งม แถมยังจดจำความแค้นได้อย่างดีเยี่ยม มีลักษณะของหลิวจื้อเม่าอาจารย์ตัวเองอยู่ไม่น้อย พิสูจน์ถ้อยคำโบร่ำโบราณที่บอกว่า ‘คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง’ ได้อย่างดีเยี่ยม

เมื่อปลายปีก่อนบนเกาะชิงเสียเกิดหายนะครั้งใหญ่ที่สร้างความวุ่นวายไปทั่วทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน และเด็กชายคนนี้ก็คือหนึ่งในตัวการร้าย

แม้ว่าหลิวจื้อเม่าจะครองความเป็นใหญ่อันดับหนึ่งของเกาะชิงเสีย แต่ก็ยังมีสำนักเล็กๆ ที่พึ่งพาอยู่อีกหลายแห่ง นอกเหนือจากนี้สกัดคงคาเจินจวินยังชอบเชื้อเชิญเค่อชิง (คนต่างแคว้นที่มาทำหน้าที่ขุนนางในแคว้นนั้นๆ ) ที่สันดานใกล้เคียงกันให้มาปรนนิบัติรับใช้ พวกเขาเอาแต่หาความสำราญตลอดทั้งปี แต่หากลงมือขึ้นมาเมื่อไหร่ย่อมต้องสามารถถอนรากถอนโคนศัตรูได้

ส่วนเจ้าของเกาะที่อยู่บนเกาะใกล้เคียงก็เป็นพวกอำมหิตเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่ละคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่สองมือเปื้อนเลือดมาก่อน ข้างกายเด็กชายที่ชื่อกู้ช่านนี้ยังมีมารดาของเขาติดตามมาด้วย เป็นสตรีวัยแต่งงานแล้วที่พรสวรรค์ธรรมดา ไม่สามารถฝึกตนได้ แต่หน้าตารูปร่างของนางกลับมีเสน่ห์ดึงดูดใจคน ดังนั้นในบรรดาเค่อชิงของหลิวจื้อเม่าจึงมีคนที่คิดจะรับสตรีผู้นี้เป็นสาวใช้ห้องข้าง เค่อชิงวัยชราที่หน้าตาอัปลักษณ์คนนั้นมีพลังการต่อสู้แข็งแกร่งมาก มีประสบการณ์ในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นมาร้อยกว่าปีจนพอจะบุกเบิกภูเขาเป็นของตัวเองได้ ต่อให้เป็นหลิวจื้อเม่าก็ยังต้องยอมลงให้เขาสามส่วน

สิ่งที่คนผู้นี้ชอบทำมากที่สุดในชีวิตก็คือใช้หน้าอกของผู้หญิงเป็นเตาอุ่นมือ ดังนั้นเสื้อผ้าที่สาวใช้ของเขาสวมใส่จึงไม่เหมือนกับสาวใช้คนอื่นๆ คอเสื้อของพวกนางจะแหวกกว้างมากเพื่อสะดวกให้เขาสอดมือเข้าไปข้างใน สตรีหน้าตางดงามเหล่านั้นจึงถูกเรียกขานอย่างล้อเลียนว่า ‘แม่นางเสื้อแหวก’

สำหรับเรื่องนี้หลิวจื้อเม่าแสดงออกอย่างคลุมเครือ ทั้งไม่ได้ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้ชื่นชม แสร้งทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่

หลังจากนั้นมีวันหนึ่งคนผู้นี้ที่ดื่มเหล้าเมามายเดินอาดๆ บุกเข้ามาในเรือนที่พักของสตรีแต่งงานแล้ว เขาถีบประตูให้เปิดอ้า เดินเข้ามาในห้องได้ก็แบกสตรีแต่งงานแล้วพาดไหล่ เตรียมจะพากลับไปหาความสำราญที่บ้านตัวเอง เขาหัวเราะเสียงดังอย่างกำเริบเสิบสานโดยที่ไม่มีใครกล้าขัดขวาง

ตอนนั้นลูกศิษย์คนโตของหลิวจื้อเม่าเพิ่งจะหาข้ออ้างมาหลอกพากู้ช่านบุตรชายคนเดียวของสตรีแต่งงานแล้วไปที่ด้านหลังภูเขาบนเกาะชิงเสีย บอกว่าจะถ่ายทอดคาถาลับไม่แพร่งพรายของลัทธิเต๋าที่ลึกล้ำแทนอาจารย์ให้กู้ช่านที่น้ำตก

ผลคือเค่อชิงเฒ่าคนนั้นเพิ่งจะแบกสาวงามกลับไปถึงจวนใหญ่ของตัวเอง เตรียมจะโยนสาวงามที่ให้สัมผัสดีเยี่ยมลงบนเตียงแล้วกลืนกินทั้งเป็น

นาทีนั้นไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่แค่ที่เกาะชิงเสีย ผู้ฝึกลมปราณใหญ่ทั่วทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนต่างก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

น้ำในทะเลสาบพลันก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์โถมตัวสูงเทียมฟ้า ลมปราณกระจัดกระจายวุ่นวาย น่าตะลึงพรึงเพริดอย่างถึงที่สุด

เป็นเหตุให้นักพรตขอบเขตเก้าสองท่านที่ปิดด่านมานานจำเป็นต้องออกจากด่านก่อนกำหนดเพื่อมาตรวจสอบว่าเทพเซียนฝ่ายใดกันที่ถึงขนาดกล้าก่อความวุ่นวาย ปั่นป่วนโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำที่เข้มข้นผิดจากที่อื่นของทะเลสาบซูเจี่ยนโดยไม่สนใจว่าจะทำให้ผู้คนโกรธเคือง

จากนั้นผู้ฝึกลมปราณทุกคนต่างก็มองไปทางเกาะชิงเสียด้วยอาการปากอ้าตาค้าง จิตวิญญาณสะท้านสะเทือนรุนแรง

เจียวหลงตัวหนึ่งที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของมังกรค่อยๆ ชูศีรษะใหญ่มหึมาขึ้นมาใกล้ๆ กับเกาะชิงเสียของทะเลสาบซูเจี่ยน จ้องเขม็งไปยังจวนบางแห่งบนนั้น

บนยอดเขาของเกาะชิงเสียมีเด็กชายหน้าตาดุดันคนหนึ่งยืนเคียงไหล่กับสตรีที่เดิมทีเขาควรเรียกด้วยความเคารพว่าศิษย์พี่หญิงรอง ดวงตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นของเด็กชายมองไปยังเจียวหลงน่าครั่นคร้ามที่โผล่พ้นน้ำมาเพียงแค่ส่วนหัวตัวนั้นแล้วออกคำสั่ง “หนีชิวน้อย! กินๆๆ กินพวกมันให้หมดเลย! อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว ห้ามให้หนีรอดไปแม้แต่คนเดียว! หากท่านแม่ของข้าถูกคนรังแกแม้เพียงปลายเล็บ ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”

หลังจากนั้นคนร้อยกว่าคนในจวนใหญ่ของเค่อชิงผู้นั้น ซึ่งรวมถึงตัวเค่อชิงเองและแม่นางเสื้อแหวกหน้าตาพริ้มเพราหลายสิบคนต่างก็ถูกเจียวหลงสีเหลืองดินตัวนั้นเขมือบกลืนลงท้องทั้งหมด บนพื้นนองไปด้วยเลือดสดและเศษซากโครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วน ประหนึ่งนรกบนผืนดิน ตอนแรกเค่อชิงที่เป็นผู้ฝึกลมปราณใหญ่ขอบเขตเก้าไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศประมือกับสัตว์ยักษ์ตัวนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กระนั้นก็ยังสู้ไม่ได้ แม้จะเรียกสมบัติอาคมมาใช้จนหมดสิ้นก็ยังไม่อาจทำให้สัตว์เดรัจฉานตัวนั้นมีแม้แต่รอยขีดข่วน มีแต่จะทำให้มันเกรี้ยวกราดกระหายการเข่นฆ่ามากกว่าเดิม สุดท้ายมันถึงกับพุ่งออกมาจากทะเลสาบทั้งตัว กระโจนเข้ากัดร่างของเค่อชิงที่พยายามเผ่นหนีจนร่างของเขาขาดครึ่งท่อน ขณะที่ร่างท่อนบนที่ร้องโหยหวนของเขากำลังจะร่วงลงสู่ทะเลสาบก็โดนเจียวหลงสีเหลืองดินที่ไล่ตามมางับไว้ สุดท้ายร่างเกินครึ่งของมันจมหายเข้าไปในทะเลสาบ เหลือเพียงศีรษะและลำคอที่โผล่พ้นน้ำ ปากขยับเคี้ยวเชื่องช้าเกิดเสียงน่าขนพองสยองเกล้า การกระทำนี้ของมันแสดงให้เห็นถึงการท้าทายที่มีต่อคนทั้งเกาะชิงเสีย

ในดวงตาเยียบเย็นที่ใหญ่โตยิ่งกว่าโคมไฟคู่นั้นของมันเปล่งแววเย้ยหยันไม่ต่างจากสายตาของคน

เด็กชายบนยอดเขาก็ยิ่งหัวเราะดุดัน “ดีๆๆ หนีชิวน้อย ไปกินศิษย์พี่ใหญ่สารเลวคนนั้นพร้อมกันเลย ใครกล้าขวางเจ้าก็กินเขาไปด้วยเลย!”

ต่อให้สตรีที่เอาข่าวมาแจ้งกู้ช่านจะยืนอยู่ข้างกายเขาก็ยังอดเสียวสันหลังไม่ได้ นางตกตะลึงไปกับนิสัยกระหายการเข่นฆ่าของศิษย์น้องเล็กอย่างกู้ช่านจริงๆ

หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินมาโผล่พรวดอยู่บนยอดเขา กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แม้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าจะทำผิด แต่อาจารย์จะลงโทษเขาอย่างเต็มที่ เจ้าปล่อยเขาไปสักครั้งเถอะ?”

กู้ช่านหัวเราะ “อาจารย์ หากท่านไม่ตีข้าให้ตายแล้วปล่อยให้หนีชิวน้อยอาละวาดอยู่ที่นี่ต่อไป ก็มีอีกทางเลือกหนึ่งคือยอมให้ลูกศิษย์หายไปแค่คนเดียว อาจารย์ท่านมีลูกศิษย์ตั้งหลายสิบคน ขาดไปคนหนึ่งก็ไม่เห็นจะเป็นไร วันหน้าข้าจะช่วยอาจารย์สร้างชื่อเสียงให้ขจรขจาย อย่าว่าแต่ศิษย์พี่ใหญ่ตายไปเลย ต่อให้ศิษย์พี่หญิงรองหายไปพร้อมกันด้วยก็ไม่เห็นจะสำคัญ”

เด็กชายยิ้มกว้าง เงยหน้าขึ้นสูงเพื่อประสานสายตากับผู้เฒ่า แล้วถามยิ้มๆ “อาจารย์ ท่านเห็นว่าอย่างไร?”

สีหน้าของหลิวจื้อเม่าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน สุดท้ายเขาพลันหัวเราะร่า ลูบศีรษะของเด็กชายด้วยสีหน้าปราณี “เจ้าเด็กคนนี้มีบุคลิกของอาจารย์ในอดีต ดี ดีมาก”

กู้ช่านยิ้มตาหยี “ท่านอาจารย์วางใจได้เลย วันหน้าหากท่านต้องการสังหารใคร ข้าคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่าน ย่อมต้องทำตามคำสั่งของท่าน จะอย่างไรเสียหนีชิวน้อยก็ชอบกินคน โดยเฉพาะเทพเซียนบนภูเขา กินเข้าไปแล้วยังบำรุงพลังให้มันได้มาก หนีชิวน้อยชอบนักล่ะ เฮ้อ หนีชิวน้อยนี่ก็จริงๆ เลย พอออกจากบ้านเกิดก็โตเร็วขนาดนี้ ขนาดถ้วยใหญ่สีขาวของท่านอาจารย์ก็ยังกักตัวมันไว้ไม่อยู่ ได้แต่ต้องเอามาเลี้ยงไว้ในทะเลสาบใหญ่ อาจารย์ ท่านมีถ้วยที่ใหญ่กว่าเดิมหรือไม่?”

หลิวจื้อเม่าส่ายหน้ายิ้มๆ

เด็กชายก็หัวเราะคิกคักอย่างว่าง่ายตามไปด้วย

มีเพียงศิษย์พี่หญิงรองของเขาที่ขนลุกด้วยความสะพรึงกลัว

จากนั้นสัตว์ขนาดมหึมาที่ถูกกู้ช่านเรียกว่าหนีชิวน้อยก็กินศิษย์พี่ใหญ่แห่งเกาะชิงเสียที่วิงวอนขอร้องอย่างยากลำบากลงท้อง ร่างใหญ่โตของมันไถคราดจนพื้นดินบนเกาะเกิดเป็นร่องลึกหลายร่อง เจียวหลงไม่เพียงแต่กินคนผู้นั้น แม้แต่คนบางคนที่มาชมเหตุการณ์ใกล้ๆ อย่างไม่กลัวตาย หรือข้ารับใช้บางส่วนที่หนีไม่ทันก็ล้วนถูกกินไปด้วย อาจจะเป็นเพราะรังเกียจที่เนื้อหนังของมนุษย์ธรรมดาไม่อร่อยพอ หลังจากฉีกร่างคนเหล่านั้นแล้วจึงโยนทิ้งไว้ด้านข้าง ส่วนตัวมันเลื้อยอาดๆ กลับเข้าไปในทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างสบายอุรา มุมปากยังมีเลือดสดไหลหยดลงบนพื้นดินดังติ๋งๆ

คืนนั้นเด็กชายนั่งชมพระจันทร์เป็นเพื่อนสตรีแต่งงานแล้วที่ยังอกสั่นขวัญผวาอยู่ในลานบ้าน

กู้ช่านกินขนมไหว้พระจันทร์ พูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด “ท่านแม่ ไม่ต้องกลัวนะ วันหน้าจะไม่มีใครกล้ารังแกท่านแล้ว”

สตรีแต่งงานแล้วกวาดตามองไปรอบด้าน จากนั้นก็หลุบสายตาลงต่ำ โอบบุตรชายเข้ามาในอ้อมกอด พูดเบาๆ “ช่านช่าน วันหน้าเจ้าบอกกับหนีชิวน้อยด้วยว่า อย่าดุร้ายให้มากนัก”

กู้ช่านอิงแอบอยู่ในอ้อมอกที่อบอุ่นของมารดา มีแค่เวลานี้เท่านั้นที่เด็กชายไม่มีความดุร้ายอำมหิต พอจะดูเหมือนเด็กปกติบ้าง เขายิ้มกว้างตอบว่า “วางใจเถอะ จิตของหนีชิวน้อยเชื่อมโยงเข้ากับข้า ข้าดีกับมัน มันย่อมรู้ดี พวกเราสนิทสนมกันนักล่ะ ต่อให้เป็นเจ้าคนแซ่หลิว…”

สตรีแต่งงานแล้วรีบยื่นมือมาอุดปากเด็กชาย มือหนึ่งหยิบขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นมา พูดเสียงอ่อนโยน “กินขนมไหว้พระจันทร์ อย่าพูดมาก”

กู้ช่านตบพุงตัวเอง “ท่านแม่ ข้ากินไม่ไหวแล้วจริงๆ ข้าไม่ใช่หนีชิวน้อยสักหน่อยที่วันๆ เอาแต่กินๆๆ เหมือนถังใส่ข้าวใบใหญ่อย่างไรอย่างนั้น”

สตรีแต่งงานแล้วยิ้มอ่อนโยน ลูบศีรษะของบุตรชายเบาๆ เงยหน้ามองพระจันทร์ กรอบตาของสตรีแต่งงานแล้วเปียกชื้นเล็กน้อย “ช่านช่านโตแล้ว ปกป้องมารดาได้แล้ว”

จู่ๆ เด็กชายก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เขาเบ้ปาก พูดพึมพำกับตัวเองว่า “เฉินผิงอัน ข้าบอกแล้วไงล่ะว่า ในเมืองเล็กกับนอกเมืองเล็ก นอกจากเจ้าแล้วล้วนมีแต่คนชั่วร้าย แต่เจ้าไม่ยอมเชื่อข้า!”

กู้ช่านดันตัวออกจากอ้อมกอดของสตรีแต่งงานแล้ว กระโดดลงไปยืนบนพื้น ยกมือสองข้างกอดอก พูดเหมือนคนแก่ “ท่านแม่! ข้าเคยรับปากเฉินผิงอันว่าจะหาผู้หญิงหน้าตาเหมือนจื้อกุยให้เขาสิบเจ็ดสิบแปดคน คราวหน้าเมื่อเขามาเกาะชิงเสีย ข้าจะยกให้เขาทั้งหมด ท่านแม่ ท่านว่าดีหรือไม่?”

นึกถึงเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงคนนั้น สตรีแต่งงานแล้วก็ทั้งรู้สึกละอายใจและอบอุ่นใจไปในคราวเดียวกัน นางปิดปากหัวเราะเสียงหวานอย่างมีเสน่ห์ “ดีๆๆ แค่เจ้าอารมณ์ดีก็พอแล้ว”

จู่ๆ กู้ช่านก็ทำท่าห่อเหี่ยว ไม่เหลือความมีชีวิตชีวาอย่างก่อนหน้านี้อีก “ท่านแม่ หากเฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ดีใจ แต่กลับโกรธล่ะ ข้าจะทำอย่างไร?”

สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยเย้า “โอ้โห มีคนที่ช่านช่านของข้ากลัวด้วยหรือนี่?”

กู้ช่านหน้าแดง แค่นเสียงในลำคอ “ข้าไม่ได้กลัวเฉินผิงอันสักหน่อย ข้าก็แค่…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ กู้ช่านที่จะอย่างไรก็ยังเป็นเด็กพลันตาแดงก่ำ ก้มหน้าลง ขยี้ตาแรงๆ พูดเสียงสะอื้น “แค่รู้สึกว่าถ้าเฉินผิงอันอยู่ก็จะไม่มีใครรังแกพวกเรา…ข้าคิดถึงเฉินผิงอัน ไม่ว่าอะไรเขาก็ยอมช่วยข้า ใต้หล้านี้มีแค่เฉินผิงอันเท่านั้นที่เป็นคนดี…”

สตรีแต่งงานแล้วไม่รู้จะปลอบใจบุตรชายอย่างไร เพราะนางเองก็ร้องไห้กระซิกขึ้นมาเหมือนกัน

ดวงจันทร์ส่องสว่างไปทั่วเก้าทวีป บางครอบครัวมีความสุข บางครอบครัวมีความทุกข์

……

ซุ้มประตูที่ตั้งอยู่ใต้หล้านี้คือสัญลักษณ์บ่งบอกถึงจุดศูนย์รวมของผู้ประสบความสำเร็จ สกุลเฉินอิ่นอิงคือหนึ่งในนั้น เป็นเหตุให้ลัทธิขงจื๊อมอบคำว่า ‘ผู้มากความรู้’ ให้แก่สกุลเฉินอิ่งอินเท่านั้น

อันที่จริงในช่วงสี่การอพยพที่ยิ่งใหญ่ สกุลเฉินที่ย้ายจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาอยู่ทักษินาตยทวีปสายนี้ไม่ได้สะดุดตามากนัก เพราะตอนนั้นสกุลเฉินอิ่งอินสายนี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในแปดสายของ ‘สกุลเฉินอี้เหมิน’ แผ่นดินกลาง อีกทั้งยังแตกกิ่งก้านสาขาน้อยมาก กว่าจะกลายมาเป็นอย่างทุกวันนี้ก็หลังจากที่พวกเขามาลงหลักปักฐานอยู่ในนาตยทวีปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อบรรพบุรุษท่านนั้นที่ชายแขนเสื้อสองข้างมีลมเย็น บนไหล่แบกตะวันจันทราผู้นั้นปรากฏตัวบนโลกถึงได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน

หนึ่งสถาบันศึกษา หนึ่งสำนักศึกษา ทุกอย่างล้วนสร้างขึ้นบนที่ดินของตระกูลเฉินอิ่งอินทั้งสิ้น

เมื่อลูกหลานของสกุลเฉินอิ่งอินรุ่นแล้วรุ่นเล่าโดดเด่นขึ้นมา ซุ้มประตูหลายแห่งก็ถูกสร้างขึ้น พวกเขาสร้างคุณงามความดี เขียนหนังสือก่อตั้งทฤษฎีความรู้ และได้รับการถ่ายทอดสืบเนื่องต่อกันมา

ดังนั้นแขกทุกคนที่เข้ามาในสกุลเฉินอิ่งอิน บัณฑิตที่เดินทางมาศึกษาที่นี่ หรือปราชญ์เมธีที่มาเยี่ยมเยือนเพราะความชื่นชมเลื่อมใส หรือไม่ก็เป็นกษัตริย์อัครเสนาบดีที่มาพักค้างแรมที่นี่ก็ล้วนจำเป็นต้องผ่านเส้นทางที่ซุ้มประตูตั้งเรียงรายโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าใครที่เผชิญกับกิจการของตระกูลที่เจริญรุ่งเรืองถึงขนาดนี้ต่างก็ต้องตกรู้สึกสะท้านสะเทือน หรืออาจถึงขั้นรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่า

ลูกศิษย์สกุลเฉินอิ่งอินต่างก็มีความภาคภูมิใจของตัวเองถึงขั้นที่ว่า ต่อให้บรรพบุรุษของพวกเขาจะป่าวประกาศกับปากตัวเองว่า ดวงอาทิตย์เหนือไหล่ที่ปรากฏขึ้นมาจากการอ่านตำราของเขาถูกคนยืมไปเป็นเวลาร้อยปี ก็ยังไม่มีใครรู้สึกขายหน้า

เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่บ้านเกิดอยู่ไกลถึงแจกันสมบัติทวีปมาศึกษาต่อที่นี่ เฉินตุ้ยหลานสายตรงของตระกูลเป็นคนพาเขามา คนทั้งตระกูลไม่มีใครกล้าเย้ยหยันชาติกำเนิดที่ยากจนของเด็กหนุ่ม ถึงขั้นไม่มีใครจงใจทำเป็นกระตือรือร้นหลังจากรู้ว่าพรสวรรค์ของเด็กหนุ่มไม่ธรรมดา ทุกคนปฏิบัติต่อเขาด้วยความมีมารยาท มีไมตรีจิตมาตั้งแต่ต้น

นี่ทำให้เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่สบายใจได้หลายส่วน

เด็กหนุ่มก็คือหลิวเสี้ยนหยาง เด็กหนุ่มสดใสร่าเริงเคยพูดกับเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาว่าจะไม่ยอมตายอยู่ในสถานที่เล็กแคบอย่างบ้านเกิดของตัวเองแน่นอน และจากนั้นเขาก็ออกจากบ้านเกิด ได้เห็นภูเขาที่ใหญ่ยิ่งกว่าผืนฟ้า เห็นมหาสมุทรสีครามที่กว้างไกลไร้ขอบเขตสิ้นสุด เห็นปลาบินห้าสีที่มีปีกจำนวนนับไม่ถ้วนโบยบินอยู่เหนือมหาสมุทร เห็นภูตประหลาดหลากหลายผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในทะเลเมฆ แม้แต่เซียนขี่กระบี่บินทะยานอยู่กลางอากาศอย่างสง่างาม เขาก็ล้วนได้เห็นมาแล้ว

ตอนแรกใช่ว่าเขาจะไม่มีความกังวลเสียเลย เขากังวลว่าสกุลเฉินผู้มากความรู้อะไรนี่จะเป็นเหมือนสกุลสวี่แห่งนครลมเย็น หรือวานรย้ายภูเขาแห่งเขาตะวันเที่ยงที่ปรารถนาในคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นของเขา คัมภีร์กระบี่ประหลาดที่สามารถทำให้เขาฝึกกระบี่ได้ทั้งยามตื่นและยามหลับฝัน

ทว่าเพียงไม่นานหลิวเสี้ยนหยางก็ล้มเลิกความคิดนี้ เพราะเมื่อเขาเหยียบเข้ามาในตระกูลสกุลเฉิน ผู้เฒ่าที่มีบุคลิกสุภาพสง่างามคนหนึ่ง ซึ่งว่ากันว่าเป็นบรรพบุรุษผู้ดูแลสมบัติของสกุลเฉินอิ่งอินก็มอบพัดพับเล่มหนึ่งที่ทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวบนภูเขาชิงเสินให้กับเขา ไม้ไผ่เสินเซียวชนิดนี้ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด เป็นหนึ่งในวัตถุที่ดีที่สุดในการนำมาทำแส้โบยผี ขอแค่เป็นภูตผีที่ก่อกำเนิดอยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ก็ล้วนหวาดกลัวอาวุธที่ทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวทั้งสิ้น

นอกจากนี้ยังมีปลากินหมึกที่ระดับสูงมากอีกหนึ่งตัว วัตถุชนิดนี้มักจะถูกตระกูลเซียนในโลกมนุษย์เลี้ยงไว้ในอ่างล้างหมึก กินหมึกเป็นอาหาร เมื่อผ่านไปร้อยปีตรงสันหลังจะมีเส้นด้ายสีทองเส้นหนึ่งผุดขึ้นมา ห้าร้อยปีให้หลังมีหวังจะเป็นมังกรหมึก กลายมาเป็น ‘หมึกสมบัติ’ ที่บัณฑิตทุกคนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน ตระกูลผู้มีความรู้แทบทุกตระกูลล้วนต้องเลี้ยงวัตถุชิ้นนี้ แต่ปลากินหมึกต้องการน้ำหมึกในระดับที่สูงมาก หาไม่แล้วพวกมันก็ยอมหิวตายดีกว่ายอมคล้อยตามผู้อื่น

สุดท้ายคือลมเปิดหน้าหนังสือหนึ่งกลุ่ม

หลิวเสี้ยนหยางจำได้อย่างชัดเจนว่า ต่อให้เป็นเฉินตุ้ยหลานสาวสายตรงผู้เย่อหยิ่ง พอเห็นลมเปิดหน้าหนังสือกลุ่มนั้นก็ยังประหลาดใจอย่างมาก ถึงขั้นแสดงความอิจฉาออกมานิดๆ ด้วย

สำหรับของพวกนี้ แน่นอนว่าหลิวเสี้ยนหยางต้องชื่นชอบมาก แต่ไม่ถึงขั้นชื่นชอบเจียนคลั่ง

หลิวเสี้ยนหยางรู้ดีว่าต้นทุนในการหยัดยืนของตนยังคงเป็นคัมภีร์กระบี่เล่มนั้น ดังนั้นทุกวันนอกจากจะไปเข้าเรียนในโรงเรียนของสกุลเฉินตามเวลาแล้ว หลิวเสี้ยนหยางก็จะต้องหัดวิชากระบี่อยู่ในเรือนของตัวเอง

ในเมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่เคยเห็นภูเขาสูงและแม่น้ำกว้างขวางมาแล้ว

ก้าวถัดไปเขาก็อยากจะอาศัยความสามารถของตนเองไปควบคุมกระบี่บินทะยานผ่านยอดเขาสูง ขี่กระบี่ทะยานไปยังปลายทางของแม่น้ำกว้างใหญ่!

สักวันหนึ่งเขาจะต้องได้เจอกับเจ้าคนแซ่เฉินอีกครั้ง และได้คุยโวโอ้อวดถึงฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่นอกเมืองเล็กให้อีกฝ่ายฟัง

บางครั้งหลิวเสี้ยนหยางก็เป็นกังวล หากวันใดที่ตนกลับคืนไปยังเมืองเล็กแห่งนั้น เฉินผิงอันจะกลายเป็นชาวนาอายุมากที่แต่งงานมีลูกมานานแล้วหรือเปล่า? ไม่ใช่ว่าหลิวเสี้ยนหยางจะไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นเพื่อนเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ แต่หลิวเสี้ยนหยางกลัวมากๆ ว่าเมื่อถึงเวลานั้น คนทั้งสองอาจนั่งอยู่บนหินหลังควาย คุยกันไปคุยกันมา คุยถึงเรื่องไร้สาระในวัยเยาว์จบลงแล้ว สุดท้ายจะกลายเป็นว่าไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันอีกหรือไม่

คำพูดในใจบางอย่าง ตอนนั้นหลิวเสี้ยนหยางจงใจจากมาอย่างเร่งร้อนเพื่อหลบหน้าเฉินผิงอัน เพราะเขากลัวว่าตอนที่จากลากัน ตนจะร้องไห้อย่างไม่เอาไหน จนกลายเป็นตัวตลกในสายตาของคนนอกอย่างเฉินตุ้ย แล้วพวกเขาจะดูถูกเขาหลิวเสี้ยนหยาง อีกอย่างคำพูดในใจเหล่านั้นยังเป็นคำที่บ่งบอกถึงการยอมศิโรราบ ตอนนั้นหลิวเสี้ยนหยางยังรู้สึกอึดอัดขัดเขิน ดังนั้นถึงท้ายที่สุดแล้วเขาจึงไม่ได้พูดอะไร

ตอนนี้หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกเสียใจภายหลังอย่างยิ่ง เขาน่าจะบอกกับเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมาว่า นอกจากเรื่องเผาเครื่องปั้นที่เจ้าสู้ข้าไม่ได้แล้ว เรื่องอื่นๆ ที่ข้าหลิวเสี้ยวหยางสอนให้เจ้าเฉินผิงอัน ไม่ว่าจะเป็นการตกปลา ยิงธนู วางกับดักในภูเขา ขึ้นเขาลงห้วย มีเรื่องไหนบ้างที่สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันทำได้ด้อยกว่าข้า?

บ้านสกุลเฉินอิ่งอินมีพื้นที่กว้างใหญ่นับร้อยลี้ เวลาว่างหลิวเสี้ยนหยางมักจะไปเดินบนถนนที่เต็มไปด้วยซุ้มประตู เดินไปถึงริมแม่น้ำสายใหญ่สายหนึ่ง แล้วไปนั่งเหม่ออยู่บนหินหน้าผาที่คล้ายหินหลังควายอยู่เพียงลำพัง นั่งครั้งหนึ่งก็นานเป็นครึ่งวัน สำหรับเด็กหนุ่มสูงใหญ่ที่มุมานะในการฝึกกระบี่แล้ว นี่เป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองเวลาอย่างมาก

ยามสนธยาของวันนี้ หลิวเสี้ยนหยางนั่งเหม่อได้สองชั่วยามก็พลันคืนสติ คิดจะลุกขึ้นเดินกลับ เพราะทางกลับยังต้องเดินอีกหลายสิบลี้ อีกทั้งในรัศมีพันลี้รอบด้านนี้ยังไม่อนุญาตให้ใครทะยานลมกลางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางระดับใหญ่แค่ไหนก็ต้องลงจากหลังม้ามาเดิน นี่คือกฎเกณฑ์เหล็กที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ยังไม่สะเทือนของสกุลเฉิน ซึ่งสืบทอดต่อกันมานานนับพันปีแล้ว

ออกมาจากตระกูล อาจจะมีลูกหลานสกุลเฉินบางส่วนที่ทำตัวอันธพาลอยู่ข้างนอก หรืออาจถึงขั้นทำเรื่องชั่วร้ายที่ผิดต่อมารยาทและคุณธรรม เพราะอย่างไรซะตระกูลก็ใหญ่เกินไป ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีทั้งคนดีและคนชั่วปะปนกัน แต่ขอแค่อยู่ในตระกูลล้วนไม่มีใครกล้าละเมิดกฎ โดยเฉพาะช่วงเวลาเซ่นไหว้บรรพบุรุษของทุกปี ลูกหลานสกุลเฉินจำนวนนับไม่ถ้วนจะพากันเดินทางกลับมา บนถนนเส้นนั้นมีแต่คนเดินเท้า ใช่แล้ว เดินเท้า อีกทั้งคนส่วนใหญ่ล้วนสวมชุดลัทธิขงจื๊ออย่างบัณฑิต ตรงเอวห้อยหยกประดับ แต่งกายเรียบง่าย

หลิวเสี้ยนหยางเคยเห็นภาพนี้ไกลๆ ครั้งหนึ่ง เสียงที่หยกประดับถูกตีกระทบดังกังวานใสแจ๋ว

นี่ทำให้เด็กหนุ่มได้เปิดหูเปิดตา เป็นภาพที่สั่นสะเทือนใจคนได้ดียิ่งกว่าตอนเห็นภูเขาสูงแม่น้ำกว้างใหญ่เสียอีก

หลิวเสี้ยนหยางเพิ่งจะลุกขึ้นยืนก็พบว่ามีผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อผมขาวเรือนกายผอมบางคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนก้อนหินช้าๆ หลิวเสี้ยนหยางกุมมือคารวะ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อวัยชราที่มองไม่ออกว่าเป็นวิญญูชนหรือนักปราชญ์หยุดยืนแล้วคารวะกลับด้วยรอยยิ้ม หากอยู่ในสถานที่แห่งอื่นของนาตยทวีป นักปราชญ์และวิญญูชนล้วนเป็นบุคคลที่ค่อนข้างหาได้ยาก แต่เมื่อมาอยู่ในสกุลเฉินอิ่งอินที่มีแต่ผู้มากความสามารถนี้ หากไม่มีสถานะนักปราชญ์ติดตัวเสียเลยก็แทบไม่มีหน้าออกจากบ้านมาพูดคุยกับคนอื่น

ผู้เฒ่ายืนอยู่ข้างกายหลิวเสี้ยนหยาง มองไปทางลูกคลื่นที่ซัดโถมในแม่น้ำ กระทืบเท้าลงบนก้อนหินเบาๆ หนึ่งครั้ง แล้วเปิดปากถามด้วยรอยยิ้ม “รู้ชื่อของหน้าผาแห่งนี้หรือไม่?”

หลิวเสี้ยนหยางจำต้องหยุดเดิน ส่ายหน้าตอบ “ไม่ทราบ”

ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “ในหนังสือบันทึกเอาไว้ว่า หน้าผาแม่น้ำของสกุลเฉินอิ่งอินมีก้อนหินลักษณะแปลกประหลาด ซึ่งมีนามว่าผีภูเขา เคยมีเซียนแห่งกวีท่านหนึ่งมาอ่านบทกลอนอยู่ที่นี่ น่าเสียดายก็แต่บทกลอนนั้นไม่เป็นที่นิยม นับว่าน่าเศร้า ชูจอกเหล้าให้ใคร? ชูจอกเชิญหิน หินประหลาดไม่ขยับ นกภูเขากลับบินปัดจอกเหล้าล้ม ผีภูเขาทะยานมากับลมราตรี พัดเป่ากองไฟให้มอดดับ สร้างความหวาดหวั่นแก่ผู้คน…”

ผู้เฒ่าท่องบทกลอนที่ไม่เคยเผยแพร่ในโลกบทนั้นกับตัวเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม เต็มไปด้วยการรำลึกถึงเรื่องในอดีต “‘มีหินประหลาดอยู่เป็นเพื่อน พกหินขี่หงส์โบยบิน พาข้าเดินทางไกลเป็นหมื่นลี้’ อันที่จริงกลอนบทนี้ไม่ถือว่าเป็นกลอนที่ดีที่สุดในบรรดาบทกวีทั้งหลาย แต่ตอนนั้นข้ายืนอยู่ในตำแหน่งของเจ้า ส่วนเซียนแห่งบทกวียืนอยู่ตรงตำแหน่งของข้า ตอนนั้นข้าอายุยังน้อย พอได้ฟังก็รู้สึกว่าเป็นกลอนที่ดีจริงๆ ต่อให้ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ก็ยังรู้สึกว่าดีมาก”

หลิวเสี้ยนหยางฟังไม่ออกว่าดีหรือไม่ดี แต่กระนั้นเขาก็ไม่อยากทำลายอารมณ์สุนทรีของผู้เฒ่า จึงได้แต่รับฟังอยู่เงียบๆ

ทว่าผู้เฒ่ากลับหันหน้ามาถามเขายิ้มๆ “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

หลิวเสี้ยนหยางจึงได้แต่ตอบไปตามตรง “ข้าไม่รู้”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

หลิวเสี้ยนหยางจึงเงียบต่ออีกครั้ง

ผู้เฒ่าถามใหม่ “เจ้ามาเรียนต่อที่นี่สินะ? รู้สึกว่าบรรยากาศเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลิวเสี้ยนหยางคิดก่อนจะตอบ “ดีมาก”

ผู้เฒ่ายังถามต่อ “ดีตรงไหน?”

หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกระอาใจเล็กน้อยจึงตอบไปลวกๆ ว่า “ดีไปหมดทุกอย่าง”

ผู้เฒ่าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

หลิวเสี้ยนหยางมองสีท้องฟ้า เขาต้องกลับไปจริงๆ แล้ว ขณะที่กำลังจะคารวะบอกลา ผู้เฒ่ากลับทำตัวเหมือนคนที่ชอบตั้งคำถามที่สุดในโลก “ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนฝึกกระบี่ ถ้าอย่างนั้นมีจุดไหนที่สงสัยระหว่างการฝึกกระบี่บ้างหรือไม่?”

หลิวเสี้ยนหยางไม่ได้รู้สึกกลัวหรือกังขาอะไร เพราะอย่างไรซะที่นี่ก็เป็นถิ่นของสกุลเฉินอิ่งอิน ทว่าข้อห้ามที่บอกว่าไม่พูดคุยลึกซึ้งกับคนที่รู้จักกันเพียงผิวเผินล้วนใช้กันทั่วสี่สมุทร และเขาเองก็เข้าใจดี จึงส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่มี”

ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “ประเสริฐ”

หลังเอ่ยคำนี้ออกมา ผู้เฒ่ารู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย ในฐานะที่ตนเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของหย่าเซิ่งซึ่งมีจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน ถ้อยคำนี้ของเขาย่อมเอ่ยออกมาอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน แต่ตอนนี้ไอ้หมอนั่นกลับเอาคำนี้ไปเป็นคำพูดติดปากของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี ทว่าอีกฝ่ายดันพูดได้คล่องปากยิ่งกว่าตนเสียอีก

หลิวเสี้ยนหยางบอกลาจากไป

ผู้เฒ่ามองส่งเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ หลังถอนสายตากลับมาก็มองไปยังน้ำในแม่น้ำ สองชายแขนเสื้อที่มีลมเย็นพัดสะบัดเบาๆ

เขาเองก็เคยเป็นเด็กหนุ่มผู้สง่างาม และเคยสะพายกระบี่เดินทางท่องไปไกล

ม่านรัตติกาลเยื้องกรายลงมา พระจันทร์เสี้ยวแขวนตัวเหนือกิ่งไม้

ตรงไหล่ของผู้เฒ่าก็มีพระจันทร์ดวงเล็กๆ ดวงหนึ่งอยู่เช่นกัน

ผู้เฒ่าแซ่เฉิน นามฉุนอัน

……

กลางกำแพงเมืองที่สูงเสียดชั้นเมฆมีตัวอักษรใหญ่ตัวหนึ่งที่สลักด้วยปราณกระบี่ ขีดขวางขีดเดียวของมันก็กินพื้นที่เท่ากับถนนกว้างขวางเส้นหนึ่งแล้ว

บน ‘ถนน’ เส้นนี้มีกองเพลิงโชติช่วงกองหนึ่งลุกโชน หนุ่มสาวหกคนยืนโอบล้อมรอบกองไฟ คนที่อายุมากสุดก็แค่ยี่สิบปีเท่านั้น ที่เหลือล้วนอยู่ในวัยเด็กหนุ่มเด็กสาว

ทุกคนต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ บ้างก็พกกระบี่ไว้ตรงเอว บ้างก็วางพาดไว้บนเข่า หรือไม่ก็สะพายไว้ด้านหลัง

แสงไฟสาดสะท้อนลงบนใบหน้าอ่อนวัยเหล่านั้น แต่ละคนสีหน้าเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แม้จะอายุไม่มาก แต่ปราณกระบี่กลับไหลเวียนอย่างอุดมสมบูรณ์ ปกปิดปราณสังหารที่ท่วมอยู่ทั่วร่างไม่ได้

หนึ่งชายหนึ่งหญิงในนั้นโดดเด่นมากที่สุด บุรุษก็คือชายหนุ่มที่อายุยี่สิบปีซึ่งแก่กว่าทุกคนในกลุ่ม เขาสวมชุดคลุมยาวที่เต็มไปด้วยคราบเลือด แต่กลับให้ความรู้สึกสะอาดสะอ้าน แม้จะไม่ถือว่าหล่อเหลาองอาจ แต่มีกลิ่นอายของความอบอุ่นอ่อนโยน บวกกับปราณกระบี่ทั่วร่างที่รวมตัวกันแทบจะเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริงก็ทำให้คนรู้สึกตื่นตาตื่นใจได้ไม่ยาก

ส่วนเด็กสาวนั้นเปี่ยมไปด้วยความองอาจทรงพลัง คิ้วหนาดุจดาบแคบที่ฉายประกายคมกริบ

นางนั่งขัดสมาธิ วางกระบี่พาดไว้บนหัวเข่า ใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง ทอดสายตามองไปทางทิศใต้ของกำแพงสูงด้วยสายตาคมดุ

ศึกใหญ่ของสองฝั่งจบลงชั่วขณะ

การโจมตีต่อจากนี้ย่อมต้องดุเดือดและโหดร้ายมากกว่าเดิม

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มร่างอ้วนคนหนึ่งที่แก้มกลมย้อย เวลายิ้มดวงตาทั้งคู่จะหรี่ลงเป็นเส้นเล็กๆ มองดูเหมือนบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่ไอสังหารทั่วร่างของเขากลับเข้มข้นมากที่สุด เขาดื่มเหล้ารสร้อนแรงแล้วก็ยื่นส่งให้กับเด็กสาวแขนเดียวที่นั่งอยู่ข้างกาย เช็ดปากเอ่ยยิ้มๆ “หากไม่เป็นเพราะอาเหลียงโยนกระบี่หกเล่มมา ก็ไม่แน่เสมอไปว่าครั้งนี้พวกเราจะรอดมาได้ หึหึ คราวหน้าต่อให้อาเหลียงต้องการให้ข้าไปช่วยอุ่นผ้าห่มให้ นายน้อยอย่างข้าก็พร้อมจะล้างก้นให้สะอาดแล้วตอบรับเขา!”

เด็กหนุ่มร่างท้วมตบกระบี่ที่อยู่ตรงเอวแรงๆ หนึ่งที ตัวกระบี่สลักชื่อกระบี่ไว้ด้วยสองตัวอักษร จื่อเตี้ยน (สายฟ้าม่วง) เวลาที่ชักกระบี่จะมีสายฟ้าสีม่วงล้อมวน คมกระบี่แหลมคมไม่ธรรมดา

ที่เหลืออีกห้าเล่มแบ่งออกเป็นชื่อว่าจิงซู (คัมภีร์) เจิ้นเยว่ (สยบขุนเขา) ฮ่าวหรันชี่ (ปราณแห่งความเที่ยงธรรม) หงจวง (สาวงามสะคราญโฉม) อวิ๋นเหวิน (ลายเมฆ)

คนที่อยู่ข้างกายชายอ้วนคือเด็กสาวแขนขาดที่สีหน้าทึ่มทื่อ นางดื่มเหล้าเงียบๆ เรือนกายบอบบาง แต่กลับแบกกระบี่เล่มใหญ่ นางไม่ได้เลือกกระบี่ ‘หงจวง’ (สาวงามสะคราญโฉม) ที่ชื่อไพเราะ ตัวกระบี่เองก็งดงาม แต่เลือกเจิ้นเยว่ (สยบขุนเขา) ที่ใหญ่และหนาหนักมากที่สุด

คนที่อายุมากที่สุดซึ่งไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่ แต่เหมือนบัณฑิตมากกว่าคนนั้นเลือกฮ่าวหรันชี่ (ปราณแห่งความเที่ยงธรรม) ที่ถูกใจตั้งแต่แรกเห็น

เด็กสาวแขนเดียวโยนกาเหล้าให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าของเขาดำเกรียม ใบหน้าเต็มไปด้วยแผลเป็น เขาห้อยกระบี่ที่ชื่อว่าหงจวง (สาวงามสะคราญโฉม)

เด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ดุดันรับกาเหล้ามา เงยหน้ากรอกเข้าปากหนึ่งคำ แล้วก็กระดกอีกอึกใหญ่ จึงถูกเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งด่าทันที “เจ้าคนแซ่ต่ง ทำห่าอะไรของเจ้า เหลือไว้ให้บรรพบุรุษของเจ้าหน่อยได้ไหม?”

เด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ยังดึงดัน คิดจะดื่มเป็นครั้งที่สาม เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนั้นโมโหมากจึงเหวี่ยงหมัดใส่อีกฝ่าย เขาเป็นคนเดียวที่พกกระบี่สองเล่ม หนึ่งเล่มคือจิงซู (คัมภีร์) อีกหนึ่งเล่มคืออวิ๋นเหวิน (ลายเมฆ) เขาวางกระบี่ทับกันบนขา เพียงแต่ว่าดูเหมือนกระบี่อวิ๋นเหวินจะไม่มีฝักกระบี่อยู่

เด็กหนุ่มหน้าตาขี้เหร่ยกแขนขึ้นบังหมัด ทว่าก็ยังถูกหมัดนั้นต่อยมาโดน ร่างของเขากระตุก เหล้าหกรดเต็มใบหน้า จึงพลันระเบิดอารมณ์ดุร้าย หันกลับมาถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล เด็กหนุ่มหล่อเหลาก็ไม่ยอมลงให้ “ทำไม อยากมีเรื่อง?! หากไม่เป็นเพราะเจ้าแม่งไร้ค่า เสี่ยวชวีชวีจะต้องตายอยู่ทางทิศใต้เพราะเจ้าไหม?”

เด็กหนุ่มอัปลักษณ์พลันตาแดงก่ำ โมโหจนปากเขียว

เด็กสาวที่คิ้วราวกับดาบแคบตวาดเบาๆ “หุบปากกันให้หมด!”

เมื่อนางออกเสียง เด็กหนุ่มอัปลักษณ์และเด็กหนุ่มหล่อเหลาจึงหยุดทะเลาะกัน แถมฝ่ายแรกยังส่งกาเหล้าให้ฝ่ายหลังเงียบๆ ด้วย

เด็กสาวลุกขึ้นยืน พูดเสียงเย็น “เอาทั้งกาเหล้าและอวิ๋นเหวินมาให้ข้า”

เด็กหนุ่มหล่อเหลาส่งทั้งกระบี่และเหล้าไปให้นางอย่างขลาดๆ

นางเดินไปยังริมขอบของ ‘ถนน’ ด้านล่างก็คือหน้าผาลึกหมื่นจั้ง ลมพายุพัดกระโชกแรง ทั่วฟ้าดินเต็มไปด้วยปราณกระบี่ที่วุ่นวาย ปณิธานกระบี่ที่ดุร้ายก็ยิ่งมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง

กลางอากาศของใต้หล้าเปลี่ยวร้างป่าเถื่อนที่คุณธรรมเมตตาธรรมไม่มีประโยชน์แห่งนี้มีพระจันทร์ลอยอยู่สามดวง ดวงหนึ่งเต็มดวง ดวงหนึ่งครึ่งดวง ดวงหนึ่งคือพระจันทร์เสี้ยว เพราะฉะนั้นถึงได้พูดกันอย่างไรล่ะว่าที่นี่ไม่มีพื้นที่สำหรับหลักการอะไรทั้งนั้น

ทุกอย่างล้วนอาศัยกระบี่ในมืออย่างเดียว!

มือหนึ่งของเด็กสาวถือกระบี่ยาวไร้ฝัก อีกมือหนึ่งหิ้วกาเหล้า นางเอียงปากกาเหล้าลงไปเบื้องล่าง เทสุราที่อยู่ด้านในลงบนกระบี่เล่มยาว เอ่ยเบาๆ ว่า “เสี่ยวชวีชวี มาดื่มเหล้าเถอะ”

ห้าคนที่อยู่ด้านหลังเด็กสาวพูดในใจแทบจะพร้อมกัน “เสี่ยวชวีชวี ดื่มเหล้า!”

หลังจากความเสียใจผ่านพ้นไป เด็กหนุ่มหล่อเหลาก็รีบขับไล่อารมณ์กลัดกลุ้มออกไปอย่างรวดเร็ว

อยู่ที่นี่ ขอแค่สงครามเกิดขึ้น มีวันใดบ้างที่ไม่มีคนตาย?!

เขาถามหยั่งเชิง “หนิงเหยา ก่อนหน้านี้พวกเราได้กระบี่คนละเล่ม มีหกคนพอดี ตอนนี้เสี่ยวชวีชวีจากไปแล้ว เจ้าจะเอาอวิ๋นเหวินเล่มนั้นไปใช้หรือไม่?”

“ไม่ล่ะ” เด็กสาวที่ริมฝีปากแห้งผากแต่ยากจะบดบังความงามของนางส่งกระบี่ยาวที่เพิ่งชโลมเหล้าในมือไปให้เด็กหนุ่มหล่อเหลา นางหันหน้าไปทางทิศใต้ มุ่งลงไปทางทิศใต้ก็คือกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจที่กรูกันมาบุกใต้หล้าแห่งนี้ราวฝูงตั๊กแตน พวกเขาปักหลักกันอยู่ที่นั่น และอีกไม่นานก็จะเปิดฉากการโจมตีครั้งถัดไปต่อกำแพงสูงแห่งนี้

จู่ๆ เด็กสาวก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางจึงหลุดหัวเราะอย่างที่ไม่ค่อยจะเป็นบ่อยนัก

“สวัสดี บิดาข้าแซ่เฉิน มารดาข้าก็แซ่เฉิน เพราะฉะนั้น…ข้าชื่อเฉินผิงอัน!”

ฮ่า เจ้าทึ่มเอ๊ย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version