บทที่ 211 สวรรค์ส่งให้มาเป็นคู่กัน
นักพรตหนุ่มกำแผ่นหยกด้วยฝ่ามือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ เขาเบียดกลุ่มคนเนืองแน่นเข้าไปจนเกิดเสียงด่าตามหลังมาตลอดทาง พอผู้ดูแลของภูเขาต่าเจี้ยวที่ยืนอยู่ใกล้กับตำแหน่งห้องพักอักษรตัวเทียนหันมาเห็นว่าเป็นชายท่าทางทึ่มทื่อคนหนึ่งก็ตีหน้าเคร่ง เตรียมจะออกเสียงตวาดใส่ แต่กลับเห็นว่าคนหนุ่มแบมือ เผยให้เห็นแผ่นหยกงดงามที่สลักว่าห้องอักษรตัวเทียนระดับหนึ่ง ผู้ดูแลก็รีบเผยสีหน้าปิติยินดี เอ่ยถามเบาๆ ว่า “เป็นแขกที่พักอยู่ในห้องระดับหนึ่งใช่หรือไม่?”
เพราะเกินครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ คนบนเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวต่างก็พอจะรู้หน้าตาของแขกสูงศักดิ์ในห้องอักษรตัวเทียนคร่าวๆ แล้ว ผู้ดูแลถึงได้ถามเช่นนี้
นักพรตหนุ่มปลุกความกล้าตอบไปว่า “นักพรตน้อยจางซาน ครั้งนี้เดินทางมาเพื่อหาประสบการณ์ แม้ว่าจะเป็นสายที่ห่างไกลจากสกุลจางภูเขามังกรพยัคฆ์ แต่ก็อยู่ในบัญชีรายชื่อนักพรตเต๋าของสำนักชิงฉือสำนักลำดับล่างของภูเขามังกรพยัคฆ์แห่งกุรุทวีปที่ยังไม่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างเป็นทางการ เฉินผิงอันที่อยู่ในห้องพักระดับหนึ่งนั้นคือ…เพื่อนของข้า เนื่องจากมีธุระติดพันจึงมาถึงช้า นี่ก็กำลังจะเข้าไปหาแม่นางชุนสุ่ยกับแม่นางชิวสือ”
พอหลุดประโยคนี้ออกไป คนหนุ่มก็รู้สึกเสียใจทันที เขาคิดว่าตัวเองวู่วามและหุนหันพลันแล่นเกินไป ไม่ควรรับแผ่นหยกมาแล้วไม่รู้จักดีชั่ว คนหนุ่มเป็นคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อนรอบคอบ นิสัยสุขุมเก็บตัว เวลาใคร่ครวญถึงปัญหาชอบขบคิดอย่างลึกซึ้ง แต่จู่ๆ กลับขาดสติขึ้นมา เขารู้สึกว่าดูเหมือนตัวเองจะเป็นแบบนี้กับทุกเรื่อง เล่าเรียนวิชาก็เพราะความใจร้อน กำจัดปีศาจปราบมารก็ใช้อารมณ์เป็นหลัก ตอนนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม
ในขณะที่คนหนุ่มสะพายกระบี่ไม้ท้อกำลังเจ็บใจตัวเองและหวาดผวาอยู่นั้น ผู้ดูแลคนนั้นกลับวางใจลงได้ รอยยิ้มจึงกว้างมากขึ้น เขาเบี่ยงตัวผายมือบอกนักพรตหนุ่มให้เดินหน้าต่อ ผู้ดูแลวัยกลางคนยังพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “เชิญจางเซียนซือตามข้ามา”
หลังจากนั้นก็มาถึงที่นั่ง เมื่อรับรู้สถานการณ์แล้ว ชุนสุ่ยจึงเป็นฝ่ายสละเก้าอี้ให้ ภูเขาต่าเจี้ยวยกเก้าอี้ไม้จื่อถานมาเพิ่มให้อีกตัว นักพรตหนุ่มทรุดตัวลงนั่งแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป
เนื่องจากสาวใช้เรือนกายอวบอิ่มผู้นั้นเพิ่งจะลุกไปจากเก้าอี้ พอเขานั่งลงไปจึงยังสัมผัสได้ถึงไอความร้อนที่หลงเหลืออยู่ นี่ทำให้นักพรตหนุ่มนั่งไม่เป็นสุข เขาที่เป็นคนหน้าบางมากถึงกับหน้าแดงก่ำ รีบขยับก้นไปนั่งริมขอบเก้าอี้ ราวกับว่าหากตัวเองไม่ทำเช่นนี้จะเป็นการล่วงเกินแม่นางคนนั้น
ชิวสือเห็นภาพนี้แล้วก็แอบยิ้ม
แม้ชุนสุ่ยจะรู้สึกแปลกใจว่าเฉินผิงอันไปข้องเกี่ยวกับนักพรตตกต่ำคนนี้ได้อย่างไร ทว่านางไม่ได้เผยความคิดใดๆ ออกมาทางสีหน้า ขยับมานั่งบนเก้าอี้ตัวใหม่ที่วางไว้ข้างกายนักพรตหนุ่ม ในฐานะสาวใช้ที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนใหญ่ ย่อมเรียนรู้วิชาการสังเกตสีหน้าน้ำเสียงของผู้คนมาก่อน ในเมื่อชิวสือมองออก ชุนสุ่ยก็ยิ่งไม่มีทางพลาด นางเม้มปากเล็กน้อย อดเอานักพรตที่มีความเกี่ยวข้องกับภูเขามังกรพยัคฆ์อย่างเลือนรางซึ่งมักจะเห็นบ่อยๆ เวลาไปยืนอยู่บนหอชมทัศนียภาพผู้นี้มาเปรียบเทียบกับแขกอย่างเฉินผิงอันไม่ได้ เป็นคนยากจนที่ขึ้นเรือออกเดินทางไกลมาเหมือนกัน เพิ่งเคยเห็นโลกกว้างเป็นครั้งแรกเหมือนกัน เฉินผิงอันที่อายุน้อยกว่ากลับเปิดเผยตรงไปตรงมากว่ามาก ไม่มีทางที่จะรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายเช่นนี้
นักพรตหนุ่มที่กำลังนั่งไม่เป็นสุขพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงรีบหันตัวยื่นแผ่นหยกส่งให้ “แม่นาง นี่คือแผ่นหยกของเฉินผิงอัน คืนให้เจ้า”
ชุนสุ่ยไม่ได้รับแผ่นหยกนั้นมาโดยพลการ เพียงตอบเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชายเฉินไปแล้วเดี๋ยวก็กลับมา รบกวนจางเซียนซือคืนให้เขาเองเถิด”
ถูกดวงตาประกายน้ำคู่นั้นของชุนสุ่ยจ้องมองในระยะประชิด นักพรตสะพายไม้ท้อก็หน้าแดงผิดไปจากปกติอีกครั้ง เขาดึงมือกลับมาขลาดๆ ไม่มีมาดของเซียนซือผู้ประสบความสำเร็จเลยแม้แต่น้อย
นักพรตหนุ่มรู้สึกหิวน้ำมาก น่าเสียดายที่เห็นเพียงใบชาหนึ่งจาน ไม่มีน้ำชา แล้วก็ไม่กล้าจะเปิดปากขอ จึงได้แต่ทนเอาไว้
ชิวสือที่รู้สึกว่านักพรตหนุ่มคนนี้ตลกดีหยิบเอาชาลิ้นนกกระจอกขมขึ้นมาชิ้นหนึ่ง วางไว้ในปากแล้วเอ่ยเย้าว่า “จางเซียนซือ ใบชานี้กินอย่างนี้ ไม่ต้องใช้ไฟต้มน้ำให้ยุ่งยาก”
ชุนสุ่ยรู้สึกระอาใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้นางไม่สะดวกจะสั่งสอนน้องสาวที่บุ่มบ่ามไร้มารยาท
เพราะนางรู้ดียิ่งนักว่า หากเจอกับคนที่จิตใจคับแคบ ย่อมต้องอาฆาตแค้นแน่นอน
ยังดีที่นักพรตหนุ่มมีนิสัยอ่อนโยน เขาเพียงแต่หน้าแดงก่ำ ใช้นิ้วคีบใบชาขึ้นมาสองใบ ส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวเบาๆ
จากนั้นสีหน้าของนักพรตหนุ่มก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างหลากหลาย
เหมือนกับเด็กน้อยที่ได้กินส้มเปรี้ยวหรือหวงเหลียน (หนึ่งในสมุนไพรแห้ง ที่มีฤทธิ์เย็นและขมที่สุด) เป็นครั้งแรก รสชาติที่สัมผัสทำให้แทบจะสั่นเยือกไปทั้งตัว
ชิวสือปิดปากหัวเราะคิก แกล้งนักพรตหนุ่มคนนี้สนุกจริงๆ
ชุนสุ่ยกลับรู้สึกแปลกใจ
นักพรตหนุ่มเปิดเผยรายละเอียดอย่างหนึ่งโดยบังเอิญ สองนิ้วคีบหยิบวัตถุ นิ้วชี้อยู่ด้านล่าง นิ้วกลางอยู่ด้านบน เห็นได้ชัดว่าเป็นท่าทางของคนที่คีบเม็ดหมากเป็นประจำถึงทำได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว
หากเป็นผู้ฝึกลมปราณระดับต่ำที่มาจากสำนักยากจน เกรงว่าแม้แต่โอกาสจะได้เห็นกระดานหมากล้อมสักครั้งก็คงไม่มี เพราะอย่างไรซะพิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาดก็ล้วนเป็นวิชาที่คนมีเงินเท่านั้นถึงได้เล่าเรียน ต่อให้กลายเป็นคนบนภูเขาแล้ว แต่เรื่องอย่างการเล่นหมากล้อมนี้พิถิพิถันในด้านการรวบรวมสมาธิมากที่สุด อีกทั้งยังลึกล้ำจนไม่เห็นก้นบึ้ง ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งหากไม่เพราะชื่นชอบมาตั้งแต่เด็กก็ไม่มีทางแบ่งสมาธิไปเรียนเด็ดขาด ต้องเลือกให้ได้ว่าใช้งานอดิเรกที่ตัวเองชื่นชอบมาผ่อนคลายจิตใจนั้นสำคัญกว่า หรือฝึกตนให้ตบะเพิ่มพูนเหมือนน้ำที่หยดลงหินทุกวันที่สำคัญยิ่งกว่า?
เห็นรายละเอียดเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจถึงสถานการณ์ ชุนสุ่ยกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ นางรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่น่าสนใจอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันที่พักอยู่ในห้องอักษรตัวเทียนเป็นเด็กหนุ่มที่มาจากตรอกยากจน แต่กลับสามารถฝึกหมัดมองทะเลเมฆอยู่บนหอชมทัศนียภาพได้ทุกวัน
ส่วนนักพรตหนุ่มขี้อายคนนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมานานหลายปี ชาติกำเนิดน่าจะไม่แย่นัก น่าเสียดายที่เมื่อมาอยู่บนภูเขาซึ่งมีเทพเซียนรวมตัวกันกลับยังไม่มากพอ สุดท้ายจึงได้แต่เดินเล่นอยู่บนดาดฟ้าเรือคุนทุกวัน
ชุนสุ่ยหันไปเห็นโดยบังเอิญว่าเด็กชายที่บุรุษขี้ขลาดอุ้มไว้ในอ้อมอกซึ่งนั่งอยู่แถวหน้าหันมายิ้มให้นาง
ชุนสุ่ยจึงยิ้มน้อยๆ ตอบกลับไปตามมารยาท
นางคิดว่าการทดสอบใหญ่ครั้งแรกในใต้หล้าแห่งนี้คงจะเป็นการเลือกครรภ์มาเกิดกระมัง?
แต่เด็กชายกลับคิดว่า พี่สาวน้อยที่งดงามขนาดนี้น่าซื้อกลับไปเป็นสาวใช้ประจำกายของตนจริงๆ เวลาเปิดหนังสืออ่านในหน้าหนาวจนมือเย็นก็ให้นางกุมมือให้อุ่น
เด็กชายที่หน้าตาเหมือนบิดากระตุกชายแขนเสื้อของสตรีแต่งงานแล้ว แม้ว่าเวลาปกติสตรีแต่งงานแล้วจะมีสีหน้าเย่อหยิ่ง แต่กลับรักและเอ็นดูลูกชายของตนอย่างมาก นางจึงยิ้มแล้วก้มหน้าไปหาเขา เด็กชายบอกความต้องการของตัวเองเบาๆ
สตรีแต่งงานแล้วหันกลับมามองชุนสุ่ยที่อยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าเฉยเมย จากนั้นถึงหันไปพูดยิ้มๆ กับบุตรชายของตนว่า “พรสวรรค์ย่ำแย่เกินไป ขนาดห้าขอบเขตกลางก็ยังไม่ต้องคิดหวัง ต่อให้มอบสมบัติวิเศษกองเป็นพะเนินให้กับนาง ก็อย่าได้เพ้อฝัน ไม่เป็นไร รอให้ลงเรือที่นครมังกรเฒ่าเมื่อไหร่ แม่จะซื้อสตรีที่มีขอบเขตถ้ำสถิตย์มาเป็นสาวใช้ให้เจ้าเอง”
สตรีแต่งงานแล้วกล่าวว่าจะซื้อหญิงสาวห้าขอบเขตกลางมาเป็นสาวใช้ ไม่เพียงแต่บุตรชายของนางเท่านั้นที่เชื่อ ทุกคนที่อยู่ข้างกายนางต่างก็ไม่มีใครคิดว่านางพูดเหลวไหล
สตรีแต่งงานแล้วไม่คิดจะปิดบังคำพูดของตัวเอง เสียงของนางทำให้ชุนสุ่ยหน้าขาวซีด
ไม่มีหวังเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางไปตลอดชีวิต
นี่ทำให้นางสิ้นหวังอย่างยิ่ง
แล้วจู่ๆ สตรีแต่งงานแล้วก็หันหน้ากลับมาอีกครั้ง คราวนี้นางปรายตามองไปที่ชิวสือ “โอ้ นังหนูนี่พอจะมีความหวังอยู่บ้าง เพียงแต่แค่มองก็รู้แล้วว่าเลี้ยงยาก ไม่น่ามองเหมือนคนเมื่อครู่ ลูกชาย เจ้าชอบคนนี้ไหม? หากชอบแม่สามารถพูดคุยกับภูเขาต่าเจี้ยวขอซื้อตัวนางได้”
บุตรชายหันมามองตามสายตาของนางแล้วพูดด้วยสีหน้ารังเกียจ “รูปร่างผอมแห้งพอๆ กับท่านแม่เลย ข้าไม่ชอบหรอก”
สตรีแต่งงานแล้วที่ร่างสูงใหญ่แต่กลับผอมบางไม่ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย กลับกันยังลูบศีรษะของบุตรชายพลางหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน เสียงหัวเราะของนางประหนึ่งเสียงนกฮูกที่ร้องโหยหวนอยู่บนคาคบไม้ยามค่ำคืน น่าสะพรึงกลัวชวนขนหัวลุก
ชิวสือสีหน้างงงัน
พี่สาวชุนสุ่ยกลับหลุบตาลงต่ำ นิ้วทั้งห้าที่เรียวยาวดุจต้นหอมของสองมืองดงามซึ่งวางทับซ้อนกันบนเข่าเกร็งแน่นจนเส้นเลือดเขียวปูดโปน
……
แม้ว่าจะมีความประทับใจที่ดีต่อแม่ชีคนนี้มาก แต่เฉินผิงอันก็ยังใช้จิตสื่อสารกับชูอีและสืออู่ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
พอได้รับการตอบรับ เขาถึงพอจะมั่นใจได้บ้าง
จะเป็นขนมเปี๊ยะหรือก้อนหินที่หล่นลงมาจากฟ้าก็ล้วนต้องระวังไว้ก่อน
ทุกครั้งที่ผู้เฒ่าเหยาดื่มเหล้าจะชอบพูดถ้อยคำที่เหล่าลูกศิษย์ในเวลานั้นชอบฟังไม่หยุดปาก เวลานั้นหลิวเสี้ยวหยางจะรู้สึกรำคาญ แต่ลูกศิษย์คนอื่นๆ ของผู้เฒ่ากลับรู้สึกว่าผู้เฒ่าที่พอเมาแล้วพูดเป็นน้ำไหลไฟดับนั้นใจดีมีเมตตายิ่งกว่าเวลาปกติที่มักจะตีหน้าเคร่งตวาดสั่งสอนผู้คน ส่วนเนื้อหาที่พูดคืออะไร ล้วนไม่มีใครใส่ใจ
ทุกคนต่างก็มีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง บางคนชะตาหนาหนัก ก็คือถนนแผ่นหินบนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ อย่าว่าแต่ลมพัดพายุฝนเลย ต่อให้มีดหล่นลงมาจากฟ้าก็ยังไม่ต้องกลัวว่าจะเดินไปบนทางไม่ได้ บางคนชะตาบางเบา ก็คือทางดินในตรอกเล็ก เพียงแค่ฝนตกพรำๆ ถนนดินก็กลายเป็นโคลนเละเทะ ส่วนคนที่ชะตาบางยิ่งกว่านั้นก็เหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง คิดจะขาดก็ขาด ต่อให้สวรรค์ประทานของดีๆ มาให้ก็กลายเป็นเรื่องร้าย เพราะถือไว้ไม่อยู่
ทุกครั้งเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ไกลที่สุดจะต้องจดจำคำพูดของเขาไว้ในใจเงียบๆ
ที่น่าสนใจก็คือ เวลาปกติผู้เฒ่าเหยาไม่ชอบพูดอะไรกับลูกศิษย์อย่างเฉินผิงอันที่สุด แต่คำพูดที่เขาเอ่ยออกมากลับมีแค่เฉินผิงอันที่ยินยอมฟัง และเห็นเป็นจริงเป็นจังมากที่สุด
คนชั่วทำเรื่องดีสักครั้ง ช่างหาได้ยาก และจะมีสักกี่คนที่ได้รับ? แต่คนดีทำเรื่องชั่วร้ายสักครั้ง ขอแค่หล่นลงมาบนหัวของตน จะร้องไห้ก็ยังร้องไม่ทัน
เฉินผิงอันไม่ต้องการให้การพบเจอกันครั้งนี้มีแผนร้ายอะไรซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง
หากเป็นเรื่องร้ายที่หนีก็หนีไม่รอด ถ้าอย่างนั้นเขาก็เดาเอาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับกระบี่ที่อยู่ในฝักไม้ไหวซึ่งเขาสะพายไว้ด้านหลัง ต่อให้เว่ยป้อ หร่วนฉงและหยางเหล่าโถวสามคนร่วมมือกันปกปิดอำพรางก็ยังเผยพิรุธออกมาให้เห็น
เฉินผิงอันเดินขึ้นหอเรือนไปช้าๆ เปิดประตูเดินเข้าไป ในห้องโถงหลักไม่มีเงาร่างของแม่ชีแห่งสำนักโองการเทพ กวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายก็เห็นสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างโต๊ะในห้องหนังสือ
แม่ชีหน้าตางดงามสวมชุดคลุมเต๋า แต่กลับปลดกวานหางปลางที่ก่อนหน้านี้สวมไว้เป็นประจำ เปลี่ยนมาเป็นกวานดอกบัวแทน สำนักโองการเทพของนางถือเป็นสำนักที่ค่อนข้างแปลกประหลาดในฝ่ายในของระบบลัทธิเต๋า เพราะระบบเต๋าของพวกเขาซับซ้อนสับสน การสืบทอดก็มั่วซั่ววุ่นวาย มีควันธูปอยู่ทั้งสามลัทธิของสำนักเต๋า ซึ่งถือเป็นบัญชีที่เลอะเลือนอย่างยิ่ง
มือข้างหนึ่งของเฮ้อเสี่ยวเหลียงวางไว้บนโต๊ะ พอเห็นหน้ากันก็เอ่ยเข้าประเด็นทันที “เฉินผิงอัน ที่ข้ามาหาเจ้าครั้งนี้ก็เพราะได้รับการไหว้วานจากคนอื่น เจ้า…”
คำว่า ‘ลัทธิ’ เกือบจะหลุดออกมาจากปาก เฮ้อเสี่ยวเหลียงรีบเปลี่ยนคำพูดด้วยสีหน้าปกติ “ลู่เฉิน หรือก็คือนักพรตที่เคยไปที่ตรอกหนีผิงคนนั้น ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองเล็กหลงเฉวียน เพียงแต่ว่าไม่สะดวกมาพบหน้าเจ้า จึงให้ข้ามาเอาเทียบยาแผ่นหนึ่งกลับไปให้เขา ซึ่งก็คือแผ่นสุดท้าย ที่มีตราประทับสีชาดสี่ตัวอักษรนั่นน่ะ นอกจากนี้ เขายังบอกให้ข้าคืน…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย “หินดีงูก้อนหนึ่งให้เจ้า นับจากนี้ไปเจ้าและเขาไม่มีอะไรติดค้างกัน เจ้าเดินไปบนเส้นทางหยางกวาน (เส้นทางที่กว้างขวางใหญ่โต ทางที่มีอนาคตรออยู่เบื้องหน้า) ของเจ้า เขาเดินไปบนสะพานไม้ของเขา เขาพูดเองว่า ‘วันหน้าหากพวกเรายังมีโอกาสได้พบหน้ากัน สามารถนั่งลงร่ำสุราด้วยกันสักจอก’”
เฉินผิงอันทั้งโล่งอก แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกลำคอตีบตัน
ไม่ได้มาเพราะกระบี่เล่มนั้นที่หร่วนฉงหลอม แต่มาเพราะตนคนเดียวเท่านั้น
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ยยิ้มๆ “สุดท้ายเขายังให้ข้าบอกเจ้าว่า นับจากวันนี้ไปจงรักษาตัวให้ดี จำไว้ว่าต้องลงเรือที่แคว้นหนันเจี้ยนเท่านั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงชี้ไปยังโต๊ะในห้องโถง คนทั้งสองจึงเดินไปนั่งตรงข้ามกัน เฮ้อเสี่ยวเหลียงครุ่นคิดแล้วก็ปาดมือผ่านไปบนฝ่ามือหนึ่งที บนโต๊ะก็มีหยกลัญจกรของแคว้นหนึ่งที่ล่มสลาย อาณาประชาราษฎร์กลายเป็นคนลี้ภัยเร่ร่อนปรากฎขึ้นมา หยกนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อเป็นมันแข็งกลมเกลี้ยง นี่ก็คือวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่ง เมื่อเทียบกับวัตถุฟางชุ่นที่ล้ำค่าแล้ว วัตถุนี้มีแต่จะหายากมากกว่า เด็กหนุ่มชุยฉานมีพกติดตัวไว้หนึ่งชิ้น ตอนนั้นที่อยู่บนยอดเขาตงซานของสำนักศึกษาต้าสุย เขาก็เอาสมบัติอาคมหลายชิ้นออกมาจากวัตถุจื่อชื่อนี้ และเมื่อผ่านศึกของคืนนั้นไป เขาก็ได้ฉายาว่า ‘บรรพบุรุษของตระกูลไช่’ มาครอง
จากนั้นเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ดันมือที่แบอ้าขึ้นสูงเล็กน้อย บนหยกลัญจกรที่เป็นวัตถุจื่อชื่อมีแท่นฝนหมึกโบราณสักลวดลายเมฆชิ้นหนึ่งลอยขึ้นมา จากนั้นด้านในแท่นฝนหมึกก็มีตำราโบราณเนื้อหยกเล่มหนึ่งผุดขึ้น สุดท้ายคือใบบัวเล็กๆ ใบหนึ่งที่ลอยออกมาจากตำราโบราณ และสุดท้ายของท้ายสุดถึงจะเป็นหินดีงูก้อนหนึ่งที่กลิ้งหลุนๆ ออกมาจากใบบัวซึ่งเป็นวัตถุฟางชุ่น นั่นก็คือหินดีงูที่เฉินผิงอันฝากเฮ้อเสี่ยวเหลียงไปมอบให้ลู่เฉิน
วัตถุจื่อชื่อหนึ่งชิ้น วัตถุฟางชุ่นสามชิ้น
นี่เรียกว่าการโอ้อวดความร่ำรวยโดยไม่ได้เปิดปากพูด
อีกทั้งยังอวดรวดเดียวจบ
ไม่ว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบคนใดในใต้หล้ามาเห็นเข้าคงถลึงตาจนตาแทบถลนออกมาจากเบ้าเลยทีเดียว
คนอื่นอย่างมากก็แค่นอนหาเงิน แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับนอนรับโชควาสนา
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเก็บใบบัว ตำราหยก แท่นฝนหมึกโบราณและหยกลัญจกรกลับลงไป จากนั้นค่อยผลักหินดีงูก้อนนั้นมาให้เฉินผิงอันเบาๆ
เห็นว่าเฉินผิงอันคล้ายจะไม่กล้ารับหินดีงูกลับคืน เฮ้อเสี่ยวเหลียงจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “วางใจเถอะ ครั้งนี้ลู่เฉินไม่เล่นตุกติกอะไรอีกแล้ว ก็เหมือนกับที่เขาพูดรับประกันกับปากตัวเองว่าการพบเจอกันระหว่างเจ้าและข้าในครั้งนี้ ไม่ว่าข้าจะทำหรือพูดอะไร เขาก็ไม่มีทางใช้วิชาอภินิหารมาลอบมองเด็ดขาด ขอแค่เป็นเรื่องที่เขาพูดเอง เจ้าและข้าล้วนสามารถเชื่อได้”
เฉินผิงอันถึงได้ควบคุมให้สืออู่ปล่อยเทียบยาแผ่นนั้นลอยออกมา ซึ่งก็คือเทียบยาที่มีสี่คำว่า ‘คำสั่งลู่เฉิน’
เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ เพียงแค่ร่ายใช้เวทคาถาเก็บมันไว้ในวัตถุฟางชุ่นใบบัวของตัวเอง
จัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย สีหน้าของเฮ้อเสี่ยวเหลียงถึงได้ผ่อนคลายขึ้น นางถึงขนาดหยิบผลไม้วิเศษที่มีชื่อว่าหลีไฟลูกหนึ่งขึ้นมากัดเบาๆ หนึ่งคำ แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เอาล่ะ เรื่องเป็นการเป็นงานเสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องส่วนตัว เฉินผิงอัน เจ้าไม่ต้องตื่นเต้น”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ ข้าจะไม่ตื่นเต้นได้หรือ?
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ยถาม “เจ้าเคยได้ยินมาหรือเปล่าว่า ข้าออกจากสำนักโองการเทพแล้ว?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ยเย้ยหยันตัวอง “ดูท่าคงเป็นเพราะตบะต่ำเกินไป ชื่อเสียงน้อยเกินไป”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงหัวเราะ นางพูดอย่างไม่รีบร้อนพลางกินหลีไฟอย่างเอร็ดอร่อยไปด้วย วัตถุชิ้นนี้สามารถต้านทานความหนาวเย็น ทำให้ทั่วร่างของคนอุ่นสบาย ส่วนปราณวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ในหลีไฟนั้นไม่มีค่าพอให้พูดถึง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับส้มฉางชุนได้ เป็นเหตุให้ราคาไม่แพง มักจะเป็นของที่พวกขุนนางด้านล่างภูเขาต้องเตรียมไว้รับรองแขกในช่วงฤดูหนาวถึงฤดูใบไม้ผลิ
แต่ในจานกระเบื้องกลับมีส้มฉางชุนอยู่มากกว่า หลีไฟมีน้อยจนนับนิ้วได้ หากไม่เป็นเพราะถามชุนสุ่ยชิวสือถึงเรื่องราคามาก่อน เฉินผิงอันย่อมคิดไปว่าหลีไฟที่มีจำนวนน้อยมากราคาแพงยิ่งกว่า
อันที่จริงนี่ก็คือรากฐานของตระกูลเซียนบนภูเขาอย่างภูเขาต่าเจี้ยว พวกเขาไม่เคยตระหนี่ขี้เหนียว
เฮ้อเสี่ยวเหลียงกินหลีไฟอย่างสบายอารมณ์ สีหน้าผ่อนคลาย
เฉินผิงอันนั่งตัวตรงอย่างสำรวมรอคอย ด้วยไม่รู้ว่าเซียนซือท่านนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่
เฮ้อเสี่ยวเหลียงกุมารีหยกแห่งระบบเต๋าของบุรพแจกันสมบัติทวีป ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงป่าวประกาศว่าตัวเองออกจากสำนักโองการเทพแล้ว มีคนบอกว่าเป็นเพราะนางหลงรักอาจารย์อาน้อยที่เดินทางไปรับผิดชอบดูแลคัมภีร์ของสำนักเบื้องบนซึ่งอยู่ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เมื่อใจรักของแม่ชีสาวบังเกิด ต่อให้ฟ้าผ่า แผ่นดินไหวหรือไฟไหม้ นางก็ไม่อาจหยุดรักได้ จึงถึงขั้นเลียนแบบชาวบ้านที่สามีร้องภรรยาตาม ยอมสละทิ้งทั้งสำนักผู้มีพระคุณและมหามรรคาแห่งความเป็นอมตะ
เฮ้อเสี่ยวเหลียงสละตำแหน่งกุมารีหยก สามลัทธิของสำนักเต๋าในแจกันสมบัติทวีปจึงมีกุมารีหยกคนใหม่ปรากฎตัวทันที ไม่ได้อยู่ในสำนักโองการเทพที่มีเทียนจวินบัญชาการณ์ แต่เป็นแม่ชีสาวน้อยชื่อเสียงไม่โด่งดังคนหนึ่งในสำนักวารีสารท คนภายนอกคาดเดาเอาว่ากระทำของเฮ้อเสี่ยวเหลียงครั้งนี้เป็นเหตุให้ฝ่ายในระบบเต๋าของทวีปเกิดความแค้นเคือง สำนักโองการเทพต้องสูญเสียอนาคตอันงดงามจากที่เคย ‘เป็นสำนักที่มีทั้งกุมารทองและกุมารีหยก’ ไป ส่วนอาจารย์ผู้มีพระคุณของเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ยิ่งเดือดดาลอย่างหนัก ถึงกับป่าวประกาศว่าจะจัดการลูกศิษย์ในสำนักของตัวเอง เกือบจะลงจากภูเขาไปตามหาร่องรอยของเฮ้อเสี่ยวเหลียงด้วยตัวเอง กว่าเทียนจวินฉีเจินจะห้ามเอาไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
คนบนโลกต่างก็รู้ว่าอาจารย์ผู้สืบทอดวิชาความรู้ให้แก่เฮ้อเสี่ยวเหลียงฝากความหวังไว้กับนางมาก ทุ่มเทอบรมปลูกฝังราวกับเห็นนางเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของตน
นี่เป็นเรื่องจริงที่คนทั้งสำนักโองการเทพต่างก็เห็นกันอยู่ในสายตา
ด้วยเหตุนี้หากเทพเซียนเฒ่าจะเสียใจมากก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่ก็อดมีคนกังขาไม่ได้ว่า ไหนบอกว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงมีโชควาสนาลึกล้ำเป็นอันดับหนึ่งของทวีปไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงตกอยู่ในสภาพนี้ได้?
หรือว่านางงมเจอวาสนาที่ยิ่งใหญ่มากกว่า? เป็นเหตุให้ทอดทิ้งได้แม้กระทั่งอาจารย์และสำนัก? ทว่าในระบบเต๋านั้นมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดไม่เป็นรองสำนักศึกษาและสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊อเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงไปอยู่ที่สำนักเบื้องบนของสำนักโองการเทพในแผ่นดินกลางจริงๆ แต่ต้องแบกชื่อเสียงฉาวโฉ่และคำประนามจากคนมากมายขนาดนี้จะสามารถอยู่ข้างกายนักพรตผู้ดูแลคัมภีร์คนนั้นไปได้ชั่วชีวิตจริงหรือ?
ยังดีที่ศึกระหว่างขุนเขาตะวันเที่ยงและสวนลมฟ้ามาดึงความสนใจจากทุกคนไปเสียก่อน
ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ตัดสินเป็นตายจะมีพลังดึงดูดมากกว่าความรักความแค้นที่ซับซ้อนวกวน
เฉินผิงอันเห็นว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงกินหลีไฟไปแล้วหนึ่งลูกก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเปิดปาก จึงได้แต่ถามเสียงเบา “เฮ้อเซียนซือ เจ้ามาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ความคิดล่องลอยไปไกลดึงสมาธิกลับมา กระนั้นนางก็ยังไม่พูดอะไร เพียงมองประเมินเฉินผิงอันอย่างละเอียด
เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่พบกันบนหินหลังควายของถ้ำสวรรค์หลีจู เด็กหนุ่มตัวสูงขึ้นจากเดิมเล็กน้อย ผิวก็ขาวขึ้น ระหว่างหว่างคิ้วคล้ายจะมีความสดใสมีชีวิตชีวาเพิ่มมาอีกเสี้ยวหนึ่ง
ในฐานะนักพรตผู้เป็นเจ้าลัทธิ ลู่เฉินเคยพูดคุยอย่างตรงไปตรงมากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงครั้งหนึ่งก่อนที่นางจะมาขึ้นเรือบนภูเขาอู๋ถงเงียบๆ
นอกจากจะฝากให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงมาบอกต่อเฉินผิงอันแล้ว อันที่จริงที่มากกว่านั้นกลับเป็นเรื่องวงในที่ ‘ห้ามพูด ห้ามเอ่ย’ ออกมา ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่ตอนนั้นลู่เฉินอยู่ในบ้านข้างๆ บ้านบรรพบุรุษของเด็กหนุ่มในตรอกหนีผิง นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กหน้าเตาไฟ หยิบกระบอกเป่าลมขึ้นมาเป่า เป็นแขกแต่กลับต้องง่วนทำอาหาร ส่วนเด็กสาวจื้อกุยที่เป็นเจ้าของบ้านกลับนั่งอาบแดดอย่างเกียจคร้านอยู่ในลานบ้าน แถมยังคอยหันมามองทางห้องครัว พูดเร่งลู่เฉินว่าทำให้เร็วหน่อยได้หรือไม่
ตอนนั้นเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็นั่งอยู่ใกล้ๆ กับลู่เฉิน หลังจากที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของนักพรตหนุ่มคนนี้แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมจิตใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียงถึงได้สงบนิ่งเหมือนน้ำ นี่เป็นเรื่องที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังแปลกใจ
ลู่เฉินในเวลานั้นค่อนข้างจะลำพองใจ แต่ปากกลับพร่ำพูดแต่เรื่องชั่วร้าย “ตอนนั้นเจ้าฉีจิ้งชุนเลือกคู่ยวนยางมั่วซั่ว โยนปัญหายุ่งยากใหญ่เทียมฟ้ามาให้ข้าผู้เป็นนักพรต และหากมีคนมอบของขวัญให้ ไม่มอบของขวัญกลับก็ไร้มารยาท ข้าผู้เป็นนักพรตจึงทำตัวเองให้เป็นผู้เฒ่าดวงจันทร์ร้อยด้ายแดงเสียเลย ดูสิว่าวิชาหมากล้อมของใครจะสูงกว่ากัน”
ตอนที่ลู่เฉินเอ่ยคำพูดไร้ความเคารพยำเกรงพวกนี้ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
เพียงแต่ว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับไม่สะทกสะท้าน สุขุมนิ่งสงบจากภายในสู่ภายนอก
นี่ทำให้ลู่เฉินรู้สึกหมดสนุก
นิสัยของนางเหมือนศิษย์พี่ใหญ่มากเกินไปแล้ว หากเหมือนศิษย์พี่รองถึงจะน่าสนใจ แต่น่าสนใจก็ส่วนน่าสนใจ เพราะเวลาอยู่ร่วมด้วยจริงๆ ย่อมไม่ผ่อนคลายนัก
ก็เหมือนกับเด็กหนุ่มที่เดินออกไปจากตรอกซิ่งฮวาของเมืองเล็ก หม่าขู่เสวียน
ระหว่างที่ลู่เฉินรอให้ข้าวสุกอย่างอดทนก็หันมาบอกกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงอย่างตรงไปตรงมาว่า หินดีงูสองก้อนที่เฉินผิงอันมอบให้ เขาและนางต่างก็ได้รับกันคนละก้อน นี่ก็เหมือนสองชายฝั่งของแม่น้ำสายหนึ่ง ส่วนเทียบยาสองสามแผ่น โดยเฉพาะแผ่นที่มีตราประทับสีชาดสี่คำว่า ‘คำสั่งลู่เฉิน’ นั้นก็คือสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง
แม้ว่านี่จะเป็นแผนการลึกล้ำยาวไกลอย่างหนึ่งของลู่เฉิน แต่อันที่จริงกลับไม่ใช่แผนการชั่วร้ายอะไร
ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เพราะนี่ถึงจะเป็นโชคชะตาของเฉินผิงอันหลังจากที่เขาออกไปจากเมืองเล็ก เหตุผลของข้อที่ว่าเฉินผิงอันจะมีชีวิตที่สงบสุขได้หรือไม่ ครึ่งหนึ่งนั้นมาจากเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่ถูกทุบแตก หลายครั้งหลายคราที่ดึงดูดโชควาสนามาได้ แต่กลับหลุดมือไปเสียทุกครั้ง อาศัยเพียงชะตาที่แข็งมาตั้งแต่เกิด อาศัยความดึงดันดื้อรั้นที่มีมาตั้งแต่ตอนอยู่ในครรภ์มารดา หรือไม่ก็เพราะมีสถานะพิเศษเป็นตัวหมากที่สำคัญ อดทนมาจนถึงช่วงท้ายของสถานการณ์ รอจนจบเรื่องแล้วหลังจากนี้ก็จะเป็นการชดเชยจากวิถีฟ้าที่มองไม่เห็น
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งมาจากฝีมือของเขาลู่เฉิน
บางทีฉีจิ้งชุนอาจจะมองออกตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขากลับยินดีผลักเรือตามน้ำ เชื่อว่าเฉินผิงอันที่เป็นคนดีฟ้าย่อมคุ้มครอง รู้จักรับไว้และตัดใจที่จะสละทิ้งได้ ด้วยเหตุนี้ฉีจิ้งชุนจึงยินดีที่จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้น คนที่มองไม่เห็น ยกตัวอย่างเช่นตัวเฉินผิงอันเองกลับสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย
เพราะหลังจากที่สะพานสร้างขึ้นมาแล้ว เฉินผิงอันกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงจึงมีความเชื่อมโยงที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่งต่อกัน โชควาสนาสืบเนื่องติดต่อกัน แบ่งกันไปคนละครึ่ง
ดังนั้นจึงพูดได้ว่าเฉินผิงอันแบ่งโชควาสนาของเฮ้อเสี่ยวเหลียงไปครึ่งหนึ่งเต็มๆ !
แต่จะว่าไปแล้ว หากเป็นคนธรรมดาที่รับโชควาสนี้ไว้ ไม่แน่อาจตายอย่างเฉียบพลันไปนานแล้ว
หากมีชะตาบางเบาดุจกระดาษ อย่าว่าฝนห่าใหญ่ตกลงมาเลย ต่อให้เป็นแค่ฝนเม็ดเดียว กระดาษก็ทะลุได้
หรือต่อให้เป็นคนที่ชะตาแข็งมาก แต่หากดึงดันไม่ฟังเสียงผู้ใด ไม่ว่าอะไรก็กล้ารับไว้ กล้าเรียกร้อง ผลกรรมบางอย่างมองดูเหมือนเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วกลับรุนแรงดุจพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร อย่าว่าแต่ทางหินเขียวบนถนนฝูลวี่เลย ต่อให้เป็นภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกก็ยังถล่มทลายไม่เหลือซากได้
ความตั้งใจเดิมของลู่เฉินนั้นไม่ได้มีเจตนามุ่งร้าย แต่เฉินผิงอันจะต้องตาย หรือจะกลายเป็นว่าได้รับหายนะตามหลังโชคหรือไม่นั้น ลู่เฉินกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย
ก็แค่หลังจบเรื่องได้พิสูจน์ให้เห็นในทางอ้อมว่า เจ้าฉีจิ้งชุนมองคนผิดก็เท่านั้น
ได้ฟังความลับสวรรค์ที่เจ้าลัทธิเต๋าท่านหนึ่งเปิดเผยให้ฟัง
ในที่สุดสภาพจิตใจที่นิ่งสนิทดุจผืนน้ำของเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็เกิดปริแตกเหมือนผิวกระจกที่เกิดรอยร้าวลามขยาย
นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่า เฮ้อเสี่ยวเหลียงคนที่มีโชควาสนาเทียมฟ้า ชีวิตราบรื่นไร้อุปสรรคผู้นั้นได้เดินมาถึงหน้าผาแล้ว นี่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการเดินสวนกระแสบนมหามรรคา กระจกแตกกลับประสาน นับจากนี้จะเดินก้าวหนึ่งขึ้นสวรรค์ หรือเดินก้าวออกไปแล้วพลัดตกเหวหมื่นจั้ง ร่างแหลกสลาย ก็อยู่ที่ก้าวถัดไปของนางนี้แล้ว
อีกอย่างต่อให้เลือกถูกแล้ว การฝึกตนก็อาจไม่จะเหมือนในอดีตที่วันเดียวก็ทะยานไกลพันลี้ ราบรื่นไร้อุปสรรคเสมอไป
ตอนนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดในชีวิตที่สุขสมหวังของนาง
โดยเฉพาะความรู้สึกที่ไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง กลายเป็นหมากของคนอื่นที่ย่ำแย่อย่างถึงที่สุด
ฝึกตนไม่ใช่เพื่อกลายมาเป็นหุ่นเชิดให้บุคคลยิ่งใหญ่คนหนึ่งชักนำ ต่อให้บุคคลยิ่งใหญ่ที่ว่านี้คือลู่เฉิน เจ้าลัทธิหนึ่งในใต้หล้ามืดสลัวก็ตาม!
เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ นี่ทำให้สภาพจิตใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียงสับสนวุ่นวายได้มากกว่า
ปีที่นางอายุสิบสี่ วันที่นางสังหารมังกรแดงได้สำเร็จ เด็กสาวเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ค้นพบว่าสายตาที่อาจารย์มองตน เปลี่ยนไป
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน แรกเริ่มเด็กสาวผู้บริสุทธิ์รู้เพียงว่านั่นคือสายตาที่ทำให้นางไม่สบายใจ ไม่ใช่ความเมตตาปราณีอย่างที่ผู้ใหญ่ใช้มองผู้น้อย แต่มันแฝงไว้ด้วยความหมายของบุรุษที่ใช้มองสตรี
แต่ตอนนั้นเจ้าลัทธิฉีเจินกำลังปิดด่าน คนทั่วทั้งสำนักโองการเทพต่างก็อยู่ในภาวะตึงเครียดหวาดหวั่น
หนึ่งวันก่อนที่นางจะออกจากสำนักโองการเทพเดินทางไปถ้ำสวรรค์หลีจู ผู้เฒ่าก็บอกกับนางอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า ต้องการให้นางเป็นคู่บำเพ็ญตนของเขา!
ผู้เฒ่ายังบอกด้วยว่า เพื่อนางแล้วเขาสามารถไปจากสำนักโองการเทพ ครองคู่เป็นยวนยางป่าที่มีความสุขและอิสระเสรีในภูเขาสูงบึงน้ำกว้างใหญ่ ไม่ต้องสนใจสายตาของคนในโลก หากเฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่อยากมีชีวิตที่ระหกระเหินก็ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่เป็นอาจารย์และศิษย์กันภายนอก แต่เป็นคู่รักกันลับๆ ผู้เฒ่ารับประกันว่าคัมภีร์ไม่สมบูรณ์แบบที่บรรยายถึงการฝึกมหามรรคาคู่นั้นสามารถทำให้พวกเขาสองคนเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ไม่ใช่เคล็ดประกอบกิจกามในห้องหับชั้นต่ำที่ใช้ธาตุหยินของฝ่ายหญิงมาเสริมธาตุหยางของฝ่ายชายอย่างแน่นอน
เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ยินยอม
อีกทั้งยังไม่ได้แสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตาม หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นผู้เฒ่าไม่มั่นใจว่าจะจับตัวนางได้อย่างเงียบเชียบ เกรงว่าคงลงมือไปนานแล้ว
นี่ถึงเป็นเหตุให้นางเดินทางไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลีในคราวนั้น
เพราะทัศนียภาพบางอย่าง เฮ้อเสี่ยวเหลียงอยากจะเดินขึ้นไปยอดเขา และดูให้เห็นเองกับตาเพียงลำพัง
อันที่จริงสำหรับวิชาการฝึกตนคู่ซึ่งเป็นการเสพกามในสายตาของชาวโลก หรือคู่รักอาจารย์และศิษย์ที่ผิดต่อหลักประเพณีนิยมอะไรพวกนี้ เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ได้ให้ความสำคัญนัก แล้วก็ไม่ได้มีอคติสักเท่าไหร่
เฮ้อเสี่ยวเหลียงให้ความสำคัญแค่มหามรรคาเท่านั้น!
และในความเป็นจริงแล้ววิชาลับฝึกตนคู่ชั้นเยี่ยมที่แท้จริงของลัทธิเต๋าก็ไม่ได้แย่อย่างที่มนุษย์ธรรมดาเข้าใจผิด
เพราะนับว่าเป็นอีกสาขาหนึ่งของการฝึกคู่ทั้งกายและใจ อีกทั้งยังไม่ได้ถูกแบ่งแยกให้เป็น ‘หนึ่งในวิชา’ ของลัทธินอกรีตด้วย
ลัทธินอกรีต แม้จะฟังดูแล้วเป็นความหมายในทางลบ แต่อันที่จริงแล้วสำหรับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา นี่ก็เป็นแค่คำพูดที่แสดงให้เห็นว่าไม่สามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้ก็เท่านั้น แต่ก็ถือเป็นเส้นทางสายใหญ่ที่พาขึ้นไปสู่ภูเขาที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน
หลังจากที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับไปจากต้าหลี อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดความรู้ให้นางคนนั้นก็ฉีกกระชากภาพลักษณ์ของผู้อาวุโสที่เมตตาปราณีทิ้งอย่างสิ้นเชิง เขาคอยพูดจาล่อลวงโน้มน้าวใจ บางครั้งก็ข่มขู่ บางครั้งขุ่นเคือง ใช้ครบทุกสารพัดวิธี
เฮ้อเสี่ยวเหลียงรับมืออย่างสงบเยือกเย็น ทหารมาก็เอาขุนพลต้านรับ น้ำมาเอาดินกลบ แต่ส่วนลึกในจิตใจนางรู้สึกเศร้าหมอง เพราะนางรู้ว่านี่ก็คือมหามรรคาที่ผู้เฒ่าเลือก แต่มันเล็กเกินไป แคบเกินไป นางไม่เต็มใจเดินเคียงข้างผู้เฒ่าไปบนทางคับแคบที่ทัศนียภาพสุดปลายทางไม่สวยงามยิ่งใหญ่มากพอสายนี้
หลังจากนั้นเว่ยจิ้นเซียนกระบี่พสุธาของศาลลมหิมะก็มาที่แคว้นหนันเจี้ยน ผู้เฒ่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้ช่วยที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงเชื้อเชิญมา เขาจึงสงบสำรวมกว่าเดิมเยอะมาก คิดไม่ถึงว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงจะปฏิเสธเว่ยจิ้น สุดท้ายเว่ยจิ้นก็ดื่มเหล้าเมามายจูงลาจากไปอย่างเจ็บปวด นี่ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกว่าโอกาสดีๆ ครั้งใหม่บังเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่สิ่งดีย่อมมาพร้อมกับความยากลำบาก นักพรตหนุ่มที่มีศักดิ์เท่ากับเขา แต่ตบะไม่สูงเท่าเขากลับกล้าปกป้องเฮ้อเสี่ยวเหลียง งัดข้อกับเขาซึ่งๆ หน้า ทั้งยังทิ้งประโยคอาฆาตที่ทำให้คนเย็นสันหลังวาบเอาไว้ ผู้เฒ่ารุกหน้าก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ดี ลำบากใจอย่างยิ่ง แต่จะว่าไปแล้วก็น่าตลก เพียงไม่นานไอ้หมอนั่นก็รีบร้อนเดินทางไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง รีบร้อนจนได้แค่พูดคุยกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงเป็นการส่วนตัวครั้งเดียว ไม่ว่าจะอย่างไร เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ได้เลือกพึ่งพาอาจารย์อาน้อยของนางอย่างที่คนนอกคิดกัน แต่เลือกที่จะลบชื่อตัวเองออกจากบัญชีนักพรตเต๋าของสำนักโองการเทพ นี่ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกว่าสถานการณ์ดีๆ ครั้งใหม่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง ในที่สุดโอกาสก็มาแล้ว แต่ฉีเจินเจ้าสำนักกลับค่อนข้างจะใจกว้าง ไม่สนใจความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ซักไซ้ถามหาเหตุผลที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงทรยศสำนัก ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในสำนักโองการเทพอาจจะมีคนที่ไม่พอใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าสำนักเลี้ยงคนเนรคุณเอาไว้ แต่ในเมื่อเทียนจวินเจ้าสำนักพูดเองแล้ว พวกเขาก็ได้แต่ยอมเลิกราโดยดี มีเพียงอาจารย์ของเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่คิดจะลงจากภูเขาไป ‘เอาโทษ’ นาง แต่กระนั้นก็ยังถูกฉีเจินเกลี้ยกล่อมให้กลับสำนัก
บอกว่าเกลี้ยกล่อมให้กลับ
แต่พอเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ติดตามลู่เฉินไปต้าหลีได้ยินข่าว นางกลับรู้ดียิ่งกว่าใครว่า เจ้าสำนักฉีเจินจะต้องบังคับห้ามปรามผู้เฒ่าเอาไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีการลงไม้ลงมือกันด้วยถึงทำให้ผู้เฒ่ายอมกลับไปในจวนของตัวเองได้
เพราะหากไม่มีนาง มหามรรคาของผู้เฒ่าที่เดิมทีก็คลอนแคลน ไม่ทานลมทานฝนสายนั้นย่อมต้องขาดออกกลางคันอย่างสิ้นเชิง
ด้วยนิสัยดึงดัน เอาตัวเองเป็นใหญ่ของผู้เฒ่าย่อมไม่มีทางเลิกราง่ายๆ อย่างแน่นอน
แต่ทุกอย่างล้วนกำหนดมาแล้วว่าต้องเปลืองแรงเปล่า
เพราะด้านหลังของนางมีลู่เฉินหนุนหลัง
เขาคือบุคคลที่สามารถออกคำสั่งกับฉีเจินเทียนจวินได้ตามใจชอบ
เฮ้อเสี่ยวเหลียงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
จึงไม่ได้ตอบคำถามของเฉินผิงอันเสียที
เฉินผิงอันจึงได้แต่รอเงียบๆ
“ต่อให้ลู่เฉินจะวางแผนลึกล้ำยาวไกลแค่ไหน ก็เป็นแค่การกระทำที่คล้อยไปตามสถานการณ์เท่านั้น” จู่ๆ ดวงตาของเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็เป็นประกายวาบ ลุกพรวดขึ้นยืน คล้ายกับคลายปมบางอย่างในใจตัวเองได้ “ที่แท้วาสนานี้คือสวรรค์ที่ประทานมาให้”
แต่หัวใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง
นางพอจะจำได้ว่า ครั้งแรกที่พบเจอเด็กหนุ่ม นางมองออกแค่ว่าเขามีโชควาสนากับตน แต่โชควาสนานั้นบางเบานัก
นี่ต่างหากถึงจะเป็นเจตนารมณ์เดิมของมหามรรคานาง
แต่เหตุใดตอนนี้นางถึงได้รู้สึกว่าโชควาสนาของเขาลึกล้ำ? ถึงขั้นรู้สึกว่าพวกเขาเป็น ‘คู่ที่ฟ้าประทานมาให้’?
นี่ก็คือแผนการที่เจ้าลัทธิเต๋านามว่าลู่เฉินผู้นั้นอนุมานไว้!
แล้วก็จริงดังคาด เพราะมีเสียงเกียจคร้านแฝงแววยั่วเย้าดังขึ้นมาในทะเลสาบหัวใจของนาง “ถูกแล้ว สามารถคิดจนเข้าใจในข้อนี้ ก็แสดงว่าเจ้าผ่านด่านนี้ไปได้แล้ว เมื่อถามหัวใจตัวเองแล้ว เจ้าก็ได้มอบคำตอบที่ถูกต้องออกมา กระจกแห่งหัวใจที่แตกร้าวของเจ้าได้รับการซ่อมแซมชดเชยอย่างครบถ้วน ต่อให้วันหน้าบาดเจ็บสาหัสอีกครั้ง ก็ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่แค่ปริแตกก็แหลกสลายได้ทันที หลังจากนี้เจ้าสามารถท่องไปในกุรุทวีปได้แล้ว”
“แต่บอกไว้ก่อนว่า ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ได้แอบฟังหรือแอบดู เพียงแต่ว่าฝังบางสิ่งบางอย่างไว้ในทะเลสาบหัวใจของเจ้านานแล้ว เมื่อเจ้าได้คำตอบ มันก็จะคลายออก และข้าผู้เป็นนักพรตก็จะรับรู้ได้”
“ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตขอถามคำถามอีกข้อหนึ่งที่เจ้าต้องถามใจตัวเอง เจ้าควรจะจัดการกับเฉินผิงอันอย่างไร?”
“อืม พูดแบบนี้ออกจะสุภาพไปหน่อย ไม่ใช่ลักษณะการพูดของข้าผู้เป็นนักพรต ไม่สู้เปลี่ยนเป็นว่า ‘เฮ้อเสี่ยวเหลียง ลองลูบคลำหัวใจที่ซ่อนไว้อย่างมิดชิด ถามนโมธรรมในใจของเจ้าดูว่าจะตัดรากถอนโคน ตบคนที่มีวาสนา…ซึ่งไม่รู้ว่าวาสนานี้จะเป็นบุญสัมพันธ์หรือกรรมสัมพันธ์ตรงหน้านี้ให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว หลีกเลี่ยงไม่ให้ปมในใจกลายมาเป็นเงื่อนตาย ส่งผลร้ายต่อรากฐานมหามรรคาของเจ้าในอนาคตดีหรือไม่?’”
แม่ชีสาวที่หน้าตางดงามอย่างถึงที่สุดมองไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ใบหน้าของนางแดงปลั่ง ดวงตาเย็นเยียบ
เฉินผิงอันประสานสายตากับนาง
ด้วยความรู้สึกเหมือนตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง
ชูอีและสืออูที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวตั้งท่าเตรียมพร้อม
ฆ่าหรือไม่ฆ่าเด็กหนุ่ม?
ดูเหมือนว่าทุกอย่างนี้ล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของลู่เฉิน อยู่ในแผนการของเขา
ครั้งแรกเฮ้อเสี่ยวเหลียงต้องผ่านด่านของตัวเอง ครั้งนี้กลับต้องผ่านด่านที่เจ้าลัทธิเต๋าจัดวางไว้ให้ด้วยตัวเอง แน่นอนว่าลู่เฉินไม่มีทางทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง หาไม่แล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากการฆ่าคนโดยตรง เห็นได้ชัดว่าเขาฝากความหวังไว้มากกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง จึงไม่ต้องถึงขั้นตบบ้องหูตัวเองด้วยมือตัวเอง
แม่ชีสาวหน้าตางดงามถามใจตัวเองเป็นครั้งที่สอง ดวงตาที่เย็นเยียบเริ่มค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลดุจเส้นไหม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซีกแก้มที่แดงก่ำซึ่งยิ่งทำให้ดวงหน้าที่เดิมทีเรียบร้อยสุภาพของนางเปลี่ยนมาเป็นแปลกตาอย่างถึงที่สุด
เพียงแต่ว่าในทะเลสาบหัวใจของนางกลับเกิดคลื่นยักษ์ถาโถม น่าตะลึงพรึงเพริด เจ็บปวดจนพูดไม่ออก
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพียงแค่จ้องเขม็งไปยังแม่ชีสาวของสำนักโองการเทพที่มีท่าทางประหลาด
เขายังถึงขั้นสงสัยว่า อีกฝ่ายจะใช่จิ้งจอกปีศาจที่เชี่ยวชาญการล่อลวงใจคนจำแลงกายมาเป็นเฮ้อเสี่ยวเหลียงหรือไม่ หาไม่แล้วทำไมถึงมีลักษณะของคนสองคนที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง?
แต่ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่า ตอนนี้ระหว่างพวกเขามีเพียงเส้นบางๆ กางกั้นระหว่างความเป็นและความตาย
เฮ้อเสี่ยวเหลียงใช้มือสองข้างค้ำยันบนโต๊ะอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ เหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา เส้นผมสีดำยุ่งเหยิง
นอกประตูหัวใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียงมีเสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ คล้ายบังคับกดทับคลื่นยักษ์ที่โถมตัวอยู่ในทะเลสาบหัวใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียงลงไป “เฮ้อเสี่ยวเหลียง อันที่จริงข้าผู้เป็นนักพรตได้ให้คำตอบไปนานแล้ว เพียงแต่ว่าเจ้าถูกมหามรรคาบดบังจิตใจ หากเจ้าฆ่า ข้าผู้เป็นนักพรตก็จะต้องขัดขวาง เจ้าไม่ฆ่า ข้าผู้เป็นนักพรตก็ไม่ฝืนใจ อย่างไรเจ้าก็ต้องผ่านด่านนี้ไปได้อยู่ดี แต่เจ้าดันหยิบไม่ขึ้น แล้วก็วางไม่ลง สับสนมึนงง สุดท้ายยังคิดจะทำเรื่องที่เลวร้ายที่สุดโดยหวังสังหารเฉินผิงอัน แล้วค่อยผูกสัมพันธ์แต่งงานกับวิญญาณของเขา ทั้งสามารถตัดขาดบุญกรรม และไม่ต้องทำให้ตัวเองละอายใจ น่าขันยิ่งนัก วิธีการที่ยึดถือผลประโยชน์เป็นสำคัญเช่นนี้จะช่วยให้เจ้าเดินไปถึงยอดเขาได้หรือ? เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า เหตุใดเฉินผิงอันที่พบเจอกับอุปสรรคมาทั้งชีวิต แต่เดินมาได้จนถึงวันนี้ เจ้าที่มีชีวิตราบรื่นสุขสบาย พรสวรรค์โดดเด่นเลิศล้ำ แต่สุดท้ายแล้วกลับเดินข้ามธรณีประตูที่ข้ามได้ง่ายที่สุดนี้ไปไม่ได้?”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเทพธิดาที่สูงส่งจนไม่อาจเอื้อมของทวีปหนึ่งนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้อย่างห่อเหี่ยว ฟุบศีรษะลงไปบนโต๊ะ สีหน้าแปรเปลี่ยนรวดเร็วเหมือนกระแสน้ำขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ นางหอบหายใจหนักหน่วง ดวงตาที่มีไอน้ำปกคลุมบางๆ คู่นั้นจ้องมองมายังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ในดวงตามีทั้งความเจ็บแค้นและละอายใจ
ทว่าไม่มีจิตสังหารหลงเหลืออยู่
ทำเอาเฉินผิงอันที่มองอยู่มึนงงไปหมด
เกิดอะไรขึ้น?
ข้าไม่ได้รังแกเจ้าสักหน่อย กระบี่บินที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ยังไม่ได้ออกมาเลยนะ
อีกอย่างหากสู้กับผู้ฝึกลมปราณใหญ่อย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่อยู่ตรงหน้านี้ ต่อให้ตนเรียกทั้งชูอีและสืออู่ออกมา หรือแม้แต่ใช้กำจัดปีศาจปราบมารด้วยก็ยังมีแต่คำว่าแพ้และคำว่าตายเท่านั้น
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเหม่อลอยอยู่นาน ไอน้ำในดวงตาเริ่มจางหายไป กระแสน้ำขึ้นก็เริ่มถดถอยกลับ หัวใจแน่วแน่มั่นคงได้ในที่สุด นางลุกขึ้นยืน คลี่ยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม ในที่สุดนางก็กลับมามีท่าทีของเทพธิดาสาวที่มีกวางขาวเคียงคู่ ทั่วร่างล้อมวนไปด้วยปราณแห่งเซียนเหมือนครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้พบเจอนางอีกครั้ง
นางกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เฉินผิงอัน รอวันใดที่เจ้าตายไป เจ้าก็จะกลายมาเป็นสามีของข้าเฮ้อเสี่ยวเหลียง!”
สุดท้ายนางก็เลือกที่จะยืนหยัดตามความตั้งใจเดิมของตนครึ่งหนึ่ง เลือกทำตามสิ่งที่ตนตั้งใจไว้เมื่อแรกเริ่มสุดครึ่งหนึ่ง
ไม่ฆ่าคน แต่ผูกสัมพันธ์
บนทะเลสาบหัวใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียง เสียงทุ้มต่ำหนาทึบของลู่เฉินแฝงไว้ด้วยความชื่นชมอย่างไม่ปิดบังดังขึ้นช้าๆ “ฝูเซิงอู๋เลี่ยงเทียนจุนขออำนวยพรให้เจ้ามีความสุขอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ (ฝูเซิงอู๋เลี่ยงเทียนจุนเป็นชื่อของพระเป็นเจ้าลัทธิเต๋าองค์หนึ่งมีนัยเป็นการอำนวยพรให้ความสุขอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ มักจะใช้เป็นคำทักทายของนักพรตเต๋า) เฮ้อเสี่ยวเหลียง นับจากบัดนี้ไป เจ้าเป็นศิษย์ในสำนักของข้าลู่เฉิน เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนที่หก สามารถก่อสำนักตั้งพรรคที่กุรุทวีปได้แล้ว”
เฉินผิงอันอึ้งงันเป็นไก่ไม้ หลุดปากถามไปตามจิตใต้สำนึก “เฮ้อเซียนซือ เจ้าพูดอะไร? หรือว่าข้าหูฝาดไป เจ้าพูดอีกรอบได้หรือไม่?”
อะไรตายไปแล้ว อะไรคือเป็นสามี
เฉินผิงอันยิ่งมั่นใจว่า ‘เฮ้อเสี่ยวเหลียง’ ที่อยู่ตรงหน้านี้มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นปีศาจจิ้งจอกที่ชอบปั่นหัวกลั่นแกล้งคนอื่น
เฮ้อเสี่ยวเหลียงอับอายจนพานเป็นความโกรธจึงถลึงตาใส่เฉินผิงอันที่เป็นฝ่ายได้เปรียบตน
นางมองเฉินผิงอันด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง แล้วจึงจากไป
เฉินผิงอันนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วแน่น
คล้ายจริงคล้ายหลอก คล้ายฝันคล้ายภาพลวงตา