บทที่ 215 เขียนคิ้วแต่งหน้า
หญิงชราที่ใบหน้าไร้สีเลือดหลังงองุ้ม นางกำลังจ้องมองมายังคนทั้งสี่ที่อยู่นอกประตูเงียบๆ
บัณฑิตที่เคาะประตูเป็นคนขี้ขลาดมาก เห็นหญิงชราท่าทางน่าสะพรึงกลัวก็ถึงกับไม่กล้ามองสบตานางตรงๆ อีกทั้งยังไปหลบอยู่ด้านหลังเพื่อนตัวเอง รู้สึกเพียงว่าสวรรค์ไม่เหลือหนทางให้เดิน ชีวิตช่างยากลำบาก
บัณฑิตคนนี้ชอบอ่านตำราของร้อยเมธีมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะอ่านเจอเรื่องของภูตผีปีศาจที่มีแต่ความแปลกประหลาดพิลึกมหัศจรรย์จากปลายพู่กันของนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียง เรื่องราวและตัวละครในตำราเหล่านั้น ส่วนใหญ่จะสามารถแบ่งออกเป็นสองชนิด หนึ่งคือพวกที่ชอบประทินโฉมงดงาม คล้ายคลึงกับปีศาจจิ้งจอกที่หลงรักบัณฑิต อีกอย่างก็คือแบบบ้านตรงหน้านี้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผี ต่อให้ตอนที่เข้าพักตอนกลางคืน มองปราดๆ จะเห็นเค้าโครงเป็นบ้าน เห็นเสาคานแกะสลัก เห็นภาพวาดติดประดับ แต่พอโชคดีรอดมาได้จนถึงฟ้าสางแล้วกำลังจะจากไป กลับกลายเป็นว่าบ้านหลังนั้นเปลี่ยนมาเป็นสุสานร้างที่จิ้งจอกและกระต่ายวิ่งเข้าวิ่งออก
ลมฝนพัดโชย อากาศหนาวเย็นสะท้านไปถึงกระดูก บัณฑิตที่ถือคบเพลิงกล้าหาญมากกว่าสหายที่เดินทางมาด้วยกัน เขากระเด้งหีบหนังสือที่สะพายอยู่ด้านหลังให้เข้าที่หนึ่งครั้ง ถูมือหาความอบอุ่นพลางกล่าวพร้อมรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “ท่านป้า ให้พวกเราค้างแรมสักคืนได้หรือไม่? ฝนข้างนอกนี้ตกหนักมาก สหายของเราคนหนึ่งทนหนาวไม่ไหวจนหมดสติไปแล้ว หากยังไม่มีสถานที่ให้หาไออุ่น จะผ่านพ้นคืนนี้ไปได้หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก หวังว่าท่านป้าจะช่วยเหลือ คิดเสียว่าช่วยชีวิตคนหนึ่งครั้งได้บุญยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น”
หญิงชราสีหน้าเคร่งเครียด พูดด้วยภาษาถิ่นที่ยากจะฟังเข้าใจคล้ายกำลังสอบถามอะไรบางอย่าง
ใบหน้าของบัณฑิตเต็มไปด้วยความขมขื่น ได้แต่อธิบายด้วยภาษาถิ่นแบบเดียวกับหญิงชรา
หญิงชรากลอกตาที่เหมือนดวงตาปลาตายคู่นั้นหันมาจับจ้องเฉินผิงอัน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป “เป็นผู้ฝึกยุทธ์รึ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หญิงชรามองไปทางนักพรตหนุ่มที่เฉินผิงอันแบกไว้บนหลัง ด้านหลังของเขามีด้ามกระบี่ไม้ท้อโผล่ออกมา หลังจากหมดสติไป ลมหายใจของนักพรตจงซานกลับทอดยาวหนักแน่นยิ่งกว่าตอนที่ยังตื่นมีสติ นี่น่าจะเป็นความมหัศจรรย์ของผู้ฝึกลมปราณ ไม่ว่าจะอยู่ในจุดใดล้วนสามารถหวนกลับคืนสู่ธรรมชาติดั้งเดิม อยู่เหนือการคาดการณ์ของผู้คนได้เสมอ หญิงชราเห็นกระบี่ไม้ท้อเล่มนั้นแล้วก็หรี่ตาลง “เพื่อนของเจ้าคือนักพรตฝึกวิชาลัทธิเต๋า?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอีกครั้ง
สุดท้ายหญิงชรามองไปยังบัณฑิตถือร่มที่ท่าทางหวาดกลัวคนนั้น “เป็นบัณฑิตรึ?”
บัณฑิตที่ตรงเอวห้อยหยกมันแพะส่ายหน้า “ไม่มีตำแหน่งเคอจวี่ ไม่ถือว่าเป็นบัณฑิต”
หญิงชรากระตุกมุมปาก เบี่ยงไหล่หลีกทางให้ “ในเมื่อต่างก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเข้ามาเถอะ จำไว้ว่าหลังเข้ามาแล้ว แค่พักผ่อนอยู่ในห้องของใครของมันก็พอ อย่าเดินไปไหนเพ่นพ่าน หากรบกวนนายท่านของข้าก็ต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ที่จะตามมาเอาเอง ในห้องมีถ่านและกระถางไฟ คุณชายทุกท่านใช้ได้ตามสะดวก ไม่ต้องถามให้มากความ ทุกคนที่มาเยือนล้วนถือเป็นแขก เจ้านายของข้าไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยด้วยเรื่องแค่นี้”
ตอนที่หญิงชราปิดประตู นางกวาดตามองไปรอบด้านครั้งหนึ่ง จากนั้นก็งับประตูใหญ่ปิดลงอย่างรวดเร็ว ประตูใหญ่ที่หนาหนัก เมื่อมาอยู่ในมือของชรากลับปิดลงดังปังอย่างง่ายดายราวกับเบาดุจขนนก
บ้านหลังนี้ไม่เล็กเลยจริงๆ น่าจะมีลานบ้านสี่ชั้น คนทั้งสี่ซึ่งรวมไปถึงเฉินผิงอันถูกจัดให้เข้าพักในเรือนใหญ่ชั้นสอง จากนั้นหญิงชราก็บอกกับพวกเขาว่าห้ามเดินไปยังเรือนที่อยู่ทางด้านหลัง ชายคาที่ตวัดงอนของตัวเรือนมีรูปสัตว์มงคล นก บุปผาและลายน้ำลายเมฆ ดอกไม้ที่ฉลุตรงบานหน้าต่างงามประณีต บนพื้นในตัวเรือนปูด้วยก้อนอิฐสีเขียวกับสีแดง ทางเดินหลักและทางเดินรองแยกจากกันอย่างชัดเจน มีระเบียบเป็นขั้นเป็นตอน
ระเบียงทางเดินเชื่อมโยงรอบห้องหลักและห้องรอง เพื่อสะดวกให้เดินได้สบายๆ ในช่วงเวลาที่ฝนตกอย่างวันนี้
ร่างของหญิงชราหายเข้าไปในระเบียงทางเดินแคบๆ ที่กั้นอยู่ระหว่างลานบ้านชั้นที่สองกับชั้นที่สาม มองไปรอบด้านมีแต่ความมืดมิด พอสายฟ้าเปล่งวาบขึ้นมา บัณฑิตสองคนยังไม่ถอนสายตากลับจึงมองเห็นใบหน้ายิ้มๆ ที่ซีดขาวของหญิงชราเข้าพอดี ทำเอาคนทั้งสองตกใจอกสั่นขวัญผวา รีบเดินเข้าไปยังห้องที่อยู่ติดกัน บัณฑิตสองคนที่แซ่ฉู่กับแซ่หลิวไม่กล้าแยกย้ายกันไปนอนคนละห้อง จำต้องมารวมตัวอยู่ในห้องเดียวกันชั่วคราว บัณฑิตแซ่หลิววางร่มกระดาษน้ำมันลง จุดตะเกียงอ่านตำราของอริยะนักปราชญ์เพื่อใช้สิ่งนี้มาเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง
บัณฑิตแซ่ฉู่ใจกล้ามากกว่าเล็กน้อย หาไม่แล้วคงไม่มีทางรู้ว่ามีบ้านตั้งอยู่ในสถานที่แห่งนี้ เขาวางคบเพลิงลง เริ่มจุดไฟในกระถางเพลิง หยิบแท่งจุดไฟที่ใช้กระดาษน้ำมันห่ออย่างแน่นหนาออกมาจากในหีบหนังสือ ไม่นานก็จุดไฟนำมาติดถ่าน เพียงชั่วครู่ในห้องก็อบอุ่นขึ้น เขาหันมองไปรอบกาย ยื่นมือวางลงบนผ้าปูเตียง กลิ่นเชื้อราอับชื้นบางๆ โชยมาจากผ้าห่ม นี่เป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก ปีนี้หลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ แคว้นไฉ่อีก็มีฝนตกอึมครึมมาโดยตลอด แทบไม่มีวันใดที่แดดออกแรงๆ คงไม่ดีหากจะเอาเรื่องนี้ไปกล่าวโทษเจ้าของบ้าน แล้วนับประสาอะไรกับที่ขอแค่มีสถานที่ให้พักเท้าก็ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายมากแล้ว
บัณฑิตแซ่ฉู่มัดผมด้วยผืนผ้าสีดำ เรือนกายสูงเพรียว หน้าตาหล่อเหลา ระหว่างหว่างคิ้วมีกลิ่นอายของความเด็ดเดี่ยวเที่ยงธรรม เขามองไปรอบๆ แล้วสังเกตเห็นว่ารูปแบบของหน้าต่างมีหลากหลาย ทั้งประณีตสวยงามทั้งมีความหมายแฝงที่ดี มีการแกะสลักเป็นรูปค้างคาว ปลาหลีและเห็ดหลินจือ ฯลฯ โดยทั่วไปแล้วมีเพียงตระกูลบัณฑิตผู้มีความรู้เท่านั้นถึงจะมีความคิดเช่นนี้ เขาพลันขยับเข้ามาใกล้หน้าต่าง เพ่งสายตามองไป พบว่าบนแผ่นไม้ที่ค่อนข้างหนาระหว่างหน้าต่างสองบานคล้ายจะมีร่องรอยหมึกสีชาดหลงเหลืออยู่เล็กน้อย ตัวอักษรกระดำกระด่าง พร่าเลือนไม่ชัดเจน แต่ยังพอจะมองออกว่าเป็นตัวอักษรที่ใช้เขียนยันต์
เมื่อในห้องเริ่มอบอุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ความกล้าของบัณฑิตแซ่หลิวก็เพิ่มมากขึ้นอีกนิด เขาจึงวางตำราในมือลง เห็นว่าสหายเหมือนกำลังจ้องมองไปที่หน้าต่างจึงเงยหน้ามองตามสายตาของอีกฝ่ายไป ผลกลับได้เห็นใบหน้าแก่ชราที่สาดสะท้อนไปด้วยสีแดงจากผนังนอกหน้าต่าง ตามมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ดึกมากแล้ว หวังว่าคุณชายทั้งสองจะรีบพักผ่อน”
หญิงชราที่ถือโคมไฟลาดตระเวนปรากฏกายกะทันหันแบบนี้ เกือบจะทำให้บัณฑิตสองคนตกใจตายทั้งเป็น
หญิงชราเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เด็กหนุ่มสะพายกรอบกระบี่ในห้องนั้นก็จุดตะเกียงอ่านหนังสืออยู่เหมือนกัน มองมาที่หน้าต่างเหมือนกัน แต่กลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนกตกใจแบบนี้ หญิงชราส่ายหน้า เดินจากไปอย่างเชื่องช้าพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “จะอย่างไรความกล้าของบัณฑิตก็มีน้อยกว่า”
ในห้องฝั่งตรงข้าม
เฉินผิงอันยืนพิงอยู่ใกล้ๆ กับหน้าต่าง เอ่ยเตือนเสียงเบา “แม่เฒ่าเดินจากไปแล้ว”
ที่แท้ก่อนจะเข้ามาในจวนแห่งนี้ นักพรตหนุ่มก็ฟื้นคืนสติแล้ว เขากินยาหยางกลับคืนไปหนึ่งเม็ด จากนั้นก็ตามด้วยเหล้ารสร้อนแรงที่อยู่ในน้ำเต้าเจียงหูของเฉินผิงอัน เพียงชั่วครู่ก็กลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง เดิมทีเขาไม่เต็มใจจะสิ้นเปลืองยาเม็ดหนึ่ง แต่จู่ๆ กลับสัมผัสได้ถึงปราณปีศาจที่พุ่งผ่านไป จึงไม่กล้าขี้เหนียวอีก จะอย่างไรเงินเกล็ดหิมะหนึ่งอีแปะก็เทียบกับชีวิตของตัวเองไม่ได้ นักพรตจางซานลุกขึ้นนั่งบนเตียง สวมชุดนักพรตเต๋าใหม่เอี่ยม ค้อมตัวขยับเข้าใกล้กระถางไฟ ยื่นมือมาอังไฟหาความอบอุ่น กดเสียงพูดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน คืนนี้พวกเราผลัดกันเฝ้ายามเถอะ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่วางใจจริงๆ มักรู้สึกว่าที่นี่มีบางอย่างผิดปกติ”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าแค่เอากระบี่ไม้ท้อที่ห้อยกระดิ่งสดับปีศาจเล่มนั้นไว้ใกล้ๆ กับหน้าต่างก็พอแล้ว ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการรับมือกับภูตผีปีศาจเท่าใดนัก ดังนั้นจึงยังต้องให้กระดิ่งช่วยเตือน ส่วนเรื่องเฝ้ายาม ข้าถนัดมาก เจ้านอนหลับให้สบายใจ หากเกิดเรื่องจริงๆ ข้าก็ต้องรีบเตือนเจ้าอยู่แล้ว”
นักพรตจางซานครุ่นคิดหาเหตุผล “หลังจากแขวนกระบี่ไม้ท้อกับกระดิ่งสดับปีศาจแล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตจะผิงไฟอีกสักหน่อย รอให้ร่างอบอุ่นแล้วค่อยนอนก็ยังไม่สาย”
ตอนที่นักพรตหนุ่มแขวนกระบี่ไม้ เฉินผิงอันก็กล่าวว่า “ตรงกรอบหน้าต่างเคยมีคนเขียนยันต์เอาไว้ ไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้ว ตอนนี้ถึงเห็นได้ไม่ค่อยชัด แต่น่าจะเป็นยันต์ของลัทธิเต๋าพวกเจ้า เจ้ารู้จักหรือไม่?”
เดิมทีนักพรตหนุ่มไม่ได้สังเกตเห็น พอเฉินผิงอันเอ่ยเตือน เพ่งมองอย่างละเอียดถึงได้พบเบาะแส จึงอดที่จะนับถือความใจกล้าและละเอียดรอบคอบของเฉินผิงอันไม่ได้ หลังจากมองประเมินอย่างละเอียด สีหน้าของเขาก็เริ่มหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายใช้นิ้วเช็ดไปบนคราบสีเบาๆ เอามาดมใต้จมูก กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เงียบๆ “หากเป็นอย่างที่ข้าผู้เป็นนักพรตคิดไว้จริงๆ ก็ค่อนข้างจะยุ่งยากแล้วล่ะ ยันต์ที่เขียนไว้บนกรอบหน้าต่างคือยันต์ตำราชาดที่ใช้ขับไล่ภูตผี ดูจากร่องรอยของมันน่าจะเป็นชนิดหนึ่งของยันต์คำเขียวสำนักโองการเทพที่เขียนด้วยสีชาด อานุภาพยิ่งใหญ่มหาศาล อีกอย่างในเมื่อเป็นฝีมือของยอดฝีมือในสำนักโองการเทพ และถึงขนาดเขียนไว้เกือบเต็มบานหน้าต่างด้วยปลายพู่กันที่เร่งร้อน พอจะจินตนาการได้ว่า ภูตผีและสิ่งชั่วร้ายที่ผู้อาวุโสคนนั้นต้องเผชิญย่อมมีตบะไม่ตื้นเขินแน่”
นักพรตหนุ่มถอนหายใจหนึ่งครั้ง ก่อนกล่าวอย่างเจ็บแค้น “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นข้าผู้เป็นนักพรตไม่ควรเก็บยาหยางกลับคืนเม็ดนั้นเอาไว้ ควรกินเข้าไปแต่เนิ่นๆ ตอนที่ใกล้ถึงบ้านหลังนี้จะได้ไม่หมดสติ ข้าผู้เป็นนักพรตที่พอจะเข้าใจศาสตร์ฮวงจุ้ยลองคำนวณตั้งแต่อยู่ไกลๆ คงพอจะทราบได้คร่าวๆ ว่าบ้านหลังนี้มีฮวงจุ้ยอยู่ในระดับใด รวมไปถึงรู้วิธีรวบรวมฮวงจุ้ยว่าเป็นฝ่ายหยางหรือฝ่ายหยิน อยู่ห่างจากวิถีของธรรมะหรือไม่ ขอแค่พอจะแยกแยะต้นกำเนิดของมันได้คร่าวๆ ก็จะสามารถอนุมานเรื่องราวได้มากมาย…เฉินผิงอัน ขอโทษนะ เป็นข้าที่ทำให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตราย…”
เฉินผิงอันฟังนักพรตหนุ่มพึมพำกล่าวโทษตัวเองก็ไม่ได้พูดปลอบใจอะไร เพียงเอ่ยเย้าว่า “ท่านเทียนซือใหญ่จาง กำจัดมารผดุงความยุติธรรมไม่ใช่เรื่องที่เจ้าถนัดหรอกหรือ?”
นักพรตหนุ่มรีบโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “อย่าๆๆ ข้าผู้เป็นนักพรตไม่เหมาะกับคำว่า ‘เทียนซือ’ นี้หรอก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ จางซานก็มีสีหน้าเพ้อฝัน เอ่ยเบาๆ ว่า “เทียนซือที่แท้จริงคือลูกศิษย์สายตรงสกุลจางจากจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ แต่ละคนสวมชุดคลุมสีเหลืองสีม่วง เป็นอัครเสนาบดีบนภูเขาที่สืบทอดบรรดาศักดิ์สู่รุ่นต่อรุ่นมาหลายพันปี นอกจากนี้เทียนซือต่างแซ่ที่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางก็มีคุณสมบัติได้รับคำเรียกขานว่า ‘เทียนซือ’ อย่างแท้จริง ทว่าต่อให้เป็นเทียนซือจากภูเขามังกรพยัคฆ์เหมือนกันก็ยังแบ่งออกได้อีกหลายระดับ เทียนซือระดับหนึ่งคือเทพเซียนผู้เฒ่าห้าขอบเขตบนที่ได้รับควันธูปกราบไหว้ในศาลบรรพชนของภูเขามังกรพยัคฆ์ ถัดจากลำดับนั้นลงมาก็คือลูกศิษย์สืบทอดสกุลจางสายตรงซึ่งเป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อ (หวงคือสีเหลือง จื่อคือสีม่วง) หนึ่งในนั้นในอนาคตอาจได้ครอบครอง ‘ตราประทับเทียนซือ’ และกระบี่เซียนเล่มหนึ่ง ถัดลงมาอีกก็คือเทียนซือต่างแซ่จำนวนมากที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนภูเขามังกรพยัคฆ์ ในฐานะพื้นที่มงคลที่เกิดตามธรรมชาติอย่างภูเขามังกรพยัคฆ์ จะเปิดให้คนนอกเข้ามาได้ก็ต่อเมื่อผู้ฝึกตนเหล่านั้นยอมรับปากว่าหลังจากที่ฝึกตนได้สำเร็จแล้วจะลงจากภูเขาไปกำจัดปีศาจปราบมาร เมื่อถึงเวลานั้นภูเขามังกรพยัคฆ์จะมอบกระบี่ไม้สำเร็จรูปที่ทำจากไม้ท้อให้เล่มหนึ่ง และนี่ก็คือความใจกว้างของภูเขามังกรพยัคฆ์ ทำให้เป็นนักพรตจากทวีปอื่นอย่างพวกเราก็ยังเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันตั้งใจฟังอย่างมาก รู้สึกว่าทั้งภูเขามังกรพยัคฆ์และพวกเทียนซือเหล่านี้ต่างก็ไม่เลวเลย
สายฝนยังคงเทกระหน่ำลงมา
สิงโตหินขนาดเล็กที่ตั้งอยู่หน้าประตูบ้านส่งเสียงปริแตกเบาๆ อยู่เป็นระยะ
หญิงชรายืนอยู่ด้านนอกห้องหลักของเรือนชั้นที่สาม นางเหยียบอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก เอาโคมดวงนั้นแขวนไว้บนตะขอของเสาระเบียง แสงโคมไฟรุบรู่ ส่ายไหวไปตามสายลมอยู่ตลอดเวลา
เสียงฟุบดังหนึ่งครั้ง เปลวเพลิงก็มอดดับ ที่แท้ก็เป็นเพราะเทียนไขที่อยู่ข้างในมอดไหม้จนหมดแล้ว
หญิงชราไอพลางขึ้นไปเหยียบบนม้านั่งอีกครั้ง ปลดโคมไฟลงมา ดึงเทียนไขใหม่เอี่ยมสีแดงสดเหมือนเลือดเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ หากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าเทียนไขนั่นไม่มีไส้เทียน หญิงชราหมุนตัวหันหลังให้กับลานบ้าน ดึงเส้นผมสีขาวเส้นหนึ่งมาจากบนศีรษะแล้วเสียบลงไปกลางเทียนไข ราวกับว่าใช้มันเป็นไส้เทียน จากนั้นหญิงชราก็หันไปเป่าลมเบาๆ ใส่เทียนไข เทียนไขติดไฟในชั่วพริบตา พอใส่ไว้ในโคมไฟอีกครั้ง นางก็เอาโคมไฟแขวนไว้บนเสาตรงระเบียง
โคมไฟดวงนี้ส่ายไหวเบาๆ แสงไฟเปล่งวูบวาบอยู่ท่ามกลางเรือนหลังใหญ่
หากเป็นค่ำคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งต้องชักนำให้แมงเม่ากระโจนเข้าหาอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่ามกลางค่ำคืนที่ฝนตกในป่าเงียบสงัดแห่งนี้ การดำรงอยู่ของมันจะมีความหมายใด
นักพรตหนุ่มไม่รู้สึกง่วงนอน เฉินผิงอันจิบเหล้าร้อนแรงจากในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดคำเล็กๆ ฟังจางซานเล่าถึงประสบการณ์เสี่ยงอันตรายขณะที่พบเจอกับปีศาจหลายครั้งก่อนหน้านี้ แต่แล้วเฉินผิงอันก็ทำท่ามือบอกให้เงียบ นักพรตหนุ่มหันไปมองทางกระบี่ไม้ท้อที่แขวนไว้ตรงหน้าต่างตามจิตใต้สำนึก กระดิ่งยังคงหยุดนิ่ง ไม่มีอะไรผิดปกติ
เพียงไม่นานก็มีเสียงเคาะดังมาจากหน้าประตู ที่แท้บัณฑิตสองคนนั้นก็จับมือกันมาเยี่ยมเยียน เฉินผิงอันถือน้ำเต้าบรรจุเหล้าในมือเดินไปเปิดประตู เสียงฝนด้านนอกยังคงดังสนั่นน่าตกใจ อีกทั้งลมที่พัดกระโชกยังพาให้เม็ดฝนสาดเข้ามา เป็นเหตุให้พื้นที่ตรงระเบียงข้างนอกไม่มีส่วนใดที่แห้งสนิท บัณฑิตแซ่ฉู่ร่างสูงเพรียวถือร่มไว้ในมือ อีกมือหนึ่งหิ้วกาเหล้า ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ บัณฑิตแซ่หลิวยกสองมือทาบติดข้างริมฝีปาก เป่าลมหาใส่มือความอบอุ่น แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ออกจากบ้านมาคราวนี้ พี่ฉู่เอาเหล้ารสเลิศมาด้วยหลายไห ตอนนี้ยังเหลืออีกหนึ่งไห พูดไปแล้วก็ไม่กลัวว่าพวกเจ้าจะหัวเราะเยาะ คืนนี้ข้าไม่กล้านอน จึงอยากจะอาศัยสุราช่วยให้กลับไปนอนหลับได้สนิท พี่ฉู่บอกว่าสนุกเพียงลำพังไม่สู้สนุกกันหลายๆ คน หากทั้งสองท่านเต็มใจจิบเหล้าสักสองสามคำ พวกเราก็มาดื่มร่วมกันสักครั้งดีไหม? บอกไว้ก่อนเลยนะว่า อย่างน้อยข้าก็ต้องดื่มเหล้าครึ่งจินถึงจะล้มได้ ดังนั้นพวกเจ้าคงดื่มได้แค่เล็กน้อย โปรดอภัยให้ด้วย”
เฉินผิงอันชูน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดที่อยู่ในมือ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าเอาเหล้ามาเอง พวกเจ้าสามคนสามารถแบ่งกันได้”
บัณฑิตแซ่หลิวที่ตอนนั้นช่วยกางร่มให้กับเฉินผิงอันและนักพรตหนุ่มเดินก้าวยาวๆ เข้ามาในห้อง หัวเราะเสียงดังกังวาน “เป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด เป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด”
บัณฑิตแซ่ฉู่เดินยิ้มตามมาด้านหลัง วางร่มไว้ตรงมุมกำแพง คนทั้งสี่นั่งล้อมกระถางไฟ อุ่นเหล้าอยู่ชั่วครู่ บัณฑิตแซ่หลิวก็ยกมือขึ้นตบศีรษะตัวเอง “ลืมเอาจอกเหล้ามาซะได้”
จากนั้นเขาก็หันไปมองสหายด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน “พี่ฉู่ ข้าไม่กล้าไปเอาหรอก”
บัณฑิตแซ่ฉู่ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม กล่าวอย่างระอาใจ “หากบนโลกนี้มีผีจริงๆ คนเราก็ไม่ต้องกลัวตายแล้วกระมัง? นี่ต้องเป็นเรื่องดีสิถึงจะถูก อีกอย่างในท้องของบัณฑิตต้องมีปราณซื่อสัตย์เที่ยงธรรม คิดดูแล้วทั้งเทพและผีก็ยังต้องหวาดกลัวอยู่หลายส่วน เจ้าจะกลัวอะไร”
เมื่อมีคนเพิ่มมากขึ้น บัณฑิตแซ่หลิวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็มีชีวิตชีวามากขึ้น เขาเอ่ยล้อเลียนว่า “ขนาดตำแหน่งจวี่เหรินเล็กๆ ข้าก็ยังสอบไม่ติด บอกว่าในท้องมีปราณซื่อสัตย์เที่ยงธรรมก็ไม่รู้ว่ามีสักกี่มากน้อย แน่นอนว่าต้องกลัว แต่พี่ฉู่กลับสอบติดเป็นจิ้นซื่อ เก่งกว่าข้ามากนัก ย่อมไม่จำเป็นต้องกลัว”
บัณฑิตแซ่ฉู่ส่ายหน้ายิ้มๆ ก้าวยาวๆ จากไป เพียงไม่นานร่างของเขาก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่ห้องฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ผลักประตูเปิด ผลักประตูปิด ก้าวเร็วๆ กลับมา ถือจอกเหล้ามาด้วยสี่ใบ ผนังด้านในจอกเหล้าวาดไก่ตัวผู้ห้าสีที่ลักษณะฮึกเหิมเอาไว้สองตัว นักพรตจางซานรับมาหนึ่งใบ แล้วถามหยั่งเชิงว่า “พี่ฉู่ พี่หลิว นี่คงไม่ใช่แก้วไก่ชนที่มีเฉพาะในแคว้นไฉ่อีหรอกกระมัง?”
บัณฑิตหลิวดวงตาเป็นประกาย “ท่านนักพรตก็เคยได้ยินชื่อแก้วไก่ชนของแคว้นไฉ่อีพวกเราด้วยหรือ?”
แสงไฟบนโต๊ะไม่สว่างมากพอ นักพรตหนุ่มจึงใช้สองนิ้วคีบจอกเหล้า จับมันเอียงลง อาศัยแสงสว่างจากกองเพลิงในกระถางไฟสังเกตไก่ตัวผู้ห้าสีสองตัวนั้นอย่างละเอียดแล้วทอดถอนใจเอ่ยว่า “ชื่อเสียงเลื่องลือ ชื่อเสียงเลื่องลือมาก ย่อมต้องเคยได้ยินมานานแล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตมาจากกุรุทวีปทางทิศเหนือ ตอนที่เดินทางอยู่ในยุทธภพเคยเห็นคนมีเงินในยุทธภพสองคนทุ่มเงินก้อนโตโดยอาศัยไก่ชนนี้มาเป็นเดิมพัน มหัศจรรย์มาก ได้ยินว่าขอแค่เทเหล้าเข้าไปในแก้วครึ่งจอก จากนั้นกรอกปราณวิญญาณกลุ่มหนึ่งใส่เข้าไปในผนังแก้วด้านใน ไก่ตัวผู้สองตัวก็จะต่อสู้กันเองโดยอัตโนมัติ ถ้าไม่ตายก็ไม่ยอมเลิกรา อีกอย่างต่อให้เป็นพวกอริยะขอบเขตสิบในกลุ่มเทพเซียนห้าขอบเขตกลางก็ไม่แน่เสมอไปที่จะรู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ดังนั้นขอแค่แก้วไก่ชนมาโผล่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้า ราคาก็จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเป็นพันเท่าหรือมากกว่านั้น ตรงท่าเรือของแคว้นหนันเจี้ยน แก้วไก่ชนของแคว้นไฉ่อีก็คือหนึ่งในสินค้าสำคัญที่ต้องนำขึ้นเรือไป”
สีหน้าของบัณฑิตแซ่หลิวค่อนข้างจะลำพองใจ เขาพยักหน้ารับกล่าวว่า “ปราณวิญญาณอะไรพวกนั้น ข้าไม่เข้าใจหรอก รู้แค่ว่าปรมาจารย์ในยุทธภพของแคว้นไฉ่อีพวกเราชอบนำสิ่งนี้มาหาความบันเทิง หลังจากกรอกเหล้าเข้าไปแล้ว พวกเขาแค่ใช้สองนิ้วคีบก็สามารถทำให้แก้วไก่ชนมีชีวิต จากนั้นพวกมันก็จะต่อสู้กันไม่หยุด จนกระทั่งรู้แพ้รู้ชนะ ส่วนข้อที่ว่าทำไมมันถึงมหัศจรรย์เพียงนี้ ข้าเคยอ่านเจอบันทึกตอนหนึ่งจากในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น บอกว่าดินห้าสีที่นำมาเผาเป็นแก้วไก่ชนคือวัตถุที่น่าสนใจซึ่งมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองโดยเฉพาะ อีกทั้งยังเล่าลือกันว่าหากดินนี้ออกไปจากพื้นที่ของแคว้นไฉ่อี ก็จะเปลี่ยนรสชาติในเวลาสั้นๆ กลายเป็นว่าไม่ต่างอะไรจากดินทั่วไป ดังนั้นถึงเป็นเหตุให้แก้วไก่ชนกลายมาเป็นเครื่องปั้นที่มีเฉพาะในแคว้นไฉ่อีของพวกเรา”
นักพรตจางซานจุ๊ปากชื่นชม ในใจคิดว่าหากใครสามารถผูกขาดดินที่ใช้ในการเผาแก้วไก่ชนก็ไม่เท่ากับว่ามีเงินมีทองไหลมาเทมา ร่ำรวยเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืนเลยหรอกหรือ?
เฉินผิงอันเชื่อในคำกล่าวนี้ เพราะว่าสำหรับธาตุของดินนั้น เนื่องจากเฉินผิงอันเคยเป็นช่างเผาเครื่องปั้นจึงมีประสบการณ์ในด้านนี้อย่างลึกซึ้ง บรรพบุรุษช่างเผาเครื่องปั้นของเมืองหลงเฉวียนล้วนเป็นช่างเผาเครื่องปั้นกันมาทุกรุ่นทุกสมัย การเผาเครื่องปั้นจำเป็นต้องทำความรู้จักกับดิน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้ยินความลับต่างๆ มาไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าเหยาเคยบอกว่า เมื่อดินพ้นจากพื้น สุดท้ายถูกปั้นกลายมาเป็นรูปปั้นดินพระโพธิสัตว์ คอยกินควันธูป ไม่ก็เผาเป็นเครื่องเคลือบส่งเข้าไปในวังหลวง หรือไม่ก็กลายมาเป็นขวดแตกไหผุในหมู่ชาวบ้าน หนีไม่พ้นต้องถูกไฟเผาถูกน้ำเซาะ ต่างก็มีรากเหง้า ต่างมีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ต่างจากคน
บัณฑิตแซ่หลิวดื่มเหล้าไปสองสามจอกก็หน้าแดงก่ำ กำลังเมากรึ่มได้ที่ เป็นช่วงเวลาที่อารมณ์ฮึกเหิมถึงขีดสุด เขาส่ายหน้าน้อยๆ ถามยิ้มๆ ว่า “ท่านนักพรตสะพายกระบี่ไม้ท้อไว้ด้านหลัง แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นกลุ่มคนในบรรดาเทพเซียน สามารถทำให้แก้วไก่ชน ‘มีชีวิต’ ขึ้นมาได้หรือไม่? หากทำได้ ไม่สู้พวกเรามาวางเดิมพันกัน หาเรื่องสนุกให้ทำ แค่เดิมพันเล็กๆ น้อยๆ เท่ากัน พวกเราจะเดิมพันอะไรกันดี?”
บนใบหน้าของบัณฑิตคนนี้มีประกายสดชื่นแตกต่างไปจากยามปกติ เห็นได้ชัดว่าดื่มเหล้าหรือไม่ดื่มจะเป็นสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังชอบเล่นพนันไม่มากก็น้อย
บัณฑิตแซ่ฉู่ถอนหายใจ เอ่ยเกลี้ยกล่อมเบาๆ “พี่หลิว ดื่มเหล้าไปครึ่งจินแล้วก็รีบไปพักผ่อนเถอะ”
นักพรตจางซานเองก็รีบกล่าวว่า “แก้วไก่ชนใบหนึ่งมีค่าไม่น้อย เหตุใดต้องเอามาใช้สิ้นเปลืองให้เสียเปล่าด้วย”
บัณฑิตแซ่หลิวดื่มเหล้าในจอกรวดเดียวหมด แล้วโบกมือขว้างแก้วเหล้าที่อยู่ในมือไปกระแทกผนังอย่างแรงจนมันแตกละเอียด หัวเราะเสียงดัง “นับแต่โบราณกาลมาปราชญ์เมธีล้วนมีชีวิตเงียบเหงา มีเพียงอาศัยสุราแต่งกลอนถึงจะทิ้งชื่อเสียงงดงามเอาไว้ได้บ้าง ทว่าผู้ที่ทิ้งชื่อเสียงเอาไว้สุดท้ายก็ล้วนตายสิ้น มีเพียงวัตถุที่คงอยู่นับร้อยนับพันปี เหลวไหลสิ้นดี แก้วไก่ชนใบเดียว ในแคว้นไฉ่อีจะมีค่าสักกี่แดงกันเชียว? ก็แค่หนึ่งถึงสองตำลึงเท่านั้น จิ้นซื่อคนหนึ่งมีค่ากี่แดงกันเชียว? นั่นน่ะแพงนักล่ะ ถึงอย่างไรข้าหลิวเจินก็ซื้อไม่ไหว…”
สีหน้าของบัณฑิตแซ่ฉู่กระอักกระอ่วนเล็กน้อย เอ่ยอธิบายว่า “พอดื่มเหล้าเมา พี่หลิวชอบพูดเหลวไหล ขอท่านนักพรตและคุณชายโปรดให้อภัยด้วย”
เฉินผิงอันส่งยิ้มไปให้แล้วดื่มเหล้าของตัวเองเงียบๆ
สุดท้ายหลิวเจินที่เมาแล้วพูดไม่หยุดปากก็ถูกสหายประคองกลับไป จางซานเดินไปส่งถึงหน้าประตู
เฉินผิงอันชำเลืองมองไปทางหน้าประตู ไม่มีท่าทีจะลุกขึ้นขยับตัว
……
ท่ามกลางสายฝนเทกระหน่ำ มือดาบที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราคนหนึ่งเดินผ่านม่านฝนหนาหนักก้าวยาวๆ มาถึงหน้าจวน แล้วเคาะประตูใหญ่
หญิงชรายืนอยู่ตรงธรณีประตูด้านใน ถามเสียงแหบ “มีธุระอะไร?”
ชายฉกรรจ์ตะโกน “หลบฝน!”
หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาด “บุรุษอย่างเจ้าพูดจาเปี่ยมไปด้วยพลัง ไม่ใช่คนที่จำเป็นต้องหลบฝน”
ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไม จวนใหญ่โตโอ่อ่าขนาดนี้จะไม่มีแม้แต่ที่ให้พักเท้าเลยหรือ?!”
หญิงชราหัวเราะหึหึ “ที่พักเท้าน่ะมี เพียงแต่ว่าลมปราณของชายฉกรรจ์อย่างเจ้าอุดมสมบูรณ์เกินไป เกรงว่าเจ้านายของข้าคงไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก หากทำให้เจ้านายข้าที่เป็นคนเจ้าอารมณ์โมโห อย่าว่าแต่ที่พักเท้าเลย ต่อให้เป็นที่เก็บเนื้อสดๆ หนึ่งร้อยเจ็ดแปดจินก็มีให้วางเหมือนกัน”
หนวดเคราที่รกรุงรังเต็มใบหน้าของมือดาบคนนั้นแข็งกระด้างดุจง้าวดุจทวน มือข้างหนึ่งของเขากำไว้ที่ด้ามดาบ เบิกตาถลึงมองประตูใหญ่ “หยุดพูดเหลวไหลเสียที! รีบเปิดประตู ฝนนี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย ข้าจะไม่หลบได้อย่างไร วันหน้าจะยังไปเที่ยวหอโคมเขียวอีกได้อย่างไร จะไม่ถูกปีศาจน้อยเชี่ยวชาญการทรมานคนเหล่านั้นหัวเราะเยาะตายหรือ?”
ประตูใหญ่เปิดออกช้าๆ หญิงชราถอนหายใจเบาๆ “ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะตายอย่างไรก็ดีกว่าต้องตายจริงๆ”
มือดาบหน้าหนวดตะลึงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เรือนกายนี้ของข้าผู้อาวุโสสั่งสมปราณหยางมาแล้วสามสิบกว่าปี จะกลัวอะไร! อย่าว่าแต่ภูตผีปีศาจเลย ต่อให้บรรพบุรุษของพวกมันพบข้าก็ยังต้องเป็นฝ่ายหลีกทางให้”
ชายฉกรรจ์ท่าทางหยาบกระด้างเดินเข้าไปในบ้าน พอเห็นกำแพงบังตาตรงหน้าก็ขมวดคิ้ว
หญิงชราปิดประตูบานใหญ่ลงอีกครั้ง
เสียงเพล้งดังขึ้นหนึ่งครั้ง ที่แท้ศีรษะของสิงโตหินตัวหนึ่งที่อยู่นอกประตูก็หล่นลงพื้น แตกกระจายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย
ความเคลื่อนไหวเล็กน้อยเพียงเท่านี้ถูกเสียงฝนที่ดังกระหน่ำกลบทับไปนานแล้ว
……
ในตระกูลใหญ่ของบางแคว้นทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป หญิงสาวส่วนใหญ่ต้องอยู่อาศัยในหอซิ่วโหลว (สถานที่ที่มีไว้ให้ผู้หญิงเรียนงานฝีมือโดยเฉพาะของประเทศจีนในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นเรียนงานเย็บปักถักร้อย พักผ่อนหย่อนใจ หรือเรียนศิลปะต่างๆ ก็ล้วนอยู่ในซิ่วโหลว) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ชนเผ่าที่ประเพณีนิยมในตระกูลมีเงื่อนไขเข้มงวดถึงขั้นถอดบันไดสำหรับเดินขึ้นลงออก สตรีที่อยู่ในห้องถูก ‘พันธนาการกลางหอสูง’ ไม่ต่างจากหนังสือเล่มหนึ่ง รอวันที่จะได้ออกเรือน
ลานบ้านชั้นสุดท้ายนี้ก็มีหอซิ่วโหลวอยู่แห่งหนึ่ง ท่ามกลางม่านราตรีหนาหนัก บนระเบียงสาวงาม (ระเบียงที่ยื่นออกมารอบหอสูง มีพนักพิงโค้งยื่นออกไปด้านหลังเพื่อสะดวกแก่การนั่งพิง) ชั้นสองกลับมีบุรุษกำลังเขียนคิ้วแต่งหน้าให้กับสตรี เขาตวัดพู่กันเขียวคิ้วในมือวาดลงบนใบหน้าของสตรีเบาๆ ผิวหนังของสตรีผู้นั้นเน่าเปื่อยผุพังจนแยกไม่ออกว่าไหนเลือดไหนเนื้อ พื้นที่ส่วนใหญ่บนใบหน้าเผยให้เห็นกระดูกขาวโพลน บางจุดถึงขั้นมีหนอนไต่ยุบยับ แต่กลับพอจะมองเห็นใบหน้าแต้มยิ้มของนางได้เลือนราง