Skip to content

Sword of Coming 223

บทที่ 223 การต่อสู้บนถนนเส้นเล็ก

บนแท่นสูงใจกลางทะเลสาบ สตรีสวมอาภรณ์สีสันสดใสที่แปลงกายมาจากกระดาษยันต์สีเหลืองซึ่งหล่นสู่พื้นกำลังกวาดตามองไปรอบด้าน ประกายความฉลาดเฉลียวในดวงตาของนาง ไหนเลยจะเหมือนหุ่นเชิดที่ไม่มีชีวิต เห็นชัดๆ ว่านางคือคนตัวเป็นๆ

เทพเซียนเฒ่าที่ยืนอยู่ริมแท่นสูงหยิบขวดกระเบื้องสีชมพูขวดหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ภายใต้การจับจ้องมองมาของผู้คน เขาเปิดจุกฝาขวดออกแล้วโยนขึ้นไปตรงกลางของแท่นสูง ขวดกระเบื้องกลิ้งไปหยุดอยู่ข้างเท้าของสตรีอาภรณ์สดใส หลังจากความเงียบผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงพิณดังออกมาจากในขวดกระเบื้อง เสียงเพลงนั้นราวกับเสียงที่ยอดฝีมือกำลังบรรเลงด้วยตัวเอง หากมีผู้เชี่ยวชาญด้านการบรรเลงพิณมาอยู่ตรงนี้จะสามารถฟังออกว่าเสียงพิณเริ่มบรรเลงจากจังหวะเนิบช้า และเมื่อเสียงพิณดังขึ้น สตรีสวมชุดสีสันสดใสก็ค่อยๆ ขยับร่าง ชายแขนเสื้อกว้างและยาวของนางประหนึ่งก้อนเมฆสีรุ้งที่ลอยเคลื่อนคล้อย

เสียงพิณหยุดชะงักลงเล็กน้อย สตรีชุดสีสดก็หยุดตามไปด้วย ยืนค้างอยู่ในท่าอ่อนช้อยไขว้ขาเข้าด้วยกัน

หัวรองเท้าปักลายสีชมพูเขย่งขึ้นเล็กน้อยเหมือนมุมแหลมของดอกบัวตูมดอกเล็ก

หลังจากนั้นเสียงพิณก็เปลี่ยนจากช้ามาเป็นเร็ว ท่าร่ายรำของสาวงามก็เร็วตามไปด้วย เอวของนางบิดพลิ้วราวกับสายลม ยามที่หันมาชม้ายชายตา ในดวงตาก็เปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันลึกล้ำ

เมื่อเสียงพิณขาดๆ หายๆ เดี๋ยวเน้นหนักเดี๋ยวแผ่วเบาเหมือนไข่มุกกำมือใหญ่ถูกเทลงบนถาดหยก

เทพเซียนผู้เฒ่าก็ยิ้มบางๆ แล้วพลันชูชายแขนเสื้อสองข้างขึ้น ชายแขนเสื้อแต่ละข้างของเขามีกระดาษยันต์สีเหลืองลอยออกมาสี่แผ่น พอหล่นลงพื้นควันสีเขียวก็ตลบอบอวล ปกคลุมสตรีชุดสีสันสดใสผู้นั้นไว้ภายใน ทุกคนเพียงแค่ได้ยินว่าเสียงพิณถี่กระชั้นมากขึ้น แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของสาวงามจึงเริ่มร้อนใจ และเริ่มคาดหวังรอคอยกันมากขึ้น

ทันใดนั้นเสียงพิณก็พลันดังลั่นประหนึ่งเสียงขวดเงินแตก

และวินาทีนั้นก็เห็นเพียงว่าท่ามกลางกลุ่มควันที่ล่องลอยอยู่นั้นมีดรุณีน้อยสวมชุดขาวพลิ้วไหวแปดคนปรากฏกายอย่างรวดเร็ว พวกนางกระโดดออกไปสี่ด้านแปดทิศโดยมีสตรีชุดสีสันสดใสเป็นจุดศูนย์กลาง ในมือของพวกนางถือกระบี่ยาว ขณะเดียวกันเด็กสาวชุดขาวถือกระบี่ที่เคลื่อนไหวว่องไวก็พากันเปล่งเสียงร้องคล้ายเสียงที่ใช้ในการเซ่นไหว้ทวยเทพของชนเผ่าป่าเถื่อนสมัยโบราณอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่เสียงนี้ไม่เพียงแต่ทำลายความสง่างามของพวกนาง กลับกันยังเพิ่มลักษณะพลังอันองอาจเป็นเอกลักษณ์ไม่แพ้ชายชาตรีให้กับพวกนาง

ในศาลาที่อยู่ติดกับริมทะเลสาบ แม่ทัพฝ่ายบู๊วัยกลางคนที่นำกองกำลังมาเฝ้าพิทักษ์อยู่บริเวณใกล้เคียงกับเมืองแยนจือดวงตาเป็นประกาย รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เดิมทีเขามาที่นี่ตามคำเชิญก็แค่ทำตามมารยาทเท่านั้น เวลานี้พอได้เห็นภาพนี้เองกับตากลับอดที่จะปรบมือเอ่ยชื่นชมไม่ได้ “เป็นท่าม้าเหล็กบุกตะลุยที่องอาจยิ่งนัก! โดยเฉพาะการที่สตรีหลายคนถือกระบี่พุ่งมาด้านหน้าที่ยิ่งมีพลังอำนาจสมกับท่าทางนี้ ไม่ง่ายเลยทีเดียว”

ใต้เท้าเจ้าเมืองลูบหนวดหัวเราะ พยักหน้าเอ่ยคล้อยตาม “ไม่ธรรมดาจริงๆ นั่นแหละ”

หลังจากนั้นเสียงพิณก็ยิ่งเสียดสูงเข้าสู่ชั้นเมฆ ประหนึ่งสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิที่ซัดตลบอยู่ในทะเลเมฆ ส่วนเด็กสาวชุดขาวทั้งแปดคนนั้นก็ยังโอบล้อมอยู่รอบกายสตรีสวมชุดสีสันที่ยืนอยู่ตรงกลางตลอดเวลา พวกนางหมุนตัวเป็นวงอย่างรวดเร็ว ออกกระบี่ว่องไว ส่วนสตรีที่สวมชุดสีสดกลับจงใจชะลอความเร็วในการร่ายรำ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มเด็กสาวถือกระบี่ที่รวดเร็วราวสายฟ้าแลบแล้วจึงเป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัด อีกทั้งมีหลายครั้งที่พวกเด็กสาวถือกระบี่เอนตัวไปด้านหลังแล้วออกกระบี่ ปลายกระบี่อยู่ห่างจากสตรีชุดสดใสแค่นิ้วกว่าๆ เท่านั้น เฉียดฉิวเสี่ยงอันตรายอย่างมากจริงๆ ทว่าสตรีชุดสีสันสดใสกลับแย้มยิ้มประดุจบุปผาผลิบานได้ตลอดเวลา

ภาพเหตุการณ์นี้ที่ปรากฏบนแท่นสูงกลางทะเลสาบทั้งให้ความรู้สึกงดงามคล้ายเมฆเคลื่อนคล้อยสายน้ำไหล ทั้งมีเสน่ห์อันน่าตื่นตาตื่นใจ

เทพเซียนผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “เก็บ!”

ในขณะที่สตรีบนแท่นสูงพลิ้วร่างเคลื่อนไหวอย่างว่องไวนั้นเอง แสงกระบี่สีขาวหิมะสว่างพร่างพราวก็พากันสาดยิงออกไปสี่ทิศ บางครั้งก็สาดสะท้อนอยู่บนใบหน้าของพวกแขกที่มาชมการแสดงอยู่ริมทะเลสาบ หลายคนตกใจรีบยกมือปิดหน้า ทว่าเวลานี้เอง หลังจากที่เทพเซียนผู้เฒ่าเอ่ยคำว่า ‘เก็บ’ ออกมาแล้ว

เด็กสาวชุดขาวทั้งแปดคนก็พลันหยุดชะงัก กลายร่างมาเป็นยันต์กระดาษเหลืองหลายแผ่นที่ลอยอยู่กลางอากาศ เทพเซียนเฒ่ากวักมือเรียก กระดาษเหลืองก็บินกลับเข้ามาในชายแขนเสื้อของเทพเซียนผู้เฒ่าประหนึ่งฝูงสกุณาที่บินกลับคืนรัง

สตรีสวมชุดหลากสีค้อมตัวลงหยิบขวดกระเบื้องขวดนั้นขึ้นมาแล้วเดินนวยนาดเอามันมาส่งให้กับเทพเซียนผู้เฒ่า จากนั้นจึงหันมาคลี่ยิ้มหวานหยดย้อยให้แก่แขกที่นั่งอยู่ในศาลาริมน้ำ แล้วนางก็กลับคืนไปเป็นกระดาษเหลืองหยาบๆ แผ่นหนึ่งไม่ต่างจากเด็กสาวชุดขาว ถูกเทพเซียนผู้เฒ่าเก็บไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง

การแสดงของเทพเซียนผู้เฒ่าที่เดินทางมาไกลในครั้งนี้ทำให้ผู้ชมทุกคนต้องทอดถอนใจด้วยความชื่นชม สยบคนมีเงินทุกคนของเมืองแยนจือที่มาร่วมชมความครึกครื้นได้อย่างอยู่หมัด ทำให้คนบางส่วนที่มีใจคิดจะท้าทาย ‘เซียนซือ’ ไม่มีหน้าฮาป่าใส่เขา

นักพรตหนุ่มอ้อมผ่านบุตรชายเจ้าเมืองที่นั่งอยู่ตรงกลางถามเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่สวี มองสายสนกลในออกหรือไม่? ใช่ปีศาจหรือภูตผีตัวประหลาดหรือเปล่า? แต่ว่ากระดิ่งสดับปีศาจของข้าไม่มีความเคลื่อนไหวนะ”

ชายฉกรรจ์เคราดกทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาลูบคลำปลายคางพลางพึมพำกับตัวเองว่า “เด็กสาวชุดขาวคนที่มีใฝตรงมุมปาก หุ่นก้านเหมือนจะไม่เป็นรองสตรีที่สวมเสื้อสีสดเลย”

หลิวเกาหวาที่จมอยู่ในภวังค์ของความตกตะลึงก็พูดงึมงำว่า “ความสามารถมหัศจรรย์อย่างแท้จริง มิน่าเล่าในตำราจึงมักจะมีบทบรรยายถึงคนที่ขึ้นเขาไปฝึกตนเป็นเซียน หากข้าได้เรียนวิชาของเทพเซียนวิชานี้ วันหน้าไหนเลยจะยังต้องไปดื่มเหล้าที่หอโคมเขียวอยู่อีก”

ชายฉกรรจ์เคราดกคืนสติ หันไปถามนักพรตหนุ่ม “เฉินผิงอันยังไม่กลับมารึ? คงไม่ได้ตกส้วมไปแล้วกระมัง?”

นักพรตหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะแอบไปฝึกวิชาหมัดแล้วก็ได้”

ชายฉกรรจ์เคราดกพยักหน้ารับ กล่าวอย่างเห็นด้วย “เฉินผิงอันทำเรื่องที่ทำลายความสนุกสนานแบบนี้ได้แน่นอน อันที่จริงกลับไปลองให้คุณชายหลิวเชิญพวกเราไปสถานเริงรมย์ของเมืองแยนจือสักครั้งดูสิ รับรองว่าหากครั้งหน้าเฉินผิงอันยังได้เจอเรื่องดีๆ แบบนี้อีก เขาต้องอยากจะกลับมานั่งอยู่ข้างแท่นสูงกลางทะเลสาบแห่งนี้แทนเป็นแน่”

หลิวเกาหวาเอ่ยอย่างลำบากใจ “จอมยุทธ์ใหญ่สวี ข้ายากจนจนบ้านมีแต่ผนังสี่ด้านแล้ว สภาพของบ้านข้าก็ใช่ว่าพวกเจ้าจะไม่เคยเห็นเสียหน่อย หากพูดถึงสายลมจันทรา (เปรียบเปรยถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างชายหญิง) เมื่อก่อนก็เคยถูกเพื่อนลากไป พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย แรกเริ่มพวกผู้หญิงก็ยังเห็นแก่ที่ข้าเป็นบุตรชายของเจ้าเมือง เต็มใจพูดจายกยอเอาใจข้า บางครั้งยังเสนอตัวเข้ามาอิงแอบในอ้อมกอด ภายหลังทุกคนต่างก็ด่าข้าลับหลังว่าข้าคือไก่เหล็กที่ขนไม่ร่วงแม้แต่เส้นเดียว (เปรียบเปรยถึงคนขี้เหนียว) ขาดก็แค่ไม่ได้ชักสีหน้าใส่ข้าเท่านั้น”

ชายฉกรรจ์เอ่ยสัพยอก “เป็นถึงบุตรของขุนนางกลับกลายมาเป็นคนเส็งเคร็งแบบนี้ได้ก็ถือว่าเจ้าหลิวเกาหวามีความสามารถเช่นกัน ทำไม เรียนหนังสือไม่ได้ดิบไม่ได้ดี ไม่อาจสืบทอดกิจการของบิดา แต่ก็ยังกลัวขายหน้าไม่ยอมหากินทางอื่น ถึงท้ายที่สุดจะไปซ้ายก็ไม่ใช่จะไปขวาก็ไม่สุด วันๆ เลยเอาแต่เที่ยวเล่นไม่ทำการทำงานแบบนี้น่ะหรือ?”

สีหน้าของหลิวเกาหวาหม่นหมอง เอ่ยเย้ยตัวเอง “หากไม่เป็นเพราะในบ้านมีข้าเป็นบุตรชายคนเดียว บิดาข้าจึงยังอยากให้ข้าสืบทอดควันธูป หาไม่แล้วต่อให้ข้าตายอยู่ในบ้านโบราณ อย่างมากสุดเขาก็คงแค่เขียนคำไว้อาลัยฉบับหนึ่งด้วยถ้อยคำที่กินใจจนคนฟังแทบหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด ความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกของพวกเราก็มีแค่นั้นเอง”

ชายฉกรรจ์เคราดกปอกส้มผลหนึ่งแล้วบิครึ่งหนึ่งยื่นส่งให้หลิวเกาหวา ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำปลอบใจใดๆ

ในยุคสมัยที่บ้านเมืองสงบสุข ผู้คนกินอิ่มนอนหลับไร้กังวล คนหนุ่มถึงได้รู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่สมดั่งใจ

รอจนเกิดเรื่องเข้าจริงๆ ถึงได้รู้ว่าความโชคร้ายทั้งหลายที่คิดไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละที่เรียกว่าโชคดีอย่างถึงที่สุดแล้ว

นักพรตหนุ่มเริ่มเป็นห่วงเฉินผิงอันจึงคิดจะลุกไปตามหา เพียงแต่ว่าพอมองไปตามทางระเบียงก็เห็นว่ามีคนเบียดเสียดกันจนหาที่ว่างไม่เจอ จึงได้แต่ล้มเลิกความคิดนี้ไป

……

มาถึงจุดที่ห่างไกลจากผู้คน เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงมุมกำแพง ห่างจากกำแพงฝั่งนอกของบ้านหลังนี้ไปประมาณเจ็ดแปดก้าวก็ไม่เดินหน้าต่ออีก

เด็กหนุ่มชุดดำนั่งยองอยู่บนหัวกำแพง มองประเมินเฉินผิงอันด้วยสายตามีเลศนัย เอ่ยด้วยภาษาท้องถิ่นดั้งเดิมของหลงเฉวียน “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ริมธารน้ำ มองไม่ออกว่าปณิธานหมัดของเจ้าลึกหรือตื้น ตอนนี้มาลองย้อนนึกดู การต่อสู้ที่สุสานเทพเซียนแห่งนั้น เป็นข้าที่ประมาทเกินไป แพ้แล้วก็ไม่ถือว่าอยุติธรรมเกินไปนัก”

ได้ยินสำเนียงของบ้านเกิดที่ไม่ได้ยินมานาน

แต่เฉินผิงอันกลับไม่ยินดีเลยสักนิด

ไอ้หมอนี่ก็คือหม่าขู่เสวียนจากตรอกซิ่งฮวา ถูกภูเขาเจินอู่หนึ่งในปฐมสำนักของสำนักการทหารแห่งแจกันสมบัติทวีปรับตัวไปเป็นลูกศิษย์

ตอนนั้นที่อยู่สุสานเทพเซียน หม่าขู่เสวียนคิดจะสังหารคนสองคนจึงจงใจเก็บสะสมพละกำลัง หวังว่าจะสามารถกำจัดทั้งเฉินผิงอันและหนิงเหยาได้ในรวดเดียว เฉินผิงอันถึงคว้าโอกาสเอาไว้ได้ อีกนิดเดียวก็เกือบจะใช้มีดทับกระโปรงที่หนิงเหยาให้ยืมสังหารไอ้หมอนี่ได้ เพียงแต่ว่าตอนนั้นยอดฝีมือของภูเขาเจินอู่ออกหน้าขัดขวาง เฉินผิงอันจึงทำไม่สำเร็จ

ในมือของหม่าขู่เสวียนกำเมล็ดถั่วเหลืองโรยเกลือไว้กำมือหนึ่ง เขาโยนเข้าปากทีละเม็ด เคี้ยวเสียงกรุบกรับอย่างเอร็ดอร่อย

เดิมทีตอนที่เขาอยู่บนภูเขาเจินอู่ยังกังวลว่าเจ้าคนจากตรอกหนีผิงผู้นี้จะตายไปแล้ว หรือไม่ก็กลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ถ้าเช่นนั้นในอนาคตหากเขาคิดจะแก้ปมแค้นที่ผูกไว้ในสุสานเทพเซียนก็จะกลายเป็นการแก้แค้นที่น่าเบื่อหน่าย หนึ่งปีกว่ามานี้ เขาหม่าขู่เสวียนติดตามอาจารย์คนที่สองไปฝึกตนที่เขาเจินอู่ หลังขึ้นไปบนภูเขาก็กลายเป็นคนดัง ไม่กล้าพูดว่ามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทวีป ทว่าหลายสิบแคว้นน้อยใหญ่รอบภูเขาเจินอู่ มีใครที่ไม่รู้ว่าบนภูเขาเจินอู่มีผู้มากพรสวรรค์ที่ร้อยปียากจะพานพบสักครั้งปรากฎตัวขึ้นบนโลก? พวกผู้เฒ่าประหลาด บุรพาจารย์สำนักการทหารที่อยู่บนภูเขาเหล่านั้น มีใครกล้าอาศัยตบะและวัยที่สูงกว่ามาดูหมิ่นเขาบ้าง?

เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปีก็ฝ่าทะลุสามขอบเขต บุกตะลุยไปข้างหน้าดุจผ่าลำไม้ไผ่ ตอนนี้อยู่ลำดับสูงสุดของขอบเขตสร้างกระท่อมขอบเขตที่ห้า น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง

บนภูเขาเจินอู่ การต่อสู้ระหว่างคนในวัยเดียวกัน การประลองฝีมือน้อยใหญ่สิบหกครั้ง เขาหม่าขู่เสวียนไม่เคยแพ้แม้แต่ครั้งเดียว

น่าเสียดายที่ครั้งนี้ลงจากภูเขามาหาศัตรู พอจะเรียกว่ามีบุญคุณต้องตอบแทน มีความแค้นต้องชำระได้อย่างถูไถ แต่ก็ยังไม่สามารถฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตห้าเลื่อนเข้าสู่ห้าขอบเขตกลางได้สำเร็จ ดังนั้นหม่าขู่เสวียนจึงอารมณ์ไม่ใคร่จะดีนัก จึงบอกให้อาจารย์ที่ลงจากภูเขามาเป็นเพื่อนเขากลับขึ้นเขาไปก่อน เขาบอกว่าอยากจะผ่อนคลายอยู่ในยุทธภพ หาปรมาจารย์ที่หลอมลมปราณได้ถึงขอบเขตสามมาขัดเกลาฝีมือสักหน่อย ดูสิว่าจะสามารถใช้หินบนภูเขาของคนอื่นมากลึงเป็นหยก ช่วยให้ตัวเองฝ่าขอบเขตได้สำเร็จหรือไม่ แต่ต่อให้ไม่ต้องใช้สมบัติอาคมมากมายที่เขาเจินอู่มอบให้เป็นของขวัญ ของรางวัล หรือได้จากการชนะการเดิมพัน หม่าขู่เสวียนที่เดินทางอยู่ในยุทธภพเพียงลำพังผ่านห้าหกแคว้นเล็กๆ มาแล้วก็ยังตามหาปรมาจารย์ที่สมชื่อไม่เจอสักคน อย่างมากก็มีแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ขอบเขตห้าที่สร้างชื่อเสียงจอมปลอม รับหมัดจากเขาได้แค่ไม่กี่หมัดเท่านั้น

หม่าขู่เสวียนกินถั่วเหลืองโรยเกลือพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เฉินผิงอัน ดูจากท่าทางของเจ้าคงตัดสินใจจะเดินบนเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวแล้วสินะ? อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก หากโชคดี เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกก็ทำให้ต้าหลีของเราหมายตาได้แล้ว ถึงเวลานั้นไปสมัครเป็นแม่ทัพในสนามรบที่ได้กุมอำนาจแท้จริงเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือว่าเจ้าเฉินผิงอันสร้างเกียรติยศหน้าตาให้กับบรรพบุรุษแล้ว”

เฉินผิงอันถามเข้าประเด็น “เจ้ามาหาข้า? หรือว่าแค่ผ่านทางมา?”

หม่าขู่เสวียนรู้สึกเหมือนได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในใต้หล้า หัวเราะปากกว้างจนหุบปากไม่ลง กว่าจะหยุดหัวเราะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาโยนถั่วเหลืองเม็ดสุดท้ายเข้าปาก เอ่ยเย้ยหยันว่า “แค่ผ่านทางมาเท่านั้น เจ้าเฉินผิงอันก็เข้าข้างตัวเองเกินไป ข้าน่ะ เป็นเพราะก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าแคว้นไฉ่อีมีเทพกระบี่ท่านหนึ่งที่เก็บตัวสันโดษไม่เผยกายบนโลกมาสามสิบปีแล้ว ทุกคนต่างก็พูดกันว่าเวทกระบี่ของเขายอดเยี่ยม ร้ายกาจยิ่งกว่าเทพเซียนบนภูเขาเสียอีก เล่าลือกันว่าในมือไร้กระบี่แต่ในใจมีกระบี่อะไรเทือกนั้น ข้าถึงได้ทุ่มเทกำลังกายมหาศาลเพื่อมาตามหาเขา ผลกลับกลายเป็นว่าเขาไม่ยอมลงมือ บอกว่าเขาถอยออกมาจากยุทธภพแล้ว ทำเอาข้าโมโหแทบตาย หาตัวเขามาเกินครึ่งเดือน มีหรือจะไล่ข้าได้เพียงแค่คำพูดประโยคเดียว แต่ไม่ว่าข้าจะลงมืออย่างไร เขาก็เอาแต่หลบเลี่ยงไม่ยอมต่อสู้ เอาแต่หนีห่างท่าเดียว หากข้าไล่ตามไปต่อยเขาให้ตายด้วยหมัดเดียวก็จะผิดต่อวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของข้าที่แค่คิดจะหาคนมาประมือด้วยเท่านั้น ข้าก็เลยคิดหาวิธี ไปตามหาลูกหลานของเขาในยุทธภพมา หิ้วหัวสองหัวไปพบเทพกระบี่ท่านนี้ ในที่สุดเขาก็ยอมต่อสู้กับข้า เพียงแต่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าที่ใช้กระบี่คนหนึ่งจะคู่ควรกับคำว่า ‘เทพกระบี่’ ได้อย่างไร เจ้าว่าใช่หรือไม่ เฉินผิงอัน?”

ตอนอยู่บนภูเขาเจินอู่ อันที่จริงหม่าขู่เสวียนเป็นคนเงียบขรึมพูดน้อย ไม่ใช่คนที่จะมาพูดจ้อไม่หยุดปากแบบนี้ เว้นเสียแต่ว่าบางครั้งที่บรรลุอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็ขอบเขตมีการเลื่อนขั้นที่ถึงจะออกจากที่พักไปเข่นฆ่าผู้คน ทว่าเวลานอกเหนือจากนั้นกลับปิดด่านตั้งใจฝึกตนอยู่ตลอดเวลา หากไม่นับอาจารย์ในนามของเขาคนนั้น ลำพังเพียงแค่บุรพาจารย์ที่คอยป้อนหมัดและถ่ายทอดสัจธรรมแห่งสำนักการทหารให้แก่เขาก็มีถึงสองคน คนหนึ่งคือคนที่ทางภูเขาเจินอู่จัดสรรมาให้ อีกคนหนึ่งคือคนที่ถูกชะตากับหม่าขู่เสวียนจึงเสนอตัวด้วยตัวเอง มองหม่าขู่เสวียนเป็นดั่งผู้สืบทอดของตน

หม่าขู่เสวียนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพอมาอยู่ต่อหน้าคนวัยเดียวกันจากตรอกหนีผิงผู้นี้ถึงได้รู้สึกอยากพูดนัก แน่นอนว่าหลังจากพูดสิ่งที่อยากพูดจบไปแล้ว ก็ยังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่านั้นให้ต้องทำ

ยกตัวอย่างเช่นสู้กันอีกครั้ง!

หลังจากที่ได้ขึ้นไปอยู่บนภูเขา หม่าขู่เสวียนก็สาบานกับตัวเองว่า การต่อสู้กับคนวัยเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว เขาต้องชนะอย่างเดียวเท่านั้น ห้าขอบเขตล่างเป็นเช่นนี้ อนาคตเมื่อถึงห้าขอบเขตกลางก็ควรเป็นเช่นนี้ วันหน้าเมื่อเป็นห้าขอบเขตบนก็ยิ่งต้องเป็นเช่นนี้!

ดังนั้นเฉินผิงอันเด็กหนุ่มจากบ้านเกิดก็คือปมเล็กๆ ในใจของเขา การฝึกตนของสำนักการทหาร ปมในใจเล็กๆ แค่นี้ไม่นับเป็นอะไรได้ แต่มันสร้างความหงุดหงิดขุ่นใจ ในใจหม่าขู่เสวียนย่อมไม่สบอารมณ์ บนภูเขาเจินอู่ที่มีเทพเซียนกองเป็นภูเขา เขายังสามารถเปิดฉากสังหารไปทั่วสารทิศ แต่ในอดีตกลับเคยพ่ายแพ้ให้กับเด็กบ้านนอกที่เป็นวรยุทธ์แค่งูๆ ปลาๆ อย่างนั้นหรือ?

เฉินผิงอันถาม “พบกันแล้วจะสู้กันสักครั้งหรือไม่?”

หม่าขู่เสวียนถูมือ หัวเราะหึหึ “ไม่เป็นไร ต่อให้ใช้ขอบเขตสามต้านทานขอบเขตสามจะไม่ถือเป็นการรังแกเจ้าเฉินผิงอัน แต่เห็นแก่ที่เป็นคนบ้านเดียวกัน ข้าจะพยายามยั้งมือ ไม่ให้พลาดพลั้งฆ่าเจ้าโดยไม่ทันระวังก็แล้วกัน ต่อให้คืนนี้เจ้าจะบาดเจ็บหรือพิการ ในอนาคตรอจนข้าก้าวขึ้นสู่ห้าขอบเขตบนแล้ว ศึกที่สุสานเทพเซียนก็มากพอจะทำให้เจ้าภาคภูมิใจได้แล้ว เพียงแต่ว่าข้าขอแนะนำอะไรเจ้าสักคำ เจ้าแค่แอบดีใจอยู่กับตัวเองก็พอแล้ว ไม่ต้องเอาไปแพร่งพรายกับคนนอก เพราะหากข้าได้ยินข่าวเข้า ก็จะไม่เกรงใจเจ้าอีกต่อไป”

หม่าขู่เสวียนก้มหน้ามองคนวัยเดียวกันที่สีหน้ายังเป็นปกติ ในใจก็ให้หงุดหงิด โอ้โห รู้จักเรียนรู้ที่จะทำตัวสุขุมเยือกเย็นเสียด้วย ดูท่าการออกเดินทางครั้งนี้ กว่าจะเดินมาถึงแคว้นไฉ่อีก็คงมีประสบการณ์มาบ้าง ใบหน้าของหม่าขู่เสวียนยังคงมีรอยยิ้มประดับ บอกกับตัวเองว่าหลังจากโดนซัดไม่กี่หมัดจนหมอบกระแต ไอ้หมอนี่ก็คงรู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแล้ว

หม่าขู่เสวียนเตรียมจะลุกขึ้นกระโดดลงมาจากกำแพง เฉินผิงอันกลับเอ่ยก่อนว่า “ไปสู้กันข้างนอก”

หม่าขู่เสวียนที่นั่งยองอยู่บนกำแพงหงายตัวไปด้านหลังแล้วร่างก็หายวับไป ราวกับว่าหล่นลงไปบนถนนนอกกำแพง

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน จากนั้นก็แตะปลายเท้าเบาๆ กระโดดขึ้นไปบนกำแพง เห็นว่าหม่าขู่เสวียนเดินอยู่บนถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน กระดิกนิ้วเข้าหาตน

เมื่อเท้าทั้งสองข้างของเฉินผิงอันเหยียบลงบนพื้น หม่าขู่เสวียนเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งเกาหัว ปรายตามองไปยังกล่องกระบี่ด้านหลังเฉินผิงอัน ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เจ้าจะใช้อาวุธอะไรก็ได้ จะไม่ถือว่าเจ้าเอาเปรียบข้า”

เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลง ขยับไปข้างหน้าอย่าง ‘เชื่องช้า’ ด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าวของตำราเขย่าขุนเขาทันที

น้ำลึกย่อมไร้เสียง

ปณิธานหมัดของผู้ฝึกยุทธ์ก็เป็นเช่นนี้ เก็บสีหน้าความคิดไว้ภายใน หวนกลับสู่ความเป็นธรรมชาติ หลักการแห่งหมัดก็คือเหตุผล

แม้มองดูเหมือนหม่าขู่เสวียนจะพูดจาสบายๆ เห็นเฉินผิงอันเป็นเพียงแค่กบใต้บ่อตัวหนึ่ง ทว่าเมื่อเขาสงบใจเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างเป็นทางการ พลังอำนาจทั่วร่างของเด็กหนุ่มชุดดำก็พลันเปลี่ยนไป มือข้างหนึ่งกำเป็นหมัดวางแนบไว้ตรงหน้าท้อง มืออีกข้างหนึ่งกางออกไพล่ไว้ด้านหลัง มือที่กำเป็นหมัดใช้ปลายเล็บจิกเข้าไปกลางฝ่ามือเบาๆ ด้วยความเคยชิน

ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างจากกันประมาณสิบกว่าก้าว

“มีแค่ปณิธานหมัดอย่างเดียวไม่พอ เจ้ายังช้าเกินไป!”

หม่าขู่เสวียนพลันก้าวออกมาหนึ่งก้าว บนพื้นถนนที่รองเท้าของเขาเหยียบอยู่เกิดแรงสั่นสะเทือนเบาๆ พละกำลังแทรกซอนลงไปลึกอย่างถึงที่สุด แต่กลับไม่มีแววว่าจะแผ่ขยายออกไปรอบด้าน เด็กหนุ่มชุดดำมาโผล่ตรงหน้าเฉินผิงอันในเสี้ยววินาทีแล้วเหวี่ยงหมัดขวาแสกหน้าเขา

เฉินผิงอันกลับปล่อยสองมือออกไปพร้อมกัน เบี่ยงศีรษะเอียงไปด้านข้าง มือซ้ายปัดหมัดขวาของหม่าขู่เสวียนทิ้ง มืออีกข้างหนึ่งคว้าหมัดของอีกฝ่ายที่แทงเสยขึ้นมา ขณะเดียวกันก็โน้มตัวไปด้านหน้า ใช้ศอกซ้ายกระแทกใบหน้าของหม่าขู่เสวียน

คาดไม่ถึงว่าหม่าขู่เสวียนจะยกเข่าขึ้นแล้วดีดเท้าถีบ สกัดกั้นการจู่โจมของเฉินผิงอันเอาไว้ได้ อีกทั้งยังหงายตัวไปด้านหลัง ถือโอกาสดึงระยะห่างของคนทั้งคู่ หลบศอกที่ตีเข้าหน้าพ้น ทว่านับตั้งแต่ที่หม่าขู่เสวียนระเบิดฝีมืออันแข็งแกร่งออกมา หากโดนเท้านี้ของเขาถีบเข้าจังๆ เกรงว่าไส้อาจจะขาดได้จริงๆ ช่วงเวลาที่เดินทางท่องอยู่ในยุทธภพ ได้ท้ารบกับปรมาจารย์ทั่วสารทิศ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า แต่หากถูกหม่าขู่เสวียนที่ฝึกตนอยู่ในสำนักการทหารซึ่งหล่อหลอมเรือนกายจนเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวโจมตีเข้า ไม่ว่าจะหมัดหรือเท้าก็ต้องกระอักเลือดออกมาหลายคำ

แต่หม่าขู่เสวียนกลับไม่ได้สมหวัง เขาค้นพบว่ามือขวาของเฉินผิงอันคว้าขาของเขาเอาไว้ได้ก่อน จากนั้นก็เหวี่ยงตัวเขาออกไป

หม่าขู่เสวียนเปลี่ยนท่าอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว สุดท้ายใช้เท้าทั้งสองข้างเหยียบลงบนกำแพง แล้วก็ค้างอยู่ในท่าที่เรือนกายขนานกับพื้นดิน เดินหน้าไปตามผนังเหมือนเดินอยู่บนพื้นดินด้วยท่าประหลาดนั้น

เฉินผิงอัน ‘เดินเคียงบ่า’ ไปกับเขา ไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ใช้สองหมัดโจมตีที่ศีรษะของหม่าขู่เสวียน

ยิ่งไม่ได้ใช้กระบวนท่าหมัดที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยถ่ายทอดให้บนเรือนไม้ไผ่

การหยั่งเชิงแรกเริ่ม ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่รู้รากฐานที่แท้จริงของอีกฝ่าย ดังนั้นการลงมือในครั้งแรกจึงยังกักเก็บพลังเอาไว้ ที่มากไปกว่านั้นคือต้องการหยั่งเชิงฝีมือของฝ่ายตรงข้าม ไม่ใช่ลงแรงอย่างเต็มกำลัง เพียงแค่เปิดฉากก็ปล่อยพลังอย่างสุดฝีมือ เฉินผิงอันระมัดระวังเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หม่าขู่เสวียนเคยเห็นทัศนียภาพบนภูเขาของเขาเจินอู่มาก่อน แล้วก็เคยได้เห็นศักยภาพที่แท้จริงของปรมาจารย์ด้านวิถีวรยุทธ์มาแล้ว ทว่าเขายังก็เก็บอาการถึงขนาดนี้จึงค่อนข้างจะน่าสนใจ เห็นได้ชัดว่าสำหรับเฉินผิงอันซึ่งเป็นคนเพียงคนเดียวที่เคยเอาชนะตนได้แล้ว ส่วนลึกในใจของหม่าขู่เสวียนมีความหวาดเกรงบางอย่างที่ยากจะอธิบายได้ซุกซ่อนอยู่

มาแล้ว!

ผนังกำแพงถูกหม่าขู่เสวียนเหยียบจนเกิดเป็นหลุมสองหลุม

เด็กหนุ่มชุดดำเหมือนลูกธนูแหลมคมที่พุ่งออกมา ลมปราณที่แท้จริงเฮือกหนึ่งของเฉินผิงอันจมดิ่งลงไปในห้องโอสถ ตวัดเท้าวาดเป็นเส้นโค้ง ไถลลื่นไปด้านหลังเบาๆ จากนั้นก็พลันเพิ่มแรง เสียงปังดังหนึ่งครั้ง พื้นถนนข้างเท้าก็มีฝุ่นกระจายขึ้นมา ก้อนอิฐที่อยู่ใต้พื้นดินที่สัมผัสกับรองเท้าก็ยิ่งปริแตก

หมัดของหม่าขู่เสวียนเหมือนพายุฝนกระหน่ำ เฉินผิงอันทั้งรุกทั้งถอย ปะทะซึ่งๆ หน้า หมัดต่อหมัด หม่าขู่เสวียนออกหมัดด้วยพละกำลังหนักหน่วง อีกทั้งยังรัวติดต่อกันไม่มีหยุดพัก ลมปราณเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว ยืดยาวราวกับไม่มีวันหมดสิ้น ต่อให้ร่างจะอยู่กลางอากาศ สองเท้าไม่สัมผัสโดนพื้น แต่หม่าขู่เสวียนก็ยังต่อยให้เกิดภาพปรากฎการณ์ของความดุดันได้

อากาศที่ว่างระหว่างคนทั้งสองเกิดเสียงระเบิดดังปึงปัง

ราวกับว่ามีคนกำลังรัวกลองอย่างดุเดือดอยู่ระหว่างพวกเขาสองคน

เฉินผิงอันถูกเด็กหนุ่มชุดดำต่อยจนถอยกรูดไปหลายสิบก้าวในรวดเดียว หลังของเขาเกือบจะอัดติดกับกำแพงอีกฝั่งหนึ่ง

แต่เฉินผิงอันที่ได้เปรียบโดยที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ากลับทั้งสามารถยืมแรงและลดทอนแรงจากพื้นดินได้อย่างต่อเนื่อง จนค่อยๆ สั่งสมขึ้นเป็นความได้เปรียบที่ลึกซึ้งบางอย่าง และเวลานี้เอง เฉินผิงอันที่ยังเก็บพละกำลังเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันไว้ในการต่อสู้รอบที่สองก็กระทืบลงไปบนพื้นดินแรงๆ หนึ่งครั้ง นี่ยังไม่พอ เขายังใช้เท้าข้างหนึ่งปักตรึงลงไปบนพื้นดิน หลังจากต้านรับหมัดของหม่าขู่เสวียนไว้ได้แล้ว ก็เหวี่ยงหมัดต่อยเข้าใส่ซีกหน้าด้านข้างของหม่าขู่เสวียนด้วยแรงที่มากกว่าอีกฝ่ายเป็นเท่าตัว ทำเอาเด็กหนุ่มชุดดำลอยกระเด็น

ทว่าในขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะเปลี่ยนลมหายใจเฮือกใหม่ หม่าขู่เสวียนที่ลอยหวือออกไปก็เอาคืนด้วยการปาดเท้าเหวี่ยงมาฟาดเข้าที่ลำคอของเฉินผิงอันอย่างแรง

คนหนึ่งถูกเฉินผิงอันต่อยจนกระเด็นออกไป พลิกกลับร่างเปลี่ยนทิศทางจนสองเท้าสัมผัสโดนพื้น แต่ถึงกระนั้นร่างก็ยังไถลออกไปด้านหลังอยู่ดี

คนหนึ่งถูกหม่าขู่เสวียนเตะจนร่างหมุนคว้าง หัวเข่าสองข้างงอลงเล็กน้อย หลังจากหยุดยืนได้มั่นคงแล้วก็รีบถอยไปข้างหลังทันที ราวกับว่าจำเป็นต้องปรับลมหายใจของตัวเองเสียใหม่

หม่าขู่เสวียนแสยะยิ้มจนเห็นฟันสีขาวสะอาด เขาพอจะเดาความหนักเบาของวิชาหมัด ความเร็วในการออกหมัดและวิธีการโคจรลมปราณที่แท้จริงของเฉินผิงอันได้คร่าวๆ จึงกระโจนออกไปข้างหน้า ความเร็วนั้นมากจนแทบจะเทียบเคียงได้กับยันต์เทพเดินทางของลัทธิเต๋า

เฉินผิงอันถูกบีบให้ต้องตั้งท่าหมัดที่คล้ายกับการป้องกัน ลูกตาดำของหม่าขู่เสวียนหดรัดตัว และในขณะที่สองฝ่ายกำลังจะปะทะกันนั้นเอง หม่าขู่เสวียนพลันหมุนตัวกลับ ซอยเท้าถี่รัวหมุนตัวรอบกายเฉินผิงอันคล้ายลูกข่าง ร่างกายเอนไปด้านหลัง จะล้มไม่ล้มอยู่ตลอดเวลา ทิ้งระยะห่างจากเฉินผิงอันประมาณหนึ่งช่วงแขน

เฉินผิงอันไม่ได้ปล่อยหมัดนั้นออกไปง่ายๆ

หลังจากวนครบหนึ่งรอบ ร่างของหม่าขู่เสวียนก็หยัดตรง เดินวนรอบเฉินผิงอันอีกครั้ง แต่คราวนี้เดินอย่างเอ้อระเหยลอยชาย ถามด้วยความใคร่รู้ว่า “หมัดนี้อันตรายมาก มีชื่อเรียกไหม?”

แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มีทางตอบคำถามเขา เขาขยับเท้าก้าวออกไปเบาๆ ยืนหันหน้าเข้าหาหม่าขู่เสวียนตลอดเวลา สองมือยังคงตั้งท่าหมัดดังเดิม ปณิธานแห่งหมัดไหลวนไปทั่วร่าง ลมปราณที่แท้จริงในร่างขุมนั้นเหมือนมังกรไฟที่ว่ายวนไปทั่ว

หม่าขู่เสวียนไม่ได้รับคำตอบอย่างที่ต้องการ แต่เท้าของเขาก็ยังคงเดินขยับเข้าใกล้เฉินผิงอันอย่างสง่างาม แต่แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “ข้าโง่เอง ไม่โทษเจ้าๆ จะว่าไปแล้วก็ตลก ข้าเดินทางในยุทธภพครั้งนี้ได้พบเจอกับปรมาจารย์และจอมยุทธ์มามากมาย ตอนที่ต่อสู้กันก็มักจะผลัดกันรุกผลัดกันรับ แถมยังมีพวกคนโง่อีกนับไม่ถ้วนยืนปรบมือร้องให้กำลังใจอยู่ข้างๆ แล้วก็มีการต่อสู้ที่เหมือนลูกเจี๊ยบจิกกันเอง บางคนก่อนจะลงมือมักจะชอบร้องตะโกนให้คอยรับกระบวนท่าให้ดี หรือไม่ก็เป็นพวกชอบป่าวประกาศชื่อกระบวนท่า ราวกับกลัวว่าคู่ต่อสู้จะไม่รู้ว่ากระบี่นั้นหรือหมัดนั้นมีที่มาและแก่นแท้อย่างไร”

หม่าขู่เสวียนยิ้มจนดวงตาทั้งคู่หยีลง รอยยิ้มมองดูแล้วเกียจคร้านอย่างยิ่ง

แต่ว่าเด็กหนุ่มชุดดำพูดไว้แล้วว่าจะต้องตัดสินให้รู้แพ้ชนะเท่านั้น จิตสังหารของเขาในเวลานี้จึงไม่ได้ด้อยไปกว่าเมื่อครั้งศึกที่สุสานเทพเซียนเลย

หม่าขู่เสวียนยืนนิ่ง เอ่ยถามว่า “พวกเราเอาแต่ยืนคุมเชิงกันแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ขอบเขตที่สามของข้ากลับต่อสู้กับเจ้าได้แค่สูสี เฉินผิงอัน เจ้าอยากจะสู้กันให้น่าสนใจกว่านี้สักหน่อยหรือไม่?”

เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก “เจ้าใช้ขอบเขตห้าได้โดยตรงเลย ไม่ถือว่าเจ้าได้เปรียบหรอก”

ก่อนหน้านี้หม่าขู่เสวียนได้เอ่ยคำพูดทำนองนี้มาก่อน ตอนนี้คนพูดน้อยอย่างเฉินผิงอันตอบโต้กลับคืนหม่าขู่เสวียนที่หยิ่งยโสบ้าง ก็เรียกได้ว่าน่าเจ็บใจยิ่งกว่าเขาต่อยเข้าที่หัวของหม่าขู่เสวียนเสียอีก

หม่าขู่เสวียนหัวเราะฮ่าๆ

รอยยิ้มของเด็กหนุ่มชุดดำสดใสถึงขีดสุด แต่ในใจก็เดือดดาลสุดขีดเช่นกัน มือข้างหนึ่งของเขากำแล้วก็ปล่อยไม่หยุด ระหว่างห้านิ้วมีสายฟ้าสีขาวหิมะหลายเส้นไหลล้อมวนเวียนส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ

ที่แท้การต่อสู้โดยใช้ขอบเขตสามก่อนหน้านี้ หม่าขู่เสวียนได้สละฐานะผู้ฝึกลมปราณของสำนักการทหารทิ้งไปแล้ว ดังนั้นการต่อสู้ของเขาจึงเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของคนในยุทธภพ ไม่ได้ยึดมั่นหลักคุณธรรมที่สูงส่งสักเท่าไหร่

เฉินผิงอันกลับไม่มีความขลาดกลัวแม้แต่น้อย กลับกันคือปณิธานหมัดยังไต่ทะยานขึ้นสูงประหนึ่งน้ำขึ้นที่เพิ่มระดับพรวดพราด

เพียงแต่ว่าครั้งนี้เขาเปลี่ยนจากท่าหมัดโบราณอย่างกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ามาเป็นกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบที่ฉายความคมกริบออกมาอย่างเต็มที่

สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้หม่าขู่เสวียนตัดสินใจเฉียบขาดว่าต้องสังหารเขาให้ได้

“หม่าขู่เสวียน ถือว่าข้าขอร้องเจ้าล่ะ จะสู้ก็สู้เสียที อย่าเอาแต่พูดพล่ามไม่จบไม่สิ้น”

หม่าขู่เสวียนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ไม่เหลือสีหน้าเกียจคร้านใดๆ อีกต่อไป สายตาของเขาสงบนิ่ง ทั้งไม่มีความจองหองอวดดี แล้วก็ไม่มีอารมณ์ทุกข์สุข

หม่าขู่เสวียนยื่นนิ้วออกมาชี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “กล้าใช้วงกลมที่สองที่ข้าเพิ่งเดินไปก่อนหน้านี้มาตัดสินแพ้ชนะหรือไม่? ใครที่ถอยออกจากวงก่อน คนนั้นแพ้”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

หม่าขู่เสวียนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เดินเข้าไปในขอบเขตวงกลมนั้นอย่างไม่ลังเล

เฉินผิงอันจากตรอกหนีผิง หม่าขู่เสวียนจากตรอกซิ่งฮวา

อันที่จริงคนทั้งสองต่างก็รู้กันดีแก่ใจว่า หม่าขู่เสวียนไม่เพียงแต่ต้องการรู้ผลแพ้ชนะ ที่มากกว่านั้นยังต้องการตัดสินเป็นตายด้วย

แต่เฉินผิงอันกลับไม่คิดหลบเลี่ยง หรือควรจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าหากเขาเกิดความคิดจะถอย ก็เท่ากับตาย อีกอย่างหากได้ฆ่าคนสารเลวที่ขอบเขตยิ่งสูงก็ยิ่งฆ่าคนเยอะอย่างหม่าขู่เสวียนผู้นี้ เฉินผิงอันก็ไม่รู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจ

วันนี้ได้มาพบหน้ากันอีกครั้งในต่างถิ่นต่างแดน คือความบังเอิญ

การช่วงชิงแข่งขันบนมหามรรคาที่มองไม่เห็นของคนทั้งสองถูกกำหนดมาตั้งแต่ตอนที่พวกเขาอยู่บ้านเกิดแล้ว

แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีความแค้นรุ่นบิดาที่หม่าขู่เสวียนรู้ความจริง แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้อะไรเลยอยู่อีกด้วย

บนถนนที่เงียบสงัดในเมืองแยนจือของแคว้นไฉ่อีแจกันสมบัติทวีป

เฉินผิงอันที่ใช้กระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบรับมือกับศัตรูเป็นฝ่ายลงมือก่อน ยันต์ย่อพื้นที่ถูกเตรียมรอไว้ในชายแขนเสื้อนานแล้ว สามารถนำมาใช้เป็นกระบวนท่าสังหารที่แท้จริงได้ทุกเมื่อ และกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าก็จะเป็นการส่งถ่านให้ในวันหิมะตก

หม่าขู่เสวียนนักพรตสำนักการทหารขอบเขตห้ามี ‘สายฟ้า’ ของเขาเจินอู่ซึ่งมีภูมิหลังยิ่งใหญ่อบอวลอยู่ระหว่างนิ้วและฝ่ามือทั้งสองข้าง

ใกล้ในระยะประชิด ห่างเพียงไม่กี่ชุ่น

พื้นที่นี้ล้วนเต็มไปด้วยปณิธานหมัดและสายฟ้าอันน่าตะลึงของเด็กหนุ่มสองคน

นี่คือการต่อสู้ประชิดตัว

หากพูดถึงแค่ขอบเขต คนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามขั้นสูงสุด อีกคนคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าขั้นสูงสุด หากกล่าวตามคำพูดของหม่าขู่เสวียน อันที่จริงก็ถือว่าเป็นแค่ลูกเจี๊ยบจิกตีกันเท่านั้น (เปรียบเปรยว่าฝีมือของทั้งคู่ต่างก็ต่ำ ไม่ได้มีใครเก่งกาจกว่ากัน)

แต่หากมองในด้านปณิธานหมัดวิถีวรยุทธ์ของฝั่งหนึ่ง กับจิตวิญญาณแห่งสำนักการทหารที่ถูกฟูมฟักให้ถือกำเนิดได้อย่างรวดเร็วของอีกฝ่ายหนึ่ง อย่าว่าแต่ยุทธภพด้านล่างภูเขาเลย ต่อให้เป็นตระกูลเซียนบนภูเขาก็ยังต้องตกตะลึงพรึงเพริด

หม่าขู่เสวียนทำลายกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบซึ่งยังไม่ทันรวบรวมสัจธรรมและปณิธานหมัดได้สำเร็จของเฉินผิงอันไปก่อน

แต่เพียงไม่นานหม่าขู่เสวียนก็ต้องกินหมัดจากกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าติดต่อกันเต็มๆ ถึงสิบห้าหมัด ทำเอาแสงสีทองอ่อนจางผุดวาบขึ้นมาทั่วใบหน้าเด็กหนุ่มชุดดำ จำต้องใช้เวทลับของสำนักการทหารภูเขาเจินอู่ถึงจะบังคับสะบั้นท่าหมัดประหลาดนั้นไม่ให้ไหลลงไปเบื้องล่างได้สำเร็จ จากนั้นหม่าขู่เสวียนก็ต่อยให้เลือดสดซึมออกมาจากจุดไท่หยางของเฉินผิงอัน ลำพังเพียงแค่ลูกสายฟ้าก็กระแทกเข้าหน้าเขาเต็มๆ ถึงสองครั้ง รสชาติเช่นนั้นประหนึ่งสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิที่มาผ่าข้างหู เหมือนค้อนใหญ่ทุบลงบนใบหน้า เพียงแต่ว่าตอนอยู่เรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันเผชิญกับความยากลำบากมาแล้วทุกรูปแบบ นี่จึงเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด!

หม่าขู่เสวียนยิ่งรบยิ่งฮึกเหิมประหนึ่งมารร้ายผู้บ้าคลั่ง

คนวัยเดียวกันจากบ้านเกิดเดียวกันสองคนผลัดกันแลกหมัดแลกเท้าอย่างตรงไปตรงมา อาศัยคำว่าเร็วเพียงคำเดียว รวมไปถึงแสวงหา ‘ส่วนที่เหลือ’ สองร้อยจากประโยคที่ว่า ‘สังหารศัตรูหนึ่งพันตัวเองสูญเสียแปดร้อย’ จากความยืนหยัดหนักแน่นของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง และความดุร้ายของเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง ล้วนทำให้พวกเขามีจิตใจที่สุดโต่งถึงขีดสุด อย่าว่าแต่กำไรสองร้อยเลย ต่อให้ได้แค่ยี่สิบ พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยไป

เป็นเหตุให้ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าสามารถใช้หมัดต้านทานหมัดของอีกฝ่ายได้ แต่กลับยังดึงดันที่จะเลือกให้ก่อนเจ้าต่อยข้าหนึ่งหมัด หมัดของข้าต้องต่อยโดนเจ้าก่อน!

อวัยวะภายในของเฉินผิงอันสั่นสะเทือนไม่หยุด เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดอยู่นานแล้ว

หม่าขู่เสวียนเองก็ลมปราณยุ่งเหยิง เจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้าน สายฟ้าของภูเขาเจินอู่ที่อยู่บนมือเหลืออีกไม่มาก

แต่จิตใจของทั้งสองฝ่ายกลับยิ่งหนักแน่นมั่นคง

ต่างคนต่างเป็นหินลับมีดขัดเกลาฝีมือบนมหามรรคา

ครั้งสุดท้ายคนทั้งสองใช้การบาดเจ็บแลกการบาดเจ็บ เฉินผิงอันเกิดแรงบันดาลใจ ใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูที่ปกติใช้หล่อเลี้ยงบำรุงจิตวิญญาณเปลี่ยนมาเป็นท่าโจมตีกะทันหัน มือทั้งสองข้างของเขาแยกห่างออกจากกัน แต่ลมปราณเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว มือข้างหนึ่งใช้สองนิ้วจิ้มไปกลางหว่างคิ้วของหม่าขู่เสวียน มืออีกข้างงอสองนิ้วเคาะลงไปบนหัวใจของหม่าขู่เสวียน

แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็โดนสองหมัดของหม่าขู่เสวียนต่อยลงมาบนหัวใจไล่เลี่ยกัน

คนทั้งสองถอยกรูดออกไปข้างหลังในเวลาเดียวกัน เมื่อเท้าของหม่าขู่เสวียนเหยียบออกนอกวง เขากลืนเลือดสดหนึ่งอึก ยิ้มดุดันกล่าวว่า “เฉินผิงอัน ครั้งนี้เจ้าแพ้แล้ว พวกเราคนหนึ่งชนะ คนหนึ่งแพ้!”

เฉินผิงอันไม่เอ่ยคำใด บิดปลายเท้าจ้องหม่าขู่เสวียนเขม็ง ยกหลังมือเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของตัวเองช้าๆ ไม่กล้าปล่อยให้มันบดบังการมองเห็นของตน

และเวลานี้เองก็มีคนผู้หนึ่งเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ดังมาจากบนกำแพง “ดีมาก”

หม่าขู่เสวียนถอนหายใจ หมุนตัวเดินจากไป แต่ยังไม่ลืมหันกลับมาชี้หน้าเฉินผิงอัน “คราวหน้าต้องรู้แพ้รู้ชนะ รู้เป็นรู้ตาย”

ขณะที่หมุนกายเดินจากไป ใบหน้าของเด็กหนุ่มชุดดำที่เดินหน้าอย่างเชื่องช้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กัดฟันไว้แน่น เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองส่งเสียงร้องออกมาเด็ดขาด

เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม เงยหน้ามองไปยังร่างของคนที่คุ้นเคย

ผู้ฝึกตนสำนักการทหารของภูเขาเจินอู่ คนที่พาหม่าขู่เสวียนไปจากสุสานเทพเซียน

หลังจากหมัดที่สิบห้าของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าถูกตัดสะบั้นลงกลางคัน อันที่จริงเฉินผิงอันก็ตระหนักได้ถึงการดำรงอยู่ของคนผู้นั้นแล้ว หรือไม่คนผู้นั้นก็อาจจงใจทำให้เขาสัมผัสได้

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่ได้ใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตทั้งสองเล่ม

คนผู้นั้นใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันว่า ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะต้องตัดสินถึงขั้นเป็นตาย แค่ต่อสู้อย่างเต็มกำลังก็พอ เขารับรองว่าคนทั้งสองจะแบ่งแค่แพ้ชนะเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเฉินผิงอันที่มีโอกาสสังหารหม่าขู่เสวียน หรือหม่าขู่เสวียนที่จะได้ฆ่าเฉินผิงอัน คนผู้นั้นก็จะลงมือขัดขวาง

บุรุษที่ตอนนั้นเป็นตัวแทนของภูเขาเจินอู่เดินทางไปยังถ้ำสวรรค์หลีจูของต้าหลีก้าวออกมาหนึ่งก้าว มาเดินเคียงข้างหม่าขู่เสวียนที่ใบหน้านองไปด้วยน้ำตาของความเจ็บปวด บุรุษหันไปเอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “เพื่อแสดงการขอโทษและขอบคุณ ข้าได้ช่วยเจ้าจัดการนักฆ่าคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดแล้ว หาไม่แล้วหากเส้นเอ็นหัวใจของเจ้าที่เพิ่งคลายลงต้องขึงตึงขึ้นมาอีกครั้งในเวลาสั้นๆ ก็ง่ายที่จะเปิดช่องว่างให้นักฆ่าคนนั้นฉกฉวย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ที่บอกว่าขอบคุณ

ก็เพราะคนผู้นั้นมองออกว่าเท้าที่เหยียบออกนอกวงของเฉินผิงอัน แท้จริงแล้วไม่ได้สัมผัสกับพื้นดิน แต่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ เพียงแต่ว่าตอนนั้นหม่าขู่เสวียนเป็นม้าตีนปลายแล้วจึงมองความจริงไม่ออก

ส่วนข้อที่ว่าทำไมเฉินผิงอันต้องระวังถึงเพียงนี้

เพราะเขาไม่เชื่อคำพูดของเทพเซียนสำนักการทหารจากภูเขาเจินอู่ท่านนั้น

อาจารย์ฉีมีแค่คนเดียว และอาเหลียงก็มีแค่คนเดียว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version