บทที่ 224 ชายเก่งกาจหญิงงดงาม
ทางฝั่งของแท่นสูงใจกลางทะเลสาบ เทพเซียนเฒ่าแสดงฝีมืออันเยี่ยมยอดอีกครั้ง จำแลงกระดาษยันต์สีเหลืองสี่แผ่นให้เป็นสาวงามสี่คน ต่างคนต่างมีความงามในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ท่วงท่าบุคลิกไม่แพ้สตรีชุดสีสันสดใสก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย
จากนั้นก็บอกให้ข้ารับใช้ในเรือนที่เตรียมการรอมานานแล้วยกพิณโบราณ โต๊ะตั้งพิณ กระดานและโถใส่เม็ดหมากล้อม รวมไปถึงโต๊ะตัวใหญ่และสี่สมบัติในห้องหนังสือมา
มนุษย์ทั่วไปมีของสำคัญในชีวิตประจำวันอยู่เจ็ดอย่างอันได้แก่ฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชูและชา ส่วนปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงก็ย่อมต้องมีพิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด สิบนิ้วไม่เคยได้แตะต้องงานหยาบ ในชายแขนเสื้อมีแต่สายลมเย็น
เทพเซียนเฒ่าชี้นิ้วไปยังสตรีที่นั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่หน้าโต๊ะหมากล้อม กุมมือคารวะแล้วเอ่ยเสียงดังกังวานว่า “ในเมืองแยนจือมียอดฝีมือด้านการเล่นหมากล้อมหรือไม่? ขอแค่เอาชนะนางได้ก็เอาโต๊ะและเม็ดหมากล้อมสองโถที่มีมูลค่าเทียบเท่าทองพันชั่งไปได้เลย”
สิ่งของที่อยู่ในจวนแห่งนี้ไม่มีชิ้นใดที่เป็นของราคาถูก
กล้าเอาของออกมาแสดงในจวนของเศรษฐีก็ต้องไม่ใช่ของที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ศาสตร์และศิลป์ในเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีค่อนข้างจะรุ่งเรือง ยอดฝีมือที่ชื่นชอบประลองหมากล้อมจึงมีไม่น้อย และเพียงไม่นานก็มีผู้เฒ่าสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งลุกขึ้นยืน เดินไปทางแท่นสูงใจกลางทะเลสาบ พอผู้เฒ่าเผยตัว คนบางคนที่คิดว่าตัวเองมีความสามารถในการเล่นหมากล้อมสูงพอก็ได้แต่นั่งกลับลงไปโดยดี นี่แสดงให้เห็นว่าผู้เฒ่าชุดเขียวต้องเป็นอันดับหนึ่งในวงการหมากล้อมซึ่งได้รับการยอมรับจากทุกคนอย่างแน่นอน
เทพเซียนเฒ่าและผู้เฒ่าชุดเขียวต่างก็พยักหน้าให้กัน ฝ่ายหลังเดินตรงไปหน้าโต๊ะหมากล้อมแล้วนั่งลง ก่อนจะแข่งขันกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องมีการเดาก่อน ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าอวดดีว่าตัวเองมีฝีมืออยู่ในขั้นเจ็ด หรือคิดว่าคนที่มีระดับขั้นเท่าเทียมกันจะต้องให้ผู้อาวุโสเลือกก่อน เขาถึงได้คว้าหมากสีขาวขึ้นมากำหนึ่งอย่างไม่เกี่ยงงอน สตรีเล่นหมากล้อมที่จำแลงมาจากกระดาษเหลืองยิ้มบางๆ ก้มตัวลงไปคีบหมากสีดำขึ้นมาสองเม็ด ผลคือผู้เฒ่าได้เดินก่อน
เสียงโห่ร้องให้กำลังใจดังสนั่นไปทั้งริมทะเลสาบ
ในฐานะนักเล่นระดับแคว้นที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นไฉ่อี เดิมทีผู้เฒ่าก็เป็นความภาคภูมิใจของคนในเมืองแยนจืออยู่แล้ว พวกคนดูกู่ร้องให้กำลังใจเขาจึงสมเหตุสมผลดีแล้ว คนบ้านเดียวกันย่อมต้องช่วยเหลือกันเอง
จากนั้นเทพเซียนเฒ่าก็ชี้นิ้วไปยังสตรีสองคนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนพู่กันโดยชี้ไปทางคนที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ “ได้ยินว่าช่วงนี้ท่านเจ้าเมืองมีเรื่องให้กังวลใจ ที่วัดซึ่งเพิ่งสร้างใหม่ยังขาดอักษรกลอนคู่ หลังจากนางเขียนเสร็จแล้ว จะนำไปใช้หรือไม่ ใต้เท้าท่านเจ้าเมืองมีฝีมือด้านการเขียนบทความเป็นที่เลื่องลือไปทั่วราชสำนัก มีสายตาเฉียบคมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หลังจากมองดูเนื้อหาคร่าวๆ แล้วก็น่าจะตัดสินใจได้”
ใต้เท้าเจ้าเมืองลูบหนวดยิ้มๆ แม้จะปลาบปลื้มกับคำชมก็ยังรักษากิริยาเอาไว้
จากนั้นเทพเซียนเฒ่าก็มองไปยังแม่ทัพฝ่ายบู๊ที่นั่งอยู่ข้างเจ้าเมืองหลิวในศาลาริมน้ำ กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงดัง “แม่ทัพหม่าคือแม่ทัพผู้ห้าวหาญในสมรภูมิรบผู้มีคุณูปการอันโดดเด่น เคยเป็นหนึ่งในเสาหลักพิทักษ์ชายแดนของแคว้นไฉ่อี ผ่านสงครามมานับร้อย แม้ว่าข้าผู้อาวุโสจะเป็นคนต่างถิ่น แต่ก็เคารพเลื่อมใสท่านอย่างถึงที่สุด จึงตั้งใจให้นางแสดงฝีมืออันอัปลักษณ์ (เป็นคำที่แสดงถึงการถ่อมตัว) วาดภาพหิมะพร่างพราวให้แก่ท่าน!”
แม่ทัพฝ่ายบู๊ยกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจอก หัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ “หากวาดได้ดี สามารถวาดกลิ่นอายของความกว้างใหญ่ไพศาลในสนามรบออกมาได้ วันที่ท่านเทพเซียนเฒ่าออกจากเมือง ข้าผู้แซ่หม่าจะไปส่งท่านเดินทางด้วยตัวเองเป็นระยะทางสามสิบลี้!”
เทพเซียนผู้เฒ่ากุมหมัดขอบคุณแม่ทัพฝ่ายบู๊ สุดท้ายเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะพิณ ธูปก้านหนึ่งกลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อ ปักอยู่ในกระถางธูปสีทองเหลืองที่ว่างเปล่า เขาจุดไฟด้วยตัวเอง ควันธูปสีม่วงลอยอวลขึ้นมากลางอากาศ
จากนั้นก็หันไปผงกศีรษะให้กับสตรีที่ดีดพิณ ฝ่ายหลังคลี่ยิ้มหวานหยดย้อย ก่อนจะก้มหน้าเริ่มสร้างอารมณ์ให้กับตัวเอง
เมื่อเสียงพิณที่สั่นคลอนจิตใจคนดังขึ้น หัวใจของคนหลายร้อยที่ได้ยินก็ผ่อนคลายตามไปด้วย
ในยุคบรรพกาลอันห่างไกล อริยะสร้างพิณขึ้นมาเพื่อปรับเสียงแห่งใต้หล้า เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่าเสียงพิณสามารถระงับความลามกอนาจาร ปรับจิตใจคนให้เที่ยงตรง
ในระเบียงทางเดินที่ทอดยาว ชายฉกรรจ์เคราดกนั่งแทะเมล็ดแตง จุ๊ปากพูดชม “ลูกเล่นเยอะจริงๆ เพียงแต่ว่าอืดอาดชักช้าไปหน่อยเลยไม่ค่อยน่าสนใจนัก”
เขาไม่มีความรู้ด้านพิณ หมากล้อม พู่กันหรือภาพวาด จึงไม่รู้สึกสนใจ เต็มใจที่จะดูรำกระบี่มากกว่า เอวบางๆ ที่บิดยักย้ายและสะโพกที่ผลุบๆ โผล่ๆ ของคนงามสวมชุดสีสันสดใสกับพวกดรุณีน้อยชุดขาวต่างหากถึงจะเป็นทัศนียภาพอันสวยงามที่เขาอยากชม
บัณฑิตหลิวเกาหวาเป็นพวกที่หลงใหลในหมากล้อม จ้องมองไปที่การประลองฝีมือระหว่างผู้เฒ่าชุดเขียวกับสตรีผู้นั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เจ็บใจก็แต่ตนเป็นลูกหลานขุนนางที่นิสัยไม่เอาไหน เลยไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปดูบนแท่นสูงให้เห็นกับตาตัวเอง
นักพรตจางซานเฟิงร้อนใจจริงๆ แล้ว เขาคอยหันซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นว่าเฉินผิงอันจะปรากฎตัวเสียที คงไม่ได้ตกส้วมไปแล้วจริงๆ หรอกกระมัง เขาจึงไม่สนว่าใครจะมองมาอย่างไม่พอใจ หลังจากบอกให้คนทั้งสองรู้แล้วก็ลุกขึ้นเบียดฝูงชนไปตามหาเฉินผิงอัน
เทพเซียนเฒ่ายืนเอามือไพล่หลัง รอยยิ้มไม่ยินดียินร้ายในลาภยศสักการะ ท่าทางลึกลับเกินจะหยั่ง เขาเก็บภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่ริมทะเลสาบไว้ในสายตา รู้ดีว่าแผนการครั้งนี้ของตนสำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว
……
บนถนนเส้นเล็ก หม่าขู่เสวียนหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาเทยาเม็ดสีเงินสองเม็ด หลังจากโยนเข้าปากแล้วก็กล่าวอย่างจนใจว่า “อาจารย์ ท่านนี่เหมือนวิญญาณร้ายที่ตามติดจริงๆ”
ดูท่าการฝึกประสบการณ์ในยุทธภพครั้งนี้ อาจารย์คงแอบจับตามองเขาอย่างลับๆ อยู่ตลอดเวลา นี่ทำให้หม่าขู่เสวียนเอือมระอาอย่างยิ่ง เขาพอจะรู้นิสัยของบุรุษที่อยู่ข้างกายคร่าวๆ แล้วว่าเป็นเหมือนก้อนหินในห้องส้วม ทั้งเหม็นทั้งแข็งทื่อ เรื่องไหนที่เขาตัดสินใจแล้วก็จะต้องเดินไปให้สุดปลายทาง หม่าขู่เสวียนไม่ได้ร้อนตัวเหมือนวัวสันหลังหวะ บุรพาจารย์ท่านหนึ่งของภูเขาเจินอู่ที่ถ่ายทอดเวทลับสำนักการทหาร และมอบสมบัติอาคมล้ำค่าชิ้นหนึ่งให้กับเขาได้เคยอธิบายให้หม่าขู่เสวียนฟังถึงกฎเกณฑ์ของสำนัก นอกจากคำสั่งของเจ้าขุนเขาภูเขาเจินอู่แล้ว ข้ออื่นๆ ล้วนไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่แท้จริง แต่เจ้าขุนเขาภูเขาเจินอู่ปิดด่านมาร้อยปีแล้ว กฎเกณฑ์ทั้งหลายจึงยิ่งหละหลวมและผ่อนคลายมากขึ้น
บุรุษไม่เอ่ยคำใด
การลงเขาในครั้งนี้หน้าที่ของเขาก็คือคุ้มกันให้หม่าขู่เสวียนไปหาเรื่องแม่ทัพใหญ่กองทหารม้าเหล็กไห่เฉา ซึ่งมีส่วนเกี่ยวพันไปถึงการตายของย่าหม่าขู่เสวียน และราชวงศ์ของกองทัพม้าเหล็กไห่เฉาก็เพิ่งจะทำสงครามใหญ่กับศัตรูคู่อาฆาตไป ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต่อสู้กันจนฟ้าถล่มดินทลาย ฝ่ายหนึ่งถึงขั้นเอาทวยเทพร่างทองสูงร้อยจั้งมาใช้ อีกฝั่งหนึ่งก็ใช้วัวดินพิทักษ์แคว้นหนึ่งตัว เดิมทีนี่คือวัวเหล็กที่เซียนในยุคบรรพกาลใช้เฝ้าริมน้ำเวลาที่มีการขนส่งทางน้ำ สงครามครั้งนี้กองทัพม้าเหล็กไห่เฉาเสียหายอย่างสาหัส หม่าขู่เสวียนแอบแฝงตัวเข้าไปข้างใน เพียงค่ำคืนเดียวก็สังหารแม่ทัพฝ่ายบู๊ระดับกลางไปได้สามคน แล้วสะบัดมือจากมาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
หลังจากนั้นหม่าขู่เสวียนก็บอกว่าจะท่องอยู่ในยุทธภพ ใช้ยุทธภพมาเป็นหินลับร่างกายและจิตวิญญาณของตัวเอง บุรุษไม่ได้ห้ามปราม แต่ก็ยังแอบติดตามเขามาอย่างลับๆ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น
หม่าขู่เสวียนยื่นมือมาเช็ดคราบน้ำตา พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนักๆ สอดสองมือไว้ที่ท้ายทอย ถามว่า “ถ้าหาก ข้าพูดว่าถ้าหากนะ เฉินผิงอันมีโอกาสสังหารข้า อาจารย์จะลงมือสังหารเขาหรือไม่?”
ในที่สุดบุรุษก็ยอมเปิดปากพูด “ข้าไม่กล้าฆ่าเขา แล้วก็ไม่อยากฆ่าเขาด้วย”
ไม่กล้า ก็เพราะว่าเคยมีคนคนหนึ่งไปที่วังหลวงต้าหลี ทำให้กระบี่บินของหอป๋ายอวี้เสียหายอย่างหนัก และก็เห็นได้ชัดว่าคนคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเฉินผิงอัน หากเพียงเท่านี้ เมื่อกาลเวลาล่วงเลยผ่านก็จะต้องมีคนคิดอยากจะลงมืออีกครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่เพิ่งบินขึ้นไปบนฟ้ากลับย้อนคืนมายังโลกมนุษย์อีกครั้งเร็วขนาดนี้ แม้จะบอกว่าโดนลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าที่ ‘ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง’ คนนั้นต่อยให้ร่วงกลับลงมายังใต้หล้าไพศาล แต่หากจะพูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อย ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่มีคุณสมบัติรับหมัดเต็มแรงจากยอดฝีมืออันดับสองของลัทธิเต๋าได้?
ไม่อยาก เพราะว่าความประทับใจที่บุรุษมีต่อเฉินผิงอันนั้นไม่เลว หากไม่เป็นเพราะมีกฎของสำนักบังคับอยู่ เขารู้สึกว่าแท้จริงแล้วเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงที่บรรลุสัจธรรมแห่งหมัดได้อย่างรวดเร็วเหมาะจะเป็นลูกศิษย์ของเขามากกว่า
การที่เขารับหม่าขู่เสวียนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดก็เพราะได้รับคำสั่งที่เข้มงวดจากเจ้าสำนักซึ่งกำลังอยู่ในช่วงที่สำคัญที่สุดของการปิดด่าน เจ้าสำนักกล่าวไว้ว่าทุกคนของภูเขาเจินอู่ต้องปฏิบัติต่อหม่าขู่เสวียนอย่างระมัดระวัง ห้ามให้เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ไม่อย่างนั้นเขาออกจากด่านมาเมื่อไหร่ก็คือช่วงเวลาของการถามหาความรับผิดชอบ ดังนั้นภูเขาเจินอู่ถึงได้ส่งเขาไปที่ถ้ำสวรรค์หลีจู ระหว่างที่แย่งชิงตัวหม่าขู่เสวียนกับกุมารทองและกุมารีหยกของสำนักโองการเทพ บุรุษไม่ยอมถอยให้แม้แต่ครึ่งก้าว ถึงขั้นบีบบังคับข่มขู่คนอื่น แสดงให้เห็นถึงความเหี้ยมอำมหิต
แต่ว่าการที่บุรุษถูกมองเป็นอาจารย์ในนามของหม่าขู่เสวียนก็ไม่ถือว่าถูกต้องนัก ลัทธิพุทธมีอาจารย์ผู้เทศนาพระคัมภีร์ มีพระสงฆ์ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยา มีพระสงฆ์ผู้ถ่ายทอดพระธรรมคำสอน มีพระผู้ปกปักรักษาพุทธศาสนา เป็นต้น ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็คือผู้ปกป้องมรรคาเต๋า เป็นคนที่คอยดูแลพิทักษ์หม่าขู่เสวียนลูกศิษย์ของภูเขาเจินอู่ยามที่เขาเดินไปบนมหามรรคา ส่วนข้อที่ว่าเส้นทางของหม่าขู่เสวียนจะสอดคล้องกับเขาหรือไม่ ไม่สำคัญ
จู่ๆ บุรุษก็เอ่ยว่า “เจ้าสามารถฆ่าเฉินผิงอันได้ ทว่าปัจจัยแรกคือเจ้าต้องมีความสามารถนั้นเสียก่อน”
นี่ไม่ใช่ว่าบุรุษตั้งใจพูดจายั่วยุ แต่เป็นการอธิบายถึงเรื่องจริงอย่างหนึ่ง
หม่าขู่เสวียนหลุดหัวเราะพรืด “มีความสามารถนั้น? ทำไมข้าถึงจะไม่มีความสามารถนั้น! ด้านในวัตถุจื่อชื่อของข้ามีสมบัติอาคมอยู่มากน้อยเท่าไหร่ คนอื่นไม่รู้ แต่อาจารย์ท่านจะไม่รู้งั้นหรือ?”
บุรุษกล่าวยิ้มๆ “เจ้ามี แล้วคนอื่นจะไม่มี?”
หม่าขู่เสวียนยิ้มกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน “ต่อให้เขาเองก็มี แต่จะเทียบกับข้าได้หรือไง? ไม่ต้องพูดถึงคราบเซียนร่างทองที่บุรพาจารย์ภูเขาเจินอู่สืบทอดต่อกันมา เอาแค่จิตวิญญาณวีรบุรุษสองตนที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในร่างข้าก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังการทำลายล้างยิ่งใหญ่ที่สุด ขอแค่ไม่ใช่ห้าขอบเขตกลาง ต่อให้กระบี่บินของเขาจะพุ่งแทงข้าเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่จะสามารถทำร้ายข้าได้จริงๆ หรือไร?”
บุรุษเอ่ยถาม “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ใช้ ดึงดันจะต่อสู้กับเขาจนตัวเองสภาพอเนจอนาถขนาดนี้?”
“การต่อสู้ครั้งนี้น่าสนใจกว่าการต่อยตีกันเล็กๆ น้อยๆ บนเขาเจินอู่มากนัก ข้าหรือจะตัดใจใช้สมบัติอาคมให้เจ้าหมอนั่นแพ้แล้วตายตาไม่หลับ นี่ไม่สอดคล้องกับนิสัยของข้า แล้วข้าเองก็ไม่เต็มใจจะรังแกเฉินผิงอันด้วยวิธีนี้ ดังนั้นข้าจะต้องใช้จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองเอาชนะให้เขายอมหมอบราบคาบแก้ว เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่ใช่หรือ มีข้อได้เปรียบด้านร่างกายมาตั้งแต่เกิดไม่ใช่หรือ ข้ามีแค่เนื้อหนังมังสาที่หล่อหลอมจากวิชาของสำนักการทหารซึ่งนำมาใช้ปะทะกับเขาตรงๆ อาจารย์ ท่านคิดจริงๆ หรือว่าที่ข้าจำกัดพื้นที่ในการต่อสู้เพราะไม่รู้ความประหลาดของหมัดนั้นเฉินผิงอัน?”
หม่าขู่เสวียนเอ่ยยิ้มๆ “ข้ารู้ ไม่อย่างนั้นครั้งแรกก็คงไม่จงใจเดินวนรอบตัวเฉินผิงอัน หลบเลี่ยงประกายคมกริบของเขา แต่พอมาย้อนนึกดู ขนาดผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสาม ข้าก็ยังต้องอ้อมผ่าน วันหน้าเมื่อเจอกับปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตหก ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด หรือเจอกับปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางอย่างพวซ่งจ่างจิ้ง ต่อให้ข้ามีข้อได้เปรียบด้านขอบเขต แต่ก็ต้องอ้อมผ่านอีกใช่ไหม?”
บุรุษถาม “ถ้าอย่างนั้นคำตอบของเจ้าคืออะไร?”
หม่าขู่เสวียนหันหน้ากลับไปมอง อาจารย์และศิษย์สองคนเดินห่างมาไกลมากจนใกล้จะถึงประตูเมืองแล้ว มองไม่เห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้นานแล้ว หม่าขู่เสวียนดึงสายตากลับมา สายตาของเขาฉายแววเด็ดเดี่ยว “วันหน้าหากปะทะกับคนอื่นสามารถดูที่สถานการณ์แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะอ้อมผ่านฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาหรือไม่ ขอแค่ท้ายที่สุดข้าคือผู้ชนะก็พอแล้ว แต่กับเจ้าหมอนั่น ไม่ได้! ข้าจะต้องใช้เรือนกายของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าสู้กับเรือนกายผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามของเขาให้สาแก่ใจ!”
บุรุษไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
หม่าขู่เสวียนขมวดคิ้ว “ทำไมร่างกายและจิตใจขอบเขตสามของเฉินผิงอันถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้? แม้ว่าด้านการหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณของข้าจะทำได้ไม่ดีนัก เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการชักนำวิญญาณวีรบุรุษของภูเขาเจินอู่ แต่คำว่าไม่ดีมากพอของข้าเป็นแค่การเปรียบเทียบกับตัวข้าเองเท่านั้น ทำไมเฉินผิงอันถึงมีเรือนกายและจิตใจที่แข็งแกร่งอย่างไร้เหตุผลแบบนี้ได้?”
บุรุษส่ายหน้า “ต่างคนต่างมีวาสนาเป็นของตัวเอง เรื่องดีๆ ใต้หล้านี้ไม่มีทางที่จะเป็นของเจ้าหม่าขู่เสวียนเพียงคนเดียว”
หม่าขู่เสวียนหลุดหัวเราะพรืด “ขอแค่เป็นจุดที่สายตาของข้ามองไปถึง ไม่ว่าจะเรื่องดีๆ หรือของดีๆ ก็ควรต้องเป็นของข้าหม่าขู่เสวียนเพียงคนเดียว!”
บุรุษคลี่ยิ้มเป็นคำตอบ
เหตุผลหลายอย่างที่ไม่ได้เอ่ยถึง ไม่ใช่ว่าหม่าขู่เสวียนทำถูกแล้ว คำชื่นชมมากมายที่ไม่ได้พูด ก็ไม่ได้หมายความว่าหม่าขู่เสียนทำได้ไม่ดีพอ
ผู้ปกป้องมรรคาเต๋าแค่ต้องปกป้องมหามรรคาใต้ฝ่าเท้าของบุคคลที่ตัวเองพิทักษ์คุ้มครอง ให้เขาเดินไปได้สูงยิ่งขึ้น เดินไปได้ไกลยิ่งขึ้น ไม่มีทางที่จะตายไปกลางคันก่อนวัยอันควร
และหม่าขู่เสวียนก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไปได้สูงมากและไกลมาก
ส่วนเรื่องที่ว่าจะเดินไปได้ถึงก้าวไหน จะสามารถยืนเคียงบ่ากับบุคคลใดในประวัติศาสตร์ อันที่จริงก็เป็นเรื่องที่บุคคลยิ่งใหญ่จำนวนมากของแจกันสมบัติทวีปซึ่งซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังตั้งตารอคอยอยู่เหมือนกัน
เดินไปเดินมา เด็กหนุ่มชุดดำก็ใช้มือหนึ่งกุมท้อง มือหนึ่งจับประคองซีกหน้า สบถด่าเสียงดัง “แม่งเอ๊ย เจ็บจริงๆ !”
เฉินผิงอันแข็งใจอดทนไม่ปล่อยให้ลมปราณและจิตใจของตัวเองทรุดลง จากนั้นก็ออกตามหานักฆ่าคนนั้นไปทั่วสี่ทิศ บนถนนไม่มีร่องรอยของศพ เขาจึงได้แต่กระโดดขึ้นไปบนกำแพง ค้อมตัววิ่งตะบึงไป แล้วจู่ๆ ก็หยุดวิ่ง พลิ้วกายลงไปเบื้องล่าง ตำแหน่งเบื้องล่างกำแพงที่เขากับหม่าขู่เสวียนคุมเชิงกันมีขี้เถ้าอยู่หนึ่งกอง ด้านในวางถ้วยสีขาวและไม้สีดำก้อนเล็กๆ คล้ายถ่านก้อนหนึ่ง เฉินผิงอันไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้ เพียงยืนมองนิ่งๆ อยู่ที่เดิม ริมขอบด้านนอกของถ้วยสีขาวใบเล็กมีภาพวาดของห้าขุนเขา ส่วนไม้สีดำนั้นเขามองเส้นสนกลในไม่ออก
นักฆ่าคนนี้น่าจะถูกผู้ฝึกตนสำนักการทหารผู้นั้นสังหารในเสี้ยววินาที จากนั้นก็ใช้เวทลับของภูเขาเจินอู่เผาไหม้ให้เป็นเถ้าถ่าน เพียงแต่ว่าบุรุษผู้นั้นจงใจทิ้งสมบัติสองชิ้นที่ติดตัวนักฆ่าเอาไว้ ไม่ได้ทำลายไปพร้อมกัน หรือว่านี่ก็คือการขออภัยที่เขาเอ่ยถึง? เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่แล้วก็นั่งยองลงไป หยิบไม้สีดำที่ยาวแค่ฉื่อกว่าแต่กลับมีน้ำหนักมากขึ้นมา ท่อนไม้เล็กๆ แค่นี้กลับหนักถึงแปดเก้าจิน จากนั้นจึงหยิบถ้วยขาวใบเล็ก ใช้นิ้วหมุนถ้วยใบเล็กเบาๆ พินิจพิเคราะห์อย่างตั้งใจ ดูจากชื่อของห้าขุนเขาที่วาดไว้ในถ้วยขาว ถ้าเฉินผิงอันจำไม่ผิดน่าจะเป็นภาพห้าขุนเขาของแคว้นกู่อวี๋
อันที่จริงไม่ใช่เรื่องยากที่เฉินผิงอันจะเดาตัวตนของนักฆ่าออก มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นลูกน้องของบัณฑิตแซ่ฉู่ที่อยู่ในบ้านโบราณ จากคำพูดของเขา แม้แต่ฮ่องเต้ของแคว้นกู่อวี๋ก็ยังต้องนั่งในระดับที่เท่าเทียมกับเขา อีกทั้งก่อนตายร่างของเขายังกลายมาเป็นไม้เน่าเปื่อย เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นวิธีของการตายแทน อีกทั้งยังทิ้งคำอาฆาตเอาไว้บอกว่าจะมาจัดการกับเฉินผิงอัน ภายหลังผีชางหยางหว่างได้พูดคุยถึงเรื่องแกนไม้อวี๋ตัวเมีย รากฐานมหามรรคาของบัณฑิตแซ่ฉู่เป็นหลักการที่ง่ายมาก หนึ่งคือใช้ไม้กู่อวี๋ท่อนหนึ่งมาจำแลงกาย สองคือแกนไม้อวี๋ตัวเมียของผีสาวในบ้านโบราณ เป็นเหตุให้ภูตต้นไม้ตนนั้นใช้คำว่า ‘ตอนกิ่ง’
ในเมื่อเป็นของที่ศัตรูคู่แค้นทิ้งไว้ เฉินผิงอันจึงเก็บเอามาอย่างสบายใจ ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เขายังบ่นด้วยว่าทำไมทรัพย์สินของนักฆ่าคนนี้ถึงได้น้อยนัก แม้แต่เงินเกล็ดหิมะไม่กี่สิบเหรียญก็ยังไม่รู้จักพกติดตัวบ้าง?
เฉินผิงอันเก็บถ้วยใบเล็กและไม้สีดำหนักอึ้งไว้ในวัตถุฟางชุ่นพร้อมกัน เขาเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ หลังจากเดินโซซัดโซเซไปได้สิบกว่าก้าวก็ค่อยๆ ทรุดตัวนั่งพิงพนังข้างต้นซิ่งลำต้นหนาใหญ่ เรียกเสื้อผ้าสะอาดชิ้นหนึ่งมาจากสืออู่กระบี่บิน บรรจงเช็ดคราบเลือดทั้งหมดทิ้ง
บอกคนอื่นว่าจะไปเข้าห้องส้วมก็คงไม่ควรกลับไปพร้อมคราบเลือดเต็มตัวกระมัง ไม่เพียงแต่ชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มจะเกิดความสงสัย เกรงว่าคนทั้งระเบียงก็คงร้องฮือฮาด้วยความตกใจ วันนี้เป็นวันที่ครึกครื้น เฉินผิงอันไม่ต้องการให้ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจ ยิ่งไม่อยากสร้างปัญหาให้กับหลิวเกาหวาด้วยเหตุนี้
เฉินผิงอันสามารถทนความยากลำบากและแบกรับความเจ็บปวดได้ไหว แต่ไม่ได้หมายความว่ารสชาติความรู้สึกนี้จะเป็นรสชาติที่ดี การต่อสู้เอาเป็นเอาตายในวงกลมกับหม่าขู่เสวียน อวัยวะภายในของเฉินผิงอันบาดเจ็บไม่เบา ตอนนี้เขาแค่อยากนั่งอย่างเดียว ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น การแสดงทางฝั่งของแท่นสูงกลางทะเลสาบยังไม่ปิดฉากลง เสียงไชโยโห่ร้องดังขึ้นไม่หยุด การมองเห็นถูกระเบียงหนึ่งเส้นและผู้คนที่เบียดเสียดกันบดบังเอาไว้ เฉินผิงอันอยู่ตรงนี้มองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น เขาจึงทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้น
ต้นซิ่งที่อยู่ข้างกายของเขามีพุ่มใบดกหนา ดอกซิ่งผลิบานเต็มที่ สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยเป็นระลอก
มนุษย์เราช่างแตกต่างกันยิ่งนัก
มีชาติกำเนิดจากเมืองเล็กเหมือนกัน หากเป็นเรื่องที่หม่าขู่เสวียนไม่สนใจ เขาก็จะไม่สนใจเลย ยกตัวอย่างเช่นคนอื่นด่าว่าเขาโง่ เหยียบรองเท้าของเขา แต่หากเป็นเรื่องที่หม่าขู่เสวียนให้ความสนใจ เขาจะยอมทนเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเองไม่ได้เลยสักนิดเดียว
ส่วนหลิวเสี้ยนหยาง หากเป็นเรื่องใดที่เฉินผิงอันทำได้ดีกว่าเขา หลิวเสี้ยนหยางก็จะเลือกละทิ้งโดยตรง ยกตัวอย่างเช่นการทำธนูไม้ไผ่ วางกับดัก เป็นต้น
กู้ช่านเด็กขี้มูกยืดแห่งตรอกหนีผิง หากเห็นว่าเฉินผิงอันทำได้ดีกว่าเขา กู้ช่านก็จะแค่คอยตามก้นเฉินผิงอันต้อยๆ พึ่งพาใบบุญเขาเท่านั้น
แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้นอกจากนิสัยโดยกำเนิดแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับระดับความใกล้ชิดสนิทสนมด้วย
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา กรอกเหล้ารสแรงเข้าปาก นี่ยิ่งทำให้ความรู้สึกร้อนลวกในช่องโพรงลมปราณยิ่งหนักข้อขึ้นไปอีก แต่เรื่องราวบนโลกก็มักจะแปลกประหลาดเช่นนี้เสมอ ทั้งๆ ที่เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว เฉินผิงอันที่เจ็บจนแยกเขี้ยวกลับยิ่งอยากดื่มมากขึ้น เขาไม่ดื่มอึกใหญ่อีกต่อไป แต่ค่อยๆ จิบคำเล็กๆ ผีขี้เหล้าที่กระเป๋าแฟบแบน ต่อให้เหล้าจะรสชาติแย่แค่ไหนก็ยังเป็นอาหารเลิศรสได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ในน้ำเต้าของเฉินผิงอันคือเหล้าต้มที่เดิมทีก็รสชาติดีมากอยู่แล้ว
การต่อสู้บนถนนเส้นเล็กในวันนี้มีความอัดอั้นตันใจไม่น้อย แต่ความสะใจกลับมีมากยิ่งกว่า
แม้ว่าครั้งนี้หม่าขู่เสวียนจะยังประมาทอยู่เช่นเคย แต่ก็พอจะถือว่าคนทั้งสองสู้กันได้อย่างสูสี ทว่าแต่ไรไหนมาเฉินผิงอันก็ไม่เห็นความสำคัญของการแพ้ชนะอยู่แล้ว ก็เหมือนกับที่อาเหลียงเคยกล่าวไว้ อย่าตายเด็ดขาด ต้องมีชีวิตอยู่ก่อนถึงจะมีชีวิตที่ดีได้ เฉินผิงอันรู้สึกว่าประโยคนี้ของอาเหลียง แม้คำพูดจะหยาบ แต่เหตุผลกลับไม่หยาบ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงชูน้ำเต้าบรรจุสุราขึ้นสูง สูงเหนือหัว แกว่งเบาๆ จากนั้นก็อึ้งตะลึง หน้าม่อยคอตก เก็บเหล้ากลับมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก คำพูดห้าวเหิมที่เดิมทีกำลังจะหลุดออกจากปากก็ถูกกลืนกลับไปด้วย
ที่แท้เหล้าก็หมดแล้ว
เฉินผิงอันก้มหน้ารัดน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ตรงเอวให้ดี จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงสื่อสารทางจิตกับกระบี่บินสืออู่ เพียงไม่นานในมือก็มีถุงผ้าปักลายใบหนึ่งเพิ่มขึ้นมา หลังจากเปิดออกแล้วก็เห็นว่าข้างในมีขนมดอกท้ออยู่สามชิ้น เฉินผิงอันก้มหน้าลงดม ไม่เน่าบูดเลยสักนิด วัตถุฟางชุ่นมหัศจรรย์จริงๆ ผ่านมานานขนาดนี้ ขนมยังสดใหม่พอๆ กับตอนที่เขารับมาบนภูเขาลั่วพั่วเลย
มือข้างหนึ่งของเฉินผิงอันอุ้มประคองถุง อีกมือหนึ่งคีบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้น วางใส่ปาก ขบเคี้ยวอย่างตั้งใจ เอนศีรษะพิงกำแพง เงยหน้ามองดอกซิ่งที่บานอยู่เต็มต้น
กินไปแล้วหนึ่งชิ้นก็ตัดใจกินไม่ลงอีก จึงรัดถุงผ้าอย่างระมัดระวัง
ใบหน้าของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในใจคิดว่าขนมดอกท้อจากร้านของตัวเอง อร่อยจริงๆ !
ความคิดแรกของเขาก็คืออยากให้แม่นางหนิงได้ลองชิมดู นึกถึงภาพบรรยากาศในการพบกันครั้งต่อไป เฉินผิงอันก็หัวเราะกับตัวเองอย่างเซ่อซ่า แล้วจู่ๆ ก็ตบบ้องหูตัวเองหนึ่งที “เจ้าทึ่ม”
……
ไม่มีถังยาที่เว่ยป้อจัดสรรตัวยาให้อย่างตั้งใจ ความเร็วในการหายดีของร่างกายเฉินผิงอันตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าต่างกันราวกับบังคับกระบี่บินกับเดินเท้า แต่ว่าได้พักผ่อนไปครู่หนึ่ง คิดจะเดินเหมือนในเวลาปกติก็ไม่มีอุปสรรคใดๆ และในขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะลุกขึ้นเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองตรงระเบียงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสวบสาบดังแว่วมาจากทิศไหล เสียงหนึ่งหนัก เสียงหนึ่งเบา มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เลือกจะนั่งตรงมุมกำแพงต่อไป มีต้นซิ่งช่วยบดบัง แค่รอให้พวกเขาจากไปก่อนแล้วค่อยลุกขึ้นก็ยังไม่สาย
แต่เหตุการณ์ที่ทำให้เฉินผิงอันปากอ้าตาค้างก็เกิดขึ้น หญิงชายสองคนนี้ ดูเหมือนว่าฝ่ายชายจะไม่ใช่คนของแคว้นไฉ่อี ทั้งสองฝ่ายต่างพูดคุยกันด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป พอเดินมาอยู่ใกล้ต้นซิ่งที่มีร่มเงามืดสลัวก็เริ่มโอบกอดกัน เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่หอบหนัก หญิงสาวปฏิเสธอย่างกระเง้ากระงอดอ่อนหวาน เหมือนจะปฏิเสธแต่กลับคล้ายเชิญชวน ฝ่ายชายกลับเป็นพวกหน้าด้าน ระดมจูบลงบนใบหน้าของหญิงสาวอย่างบ้าคลั่ง และคาดว่ามือทั้งสองข้างก็คงไม่ได้หยุดอยู่นิ่งๆ
เฉินผิงอันเริ่มนั่งไม่ติด จะทำยังไงดีละทีนี้? ออกเสียงเอ่ยเตือนคู่ยวนยางป่า (ยวนยางคือนกชนิดหนึ่ง มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็ดแมนดาริน เป็นสัญลักษณ์ของคู่รักหรือสามีภรรยา) คู่นั้น? หรือรอให้พวกเขาหยุดไปเองแล้วไปจากที่นี่เมื่อสมใจกันพอสมควร?
ความครึกครื้นอย่างนี้ทางที่ดีที่สุดอย่าได้มาพบเจอจะดีกว่า หากถูกใครจับได้ขึ้นมา ต่อให้ดินเหลืองหล่นมาจากในกางเกง ไม่ใช่ขี้ คนก็คิดว่าเป็นขี้
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน ส่งเสียงกระแอมหนึ่งที
หญิงสาวอายุน้อยที่อยู่ตรงต้นซิ่งกรีดร้องแล้วไปหลบอยู่หลังฝ่ายชาย
ผู้ชายเดินก้าวใหญ่อ้อมต้นซิ่งมา ถลึงตามองเฉินผิงอันที่เห็นใบหน้าไม่ชัด พอเห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มตัวไม่สูง ร่างผอมบาง ความกล้าหาญก็เพิ่มพูนขึ้นทันใด “ไม่ต้องกลัว โจรเด็ดบุปผาที่มาแอบมองความงามของเจ้าแบบนี้ ต่อให้เขาตีข้าตาย ข้าก็ไม่มีทางทิ้งเจ้าไปไหน สรุปคือหากเขาคิดจะเอาเปรียบเจ้าก็ต้องผ่านศพข้าไปก่อน!”
หญิงสาวน้ำตาคลอเจียนหยด ไม่รู้ว่าหวาดกลัวหรือซาบซึ้งใจ นางที่ยืนเอาหัวไหล่พิงหลังที่กว้างและอบอุ่นของบุรุษจึงพึมพำอย่างลุ่มหลงว่า “หลิ่วหลาง เจ้าช่างดีจริงๆ”
เฉินผิงอันอึ้งค้างอยู่ที่เดิม เขาไม่ได้โกรธ แค่ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ในใจคิดว่าตอนที่พวกเจ้าสองคนยังเด็กคงไม่ได้เคยถูกหางวัวตบหน้ามาเหมือนกันกระมัง?
จะยืนคุมเชิงกันต่อไปแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง เฉินผิงอันจึงหาข้ออ้าง แสร้งทำเป็นพูดอย่างเขินอายว่า “คุณชาย คุณหนู พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ามาถึงที่นี่ก่อนพวกเจ้า เพราะเพิ่งเคยเข้ามาในจวนนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหน ก็เลย…”
คิดไม่ถึงว่าบุรุษคนนั้นจะตวาดกร้าวเสียงดัง “เจ้าอันธพาล โจรเด็ดบุปผา ยังไม่รีบรัดสายคาดเอวให้ดีอีก เจ้าคิดจะทำอะไร ขยะแขยงตัวเองบ้างหรือไม่ ไม่นึกเลยว่าบนโลกจะมีคนที่ถูกความหื่นกระหายบดบังจิตใจได้อย่างเจ้า!”
ขณะเดียวกันนั้นเขายังไม่ลืมหันไปปลอบใจสตรีด้านหลังที่ใบหน้างดงามเผือดสี “แม่นางหลิว เจ้าคอยหลบอยู่ด้านหลังข้าก็พอ อย่ามองเจ้าคนผู้นี้ให้เสียสายตาเลย”
สุดท้ายบุรุษคนนั้นแอบหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้เฉินผิงอัน สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความลำพองใจ มองดูกวนโอ๊ยน่าเตะ คล้ายเขียนประโยคว่า ‘วันนี้ข้าผู้อาวุโสจะเป็นวีรบุรุษที่ช่วยเหลือสาวงาม จะได้ฉวยโอกาสนี้จับนังผู้หญิงคนนี้กินซะเลย แน่จริงไอ้หนูเจ้าก็จัดการข้าให้ได้สิ!’ แปะติดไว้เต็มใบหน้า
เฉินผิงอันมองเขา
เป็นบุรุษหนุ่มที่หล่อเหลาอย่างยิ่ง เรือนกายสูงเพรียว ใบหน้าราวหยกสลัก เป็นต้นฉบับของบัณฑิตหนุ่มผู้อ่อนแอ มิน่าเล่าชายฉกรรจ์เคราดกถึงมักจะบ่นอยู่เป็นประจำว่าพวกบัณฑิตไม่มีใครดีสักคนเดียว คุณหนูจากตระกูลน้อยใหญ่ทั้งหลายใต้หล้าแห่งนี้ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นแหละที่ตาไม่บอด คนส่วนใหญ่ล้วนตาบอดมองข้ามเขาผู้แซ่สวีไปหันไปชอบบัณฑิตที่เป็นเหมือนคนขี้โรคพวกนั้นแทน
จากนั้นเฉินผิงอันก็เดินออกไปหนึ่งก้าว มาหยุดอยู่ตรงหน้าบัณฑิตคนนั้นแล้วยกมือตบฉาด ทำเอาเขาล้มคว่ำลงพื้น หมดสติไปในบัดดล
หญิงสาวยืนนิ่งอยู่กับที่ นางอ้าปากค้าง สีหน้าอึ้งงัน คิดจะหวีดร้องแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่ข่มกลั้นไว้อย่างยากลำบาก กลัวว่าคนชั่วที่ลงมือทำร้ายคนผู้นี้จะฆ่าตนไปพร้อมกันด้วย ถึงเวลานั้นตนกับคนรักหลิ่วหลางที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานจะไม่กลายเป็นคู่ยวนยางที่ตายคู่หรอกหรือ? ทว่าในตำราที่กล่าวถึงชายเก่งกาจหญิงงดงามก็แค่บรรยายไว้ว่า อุปสรรคมากมายที่คู่รักพบเจอมีแค่พ่อแม่คัดค้าน ชีวิตติดขัดไม่ราบรื่น แต่สุดท้ายเมื่อความขมขื่นผ่านพ้น ความหวานชื่นก็ต้องมาเยือน ได้ครองรักกันอย่างมีความสุขไม่ใช่หรือไง? ไม่มีหนังสือเล่มไหนที่เขียนว่าบัณฑิตและสาวงามถูกโจรฆ่าตายเลยนี่นา
เฉินผิงอันก้าวยาวๆ จากไป ยักไหล่ขยับกล่องกระบี่ให้เข้าที่ ไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง